News:

Exness ลงทะเบียนระบบใหม่ ใส่รหัสพาร์ทเนอร์ 73208
https://www.exness.com/boarding/sign-up/a/73208?lng=th
1. เลือกประเทศ ไทย
2. อีเมล์จริงของคุณ
3. รหัสผ่าน
* รหัสผ่านต้องมีความยาว 8-15 ตัว
* ใช้ทั้งอักษรตัวพิมพ์ใหญ่และตัวพิมพ์เล็ก
* ใช้ทั้งตัวเลขและตัวอักษรภาษาอังกฤษ
* ห้ามใช้อักขระพิเศษ (!@#$%^&*., และอื่นๆ)
4. ใส่รหัสพาร์ทเนอร์ 73208
---------------------------------------------------------

Main Menu
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - junjao

#1
Exness ลูกค้าใหม่รับฟรี เสื้อ exness มีจำนวน 10 ตัว ขนาด L , XL , 2XL

เทรดครบ 1 Lot Standard รับ 1 ตัว แจ้งมาที่ Line : junjaocom

ถึง 30 ธ.ค. 2568 นี้ ส่งฟรี รหัสพาร์ทเนอร์ 73208

เปิดบัญชี Standard ลิงค์ตัวแทนได้ที่ https://www.exness.com/a/73208
#2
smf error Fatal error: Uncaught Error: Call to undefined function idna_maps_not_std3() in C:\inetpub\vhosts\junjao.com\httpdocs\board\Sources\Class-Punycode.php:537 Stack trace: #0 C:\inetpub\vhosts\junjao.com\httpdocs\board\Sources\Class-Punycode.php(280): Punycode->preprocess() #1 C:\inetpub\vhosts\junjao.com\httpdocs\board\Sources\Class-Punycode.php(148): Punycode->decode() #2 C:\inetpub\vhosts\junjao.com\httpdocs\board\Sources\Subs-Compat.php(493): Punycode->encode() #3 C:\inetpub\vhosts\junjao.com\httpdocs\board\Sources\Subs.php(8055): idn_to_ascii() #4 C:\inetpub\vhosts\junjao.com\httpdocs\board\Sources\Subs.php(6135): iri_to_url() #5 C:\inetpub\vhosts\junjao.com\httpdocs\board\Sources\ScheduledTasks.php(1151): fetch_web_data() #6 C:\inetpub\vhosts\junjao.com\httpdocs\board\install.php(1837): scheduled_fetchSMfiles() #7 C:\inetpub\vhosts\junjao.com\httpdocs\board\install.php(164): DeleteInstall() #8 {main} thrown in C:\inetpub\vhosts\junjao.com\httpdocs\board\Sources\Class-Punycode.php on line 537

แก้ไขอย่างไร

ข้อผิดพลาดนี้ใน **SMF (Simple Machines Forum)**

```
Fatal error: Uncaught Error: Call to undefined function idna_maps_not_std3()
```

หมายความว่า PHP ของเซิร์ฟเวอร์คุณ **ไม่มีฟังก์ชัน `idna_maps_not_std3()`** ซึ่งมาจาก **PHP extension ชื่อ intl (Internationalization extension)** — โดยเฉพาะ **ฟังก์ชันที่ใช้กับ IDN (Internationalized Domain Names)**

---

### 🔧 วิธีแก้ไขหลัก (แนะนำ)

ให้เปิดใช้งานหรือเปิดติดตั้ง **PHP intl extension**

#### ✅ ถ้าใช้ Windows Server (Plesk / IIS)

1. เข้าหน้า **Plesk** → ไปที่
  **Tools & Settings → PHP Settings → PHP Extensions**
2. มองหา **intl** แล้วติ๊ก ✅ เปิดใช้งาน
3. หรือถ้าจัดการไฟล์ `php.ini` เอง ให้แก้ไฟล์:

  ```
  extension=intl
  ```

  (เอาเครื่องหมาย `;` ออกจากหน้า extension ถ้ามี)
4. จากนั้น **restart IIS หรือ Apache / PHP-FPM**

---

### 🧩 วิธีตรวจสอบว่าติดตั้งสำเร็จหรือไม่

สร้างไฟล์ชื่อ `phpinfo.php` ไว้ในโฟลเดอร์เว็บ (เช่น `httpdocs/board/phpinfo.php`)
ใส่โค้ด:

```php
<?php phpinfo(); ?>
```

เปิดในเว็บเบราว์เซอร์ เช่น
`https://www.junjao.com/board/phpinfo.php`

แล้วดูว่ามีส่วนหัว **intl** แสดงอยู่หรือไม่
ถ้ามี = ใช้งานได้แล้ว ✅
ถ้าไม่มี = extension ยังไม่เปิดใช้งาน ❌

---

### ⚙️ ทางแก้ชั่วคราว (ถ้ายังเปิด intl ไม่ได้)

บางเวอร์ชันของ SMF 2.1.x สามารถแก้ได้โดย **ปิดการใช้ IDN (Punycode)** ชั่วคราว:

1. เปิดไฟล์:

  ```
  Sources/Subs-Compat.php
  ```
2. หาโค้ดที่มี `idn_to_ascii(` แล้วใส่เงื่อนไขครอบไว้แบบนี้:

  ```php
  if (function_exists('idn_to_ascii'))
      $domain = idn_to_ascii($domain, 0, INTL_IDNA_VARIANT_UTS46);
  else
      $domain = $domain; // fallback ป้องกัน error
  ```

แต่วิธีนี้เป็นการ "ข้าม" การแปลงชื่อโดเมนสากลเท่านั้น ควรใช้ชั่วคราวเท่านั้น ⚠️

---

### 💡 สรุปสั้น ๆ

| สาเหตุ                                | วิธีแก้หลัก                        | วิธีชั่วคราว                                        |
| -------------------------------------- | ---------------------------------- | ---------------------------------------------------- |
| PHP ไม่มีฟังก์ชัน idna_maps_not_std3() | เปิดหรือเพิ่ม PHP extension `intl` | แก้ไฟล์ Subs-Compat.php ให้ตรวจสอบ function_exists() |

---

ถ้าคุณบอกผมได้ว่า

* ใช้ **PHP version** อะไร (ดูจาก Plesk หรือ phpinfo)
* ใช้ **SMF version** อะไร (เช่น 2.1.3 หรือ 2.1.4)
----------------------------------
#3
S-Classs S300 ปี 2014 ขึ้นเตือนว่า Start engine See Owner's Manual
จอดรถประมาณ 1 สัปดาห์แล้ว

ข้อความเตือนบน Mercedes-Benz S-Class S300 ปี 2014 ที่ขึ้นว่า
**"Start Engine – See Owner's Manual"** หลังจาก **จอดไว้นานประมาณ 1 สัปดาห์**
มักเกี่ยวข้องกับ **ระบบไฟฟ้าหรือแบตเตอรี่** เป็นหลักครับ 🔋

---

### 🔍 ความหมายของข้อความ

ข้อความนี้หมายถึงว่า

> ระบบตรวจจับพบแรงดันไฟฟ้าต่ำ หรือมีความผิดปกติในการจ่ายไฟไปยังระบบสตาร์ทรถ

---

### ⚙️ สาเหตุที่พบบ่อย

1. **แบตเตอรี่หลักเริ่มอ่อนหรือลดแรงดัน**

   * หากจอดไว้นาน ระบบอิเล็กทรอนิกส์ในรถ (เช่น alarm, keyless, computer) จะยังคงกินไฟเล็กน้อย
   * เมื่อแรงดันแบตลดต่ำกว่า ~12V ระบบจะแสดงคำเตือนนี้

2. **แบตเตอรี่เสริม (Auxiliary Battery) เสื่อม**

   * S-Class รุ่นนี้จะมีแบตลูกเล็กอีกลูก (สำหรับระบบ Start/Stop หรืออุปกรณ์เสริม)
   * ถ้าแบตเสริมเสื่อม มักขึ้นเตือนลักษณะเดียวกัน

3. **ระบบไฟ หรือสายกราวด์หลวม/สกปรก**

   * โดยเฉพาะถ้าจอดในที่ชื้น อาจเกิดออกไซด์ที่ขั้วแบต

4. **รถถูกจอดโดยไม่ดับระบบอย่างสมบูรณ์ (Ignition ยังอยู่ในตำแหน่ง ON)**

   * ทำให้ระบบไฟยังทำงานอยู่บางส่วน

---

### ✅ วิธีตรวจเช็กเบื้องต้น

1. 🔋 **ลองสตาร์ทรถดู**

   * ถ้าสตาร์ทติดปกติ ให้ขับต่อไปอย่างน้อย **20–30 นาที** เพื่อชาร์จไฟกลับเข้าแบต
   * จากนั้นดูว่าข้อความเตือนหายหรือไม่

2. 📉 **วัดแรงดันแบตเตอรี่**

   * ก่อนสตาร์ทควรอยู่ที่ **12.4–12.7V**
   * ขณะติดเครื่องควรขึ้นเป็น **13.8–14.4V**
   * ถ้าต่ำกว่านี้ → แบตเริ่มเสื่อมหรือไดชาร์จมีปัญหา

3. 🧰 **ถ้ามีข้อความเตือนค้างหลังจากวิ่งแล้ว**

   * ให้เข้าศูนย์ Mercedes-Benz หรือร้านแบตที่มีเครื่องอ่านโค้ด (OBD II / STAR Diagnostic)
   * ระบบจะบันทึกสาเหตุไว้ เช่น "Low voltage at terminal 30" หรือ "Auxiliary battery malfunction"

---

### 💡 คำแนะนำเพิ่มเติม

* ถ้าจอดรถบ่อยเกิน 4–5 วันโดยไม่ขับ → ควร

  * ถอดขั้วลบแบต
  * หรือใช้ **Battery maintainer/charger** แบบ trickle charge
* หากต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ ควรใช้ **รุ่น AGM 95Ah** ตามสเปกเดิมของ Mercedes-Benz (เช่น Varta, Bosch, Exide)

--------------------------------
#4
คำว่า **"ไม้กอล์ฟแบบ Draw"** หรือที่เรียกกันว่า **"Draw bias driver / Draw driver"** คือไม้กอล์ฟ (โดยเฉพาะไม้ไดร์ฟเวอร์) ที่ **ออกแบบมาเพื่อช่วยให้นักกอล์ฟตีลูกให้โค้งกลับมาทางซ้าย** (สำหรับคนถนัดขวา) หรือพูดง่าย ๆ คือ **ช่วยแก้ปัญหาการตี "Slice"**

---

### 🏌��♂️ สรุปแบบเข้าใจง่าย

| รายการ          | รายละเอียด                                                       |
| --------------- | ---------------------------------------------------------------- |
| 🔧 จุดประสงค์   | ช่วยให้ลูกบอลโค้งกลับเข้าทางซ้าย (ลด Slice)                      |
| 🎯 เหมาะกับ     | คนที่ตีลูกออกขวาบ่อย (Slice)                                     |
| ⚙️ วิธีการทำงาน | น้ำหนักท้ายไม้ถูกย้ายไปทางส้นไม้ (heel) และหน้าไม้หันปิดเล็กน้อย |
| 🪶 ผลลัพธ์      | ทำให้หน้าไม้ปิดเร็วขึ้นตอนกระทบลูก → ลูกหมุนขวา-ซ้าย (draw spin) |
| 🏌� ท่าทีเวลาตี | ไม่ต้องเปลี่ยนวงสวิงมาก เพียงใช้ไม้ draw ก็ช่วยให้ลูกไม่ออกขวา   |

---

### 📐 ตัวอย่างเปรียบเทียบ

| ประเภทไม้                       | ลักษณะลูกที่ออก      | เหมาะกับใคร    |
| ------------------------------- | -------------------- | -------------- |
| **ไม้ธรรมดา (Neutral driver)**  | ลูกวิ่งตรง (ถ้าตีดี) | คนที่สวิงสมดุล |
| **ไม้ Draw (Draw bias driver)** | ลูกโค้งซ้าย (Draw)   | คนที่ชอบ Slice |
| **ไม้ Fade bias**               | ลูกโค้งขวา (Fade)    | คนที่ชอบ Hook  |

---

### 💬 ตัวอย่างไม้ Draw Driver ที่มีขายจริง (ปี 2025)

* TaylorMade Qi10 Max Draw
* Callaway Paradym Ai Smoke Max D
* Ping G430 SFT (Straight Flight Technology)
* Cobra Darkspeed Max Draw

-------------------------------------

ดีมากครับ คำถามนี้สำคัญมากเลยสำหรับคนที่อยากเข้าใจวงสวิงเชิงลึก 🏌��♂️
เรามาแยกให้เห็นภาพง่าย ๆ ระหว่าง **ลูก Draw** กับ **ลูก Fade**
(โดยอธิบายสำหรับคน "ถนัดขวา" เป็นหลักนะครับ)

---

## 🎯 สรุปความต่างระหว่างลูก Draw vs Fade

| รายการ                                | **ลูก Draw**                               | **ลูก Fade**                                |
| :------------------------------------ | :----------------------------------------- | :------------------------------------------ |
| 🔄 ทิศทางลูก                          | เริ่มออกขวาเล็กน้อย แล้วโค้งกลับซ้าย       | เริ่มออกซ้ายเล็กน้อย แล้วโค้งกลับขวา        |
| ⚙️ การหมุนของลูก (Spin)               | หมุนจากขวา → ซ้าย                          | หมุนจากซ้าย → ขวา                           |
| 🎯 เป้าหมายหลัก                       | เพิ่มระยะและลด Slice                       | ควบคุมทิศลูกให้อยู่ในแฟร์เวย์               |
| 🧭 เส้นทางวงสวิง (Swing Path)         | จาก **ใน → ออก** (Inside-Out)              | จาก **นอก → ใน** (Outside-In)               |
| 🎯 หน้าไม้ตอนปะทะลูก (Clubface angle) | หน้าไม้ **ปิดนิด ๆ** เมื่อเทียบกับเส้นสวิง | หน้าไม้ **เปิดนิด ๆ** เมื่อเทียบกับเส้นสวิง |
| 📈 ทิศลูกเริ่มต้น                     | ออกขวาเล็กน้อย                             | ออกซ้ายเล็กน้อย                             |
| ⚡ ระยะที่ได้                          | ไกลกว่า (ลูกพุ่งต่ำกว่าและกลิ้งเยอะกว่า)   | สั้นกว่าเล็กน้อย แต่คุมง่ายกว่า             |
| 🧩 เหมาะกับใคร                        | คนที่ Slice บ่อย                           | คนที่ Hook บ่อย                             |

---

## 📐 ภาพรวมเชิงเทคนิค (สำหรับคนถนัดขวา)

### 🔸 ลูก **Draw**

```
เส้นสวิง:   → (จากในออกขวา)
หน้าไม้:   หันซ้ายกว่านิดหน่อย
ลูกบอล:   ออกขวา → โค้งกลับซ้าย → กลางแฟร์เวย์
```

