การออมเงินมีหลายประเภท และสัดส่วนที่ควรออมก็มีหลักคิดง่าย ๆ ที่นำไปใช้ได้จริง ผมสรุปให้แบบเข้าใจเร็วและนำไปใช้ได้ทันทีครับ
---
# ✅ **1) การออมเงินมีกี่ประเภท?**
โดยทั่วไปแบ่งได้เป็น 4 ประเภทหลัก ๆ
---
## **1. ออมเพื่อความมั่นคง (Emergency Fund – เงินสำรองฉุกเฉิน)**
* เก็บไว้ใช้เวลาฉุกเฉิน เช่น ป่วย ตกงาน รถเสีย
* ควรเก็บ **3–6 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน**
* เก็บในบัญชีที่ **ถอนง่าย ดอกเบี้ยต่ำ-กลาง** เช่น ออมทรัพย์, กองทุนตลาดเงิน
---
## **2. ออมระยะสั้น (Short-term Saving)**
* ใช้สำหรับเป้าหมายใกล้ เช่น ซื้อมือถือ, เที่ยว, ซื้อของ
* ระยะเวลา: **ภายใน 1 ปี**
* ตัวเลือก: ออมทรัพย์, ฝากประจำปลอดภาษี 12 เดือน, กองทุนตราสารหนี้สั้น
---
## **3. ออมระยะกลางถึงยาว (Investing / Long-term Saving)**
* เพื่อเป้าหมายใหญ่ เช่น ซื้อบ้าน เกษียณ เงินเรียนลูก
* ระยะเวลา: 3–30 ปี
* ตัวเลือก: หุ้น, กองทุนรวม, RMF/SSF, DCA
---
## **4. ออมแบบมีวินัยบังคับ (Forced Saving)**
* บังคับตัวเองให้หักเงินก่อนใช้
* เช่น หักเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, หักบัญชีอัตโนมัติรายเดือน, ประกันออมทรัพย์
* เหมาะกับคนออมเองแล้วไม่ค่อยสำเร็จ
---
# ✅ **2) ควรออมเงินเท่าไรของรายได้?**
นิยมใช้หลัก **50 / 30 / 20 Rule**
แต่ปรับให้เข้ากับคนไทยได้ดังนี้
### **▶ ออมอย่างน้อย 20% ของรายได้**
ตัวอย่าง รายได้ 30,000 บาท
→ ควรออมขั้นต่ำ **6,000 บาทต่อเดือน**
---
# 🎯 สัดส่วนแนะนำแบบเข้าใจง่าย
## **กรณีทั่วไป**
* ออมฉุกเฉิน 10%
* ออมระยะยาว 10%
= รวม 20%
## **ถ้ามีภาระมาก เช่น ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ**
* ออมขั้นต่ำ 10–15%
## **ถ้าอายุ 40+ (เริ่มเก็บเกษียณช้า)**
* ออม 25–30% ของรายได้
## **ถ้าอายุยังน้อย < 30 ปี**
* ออม 20% แล้วนำส่วนหนึ่งไปลงทุนระยะยาว (DCA หุ้น/กองทุน)
---
# ✳ คำแนะนำแบบใช้ได้ทันที (ทำตามนี้เห็นผล 100%)
### ✔ หักเงินอัตโนมัติทันทีที่เงินเดือนเข้า
### ✔ แยกบัญชี 2–3 บัญชี (ฉุกเฉิน / ใช้จ่าย / ลงทุน)
### ✔ เพิ่มออมทันทีเมื่อรายได้เพิ่ม
### ✔ ไม่ออมจาก "เงินเหลือ" แต่ "หักก่อนใช้"
-------------------------------------