### 🔹 ลูก **Fade**

```
เส้นสวิง:   ← (จากนอกเข้าซ้าย)
หน้าไม้:   หันขวานิดหน่อย
ลูกบอล:   ออกซ้าย → โค้งกลับขวา → กลางแฟร์เวย์
```

---

## 💡 เคล็ดลับจำง่าย

* "**Draw** = ใน → ออก" → ลูก **โค้งซ้าย**
* "**Fade** = นอก → ใน" → ลูก **โค้งขวา**

---

## 🧠 เพิ่มเติม

* **Draw** มักให้ระยะมากกว่า เพราะ spin น้อยกว่า ลูกวิ่งกลิ้งไกล
* **Fade** ให้การควบคุมแม่นกว่า โดยเฉพาะเมื่อต้องเล็งไปแฟร์เวย์แคบหรือหลบสิ่งกีดขวาง

-------------------------------------------
#5
ความเร็วของ **ลูกแบดมินตัน (Shuttlecock Speed)** จะถูกกำหนดเป็น "หมายเลขสปีด" (Speed Number) ซึ่งแสดงถึง **ระยะทางและความเร็วที่ลูกลอยได้** โดยขึ้นอยู่กับอุณหภูมิและระดับความสูงของสนามแข่งขันครับ

---

### 🏸 **มาตรฐานความเร็วลูกแบดมินตัน (Speed Number)**

โดยทั่วไปจะมีหมายเลขตั้งแต่ **75 ถึง 79** (หรือบางแบรนด์ถึง 80)

| หมายเลขสปีด | ความเร็ว          | เหมาะกับอุณหภูมิ | ลักษณะการใช้งาน                                      |
| ----------- | ----------------- | ---------------- | ----------------------------------------------------- |
| **75**      | ช้าที่สุด        | > 33°C          | ใช้ในที่อากาศร้อนมาก (ลูกจะลอยไกลเกินไปถ้าใช้สปีดสูง) |
| **76**      | ค่อนข้างช้า      | 27–33°C          | ใช้ในอุณหภูมิร้อน                                    |
| **77**      | ปานกลาง (มาตรฐาน) | 22–28°C          | **ความเร็วที่นิยมที่สุด** เหมาะกับอุณหภูมิทั่วไปในไทย |
| **78**      | ค่อนข้างเร็ว      | 16–22°C          | ใช้ในประเทศอากาศเย็น หรือห้องแอร์เย็นจัด              |
| **79**      | เร็วมาก          | < 15°C          | ใช้ในพื้นที่หนาวเย็นหรือที่สูง                        |
| **80**      | เร็วสุด (หายาก)  | อุณหภูมิต่ำมาก  | ใช้เฉพาะในการทดสอบหรือสภาพแวดล้อมพิเศษ                |

---

### 🧭 **หลักการเลือกสปีดลูกแบด**

1. **อุณหภูมิสูง → ใช้สปีดต่ำกว่า (ลูกลอยไกลอยู่แล้ว)**
2. **อุณหภูมิต่ำ → ใช้สปีดสูงกว่า (ลูกลอยไม่ค่อยไป)**
3. **ระดับความสูงเหนือทะเลมาก → ใช้สปีดต่ำกว่า**

---

### 💡 ตัวอย่างลูกแบดยอดนิยมในไทย

| ยี่ห้อ  | รุ่นยอดนิยม          | สปีดที่นิยมใช้ |
| ------- | -------------------- | -------------- |
| Yonex  | Aerosensa 30 / 40    | 77            |
| RSL    | Classic Tourney No.1 | 77            |
| Victor  | Master No.1          | 77            |
| Li-Ning | A+ 90 / A+ 300      | 77            |

---------------------------------

ลูกแบดมินตัน โดยเฉพาะ "ลูกขนไก่" (Feather shuttlecocks) จะมีการระบุค่า "Speed" (ความเร็ว) ไว้ที่หลอดหรือบนตัวลูก เพื่อให้ผู้เล่นสามารถเลือกใช้ให้เหมาะสมกับสภาพอากาศและสถานที่ครับ

เหตุผลที่ต้องมีหลาย Speed ก็เพราะว่า **ความหนาแน่นของอากาศ** มีผลต่อการบินของลูกแบดมินตัน
* **อากาศร้อน / ที่สูง (อากาศเบาบาง):** ลูกจะพุ่งเร็วและไปได้ไกลกว่าปกติ จึงต้องใช้ลูกที่ "ช้าลง" (เบอร์น้อย)
* **อากาศหนาว / ที่ต่ำ (อากาศหนาแน่น):** ลูกจะต้านอากาศและบินได้ช้าลง จึงต้องใช้ลูกที่ "เร็วขึ้น" (เบอร์มาก)

---

### 🏸 Speed ของลูกขนไก่ (Feather)

ระบบที่นิยมใช้กันทั่วโลกคือตัวเลข โดยมาตรฐานหลักๆ จะมีดังนี้ครับ:

* **Speed 75 (ช้า):** เหมาะสำหรับสภาพอากาศที่ร้อนมาก (ประมาณ 30°C ขึ้นไป) หรือพื้นที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลมากๆ
* **Speed 76 (ค่อนข้างช้า):** เหมาะสำหรับสภาพอากาศร้อน (ประมาณ 25°C - 30°C)
* **Speed 77 (ปานกลาง):** เป็น Speed มาตรฐานสากล เหมาะสำหรับพื้นที่ส่วนใหญ่ที่ระดับน้ำทะเล และอุณหภูมิปานกลาง (ประมาณ 15°C - 25°C)
* **Speed 78 (ค่อนข้างเร็ว):** เหมาะสำหรับสภาพอากาศเย็น (ประมาณ 0°C - 15°C)
* **Speed 79 (เร็ว):** เหมาะสำหรับสภาพอากาศที่หนาวจัด (ต่ำกว่า 0°C)

> **สำหรับประเทศไทย** ซึ่งเป็นเมืองร้อน Speed ที่นิยมใช้กันมากที่สุดคือ **Speed 75** และ **Speed 76** ครับ โดย Speed 75 มักใช้ในวันที่อากาศร้อนจัด หรือในสนามที่ค่อนข้างอับ ในขณะที่ Speed 76 จะใช้ในสนามทั่วไปครับ

---

###  प्लास्टिक (Plastic) Speed ของลูกพลาสติก (Nylon)

สำหรับลูกแบดมินตันพลาสติก (ไนลอน) จะไม่ใช้ระบบตัวเลข 75-79 แต่จะใช้ **แถบสี** ที่หัวลูกเพื่อบอกความเร็วแทนครับ:

* **แถบสีเขียว (Green Cap):** ช้าที่สุด (Slow)
* **แถบสีน้ำเงิน (Blue Cap):** ปานกลาง (Medium)
* **แถบสีแดง (Red Cap):** เร็วที่สุด (Fast)

---

### 📋 สรุปตารางเทียบ Speed กับอุณหภูมิ (โดยประมาณ)

| Speed (ลูกขนไก่) | แถบสี (ลูกพลาสติก) | อุณหภูมิ (เซลเซียส) | ลักษณะอากาศ |
| :--- | :--- | :--- | :--- |
| **75** | - | 30°C ขึ้นไป | ร้อนจัด |
| **76** | สีเขียว (Slow) | 25°C - 30°C | ร้อน |
| **77** | สีน้ำเงิน (Medium) | 15°C - 25°C | ปานกลาง / เย็นสบาย |
| **78** | สีแดง (Fast) | 0°C - 15°C | เย็น |
| **79** | - | ต่ำกว่า 0°C | หนาวจัด |

*หมายเหตุ: บางยี่ห้อ เช่น Yonex อาจมีการใช้รหัสตัวเลข 1-5 ซึ่งเทียบเท่ากับ 75-79 (เช่น 76 = 2, 77 = 3) แต่ในตลาดสากลและในไทย ตัวเลข 75, 76, 77 เป็นที่เข้าใจกันมากที่สุดครับ*

------------------------------------------------
#6
ข้อผิดพลาด

```
Call to undefined function idna_maps_not_std3()
```

ใน **SMF (Simple Machines Forum)** มักเกิดจากปัญหา **เวอร์ชันของ PHP ที่ไม่รองรับฟังก์ชัน IDN ที่ SMF ใช้** หรือจาก **ไฟล์ IDNA / Subs-Charset.php / Subs.php** ที่เสียหายหรือไม่สมบูรณ์

---

## 🔍 สาเหตุที่พบบ่อย

1. **SMF รุ่นเก่า (เช่น 2.0.x)** ไม่เข้ากับ PHP 8.x
   → ฟังก์ชัน `idna_maps_not_std3()` อยู่ในไฟล์ `Subs-Charset.php` ซึ่ง SMF รุ่นเก่าบางตัวไม่มีหรือถูกเปลี่ยนชื่อ

2. **ไฟล์ของระบบ SMF หาย / ไม่ครบ**
   → โดยเฉพาะไฟล์ในโฟลเดอร์ `/Sources/` ที่มีฟังก์ชันเกี่ยวกับ IDNA

3. **อัปเกรด PHP แล้วไม่ได้อัปเดต SMF**
   → เช่น จาก PHP 7.4 → PHP 8.2 จะทำให้บางฟังก์ชันเก่าหายไป

---

## 🧩 วิธีตรวจสอบเบื้องต้น

1. เปิดไฟล์

   ```
   Sources/Subs-Charset.php
   ```

   แล้วค้นหาคำว่า

   ```
   function idna_maps_not_std3(
   ```

   ถ้าไม่มี แปลว่า SMF รุ่นนี้ไม่รองรับฟังก์ชันนี้

2. ตรวจสอบเวอร์ชัน PHP

   ```bash
   php -v
   ```

   ถ้าเป็น PHP 8.1+ และ SMF เป็นรุ่น 2.0.x → ต้องอัปเดต

---

## ✅ วิธีแก้ไข

### วิธีที่ 1: อัปเกรด SMF

อัปเกรดเป็น **SMF 2.1.x** (เช่น 2.1.4 หรือใหม่กว่า)
เพราะรุ่นนี้รองรับ PHP 8.x และแก้ปัญหานี้แล้ว

ลิงก์ดาวน์โหลดจากเว็บทางการ:
👉 [https://www.simplemachines.org/download/](https://www.simplemachines.org/download/)

> ก่อนอัปเกรด ให้สำรองไฟล์และฐานข้อมูลทั้งหมดก่อนทุกครั้ง

---

### วิธีที่ 2: แก้ไฟล์ชั่วคราว (ถ้ายังไม่อัปเกรดได้)

> ⚠️ วิธีนี้เป็น "วิธีแก้ชั่วคราว" สำหรับผู้ที่ต้องการให้เว็บกลับมาใช้งานได้ก่อน

เปิดไฟล์ `Sources/Idna.php` หรือ `Subs-Charset.php` แล้วเพิ่มฟังก์ชันเปล่าไว้ก่อน

```php
if (!function_exists('idna_maps_not_std3')) {
    function idna_maps_not_std3($codepoint) {
        // ฟังก์ชันนี้ใช้ในกระบวนการแปลงโดเมน IDN
        // หากไม่ใช้โดเมนต่างประเทศ ปล่อยว่างไว้ได้
        return false;
    }
}
```

บันทึกแล้วรีเฟรชหน้าเว็บใหม่

---

### วิธีที่ 3: กลับไปใช้ PHP รุ่นเก่าชั่วคราว

หากเว็บโฮสต์อนุญาต ให้ตั้ง PHP เป็น **7.4** หรือ **7.3**
(ใช้ได้ดีกับ SMF 2.0.x เดิม)

ตัวอย่างบน Plesk:

* ไปที่ **Websites & Domains → PHP Settings**
* เปลี่ยน **PHP version** → 7.4
* บันทึกและรีโหลดหน้าเว็บ

---

## 🧠 สรุป

| ปัญหา                                             | สาเหตุ                  | วิธีแก้แนะนำ                          |
| ------------------------------------------------- | ----------------------- | ------------------------------------- |
| `Call to undefined function idna_maps_not_std3()` | SMF รุ่นเก่า + PHP ใหม่ | ✅ อัปเกรด SMF เป็น 2.1.x              |
|                                                   | ไฟล์ระบบหาย             | ✅ อัปโหลดไฟล์ `Subs-Charset.php` ใหม่ |
|                                                   | ต้องการแก้เฉพาะหน้า     | ⚙️ เพิ่มฟังก์ชันเปล่าชั่วคราวในไฟล์   |

----------------------------
#7
exness มีจุดแข็งอะไรบ้าง ที่ลูกค้าต้องการ

เปิดบัญชี Standard ได้ที่ https://www.exness.com/a/73208

ดีเลย — สรุป **จุดแข็งของ Exness ที่ลูกค้ามักต้องการ** แบบกระชับ พร้อมเหตุผลว่าทำไมถึงสำคัญ (อ้างอิงจากแหล่งข้อมูลล่าสุด):

1. **ถอนฝากเงินเร็ว — ระบบประมวลผลอัตโนมัติ (instant withdrawals)**
   ลูกค้าชอบเพราะเอาเงินเข้า-ออกได้ทันที ลดความเสี่ยงด้านสภาพคล่องและเพิ่มความเชื่อมั่นต่อโบรคเกอร์. ([Exness][1])

2. **ค่าคอม/สเปรดต่ำและสภาพคล่องดี (tight spreads, fast execution)**
   ลดต้นทุนการเทรดและลด slippage — สำคัญทั้งเทรดเดอร์รายย่อยและมืออาชีพ. รีวิวอิสระและหน้าเว็บของ Exness ยืนยันจุดนี้. ([Myfxbook.com][2])

3. **ความยืดหยุ่นด้านเลเวอเรจและหลายประเภทบัญชี (high/flexible leverage, multiple account types)**
   ลูกค้าสามารถเลือกรูปแบบบัญชี/เลเวอเรจตามสไตล์การเทรด (scalping, EA, swing ฯลฯ) — เพิ่มความเข้าถึงผู้ใช้หลากระดับ. ([Exness][3])

4. **ระบบคุ้มครองลูกค้า — Negative Balance Protection (ไม่ติดลบเกินเงินลงทุน)**
   ลดความเสี่ยงเชิงระบบเมื่อตลาดผันผวน ทำให้ผู้ใช้รู้สึกปลอดภัยมากขึ้น. ([Exness][4])

5. **การกำกับดูแลหลายภูมิภาคและความโปร่งใส (regulated in multiple jurisdictions)**
   มีใบอนุญาตหลายแห่ง (เช่น CySEC / FSCA / CBCS – ขึ้นกับนิติบุคคล) ซึ่งช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นของลูกค้าในหลายประเทศ. ([Exness][5])

6. **ช่องทางฝาก-ถอนหลากหลาย (รวมวิธีท้องถิ่น/คริปโต) และไม่มีค่าธรรมเนียมถอนบางแบบ**
   สะดวกสำหรับผู้ใช้ในประเทศต่าง ๆ (เช่น ไทย) ที่ต้องการช่องทางท้องถิ่นหรือ e-wallets. ([Scribe][6])

7. **แพลตฟอร์มที่รองรับ MetaTrader (MT4/MT5) + web/mobile และบริการ social/copy trading**
   ตอบโจทย์ทั้งเทรดเดอร์ที่ใช้ EA และผู้ที่อยากคัดลอกกลยุทธ์สำเร็จรูป. ([social-trading.exness.com][7])

8. **บริการลูกค้าและรีวิวเชิงบวก (user experience, 24/7 support บางภูมิภาค)**
   รีวิวจากผู้ใช้ชี้ว่าการสนับสนุนและแอปใช้งานได้ดี ซึ่งสำคัญต่อการรักษาลูกค้า. ([Exness][8])

---------------------------------------------------------
#8
ผมไม่พบข้อมูล **จำนวนที่เฉพาะเจาะจง** ของประชากรโลกแยกตามอายุ **1 – 120 ปี** แบบ "อายุ = แต่ละปี" (single‐year ages) ได้ในแหล่งข้อมูลสาธารณะทั่วไป

ตัวอย่างข้อมูลที่มีใกล้เคียง:

* ในปี 2020 ประชากรโลกแบ่งตามกลุ่มอายุเช่น < 20 ปี = ~2.6 พันล้าน, 20-39 ปี = ~2.3 พันล้าน, 40-59 ปี = ~1.8 พันล้าน, 60-79 ปี = ~918 ล้าน, 80-99 ปี = ~147 ล้าน, 100+ ปี = ~0.6 ล้าน คน ([Visual Capitalist][1])
* ข้อมูลอายุโครงสร้างประชากรโลกแยกเป็นช่วงอายุ 0-14, 15-64, 65+ ก็มีเผยแพร่ ([Wikipedia][2])
------------------------------------------------------------

สวัสดีครับ สำหรับคำถามเรื่องตารางประชากรโลกที่จำแนกตามอายุ 1 - 120 ปี ข้อมูลนี้เป็นข้อมูลที่ละเอียดมาก และ **ไม่มีการเผยแพร่ตารางข้อมูลสำเร็จรูปที่แสดงประชากรทุกช่วงอายุ (1 ปี, 2 ปี, 3 ปี... ไปจนถึง 120 ปี) ในหน้าเว็บเดียว** ครับ

โดยทั่วไป นักประชากรศาสตร์และองค์กรระดับโลก เช่น สหประชาชาติ (UN) มักจะนำเสนอข้อมูลในรูปแบบกลุ่มอายุ (เช่น 0-4 ปี, 5-9 ปี, 15-64 ปี, 65 ปีขึ้นไป) เพื่อให้ง่ายต่อการวิเคราะห์

อย่างไรก็ตาม ผมมีข้อมูลและแหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดสำหรับคุณ ดังนี้ครับ

### 💡 ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับประชากรโลก (ข้อมูลปี 2024)

แม้จะไม่มีตารางแบบละเอียด แต่ผมมีข้อมูลบางส่วนที่น่าสนใจจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ (เช่น UN World Population Prospects 2024) มาให้ครับ:

* **ประชากรโลกทั้งหมด:** ประมาณ **8.2 พันล้านคน**
* **ประชากรผู้สูงอายุ (Centenarians):** ข้อมูลในปี 2024 ประมาณการว่าทั่วโลกมีประชากรที่มีอายุ 100 ปีขึ้นไป (ซึ่งรวมถึง 120 ปีด้วย) อยู่ที่ประมาณ **722,075 คน** ครับ

---

### 🏛� แหล่งข้อมูลที่ดีที่สุด (หากคุณต้องการข้อมูลดิบ)

ข้อมูลที่คุณต้องการมีอยู่จริง แต่จะอยู่ในชุดข้อมูลดิบขนาดใหญ่สำหรับนักวิจัย ซึ่งต้องดาวน์โหลดมาประมวลผลเองครับ

1.  **แหล่งข้อมูลหลัก:** **United Nations World Population Prospects (WPP) 2024 Revision**
    * นี่คือแหล่งข้อมูลประชากรที่ละเอียดและน่าเชื่อถือที่สุดในโลก
    * ในชุดข้อมูลนี้ **มีการเก็บข้อมูลแบบ "รายปี" (Single-year increments of age)** ตามที่คุณต้องการ
    * ข้อมูลนี้ไม่ได้ทำเป็นตารางให้ดูง่ายๆ แต่เป็นไฟล์ข้อมูลขนาดใหญ่ (เช่น ไฟล์ Excel หรือ CSV)

2.  **คุณสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ที่ไหน:**
    * **สำหรับนักวิจัย (ไฟล์ข้อมูลดิบ):** [UN WPP 2024 Downloads](https://population.un.org/wpp/downloads/)
    * **สำหรับบุคคลทั่วไป (เครื่องมือค้นหาข้อมูล):** [UN Population Data Portal](https://population.un.org/dataportal/home) (คุณสามารถใช้เครื่องมือนี้เพื่อลองค้นหาและสร้างแผนภูมิตามกลุ่มอายุที่สนใจได้)

### สรุป

* **ไม่มีตารางสำเร็จรูป** ที่แสดงประชากรโลกแยกรายอายุ 1 - 120 ปี ให้ดูได้ทั่วไป
* ข้อมูลที่ใกล้เคียงที่สุดคือ **จำนวนประชากรอายุ 100 ปีขึ้นไป** ซึ่งมีประมาณ **722,075 คน**
* หากต้องการข้อมูลดิบแบบละเอียดรายปีจริงๆ ต้องไปดาวน์โหลดจากฐานข้อมูล **UN World Population Prospects 2024** ครับ
--------------------------------------------------
#9
junjao.com จดโดเมนเนมใหม่ โฮสติ้ง 1 GB

ลง Wordpress  6.8.3 เว็บสำเร็จรูปให้ , PHP 8.4.14 ราคา 3,000 บาทต่อปี

พร้อม let's encrypt SSL certificate , Plesk 18 หน้าจัดการเว็บ

รับ 10 โดเมนเนม ถึงสิ้นปี 2568 สนใจ Index มาครับ

สนใจติดต่อ
สรพล 081-446-5311
line : junjaocom
#10
คำถามดีมากครับ 👍
ถ้าพูดสั้น ๆ — **MariaDB 10.11 ดีกว่า MariaDB 10.6** ในแทบทุกด้าน
เพราะเป็น **LTS (Long Term Support)** รุ่นใหม่กว่า ที่มี **ประสิทธิภาพดีขึ้น ความปลอดภัยสูงขึ้น และฟีเจอร์มากกว่า**
แต่มีรายละเอียดที่ควรรู้ก่อนเลือก ดังนี้ 👇

---

## ⚙️ เปรียบเทียบ MariaDB 10.6 vs 10.11

| รายการเปรียบเทียบ     | **MariaDB 10.6 (LTS)**     | **MariaDB 10.11 (LTS)**                                                     |
| --------------------- | -------------------------- | --------------------------------------------------------------------------- |
| 🗓� วันที่ออก         | มิถุนายน 2021              | กุมภาพันธ์ 2023                                                             |
| 🔒 การซัพพอร์ต (LTS)  | ถึง ก.ค. 2026              | ถึง ก.พ. 2028                                                               |
| ⚡ ความเร็ว            | ดี                         | ดีกว่า (ปรับปรุง query optimizer และ cache)                                 |
| 🧩 ฟีเจอร์ใหม่        | เสถียร, เน้นความเข้ากันได้ | มีฟีเจอร์ใหม่ เช่น dynamic privileges, improved JSON, storage engine update |
| 💾 Storage Engine     | InnoDB, MyRocks, Aria      | InnoDB ปรับปรุง I/O, MyRocks เสถียรขึ้น                                     |
| 🔍 Query Optimizer    | ปกติ                       | เร็วกว่ามาก โดยเฉพาะ query ซับซ้อน                                          |
| 🔁 Compatibility      | เข้ากันได้สูง              | เข้ากันได้กับ 10.6 แต่เพิ่มฟีเจอร์ใหม่บางอย่าง                              |
| 🛡� Security          | มาตรฐาน                    | เพิ่มการเข้ารหัสและระบบสิทธิ์ (Privilege System) ที่ละเอียดขึ้น             |
| 💬 JSON / GIS         | รองรับพื้นฐาน              | รองรับ JSON path และ Spatial functions มากขึ้น                              |
| 🧰 การทำงานร่วมกับแอป | เสถียร                     | เสถียร + ฟีเจอร์ใหม่ (เหมาะกับเว็บ/ระบบใหญ่)                                |

---

## ✅ สรุปการเลือกใช้งาน

| สถานการณ์                                                  | แนะนำ                                                        |
| ---------------------------------------------------------- | ------------------------------------------------------------ |
| 👨�💻 ระบบเก่าที่ต้องการเสถียรและเข้ากันได้ 100%           | ใช้ **MariaDB 10.6 LTS**                                     |
| 🚀 ระบบใหม่ / ต้องการความเร็ว / รองรับฟีเจอร์ล่าสุด        | ใช้ **MariaDB 10.11 LTS**                                    |
| 🧱 ต้องการระยะซัพพอร์ตยาว (มากกว่า 3 ปี)                   | **10.11 LTS** ดีกว่า                                         |
| ⚠️ ระบบที่ใช้กับ PHP รุ่นใหม่ / Laravel / WordPress ล่าสุด | แนะนำ **10.11** เพราะรองรับการเชื่อมต่อและฟีเจอร์ใหม่ครบกว่า |

---

## 💡 ข้อแนะนำเพิ่มเติม

* ถ้าคุณกำลัง **ติดตั้งใหม่** → ใช้ **MariaDB 10.11** ไปเลยครับ
* ถ้าคุณมีระบบ **เก่า (เช่น 10.3–10.5)** และจะอัปเกรด → อัปเป็น **10.11 โดยตรง** ได้ (มี Migration Guide)
* ถ้าคุณใช้ **Ubuntu 22.04 / Debian 12 / Rocky 9 / Alma 9** → MariaDB 10.11 เป็นค่าเริ่มต้นของ repo อยู่แล้ว

--------------------------------------
#11
การมี **เว็บไซต์ (Website)** สำหรับธุรกิจหรือบุคคลทั่วไป มีทั้ง **ข้อดี** และ **ข้อเสีย** ซึ่งขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ การออกแบบ และการบริหารจัดการเว็บนั้น ๆ
ต่อไปนี้คือสรุปที่เข้าใจง่าย 👇

---

## 🌟 **ข้อดีของการมีเว็บไซต์**

### 1. **เพิ่มความน่าเชื่อถือ**

* เว็บไซต์เปรียบเหมือน "หน้าร้านออนไลน์" ที่ลูกค้าสามารถเข้ามาดูข้อมูลได้ตลอดเวลา
* ทำให้ธุรกิจดูเป็นมืออาชีพและเชื่อถือได้มากกว่ามีแค่เพจ Facebook หรือ Line OA

### 2. **เข้าถึงลูกค้าได้ทั่วโลก**

* อินเทอร์เน็ตไม่มีข้อจำกัดด้านสถานที่
* ลูกค้าสามารถเข้าถึงข้อมูลสินค้า/บริการของคุณได้ตลอด 24 ชั่วโมง

### 3. **ประชาสัมพันธ์ได้ตลอดเวลา**

* เว็บไซต์ทำงานแทนคุณได้อัตโนมัติ
* ลูกค้าสามารถดูข้อมูล ราคา รีวิว หรือสั่งซื้อได้แม้ในเวลาที่คุณไม่ออนไลน์

### 4. **วัดผลและวิเคราะห์ข้อมูลได้**

* สามารถใช้เครื่องมืออย่าง **Google Analytics** เพื่อดูจำนวนผู้เข้าชม, แหล่งที่มาของทราฟฟิก, พฤติกรรมของผู้ใช้ ฯลฯ

### 5. **ปรับแต่งแบรนด์ได้อิสระ**

* เว็บไซต์สามารถออกแบบให้ตรงกับภาพลักษณ์ของแบรนด์ได้อย่างเต็มที่ (สี โลโก้ โทน ภาษา)

### 6. **เป็นฐานข้อมูลถาวร**

* ข้อมูล ข่าวสาร บทความ หรือผลงานต่าง ๆ สามารถเก็บไว้และค้นหาได้ง่ายในระยะยาว

### 7. **รองรับการทำ SEO**

* หากทำ SEO (Search Engine Optimization) ดี ๆ เว็บไซต์ของคุณจะติดอันดับ Google ทำให้ลูกค้าเจอง่ายโดยไม่ต้องเสียค่าโฆษณา

---

## ⚠️ **ข้อเสียของการมีเว็บไซต์**

### 1. **มีค่าใช้จ่าย**

* ต้องมีค่า **โดเมน (Domain)**, **โฮสติ้ง (Hosting)** และอาจมีค่าออกแบบ/พัฒนาเว็บไซต์
* หากจ้างบริษัททำ ราคาจะตั้งแต่หลักพันถึงหลักแสนบาท

### 2. **ต้องดูแลและอัปเดต**

* เว็บไซต์ต้องมีการอัปเดตข้อมูล ข่าวสาร หรือระบบอย่างสม่ำเสมอ
* หากละเลย อาจทำให้ข้อมูลล้าสมัยหรือระบบมีปัญหา

### 3. **มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย**

* ถ้าไม่ดูแลหรืออัปเดตระบบ WordPress/ปลั๊กอิน/ฐานข้อมูล อาจโดนแฮ็กได้

### 4. **ต้องใช้เวลาในการสร้างฐานผู้ชม**

* แม้มีเว็บไซต์ แต่ถ้าไม่มีการโปรโมต เช่น ผ่านโซเชียลหรือโฆษณา Google Ads ก็อาจไม่มีคนเข้า

### 5. **ต้องมีความรู้หรือจ้างผู้เชี่ยวชาญ**

* หากทำเองต้องเรียนรู้เรื่องการออกแบบ เว็บเซิร์ฟเวอร์ และ SEO
* หากจ้างก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม

---

## ✅ **สรุป**

| ด้าน                 | ข้อดี                      | ข้อเสีย                              |
| -------------------- | -------------------------- | ------------------------------------ |
| **ต้นทุน**           | ลงทุนครั้งเดียวใช้ได้นาน   | ต้องมีค่าโดเมน โฮสติ้ง และบำรุงรักษา |
| **ภาพลักษณ์**        | ดูเป็นมืออาชีพ น่าเชื่อถือ | ถ้าออกแบบไม่ดี อาจทำให้ภาพลักษณ์เสีย |
| **การเข้าถึงลูกค้า** | เข้าถึงได้ทั่วโลก 24 ชม.   | ต้องโปรโมตให้มีคนเข้าชม              |
| **การจัดการข้อมูล**  | เก็บและนำเสนอข้อมูลได้ดี   | ต้องอัปเดตและดูแลต่อเนื่อง           |

-------------------------------------------------
#12
การ **อัปเดต WordPress เป็นเวอร์ชันใหม่** สามารถทำได้หลายวิธีครับ — ทั้งแบบ "คลิกอัปเดตอัตโนมัติ" และ "อัปเดตแบบแมนนวล" (manual update) ขึ้นอยู่กับสิทธิ์การเข้าถึงและวิธีที่เว็บไซต์คุณติดตั้งไว้ (เช่น ติดตั้งเอง หรือผ่านโฮสติ้งอย่าง DirectAdmin / cPanel / Plesk / WordPress Manager)

---

## 🧭 วิธีที่ 1: อัปเดตผ่านหน้า Dashboard (ง่ายที่สุด)

> ✅ เหมาะสำหรับเว็บไซต์ทั่วไป / ไม่มีการแก้ไขโค้ดระบบ

1. **ล็อกอินเข้าสู่ระบบ WordPress Admin**

   ```
   yourdomain.com/wp-admin
   ```
2. ไปที่เมนู **แดชบอร์ด (Dashboard) → การอัปเดต (Updates)**
3. หากมีเวอร์ชันใหม่ จะเห็นข้อความเช่น
   *"มี WordPress เวอร์ชันใหม่พร้อมให้อัปเดต"*
4. คลิกปุ่ม **"อัปเดตตอนนี้ (Update Now)"**
5. ระบบจะเริ่มดาวน์โหลดและติดตั้งเวอร์ชันใหม่ให้อัตโนมัติ
   ✅ เมื่อเสร็จสิ้น จะเห็นข้อความ "WordPress อัปเดตเรียบร้อยแล้ว"

> 🔹 **หมายเหตุ:** ก่อนอัปเดต ควร "สำรองข้อมูลเว็บไซต์" (Backup Files + Database) ไว้ก่อนเสมอ

---

## 🧭 วิธีที่ 2: อัปเดตผ่าน Hosting Control Panel (เช่น cPanel / DirectAdmin)

> ✅ เหมาะสำหรับคนที่ติดตั้ง WordPress ผ่าน Softaculous หรือ Installatron

1. เข้าสู่ **cPanel หรือ DirectAdmin**
2. ไปที่ **Softaculous Apps Installer** → คลิก "WordPress"
3. เลือกเว็บไซต์ที่ต้องการอัปเดต
4. คลิกปุ่ม **"Update"**
5. เลือกเวอร์ชันล่าสุด แล้วกดยืนยัน

---

## 🧭 วิธีที่ 3: อัปเดตแบบ Manual (มืออาชีพ)

> ✅ เหมาะสำหรับนักพัฒนา หรือกรณีอัปเดตอัตโนมัติล้มเหลว

1. ดาวน์โหลด WordPress เวอร์ชันล่าสุดจาก
   🔗 [https://wordpress.org/download/](https://wordpress.org/download/)
2. แตกไฟล์ zip ออกมา
3. อัปโหลดไฟล์ทั้งหมดไปยังโฟลเดอร์เว็บของคุณ (เช่น `/public_html`)
   แต่ **อย่าทับโฟลเดอร์ `wp-content` และไฟล์ `wp-config.php`**
4. เข้าหน้าเว็บ `/wp-admin/upgrade.php` เพื่อรันการอัปเดตฐานข้อมูล

---

## ⚠️ สิ่งที่ควรทำ "ก่อน" และ "หลัง" อัปเดต

| ขั้นตอน                | รายละเอียด                                                     |
| ---------------------- | -------------------------------------------------------------- |
| 🔒 สำรองข้อมูล         | Backup ไฟล์ทั้งหมด + ฐานข้อมูล (ใช้ UpdraftPlus หรือใน cPanel) |
| 🔍 ปิดปลั๊กอินชั่วคราว | ปิดปลั๊กอินบางตัวก่อนอัปเดต หากกลัวเข้ากันไม่ได้               |
| ✅ อัปเดตธีมและปลั๊กอิน | หลังอัปเดต WordPress เสร็จ ให้กดอัปเดตธีม/ปลั๊กอินทั้งหมด      |
| 🔎 ตรวจสอบเว็บไซต์     | ทดสอบหน้าเว็บหลัก และระบบล็อกอินหลังบ้าน                       |

------------------------------------
#13
คำถามนี้ดีมากครับ 👍
การ **ดูว่าลูกค้ามาจากเว็บใด (หรือช่องทางไหน)** เรียกว่า **การดู "แหล่งที่มาของทราฟฟิก" (Traffic Source)** ซึ่งสามารถดูได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับว่าคุณเก็บข้อมูลลูกค้าผ่านช่องทางใด เช่น เว็บไซต์ของคุณ, โฆษณา, หรือฟอร์มสมัครสมาชิก ฯลฯ

---

### 🧭 1. **ถ้าคุณมีเว็บไซต์ของตัวเอง**

ใช้เครื่องมือหลักคือ **Google Analytics (GA4)**

> 🔗 [https://analytics.google.com](https://analytics.google.com)

#### วิธีดู:

1. เข้าระบบ **Google Analytics**
2. ไปที่เมนู
   **Reports → Acquisition → Traffic acquisition**
3. ที่นี่จะเห็นว่า ลูกค้ามาจากที่ใด เช่น

   * **Organic Search** → มาจาก Google ค้นหาเอง
   * **Direct** → พิมพ์ URL ตรง ๆ
   * **Referral** → มาจากลิงก์เว็บไซต์อื่น
   * **Social** → มาจาก Facebook / Instagram / TikTok
   * **Paid Search** → มาจากโฆษณา Google Ads

> 💡 ถ้าอยากรู้ชื่อเว็บที่อ้างอิงมา (Referrer) ให้ดูที่คอลัมน์ **Session source / medium**
> เช่น
> `facebook.com / referral`
> `google / organic`

---

### 📊 2. **ถ้าคุณขายของผ่าน Facebook / Instagram**

* เข้า **Meta Business Suite → การรายงาน (Insights / Analytics)**
  แล้วดูแหล่งที่มาของคลิกหรือการสั่งซื้อ
* หรือใช้ **Facebook Pixel** + **Google Analytics** เพื่อเชื่อมข้อมูล

---

### 💬 3. **ถ้าคุณใช้หน้า Landing Page หรือฟอร์มลงทะเบียน (เช่น Google Form, Typeform, หรือ PWA ของคุณเอง)**

คุณสามารถใช้:

* **UTM Tracking** → คือการใส่พารามิเตอร์ท้ายลิงก์ เช่น

  ```
  https://yourdomain.com/?utm_source=facebook&utm_medium=cpc&utm_campaign=promo
  ```

  จากนั้นไปดูใน Google Analytics ว่ามีลูกค้ามาจาก UTM ไหน

---

### 🧾 4. **ถ้าดูจากระบบหลังบ้านเว็บไซต์ (เช่น WordPress, Shopify, Wix)**

ในส่วน "Analytics" หรือ "Reports" ของแต่ละระบบจะมีข้อมูล "Referrer"
หรือ "Traffic Source" เช่นเดียวกับ GA4

---

### 🔍 5. **ถ้าดูจาก Log Server โดยตรง (สำหรับเว็บนักพัฒนา)**

ในไฟล์ **access log** ของเว็บเซิร์ฟเวอร์ เช่น Apache หรือ Nginx
จะมีค่า `Referer:` ที่บอกว่า ผู้ใช้เข้ามาจาก URL ใด

----------------------------------------------
#14
ต้นกำเนิดของ **"วันฮาโลวีน" (Halloween)** มีประวัติยาวนานกว่าพันปี 🌕🎃
โดยมีรากมาจาก **เทศกาลโบราณของชาวเซลต์ (Celtic)** ในยุโรปเหนือ ก่อนจะกลายมาเป็นเทศกาลแบบตะวันตกที่เรารู้จักในปัจจุบัน

---

## 🎃 1. จุดเริ่มต้น: เทศกาล **ซาววิน (Samhain)** ของชาวเซลต์

* **ต้นกำเนิดแท้จริง** ของฮาโลวีนมาจากเทศกาล **Samhain** (อ่านว่า *ซาววิน*)
  ซึ่งจัดขึ้นใน **คืนวันที่ 31 ตุลาคม** ของทุกปี
* ชาวเซลต์ในไอร์แลนด์ สกอตแลนด์ และเวลส์เชื่อว่า
  คืนนี้คือเวลาที่ "**โลกคนเป็น**" และ "**โลกคนตาย**" ติดต่อกันได้
  👻 วิญญาณจะกลับมาเยี่ยมโลกมนุษย์

### 🔥 พิธีกรรมในยุคนั้น

* จุดกองไฟใหญ่ (Bonfire) เพื่อขับไล่วิญญาณร้าย
* แต่งตัวด้วย **หนังสัตว์หรือหน้ากาก** เพื่อพรางตัวจากผี
* เตรียมอาหารหรือของถวายให้บรรพบุรุษที่ล่วงลับ

---

## ✝️ 2. การผสมผสานกับศาสนาคริสต์

* เมื่อคริสต์ศาสนาแพร่เข้ามาในยุโรป (ราวศตวรรษที่ 8)
  พระสันตะปาปา **เกรกอรีที่ 3** ได้ตั้งวัน **All Saints' Day (วันนักบุญทั้งหลาย)**
  ในวันที่ **1 พฤศจิกายน** เพื่อให้คนหันมาระลึกถึงนักบุญ แทนการบูชาผี

🕯� คืนก่อนวันนั้น (31 ตุลาคม) จึงถูกเรียกว่า
**All Hallows' Eve** → ต่อมาพูดเพี้ยนเป็น "**Halloween**"

---

## 🍬 3. การพัฒนาในยุโรปยุคกลาง

* มีธรรมเนียมที่เด็กหรือคนยากจนแต่งตัวไปเคาะประตูบ้าน
  ขอ "**soul cakes**" (ขนมเพื่อระลึกถึงดวงวิญญาณ)
  ซึ่งกลายเป็นต้นแบบของการ "**Trick or Treat**" ในปัจจุบัน
* มีการ **แกะหัวผักกาด (Turnip)** เป็นโคมไฟเพื่อกันผี
  ต่อมาในอเมริกาจึงเปลี่ยนเป็น **ฟักทอง (Pumpkin)** เพราะหาง่ายกว่า

---

## 🇺🇸 4. การแพร่สู่อเมริกา

* ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ผู้อพยพจาก **ไอร์แลนด์และสกอตแลนด์**
  ได้นำประเพณีฮาโลวีนไปยัง **สหรัฐอเมริกา**
* กลายเป็นเทศกาลใหญ่ของชุมชน มีทั้ง:

  * การแต่งแฟนซี 👹
  * การเดินขอขนม 🍭
  * งานเลี้ยงและตกแต่งบ้านด้วยฟักทองแกะหน้า 😈

---

## 🕸� 5. ปัจจุบัน

* **ฮาโลวีน (Halloween)** จัดขึ้นทุกปีในวันที่ **31 ตุลาคม**
* กลายเป็นเทศกาลสนุกสนานทั่วโลก โดยเฉพาะในอเมริกา อังกฤษ แคนาดา
  และเริ่มได้รับความนิยมในไทยด้วย
* สัญลักษณ์หลักของฮาโลวีน ได้แก่:
  🎃 ฟักทองแกะหน้า (Jack-o'-Lantern)
  👻 ผี วิญญาณ
  🦇 ค้างคาว
  🕷� ใยแมงมุม
  🧙�♀️ แม่มด

---

### 🧭 สรุปภาพรวมต้นกำเนิด

| ยุค / แหล่ง                  | เหตุการณ์สำคัญ           | ความเชื่อ                         |
| ---------------------------- | ------------------------ | --------------------------------- |
| ชาวเซลต์ (กว่า 2,000 ปีก่อน) | เทศกาล Samhain           | วิญญาณกลับมาเยี่ยมโลก             |
| ยุคคริสต์ศาสนา (ศตวรรษที่ 8) | All Hallows' Eve         | ระลึกถึงนักบุญ                    |
| ยุโรปยุคกลาง                 | Soul Cakes, แต่งตัวกันผี | กำเนิด Trick or Treat             |
| อเมริกาศตวรรษที่ 19          | ผู้อพยพนำเข้าประเพณี     | เปลี่ยนหัวผักกาด → ฟักทอง         |
| ปัจจุบัน                     | เทศกาลแฟนซีทั่วโลก       | สนุกสนาน มากกว่าความเชื่อเรื่องผี |

--------------------------------------------
#15
ต้นกำเนิดของ **"ตัวเลขอารบิก" (Arabic numerals)** ที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน (0–9) มีประวัติยาวนานและน่าสนใจมากครับ — แม้ชื่อจะบอกว่า "อารบิก" แต่จริง ๆ แล้ว **ต้นกำเนิดมาจากอินเดีย** ก่อนจะแพร่ไปยังโลกอาหรับ แล้วจึงเข้าสู่ยุโรป

---

### 🕰� ลำดับกำเนิดโดยสรุป

#### 1. **อินเดีย (ราวศตวรรษที่ 3–6)**

* ชาว **อินเดียโบราณ** เป็นผู้คิดค้น **ระบบตัวเลขฐานสิบ (decimal system)** และ **สัญลักษณ์แทนค่าศูนย์ (0)** ขึ้นเป็นชาติแรกของโลก
* ระบบนี้เรียกว่า **Brahmi numerals** → ต่อมาเปลี่ยนรูปเป็น **Hindu-Arabic numerals**
* "ศูนย์" (zero) มาจากคำสันสกฤต **"śūnya" (ศูนยะ)** แปลว่า "ว่างเปล่า"

📜 ตัวอย่างเลขแบบอินเดียโบราณ:

```
१ २ ३ ४ ५ ६ ७ ८ ९ ०
(1 2 3 4 5 6 7 8 9 0)
```

---

#### 2. **โลกอาหรับ (ราวศตวรรษที่ 8–9)**

* นักคณิตศาสตร์อาหรับ เช่น **อัลคินดี (Al-Kindi)** และ **อัลคอริซมี (Al-Khwarizmi)** นำระบบเลขอินเดียมาใช้และพัฒนาเพิ่มเติม
* พวกเขาแปลตำราเลขอินเดียเป็นภาษาอาหรับ
* ตัวเลขในโลกอาหรับยุคนั้นมี 2 แบบ:

  * **เลขอาหรับตะวันตก (Western Arabic numerals)** → ใช้ในแอฟริกาเหนือและสเปน (เป็นต้นแบบของเลขที่ยุโรปใช้ในปัจจุบัน)
  * **เลขอาหรับตะวันออก (Eastern Arabic numerals)** → ใช้ในตะวันออกกลาง (ยังใช้ในอิหร่าน อียิปต์ ฯลฯ)

📜 ตัวอย่างเลขอาหรับตะวันออก:

```
٠ ١ ٢ ٣ ٤ ٥ ٦ ٧ ٨ ٩
```

---

#### 3. **ยุโรป (ศตวรรษที่ 10–13)**

* ชาวยุโรปเรียนรู้ระบบตัวเลขจากนักวิชาการมุสลิมใน **สเปน** และ **แอฟริกาเหนือ**
* นักคณิตศาสตร์ชาวอิตาลีชื่อ **Leonardo Fibonacci** นำระบบนี้มาเผยแพร่ในยุโรป ผ่านหนังสือ *Liber Abaci* (ค.ศ. 1202)
* ต่อมาเลขเหล่านี้ถูกเรียกว่า
  👉 "**Arabic numerals**" (ตัวเลขอารบิก)
  เพื่อแยกจาก "Roman numerals" (ตัวเลขโรมัน)

---

### 🔢 สรุปที่มาของชื่อและการแพร่กระจาย

| ช่วงเวลา        | แหล่งกำเนิด/ผู้พัฒนา | ชื่อในยุคต่าง ๆ       |
| --------------- | -------------------- | --------------------- |
| ศตวรรษที่ 3–6   | อินเดีย              | Hindu numerals        |
| ศตวรรษที่ 8–9   | โลกอาหรับ            | Hindu–Arabic numerals |
| ศตวรรษที่ 12–13 | ยุโรป                | Arabic numerals       |

---

### 💡 เกร็ดน่ารู้

* ตัวเลข "0" ถือเป็น **หนึ่งในสิ่งประดิษฐ์ที่สำคัญที่สุดของมนุษย์** เพราะทำให้เกิดแนวคิดเลขตำแหน่ง (place value) และคณิตศาสตร์สมัยใหม่
* คำว่า "Algorithm" มาจากชื่อของนักคณิตศาสตร์อาหรับ **Al-Khwarizmi**
* ตัวเลขที่เราใช้ปัจจุบัน เช่น "1, 2, 3" คือ **Western Arabic numerals** ซึ่งได้รับการปรับรูปแบบโดยยุโรปในยุคกลาง

------------------------------------------
#16
การสมัคร **เข้าร่วมโครงการ "คนละครึ่ง" สำหรับร้านค้า** ทำได้ค่อนข้างง่ายครับ โดยสามารถสมัครได้ทั้งแบบ **ร้านทั่วไป** และ **ร้านอาหาร/บริการ** ผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของธนาคารกรุงไทย

---

## 🛍� **วิธีสมัคร "คนละครึ่ง" สำหรับร้านค้า**

### 🧾 **1. ตรวจสอบคุณสมบัติของร้านค้า**

* ต้องเป็นร้านที่มี **สัญชาติไทย**
* ต้องมี **บัญชีธนาคารกรุงไทย**
* ไม่เป็น **ร้านค้าของรัฐ หรือร้านสะดวกซื้อขนาดใหญ่** (เช่น 7-Eleven, Lotus's Go Fresh ฯลฯ)
* ขายสินค้าหรือบริการที่เข้าข่าย เช่น อาหาร เครื่องดื่ม ของใช้ทั่วไป

---

### 📱 **2. วิธีสมัครเข้าร่วมโครงการ**

#### ✅ **สมัครผ่านเว็บไซต์**

ไปที่: [https://www.คนละครึ่ง.com](https://www.xn--42caj4e6bk1f5b1j.com)

> จากนั้นเลือก "ลงทะเบียนสำหรับร้านค้า"

กรอกข้อมูลดังนี้:

* ชื่อร้าน / ประเภทสินค้า
* เลขบัตรประชาชน
* เลขบัญชีธนาคารกรุงไทย
* ที่อยู่ร้าน / พิกัดร้าน
* แนบรูปถ่ายหน้าร้าน (เห็นป้ายชื่อร้านชัดเจน)

---

#### ✅ **สมัครผ่านแอป "ถุงเงิน"**

1. ดาวน์โหลดแอป **ถุงเงิน** (Paotang Merchant) จาก

  * [App Store (iPhone)](https://apps.apple.com/th/app/ถุงเงิน/id1459620229)
  * [Google Play (Android)](https://play.google.com/store/apps/details?id=com.ktb.wallet.shop)
2. ลงทะเบียนร้านค้า โดยใช้

  * บัตรประชาชน
  * เบอร์มือถือ
  * เลขบัญชีกรุงไทย
3. ระบบจะให้ถ่ายรูปยืนยันตัวตน และถ่ายรูปหน้าร้าน
4. รอการตรวจสอบจากธนาคารกรุงไทย (ปกติ 1–3 วันทำการ)

---

### 💰 **3. เมื่อลงทะเบียนสำเร็จ**

* ร้านจะได้รับ QR Code เพื่อรับเงินผ่านแอป **ถุงเงิน**
* ลูกค้าสามารถใช้สิทธิ์ "คนละครึ่ง" ผ่านแอป **เป๋าตัง** ได้ทันที
* เงินส่วนของลูกค้าจะเข้าร้านทันที ส่วนของรัฐจะโอนเข้าบัญชีกรุงไทยภายในวันถัดไป

---

### 📞 **ช่องทางสอบถาม**

หากมีปัญหาหรือต้องการความช่วยเหลือ
โทร. **ธนาคารกรุงไทย 02-111-1111**
หรือสอบถามได้ที่สาขาธนาคารกรุงไทยทุกแห่ง

------------------------------

ด้านล่างคือ **คู่มือแบบ Step-by-Step พร้อมภาพตัวอย่างหน้าจอของแอป ถุงเงิน (สำหรับร้านค้า)** เพื่อให้คุณจัดส่งให้ร้านค้าหรือใช้อธิบายให้พนักงานเข้าใจง่ายครับ

---

## 📲 หน้าแรก / ดาวน์โหลด & สมัครบัญชี

![Image](https://play-lh.googleusercontent.com/DDAa9NLvoFt5YEGHcusqxKC0gUiPD_V_TqUTRJ0qTiQmDzhE1Y0umBb91qVJaVsYtw%3Dw526-h296-rw)

![Image](https://play-lh.googleusercontent.com/3dfq_RR-ZP1LWWgOWYFlH9XNyc_u4QfmB7btCPE3i6Re0vMBNnUU89ZeJbcr_Nt8_VtO)

![Image](https://krungthai.com/ktb/imgUpload/generalcontent/Flow%286%29_%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%AD%E0%B8%9B%E0%B8%AF%E0%B8%96%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99.png)

![Image](https://play-lh.googleusercontent.com/7fMdHL-uL9_DcBRi38LUwEls6dH7tgAKmDeTqq_JkM7mQqpOaTxc3w9XdA58y66PLEeA%3Dw526-h296-rw)

![Image](https://medias.thansettakij.com/uploads/images/contents/w1024/2025/10/rCjUKIMdyLEf6sqyrQ3I.webp?x-image-process=style%2Flg-webp)

![Image](https://medias.thansettakij.com/uploads/images/contents/w1024/2025/10/79D04DwJBQctZMG9YBED.webp?x-image-process=style%2Flg-webp)

### ขั้นตอน

1. ดาวน์โหลดแอป ถุงเงิน จาก App Store หรือ Google Play สโตร์โดยค้นคำว่า "ถุงเงิน" (แอปของ ธนาคารกรุงไทย) ([Apple][1])
2. เข้าเว็บไซต์สมัครร้านค้า: [merchant-tungngern.krungthai.com](https://merchant-tungngern.krungthai.com/) เพื่อกรอกข้อมูลเบื้องต้น (เลขบัตรประชาชน/เลขผู้เสียภาษี, เบอร์มือถือ) ([InfoCenter][2])
3. ระบบจะส่ง **รหัส OTP** (ใช้ได้ภายในเวลาจำกัด) ไปยังเบอร์มือถือ ให้กรอกเพื่อยืนยัน เจ้าของร้านค้าเองต้องยืนยันตัวตน ([prachuapkhirikhan.moc.go.th][3])
4. กดยอมรับ "ข้อตกลงและเงื่อนไข" แล้วกดสมัครเรียบร้อย (สำหรับบุคคลธรรมดาหรือร้านค้านิติบุคคลตามประเภท) ([xn--12c1bik6bbd8ab6hd1b5jc6jta.com][4])

---

## 🏪 ตั้งค่าร้านค้า & ระบุพิกัด

![Image](https://www.ktc.co.th/pub/media/Article/03/thung-ngern.webp)

![Image](https://i.ytimg.com/vi/nlCToXNM_ds/hq720.jpg?rs=AOn4CLAxvn3-LzMgtjC2nAqDgxQNW3RvfQ\&sqp=-oaymwEhCK4FEIIDSFryq4qpAxMIARUAAAAAGAElAADIQj0AgKJD)

![Image](https://krungthai.com/ktb/imgUpload/generalcontent/600x400px_PointPay_May24_2.jpg)

![Image](https://www.it24hrs.com/wp-content/uploads/2019/10/thung-ngern-ktb-app-how-to-use-b03.jpg)

![Image](https://krungthai.com/ktb/imgUpload/generalcontent/Flow%286%29_%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%AD%E0%B8%9B%E0%B8%AF%E0%B8%96%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99.png)

![Image](https://medias.thansettakij.com/uploads/images/contents/w1024/2025/10/qgfscTdge6ET8uod37y0.webp?x-image-process=style%2Flg-webp)

### ขั้นตอน

1. หลังจากสมัครแล้ว เปิดแอป ถุงเงิน → เข้าสู่ระบบด้วยเบอร์มือถือที่สมัครไว้
2. เข้าเมนู **ตั้งค่า / ข้อมูลร้านค้า** เพื่อกรอกชื่อร้าน, ประเภทสินค้า/บริการ, โลโก้/ภาพหน้าร้าน (ถ้ามี) ([xn--12c1bik6bbd8ab6hd1b5jc6jta.com][5])
3. ระบุพิกัดร้านค้าด้วย GPS (Location Service) เพื่อยืนยันว่า "หน้าร้าน" อยู่จริงในสถานที่นั้น หากจำเป็นให้เลื่อนพิกัดบนแผนที่แล้วเลือก "ยืนยัน" ([tookjingjing.com][6])
4. ตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดว่าถูกต้อง เช่น เลขบัญชีธนาคาร (ของกรุงไทย) ที่ใช้รับเงิน, ชื่อ–นามสกุลผู้ลงทะเบียน เป็นต้น

---

## 💱 รับเงินจากลูกค้า (โครงการ คนละครึ่ง / G-Wallet / QR)

![Image](https://i.ytimg.com/vi/ffZqUV5w6Lc/sddefault.jpg)

![Image](https://krungthai.com/ktb/imgUpload/generalcontent/600x400px_PointPay_May24_2.jpg)

![Image](https://static.thairath.co.th/media/Dtbezn3nNUxytg04aviC8Fx3rSsrlkvcaMraPZXxcIfhCy.jpg)

![Image](https://image.bangkokbiznews.com/uploads/images/contents/w1024/2025/10/n3NCpDID5oEz9O6yTQs0.webp?x-image-process=style%2Flg-webp)

![Image](https://media.komchadluek.net/uploads/images/contents/w1024/2025/10/Kpt0g3cMU8bKJdOsvzWr.webp?x-image-process=style%2Flg-webp)

![Image](https://krungthai.com/ktb/imgUpload/generalcontent/Flow%286%29_%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%AD%E0%B8%9B%E0%B8%AF%E0%B8%96%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99.png)

### ขั้นตอน

1. เมื่อลูกค้าจะใช้สิทธิของ โครงการคนละครึ่ง หรือแอป G-Wallet/บัตรสวัสดิการฯ – ให้ลูกค้าสร้าง QR Code จากแอปของเขา หรือร้านค้าสแกน QR ของร้านค้าในแอป ถุงเงิน
2. ร้านค้ากด "รับเงิน" ในแอป ถุงเงิน → สแกน หรือกรอกราคา/จำนวนเงิน → ยืนยันรายการ
3. ระบบจะแสดงผลว่า "สำเร็จ" พร้อมแจ้งเตือนทันทีในแอปว่าได้รับเงินเข้าร้านแล้ว ([Google Play][7])
4. ร้านค้าสามารถดู **"ยอดวันนี้ / ย้อนหลัง"** ในเมนูรายงานของแอปได้ เพื่อสรุปยอดรับเงินจากทุกช่องทาง (โครงการรัฐ / QR PromptPay) ([Apple][1])

---

## ⚙️ การตรวจสอบ &ตั้งค่าเพิ่มเติม

![Image](https://static.thairath.co.th/media/Dtbezn3nNUxytg04aviC8Fx3rSsrlkvcaMraPZXxcIfhCy.jpg)

![Image](https://static.thairath.co.th/media/Dtbezn3nNUxytg04aviC8Fx3rSsrlkvcTTcxUaUrQHhXeB.jpg)

![Image](https://krungthai.com/ktb/imgUpload/generalcontent/Flow%286%29_%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%AD%E0%B8%9B%E0%B8%AF%E0%B8%96%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99.png)

![Image](https://krungthai.com/ktb/imgUpload/generalcontent/Flow%284%29_%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%AD%E0%B8%9B%E0%B8%AF%E0%B8%96%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99.png)

![Image](https://gcc.go.th/wp-content/uploads/2025/10/681003_0002.jpg)

![Image](https://krungthai.com/ktb/imgUpload/generalcontent/600x400px_PointPay_May24_2.jpg)

### สิ่งที่ควรรู้

* ร้านค้าสามารถเพิ่ม / แก้ไข / ลบ **สาขา** (สำหรับนิติบุคคล) หรือจัดการพนักงาน/ผู้ใช้งานแอปได้ในเมนูตั้งค่า ([xn--12c1bik6bbd8ab6hd1b5jc6jta.com][5])
* หากร้านค้าเปลี่ยนประเภทกิจการ หรือมีข้อมูลร้านค้าผิด แนะนำให้แก้ไขโดยเร็วเพื่อไม่กระทบสิทธิการรับเงินจากโครงการฯ ([prachuapkhirikhan.moc.go.th][3])
* แอปมีระบบแจ้งเตือนแบบ Real-time เมื่อมีการรับเงิน เพื่อให้ร้านค้าตรวจสอบได้ทันทีว่าได้รับเงินจริงหรือไม่ ([KrungThai][8])

---

## ✅ เคล็ดลับสำหรับร้านค้า

* ตรวจสอบให้แน่ใจว่า **บัญชีธนาคารกรุงไทย** ที่ลงทะเบียนรับเงิน → ถูกต้อง และเปิดใช้พร้อมรับเงินแล้ว
* อยู่ในเขตพื้นที่ที่ร้านค้าเปิด‐เผยหน้าร้าน ชัดเจน เพราะโครงการของรัฐมักมีการตรวจสอบ
* สอนพนักงานให้ใช้งานสแกน QR และยืนยันรายการได้รวดเร็ว เพื่อไม่ให้ลูกค้ารอ
* ตรวจสอบยอดรับเงินทุกวัน เพื่อป้องกันข้อผิดพลาด หรือรายการที่อาจผิดพลาด
* หากมีปัญหา เช่น ไม่แสดงเมนูโครงการ คนละครึ่ง ในแอป → ควรอัปเดตแอปถุงเงินเป็นเวอร์ชันล่าสุด หรือโทรสอบถาม Call Center ของธนาคารกรุงไทย

---

หากคุณต้องการ ผมสามารถจัด **ไฟล์ PDF พร้อมภาพประกอบ** (พร้อมให้ร้านค้าปริ๊นต์หรือสแกนดู) ให้ครับ จะสะดวกสำหรับแจกให้พนักงานหรือร้านกิจการเลยไหมครับ?

[1]: https://apps.apple.com/us/app/%E0%B8%96-%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%87-%E0%B8%99/id1360191902?utm_source=chatgpt.com "ถุงเงิน on the App Store"
[2]: https://infocenter.oic.go.th/FILEWEB/CABINFOCENTER4/DRAWER084/GENERAL/DATA0001/00001547.PDF?utm_source=chatgpt.com "[PDF] วิธีการสมัคร ร้านค้าถุงเงิน"
[3]: https://prachuapkhirikhan.moc.go.th/th/file/get/file/20250306d41d8cd98f00b204e9800998ecf8427e163854.pdf?utm_source=chatgpt.com "[PDF] คู่มือสมัครใช้บริการและใช้งาน แอปพลิเคชั่นถุงเงิน - Prachuapkhirikhan"
[4]: https://www.xn--12c1bik6bbd8ab6hd1b5jc6jta.com/assets/download/%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B8%AA%205_V2_06.pdf?utm_source=chatgpt.com "[PDF] คู่มือสมัครใช้บริการแอปพลิเคชันถุงเงิน"
[5]: https://www.xn--12c1bik6bbd8ab6hd1b5jc6jta.com/assets/download/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%AD%E0%B8%9B%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%96%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99.pdf?utm_source=chatgpt.com "[PDF] การจัดการข้อมูลร้านค้า ผ่านแอปพลิเคชันถุงเงิน"
[6]: https://www.tookjingjing.com/article/265/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B9%81%E0%B8%AD%E0%B8%9B%E0%B8%96%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90-%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1-%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%9B%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89?utm_source=chatgpt.com "วิธีใช้แอปถุงเงิน ประชารัฐ สำหรับร้านค้าร่วม ชิมช้อปใช้ - Tookjingjing.com"
[7]: https://play.google.com/store/apps/details?hl=th&id=com.ktb.merchant.tungngern&utm_source=chatgpt.com "ถุงเงิน - แอปพลิเคชันใน Google Play"
[8]: https://krungthai.com/th/content/personal/tungngern?utm_source=chatgpt.com "ถุงเงิน แอปฯ รับเงินร้านค้า สะดวก ง่าย I ธนาคารกรุงไทย"

#17
การเทรด **Forex (Foreign Exchange)** เป็นตลาดที่ใหญ่มากและมีโอกาสทำกำไรสูง — แต่ก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน
ผมจะอธิบายเป็น 3 ส่วนให้เข้าใจง่าย ๆ คือ

เปิดบัญชี Standard ได้ที่ https://www.exness.com/a/73208

---

## 🧮 1. โอกาสชนะโดยทั่วไป

โดยเฉลี่ยแล้ว:

| กลุ่มนักเทรด                | โอกาสชนะ (กำไรต่อเนื่อง) | หมายเหตุ                                                  |
| --------------------------- | ------------------------ | --------------------------------------------------------- |
| มือใหม่ทั่วไป              | 5–15%                    | ส่วนใหญ่ขาดทุนเพราะไม่มีระบบหรือควบคุมอารมณ์ไม่ได้        |
| เทรดเดอร์ระดับกลาง (มีระบบ) | 25–40%                  | เริ่มมีวินัย ใช้เทคนิค + จัดการพอร์ตได้ดี                |
| เทรดเดอร์อาชีพ / กองทุน    | 50–70%                  | ใช้ระบบชัดเจน จัดการความเสี่ยงเก่ง กำไรเฉลี่ยต่อปี 10–30% |

👉 **สรุป:**
"โอกาสชนะ" ไม่ได้อยู่ที่การทายถูกกี่ครั้ง แต่ **อยู่ที่การบริหารความเสี่ยง (Risk Management)** เช่น

* ถ้าแพ้ขาดทุน -1 แต่เวลาชนะได้ +3
  ต่อให้ถูกแค่ 40% ก็ยังมีกำไรระยะยาวได้ครับ

---

## ⚙️ 2. วิธีการที่ใช้เพื่อเพิ่มโอกาสชนะ

### 🔹 1. **มีระบบเทรด (Trading System) ที่ชัดเจน**

ประกอบด้วย:

* **จุดเข้า (Entry)** เช่น เทรดตามเทรนด์ EMA cross, Breakout, หรือ Price Action
* **จุดออก (Exit)** เช่น Stop Loss, Take Profit
* **เงื่อนไขยืนยัน (Confirmation)** เช่น RSI, MACD, Volume

ตัวอย่างเช่น:

> เข้า Buy เมื่อราคาอยู่เหนือ EMA50 และ RSI > 50
> Stop Loss ที่จุดต่ำสุดล่าสุด
> Take Profit 2 เท่าของ Stop

---

### 🔹 2. **บริหารความเสี่ยง (Risk/Reward Ratio)**

* เสี่ยงไม่เกิน **1–2% ของทุนต่อครั้ง**
* ตั้งเป้า RR = 1:2 หรือมากกว่า
* คำนวณ lot size ให้เหมาะสมกับ Stop Loss

---

### 🔹 3. **ใช้ Timeframe ที่เหมาะกับสไตล์**

| สไตล์          | Timeframe | ลักษณะ                  |
| --------------- | --------- | ----------------------- |
| Scalper        | M1–M5    | เทรดถี่ กำไรน้อยแต่บ่อย |
| Day Trader      | M15–H1    | เทรดรายวัน ปิดภายในวัน  |
| Swing Trader    | H4–D1    | ถือข้ามวัน มักแม่นกว่า  |
| Position Trader | D1–W1    | ถือยาวแบบลงทุน          |

---

### 🔹 4. **วิเคราะห์ทั้ง Technical + Fundamental**

* **Technical:** แนวโน้ม, แนวรับแนวต้าน, รูปแบบกราฟ
* **Fundamental:** ข่าวเศรษฐกิจ, ดอกเบี้ย, NFP, CPI, FOMC

---

### 🔹 5. **ควบคุมอารมณ์และวินัย (Mindset)**

เทรดเดอร์มืออาชีพชนะเพราะ "มีวินัย"

* ไม่ overtrade
* ไม่ revenge trade (แก้แค้นตลาด)
* ทำตามแผนเสมอ

---

## 📈 3. ตัวอย่างสถิติระบบเทรดที่มีกำไรจริง

| ระบบ  | Win Rate | RR (Risk:Reward) | ผลลัพธ์ระยะยาว          |
| ------ | -------- | ---------------- | ----------------------- |
| ระบบ A | 70%      | 1:1              | กำไรปานกลาง            |
| ระบบ B | 40%      | 1:3              | กำไรสูงระยะยาว          |
| ระบบ C | 90%      | 1:0.5            | เสี่ยงโดนลากจนล้างพอร์ต |

👉 ระบบที่ดีไม่จำเป็นต้อง "ถูกบ่อย"
แต่ต้อง "คุมขาดทุนให้น้อย และปล่อยกำไรให้รันยาว"

---

หากคุณต้องการ ผมสามารถ

* สร้าง **ตัวอย่างระบบเทรด Forex** (พร้อมกฎเข้า–ออก)
* หรือ **ระบบคำนวณ RR และ lot size อัตโนมัติใน Excel / EA (MQL4/MQL5)**
  ได้เลยครับ

------------------------------------------------------------------

คำถามดีมากครับ — เรื่อง "โอกาสชนะในการเทรด Forex" นี่เป็นจุดสำคัญที่หลายคนมักเข้าใจคลาดเคลื่อนกันเล็กน้อย ผมอธิบายให้เห็นภาพง่าย ๆ ดังนี้ครับ 👇

---

### 🎯 1. โอกาสชนะในการเทรด Forex "โดยทั่วไป"

* ถ้าเทรดแบบ **ไม่มีระบบชัดเจน ใช้อารมณ์นำหน้า** → โอกาสชนะระยะยาวต่ำมาก (น้อยกว่า 20%)
* เทรดเดอร์ที่มีระบบเทรด (Trading System) และบริหารความเสี่ยงดี → อัตราชนะอาจอยู่ที่ **50–70%**
* มืออาชีพบางคนแม้จะชนะเพียง **40–50%** ของครั้งทั้งหมด แต่ **กำไรเฉลี่ยต่อครั้ง (R:R)** มากกว่า "ขาดทุนเฉลี่ย" ทำให้สุดท้ายยังได้กำไรระยะยาว

**สรุป:** โอกาสชนะ "ต่อการเทรด 1 ครั้ง" ไม่สำคัญเท่ากับ "ผลลัพธ์รวมระยะยาว" ครับ

---

### 🧭 2. วิธีเพิ่มโอกาสชนะหรืออยู่รอดระยะยาว

#### ✅ 1. **มีระบบเทรดที่ชัดเจน**

* ใช้เทคนิค เช่น *Price Action*, *Breakout*, *Moving Average*, *Supply–Demand Zone*, *Indicator system (MACD, RSI, EMA cross)*
* ทดสอบย้อนหลัง (Backtest) อย่างน้อย 6 เดือนขึ้นไป

#### ✅ 2. **บริหารความเสี่ยง (Risk Management)**

* เสี่ยงต่อไม้ไม่เกิน **1–2% ของพอร์ต**
* ตั้ง Stop Loss และ Take Profit ชัดเจน
* เน้นอัตราผลตอบแทนต่อความเสี่ยง (R:R ≥ 1:2)

#### ✅ 3. **วินัยและจิตวิทยาการเทรด**

* ไม่ไล่ราคา ไม่แก้มือ
* มีแผนก่อนเข้าเทรดทุกครั้ง
* บันทึกเทรด (Trading Journal) เพื่อปรับปรุงจุดอ่อน

#### ✅ 4. **การวิเคราะห์หลายมิติ**

* ใช้ทั้ง **Technical + Fundamental + Sentiment Analysis**
* ดูข่าวเศรษฐกิจ (เช่น NFP, CPI, Fed Rate) ที่ส่งผลต่อค่าเงินหลัก

---

### 💡 ตัวอย่างแนวทางเทรดที่ "มีโอกาสชนะมากกว่าเฉลี่ย"

| ระบบ            | ลักษณะ                            | เหมาะกับใคร        |
| --------------- | --------------------------------- | ------------------- |
| Trend Following | ตามแนวโน้มใหญ่ เช่น ใช้ EMA Cross | มือใหม่–กลาง        |
| Breakout        | รอราคาเบรกแนวต้าน/แนวรับ          | มือกลาง            |
| Swing Trading  | ซื้อ–ขายตามรอบคลื่น              | มือกลาง–โปร        |
| News Trading    | เล่นตามข่าวแรง                    | ต้องมีประสบการณ์สูง |

---

หากคุณต้องการ ผมสามารถช่วย

* วิเคราะห์ว่า **สไตล์การเทรดไหนเหมาะกับคุณ**,
* หรือช่วย **ออกแบบระบบเทรด (Trading Strategy)** ที่มีโอกาสชนะสูงกว่าเฉลี่ย
  ได้เลยครับ

-------------------------------------------------

#18
ความดันโลหิตสูง (Hypertension) เกิดจากหลายสาเหตุ ทั้งจาก **พฤติกรรมการใช้ชีวิต** และ **ปัจจัยทางพันธุกรรมหรือโรคประจำตัว** โดยสรุปได้ดังนี้ครับ 👇

---

### 🩸 1. สาเหตุหลัก (พบบ่อยที่สุด)

เป็น **"ความดันโลหิตสูงปฐมภูมิ" (Primary Hypertension)**
หมายถึงไม่พบโรคอื่นชัดเจนเป็นสาเหตุ แต่เกิดจากหลายปัจจัยรวมกัน เช่น

* **อายุเพิ่มขึ้น** — หลอดเลือดแข็งตัว ยืดหยุ่นน้อยลง
* **พันธุกรรม / กรรมพันธุ์** — ถ้าพ่อแม่หรือญาติมีความดันสูง จะมีโอกาสสูงกว่าคนทั่วไป
* **น้ำหนักเกิน / อ้วนลงพุง** — ไขมันในช่องท้องมาก ทำให้หัวใจต้องสูบฉีดแรงขึ้น
* **กินเค็มมาก** — โซเดียมทำให้ร่างกายเก็บน้ำและเพิ่มแรงดันในหลอดเลือด
* **ขาดการออกกำลังกาย** — ระบบไหลเวียนไม่แข็งแรง
* **ความเครียด** — ทำให้ฮอร์โมนอะดรีนาลีนสูง ความดันเพิ่ม
* **ดื่มแอลกอฮอล์หรือสูบบุหรี่** — ทำให้หลอดเลือดหดตัวและเสียความยืดหยุ่น

---

### ⚕️ 2. สาเหตุรอง (Secondary Hypertension)

เกิดจากโรคหรือภาวะบางอย่าง เช่น

* **โรคไต** (เช่น ไตเสื่อม, ตีบของหลอดเลือดไปเลี้ยงไต)
* **โรคต่อมหมวกไตหรือต่อมไทรอยด์ผิดปกติ**
* **การใช้ยาบางชนิด** เช่น ยาแก้คัดจมูก, ยาคุมกำเนิด, สเตียรอยด์
* **ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea)**
* **โรคหัวใจหรือหลอดเลือดแดงใหญ่ตีบแต่กำเนิด**

---

### ❤️ 3. ปัจจัยเสี่ยงที่ควรระวัง

* รับประทานอาหารแปรรูป (โซเดียมสูง)
* ดื่มกาแฟหรือชาเข้มมากเกินไป
* พักผ่อนไม่เพียงพอ
* มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงหรือไขมันในเลือดสูงร่วมด้วย

-----------------------------------
#19
สวัสดีครับ สำหรับคำถามเรื่องราคาและลูกแบดมินตันยอดนิยม ผมได้รวบรวมข้อมูลมาให้ดังนี้ครับ

สรุปสั้นๆ คือ **ราคามีตั้งแต่หลอดละร้อยกว่าบาทจนถึงพันกว่าบาท** ขึ้นอยู่กับวัสดุ (พลาสติกหรือขนไก่) และเกรดคุณภาพ ส่วนลูกแบดที่นิยมที่สุดสำหรับนักกีฬาและผู้เล่นจริงจังคือ **ลูกแบดขนไก่** โดยมียี่ห้อที่ใช้แข่งขันระดับโลกอย่าง **Yonex** และยี่ห้อที่นิยมมากในกลุ่มตีก๊วนอย่าง **RSL** ครับ

---

### 🏸 ราคาลูกแบดมินตัน

ราคาของลูกแบดมินตันจะแตกต่างกันมาก ขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยหลัก คือ **วัสดุ** และ **เกรดคุณภาพ** ครับ

* **1. ลูกแบดพลาสติก (Nylon)**
    * **ลักษณะ:** ทำจากไนลอนหรือพลาสติก หัวเป็นไม้ก๊อกหรือโฟม ทนทานสูงมาก ไม่หักง่าย เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นหัดตี หรือการตีเล่นทั่วไปที่ไม่เน้นความแม่นยำมากนัก
    * **ราคา:** ประมาณ **150 - 350 บาท** (ต่อหลอด บรรจุ 3 หรือ 6 ลูก)
    * *ตัวอย่างรุ่น: Yonex Mavis*

* **2. ลูกแบดขนไก่ (Feather)**
    * นี่คือประเภทที่นักแบดมินตันส่วนใหญ่ใช้กัน แต่ก็มีหลายเกรด:
    * **เกรดฝึกซ้อม/ทั่วไป:** ทำจากขนเป็ด หรือขนห่านเกรดรอง ความทนทานปานกลาง
        * **ราคา:** ประมาณ **250 - 500 บาท** (ต่อหลอด 12 ลูก)
    * **เกรดแข่งขัน/ยอดนิยม (ที่ใช้ตีก๊วน):** ทำจากขนเป็ดคัดพิเศษ หรือขนห่านคุณภาพดี ให้วิถีลูกที่แม่นยำและเสถียร เป็นที่นิยมในกลุ่มนักกีฬาทั่วไป
        * **ราคา:** ประมาณ **700 - 950 บาท** (ต่อหลอด 12 ลูก)
    * **เกรดแข่งขันระดับโลก (Tournament Grade):** ทำจากขนห่านคัดพิเศษเกรดสูงสุด (มักใช้ขนจากปีกซ้าย) ผ่านการควบคุมคุณภาพที่เข้มงวดที่สุด ใช้ในการแข่งขันระดับนานาชาติ
        * **ราคา:** ประมาณ **950 - 1,200+ บาท** (ต่อหลอด 12 ลูก)

---

### 🏆 ลูกแบดที่นักแบดนิยมมากที่สุด

คำตอบที่ชัดเจนที่สุดคือ **"ลูกแบดขนไก่"** ครับ นักแบดมินตันตั้งแต่ระดับสมัครเล่นที่จริงจังไปจนถึงมืออาชีพระดับโลก จะใช้ลูกแบดขนไก่เท่านั้น เนื่องจากให้ความรู้สึกในการตี (Feeling) วิถีลูก และการควบคุมที่ดีกว่าลูกพลาสติกมาก

หากแบ่งตามกลุ่มผู้ใช้งาน ยี่ห้อที่นิยมมีดังนี้:

* **1. กลุ่มนักกีฬามืออาชีพ (ใช้แข่งขันระดับโลก BWF)**
    * แบรนด์ที่นิยมและใช้เป็นมาตรฐานในการแข่งขันระดับโลกจะขึ้นอยู่กับสปอนเซอร์ของการแข่งขันนั้นๆ แต่แบรนด์ที่ได้รับการยอมรับสูงสุดคือ:
    * **Yonex:** โดยเฉพาะรุ่น **Aerosensa (AS-50, AS-40, AS-30)** ถือเป็นมาตรฐานทองของลูกแบดที่ใช้แข่งขันทั่วโลก
    * **Victor:** รุ่น **Master Ace** หรือ **Champion No.1** ก็ถูกใช้ในการแข่งขันระดับ Major หลายรายการที่ Victor เป็นผู้สนับสนุน

* **2. กลุ่มนักแบดทั่วไป / ตีก๊วน (ในไทย)**
    * สำหรับกลุ่มผู้เล่นทั่วไปในไทย ความนิยมจะเน้นไปที่ลูกที่มีความสมดุลระหว่าง "ความทนทาน", "วิถีลูก" และ "ราคา"
    * **RSL:** เป็นแบรนด์ที่ได้รับความนิยมสูงมากในก๊วนแบดมินตันไทย โดยเฉพาะรุ่น **RSL Silver** และ **RSL Tourney No.1** ที่ขึ้นชื่อเรื่องความทนทานและวิถีลูกที่คงที่ในราคาสมเหตุสมผล
    * **Victor:** รุ่นรองลงมาเช่น **Master No.3** ก็เป็นที่นิยม
    * **Ling-Mei (หลิงเหมย):** เป็นอีกยี่ห้อที่ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้เล่นทั่วไปเนื่องจากคุณภาพที่ดีและราคาเข้าถึงง่าย

> **สรุปง่ายๆ:**
> * **ถ้าเน้นทนทาน ตีเล่นกับเด็ก หรือเพิ่งเริ่ม:** ใช้ **ลูกพลาสติก** (เช่น Yonex Mavis)
> * **ถ้าตีก๊วนจริงจัง (นิยมที่สุดในไทย):** มักใช้ **RSL Silver** หรือ **Victor**
> * **ถ้าเป็นนักกีฬา หรือใช้แข่งขัน:** มักใช้ **Yonex Aerosensa (AS-50)** หรือ **Victor Champion No.1**

--------------------------------------------
#20
อาหารที่ช่วย **ลดความดันโลหิตสูง** ได้ดี จะเน้นอาหารที่มี **โพแทสเซียม แมกนีเซียม แคลเซียม ใยอาหารสูง และโซเดียมต่ำ** โดยสามารถยึดแนวทาง "**DASH Diet**" (Dietary Approaches to Stop Hypertension) ได้ครับ

---

### 🥦 หมวดผักและผลไม้ (ช่วยขับโซเดียม ลดความดัน)

* **กล้วย** 🍌 – มีโพแทสเซียมสูง ช่วยปรับสมดุลเกลือแร่
* **ผักใบเขียวเข้ม** เช่น คะน้า บร็อกโคลี ผักโขม ผักบุ้ง
* **มันเทศ** – มีโพแทสเซียมและแมกนีเซียมสูง
* **อะโวคาโด** 🥑 – ช่วยลดไขมันเลวและลดความดัน
* **ผลไม้ตระกูลเบอร์รี** (บลูเบอร์รี สตรอเบอร์รี) – มีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยให้หลอดเลือดยืดหยุ่น
* **แตงโม / ส้ม / ลูกแพร์ / แอปเปิล** 🍉🍊🍎

---

### 🐟 หมวดโปรตีนดีต่อหัวใจ

* **ปลา** โดยเฉพาะ **ปลาแซลมอน ปลาทู ปลาซาร์ดีน** – มีโอเมก้า 3 ลดความดันและไขมัน
* **ถั่วและเมล็ดพืช** เช่น อัลมอนด์ เมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวัน – มีแมกนีเซียมสูง
* **ถั่วเหลือง / เต้าหู้ / นมถั่วเหลืองไม่หวาน** – โปรตีนพืชดีต่อหลอดเลือด
* **อกไก่ไม่ติดหนัง / ไข่ต้ม** – โปรตีนไขมันต่ำ

---

### 🥛 หมวดอาหารที่มีแคลเซียม

* **นมพร่องมันเนย / นมขาดมันเนย / โยเกิร์ตไขมันต่ำ**
* **ปลาเล็กปลาน้อย** (กินได้ทั้งกระดูก)

---

### 🌾 หมวดคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน

* **ข้าวกล้อง / ข้าวโอ๊ต / ธัญพืชไม่ขัดสี**
* **ขนมปังโฮลวีต / พาสต้าโฮลวีต**

---

### 🚫 ควรหลีกเลี่ยง

* อาหารเค็มจัด (น้ำปลา ซีอิ๊ว ซุปก้อน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป)
* อาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก เบคอน แฮม
* ของทอดและไขมันอิ่มตัวสูง
* แอลกอฮอล์และกาแฟมากเกินไป

---

### 💧 เคล็ดลับเพิ่มเติม

* ดื่มน้ำสะอาดเพียงพอ (วันละ 1.5–2 ลิตร)
* ออกกำลังกายสม่ำเสมอ (เดินเร็ว 30 นาที/วัน)
* นอนหลับให้เพียงพอ ลดความเครียด

--------------------------------
ได้เลยครับ 👍
ต่อไปนี้คือ **"เมนูลดความดัน 7 วัน"** (ตามแนวทาง DASH Diet และอาหารไทย) — วัตถุดิบหาได้ง่าย ทำกินได้จริง เหมาะสำหรับผู้ใหญ่ที่ต้องการ **ลดความดัน + ลดไขมัน + ควบคุมน้ำหนัก**

---

## 🗓� เมนูลดความดัน 7 วัน

### **วันจันทร์**

* 🍚 **เช้า:** ข้าวต้มปลา + ผักลวก (ไม่ใส่น้ำปลา) + กล้วย 1 ผล
* 🍲 **กลางวัน:** ข้าวกล้อง + แกงเลียง + ไก่อบสมุนไพร
* 🥗 **เย็น:** สลัดผักรวม + ปลาย่าง + น้ำสลัดงาญี่ปุ่น

---

### **วันอังคาร**

* 🍞 **เช้า:** ขนมปังโฮลวีต 2 แผ่น + ไข่ต้ม 1 ฟอง + นมพร่องมันเนย 1 แก้ว
* 🍛 **กลางวัน:** ข้าวกล้อง + ต้มยำเห็ดรวม + ปลาทูต้มมะดัน
* 🥢 **เย็น:** ผัดผักบุ้งน้ำมันน้อย + เต้าหู้ขาวนึ่งซีอิ๊ว + ผลไม้ (แอปเปิล)

---

### **วันพุธ**

* 🍌 **เช้า:** ข้าวโอ๊ตใส่กล้วย + นมถั่วเหลืองไม่หวาน
* 🍱 **กลางวัน:** ข้าวกล้อง + ลาบไก่ไม่ใส่หนัง + ผักสดแนม
* 🍠 **เย็น:** มันเทศต้ม + ปลาแซลมอนย่าง + สลัดผัก

---

### **วันพฤหัสบดี**

* 🥣 **เช้า:** โจ๊กข้าวกล้องหมูสับไม่ติดมัน + ผักโรยหน้า
* 🍚 **กลางวัน:** ข้าวกล้อง + ต้มข่าไก่ใส่เห็ด + แตงกวา/แครอท
* 🥗 **เย็น:** ยำวุ้นเส้นทะเล + ผักนึ่ง + ผลไม้ (ส้ม)

---

### **วันศุกร์**

* 🍞 **เช้า:** แซนด์วิชโฮลวีตไก่อบ + น้ำส้มคั้นสด
* 🍱 **กลางวัน:** ข้าวกล้อง + แกงส้มชะอมกุ้ง + ผักสด
* 🍲 **เย็น:** เต้าหู้ผัดขิง + ข้าวกล้อง + แตงโม

---

### **วันเสาร์**

* 🍚 **เช้า:** ข้าวต้มเห็ดหอมเต้าหู้ + กล้วยน้ำว้า 1 ผล
* 🍛 **กลางวัน:** ข้าวกล้อง + แกงเขียวหวานไก่ใส่นมพร่องมันเนยแทนกะทิ
* 🥗 **เย็น:** ปลานึ่งมะนาว + สลัดผัก + น้ำเปล่าเยอะ ๆ

---

### **วันอาทิตย์**

* 🥣 **เช้า:** นมถั่วเหลือง + ธัญพืชอบกรอบไม่หวาน + ผลไม้รวม
* 🍲 **กลางวัน:** ข้าวกล้อง + ผัดกะเพราเต้าหู้ + ผักต้ม
* 🥢 **เย็น:** แกงจืดตำลึงหมูสับ + ข้าวกล้อง + แอปเปิล

---

## 💡 เคล็ดลับเสริม

* ใช้น้ำมันรำข้าวหรือน้ำมันมะกอกในการทำอาหาร
* ลดการปรุงรสด้วยน้ำปลา / ซีอิ๊ว — ใช้มะนาวหรือพริกแทน
* ดื่มน้ำสะอาดระหว่างวัน (1.5–2 ลิตร)
* ออกกำลังกายวันละ 30 นาที เช่น เดินเร็ว ปั่นจักรยาน

---------------------------------------------------

#21
โครงการ **คนละครึ่ง พลัส** สามารถใช้ได้กับร้านค้า/บริการในประเทศไทย ที่เข้าร่วมโครงการ และมีเงื่อนไขดังนี้ครับ:

---

### ✅ ร้านค้า/บริการที่ใช้สิทธิได้

ประชาชนผู้ได้รับสิทธิสามารถใช้กับสินค้า และ บริการ ดังนี้:

* อาหาร และ เครื่องดื่ม ทั่วไป ([www.thairath.co.th][1])
* สินค้าทั่วไป (ไม่เฉพาะอาหาร) ([www.thairath.co.th][2])
* บริการนวด สปา ทำเล็บ ทำผม ([www.thairath.co.th][1])
* บริการขนส่งสาธารณะ / รถโดยสารทั่วไป เช่น แท็กซี่ รถสองแถว รถจักรยานยนต์รับจ้าง ฯลฯ ([ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์][3])

---

### 🚫 ร้านค้า/บริการ **ไม่** สามารถใช้สิทธิได้

มีสินค้าหรือบริการบางประเภทที่ไม่เข้าร่วมโครงการ เช่น:

* สลากกินแบ่งรัฐบาล ([www.thairath.co.th][2])
* เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ([www.thairath.co.th][1])
* ผลิตภัณฑ์ยาสูบ ([www.thairath.co.th][1])
* บัตรกำนัล / เงินสด /บริการที่ชำระล่วงหน้า เป็นต้น ([www.thairath.co.th][1])

---

### 📅 ระยะเวลา และเงื่อนไขเพิ่มเติม

* ใช้สิทธิได้ตั้งแต่ 06:00 - 23:00 น. ของทุกวัน (ในช่วงโครงการ) ([Khon La Khreung Plus][4])
* รัฐช่วยจ่าย 50% ของยอดใช้จ่าย (ไม่เกิน 200 บาท/คน/วัน) สำหรับผู้มีสิทธิในกลุ่มที่ยื่นภาษีหรือไม่ยื่นภาษีตามเงื่อนไข. ([www.sanook.com][5])

---

ถ้าต้องการ ผมสามารถช่วย **ค้นรายชื่อร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง พลัสในกรุงเทพฯ** ให้ด้วยครับว่า "ร้านไหนใช้ได้" ใกล้ ๆ คุณเลย จะเอาไหม?

[1]: https://www.thairath.co.th/news/society/2888146?utm_source=chatgpt.com "อัปเดต \"คนละครึ่งพลัส\" ซื้อสินค้า-บริการ อะไรได้ไม่ได้ สแกนจ่ายผ่านแอปฯ ..."
[2]: https://www.thairath.co.th/news/society/2890081?utm_source=chatgpt.com "คนละครึ่งพลัส เริ่มใช้สิทธิวันแรก 29 ต.ค. เดดไลน์ 11 พ.ย. ถูกตัดสิทธิ หากไม่ ..."
[3]: https://www.kaohoon.com/news/general/788298?utm_source=chatgpt.com "รู้ก่อนใช้! "คนละครึ่งพลัส" จ่ายอะไรได้บ้าง–ร้านแบบไหนร่วมโครงการ"
[4]: https://www.xn--42caj4e1a2ame9b2cq0dyo.com/information/index.html?utm_source=chatgpt.com "ระยะเวลาโครงการ - คนละครึ่ง พลัส"
[5]: https://www.sanook.com/news/9852254/?utm_source=chatgpt.com "\"คนละครึ่งพลัส\" FAQ รวมทุกคำถาม-คำตอบ ลงทะเบียนไม่ทัน วิธีการต่างๆ ..."
------------------------------------------------------

คุณสามารถ **ค้นหาร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ คนละครึ่ง พลัส ในกรุงเทพฯ (และทั่วประเทศ)** ได้ตามวิธีดังนี้ครับ:

---

### 🔍 วิธีค้นหาร้านค้า

* เข้าเว็บไซต์ **[www.คนละครึ่งพลัส.com](https://www.คนละครึ่งพลัส.com)** แล้วเลือกเมนู "ค้นหาร้านค้า" → เลือกจังหวัด/เขต → เลือกร้านค้าร่วมโครงการได้เลย. ([www.sanook.com][1])
* ในแอปฯ เป๋าตัง (G-Wallet) ดูเมนูสิทธิ คนละครึ่ง พลัส → มีตัวเลือก "ร้านใกล้ฉัน" เพื่อหาจากพิกัดบนมือถือ. ([Pantip][2])
* สังเกตร้านค้ามีโลโก้ "คนละครึ่ง พลัส" ติดอยู่ที่หน้าร้าน. ([thansettakij][3])

---

ถ้าคุณสะดวก ผม **สามารถหา "ตัวอย่างร้านค้า 5-10 แห่ง"** ที่เข้าร่วมโครงการใน **กรุงเทพฯ** ให้ พร้อมเขต/สาขาให้ดูเลยครับ หากต้องการ ผมหาให้ทันทีเลยครับ.

[1]: https://www.sanook.com/money/944455/?utm_source=chatgpt.com "วิธีค้นหาร้านค้า คนละครึ่งพลัส ผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่งพลัส.com"
[2]: https://pantip.com/topic/43809944?utm_source=chatgpt.com "วิธีค้นหาร้านค้าที่เข้าร่วม คนละครึ่งพลัส - Pantip"
[3]: https://www.thansettakij.com/general-news/642529?utm_source=chatgpt.com "คนละครึ่ง 2568 วิธีค้นหาร้านค้าคนละครึ่งพลัส ร้านค้าถุงเงิน - ฐานเศรษฐกิจ"
-------------------------------------------
#22
จากการวิเคราะห์กราฟ XAUUSD (H1) ที่คุณส่งมา ประกอบกับข้อมูลปัจจัยพื้นฐานในสัปดาห์นี้ (ณ วันที่ 28 ตุลาคม 2568) สามารถสรุปทิศทางราคาทองคำใน 7 วันข้างหน้าได้ดังนี้

### 1. การวิเคราะห์ทางเทคนิค (จากกราฟที่ส่งมา)

* **แนวโน้มระยะสั้น: ขาลง (Bearish)**
    * กราฟ H1 แสดงให้เห็นว่าราคาทองคำได้พยายามขึ้นไปทดสอบแนวต้านสำคัญ (เส้นสีเหลือง) ที่บริเวณประมาณ **$4381** สองครั้ง (ช่วงวันที่ 17 และ 19 ต.ค.) แต่ไม่สามารถผ่านไปได้ เกิดเป็นลักษณะ **Double Top** ซึ่งเป็นสัญญาณการกลับตัวเป็นขาลง
    * หลังจากนั้น ราคาได้ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง
    * ในปัจจุบัน (แท่งเทียนสุดท้าย) ราคากำลังทำจุดต่ำสุดใหม่ (New Low) และได้หลุดแนวรับย่อยบริเวณ $3950 ลงมา ซึ่งเป็นการยืนยันโมเมนตัมขาลงที่แข็งแกร่งในระยะสั้น

### 2. ปัจจัยพื้นฐาน (ปัจจัยขับเคลื่อนใน 7 วันนี้)

สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์ที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับราคาทองคำ โดยมีปัจจัยหลักที่ตลาดกำลังจับตามอง คือ:

1.  **การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC):**
    * นี่คือปัจจัยที่สำคัญที่สุดในสัปดาห์นี้ ซึ่งจะมีการประกาศผลในคืน **วันพุธที่ 29 ตุลาคม** (ตามเวลาสหรัฐฯ หรือเช้าตรู่วันที่ 30 ต.ค. ตามเวลาไทย)
    * **สิ่งที่ตลาดคาดการณ์:** ตลาดได้คาดการณ์ไปแล้ว (Price In) ว่า Fed จะ **"ลด"** อัตราดอกเบี้ย 0.25% (25 bps)
    * **จุดตัดสินทิศทาง:** ราคาทองคำจะไม่ไหวตัวกับ "การลดดอกเบี้ย" (เพราะรับรู้ไปแล้ว) แต่จะผันผวนรุนแรงตาม **"ถ้อยแถลง"** ของประธานเฟด (เจอโรม พาวเวล) ว่าจะมีทิศทางดอกเบี้ยในอนาคตอย่างไร
        * **ถ้าเฟดส่งสัญญาณ "Hawkish"** (เช่น บอกว่านี่คือการลดครั้งสุดท้าย, ยังกังวลเงินเฟ้อ): เงินดอลลาร์จะแข็งค่า และทองคำจะ **ถูกกดดันให้ลงต่อ**
        * **ถ้าเฟดส่งสัญญาณ "Dovish"** (เช่น บอกว่าพร้อมจะลดดอกเบี้ยต่อ, กังวลเศรษฐกิจ): เงินดอลลาร์จะอ่อนค่า และทองคำจะ **ดีดตัวขึ้น (Bounce)**

2.  **ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญอื่นๆ:**
    * **GDP สหรัฐฯ (ไตรมาส 3):** ประกาศวันที่ 30 ต.ค.
    * **ดัชนีราคา PCE (เงินเฟ้อ):** ประกาศวันที่ 31 ต.ค. ซึ่งเป็นตัวเลขที่เฟดใช้ดูเป็นหลัก

3.  **กระแสข่าวอื่นๆ:**
    * แรงเทขายที่เห็นในกราฟส่วนหนึ่งมาจากการ **"ขายทำกำไร" (Profit-Taking)** หลังจากที่ราคาทองขึ้นมาติดต่อกันถึง 9 สัปดาห์
    * ความคืบหน้าเชิงบวกในการเจรจาการค้าสหรัฐฯ-จีน ทำให้ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย (ทองคำ) ลดลงชั่วคราว

### สรุปแนวโน้มใน 7 วัน

**ทิศทางหลักยังคง "ผันผวนในกรอบขาลง" (Volatile with Bearish Bias)**

ราคาทองคำในระยะสั้น (1-2 วันนี้) มีแนวโน้มที่จะถูกกดดันต่อไป จากโมเมนตัมทางเทคนิคที่เป็นขาลง และนักลงทุนกำลัง "รอดู" ผลการประชุมเฟด

ทิศทางที่ชัดเจนสำหรับ 7 วันข้างหน้า จะถูกตัดสินในคืนวันพุธที่ 29 ต.ค. นี้

#### แนวรับ-แนวต้านสำคัญใน 7 วัน

* **แนวรับ (Support):**
    * หลังจากหลุด $3950 แนวรับถัดไปที่นักวิเคราะห์จับตาคือบริเวณ **$3822**

* **แนวต้าน (Resistance):**
    * แนวต้านแรก (ที่เพิ่งหลุดมา) คือ **$3950 - $4000**
    * หากสามารถกลับไปยืนเหนือ $4000 ได้ แนวต้านถัดไปจะอยู่ที่ **$4160 - $4200**

**ข้อควรระวัง:** ตลาดจะมีความผันผวนสูงมากในช่วงกลางสัปดาห์ (พุธ-ศุกร์) จากการประกาศผลประชุมเฟดและตัวเลขเศรษฐกิจ การลงทุนในช่วงนี้จึงมีความเสี่ยงสูง
-------------------------------------------
#23
คำถามดีมากครับ 👍
เรื่อง **Modular Plug (หัวแลน RJ45)** ของ **CAT5** กับ **CAT6** นั้น "ใช้ร่วมกันได้บางกรณี" แต่มีข้อควรรู้ดังนี้ 👇

---

### 🔹 1. **ขนาดและโครงสร้างต่างกัน**

| รายการ                   | CAT5 / CAT5e                  | CAT6                                                 |
| ------------------------ | ----------------------------- | ---------------------------------------------------- |
| เส้นทองแดง (ตัวสาย)      | เส้นเล็กกว่า (ประมาณ 0.50 mm) | เส้นใหญ่กว่า (ประมาณ 0.57 mm)                        |
| ตัวคั่นในสาย (Separator) | ไม่มี                         | มีแผ่นกั้น (cross separator) ภายในเพื่อลดสัญญาณรบกวน |
| หัว RJ45                 | รูภายในเล็กกว่า               | รูภายในกว้างกว่าและออกแบบให้รับสายใหญ่               |

---

### 🔹 2. **การใช้งานร่วมกันได้ไหม**

| กรณี                        | ใช้ได้ไหม                                                        | หมายเหตุ |
| --------------------------- | ---------------------------------------------------------------- | -------- |
| 🔸 หัว CAT5 ใช้กับสาย CAT5e | ✅ ได้ปกติ                                                        |          |
| 🔸 หัว CAT6 ใช้กับสาย CAT6  | ✅ ได้ปกติ                                                        |          |
| 🔸 หัว CAT5 ใช้กับสาย CAT6  | ⚠️ พอใช้ได้ *แต่ไม่แน่นและอาจต่อไม่ครบแนวสัมผัส* ทำให้ความเร็วตก |          |
| 🔸 หัว CAT6 ใช้กับสาย CAT5e | ⚠️ เสียบได้ *แต่สายเล็กไป* หัวอาจหลวมและล็อกไม่แน่น              |          |

---

### 🔹 3. **คำแนะนำ**

* ถ้าต้องการทำสายให้ **เสถียร 100% และได้ความเร็วเต็ม (1 Gbps หรือมากกว่า)**
  👉 **ใช้หัวและสายรุ่นเดียวกัน (CAT6 กับ CAT6)**
* ถ้าเป็นงานทั่ว ๆ ไป (เช่นต่อกล้อง, Smart TV, หรือ Router 3BB)
  👉 ใช้ **CAT5e พร้อมหัว CAT5e** ก็เพียงพอแล้วครับ
* ถ้าสายเดินยาวกว่า 20 เมตร หรืออยู่ใกล้สายไฟแรงสูง
  👉 ใช้ **CAT6 + หัว CAT6** จะดีกว่า (กันสัญญาณรบกวนได้ดีกว่า)

---

### 🔧 เคล็ดลับ:

ถ้าใช้หัว CAT6 แนะนำแบบ **"Pass Through" (หัวทะลุ)**

> ใส่ง่ายกว่า เย็บแน่นกว่า และลดปัญหาสายไม่เข้าร่องถูกตำแหน่ง

---

สรุปสั้น ๆ 👉

> ❌ CAT5 กับ CAT6 "ไม่เหมาะใช้ร่วมกัน"
> ✅ ใช้ได้ชั่วคราว แต่ควร "จับคู่รุ่นเดียวกัน" เพื่อความเร็วและความเสถียรสูงสุดครับ

------------------------------------
#24
ถ้าพูดถึง **เราเตอร์ของ 3BB** (เช่นที่แถมมากับอินเทอร์เน็ตบ้านหรือไฟเบอร์ 3BB) — คำตอบขึ้นอยู่กับ **ประเภทอินเทอร์เน็ต** ที่คุณใช้ครับ 👇

---

### 🔹 กรณีที่ 1: **อินเทอร์เน็ตไฟเบอร์ (Fiber Optic)**

* สายจากข้างนอกจะเข้ากล่อง **ONU / ONT (Fiber Modem)**
* จากกล่องนี้จะมีพอร์ต LAN ออกมา → เข้าสู่เราเตอร์หรือคอมพิวเตอร์

**สายแลนที่ใช้แนะนำคือ:**

> ✅ **สาย LAN CAT5e หรือ CAT6**

**เหตุผล:**

* CAT5e รองรับความเร็วสูงสุด **1 Gbps** (เพียงพอสำหรับแพ็กเกจส่วนใหญ่ของ 3BB เช่น 200, 500, 1000 Mbps)
* CAT6 รองรับสูงสุด **10 Gbps** และมีการกันสัญญาณรบกวนดีกว่า เหมาะถ้าจะใช้ในอนาคตหรือเดินสายยาวเกิน 20 เมตร

---

### 🔹 กรณีที่ 2: **อินเทอร์เน็ต ADSL / VDSL (รุ่นเก่า)**

* สายโทรศัพท์ (RJ11) เข้าสู่เราเตอร์โดยตรง
* แต่ถ้าเชื่อมต่อเราเตอร์กับคอมพ์ → ยังต้องใช้ **สายแลน (CAT5e หรือ CAT6)** เช่นเดียวกัน

---

### 🔹 สรุปแนะนำสั้น ๆ

| ประเภท                     | สายที่ใช้                                   | หมายเหตุ                        |
| -------------------------- | ------------------------------------------- | ------------------------------- |
| Fiber (รุ่นใหม่)           | **CAT5e หรือ CAT6**                         | แนะนำ CAT6 เพื่อความเสถียร      |
| VDSL/ADSL (รุ่นเก่า)       | **CAT5e/CAT6 (LAN)** + **สายโทรศัพท์ RJ11** |                                 |
| เชื่อมต่อกล้อง, คอมฯ, ทีวี | **CAT6**                                    | ได้ความเร็วเต็มและลดสัญญาณรบกวน |

---

หากคุณบอกได้ว่าเราเตอร์ 3BB รุ่นอะไร (เช่น **ZTE F670L**, **Huawei HG8145V5**, **TP-Link Archer C6** ฯลฯ)

-----------------------------------------------
#25
**แร่แรร์เอิร์ธ (Rare Earth Elements: REEs)**
คือ **กลุ่มของธาตุโลหะหายาก 17 ชนิด** ที่มีคุณสมบัติพิเศษทางแม่เหล็ก การนำไฟฟ้า และการเรืองแสง ซึ่งทำให้มีความสำคัญมากในเทคโนโลยีสมัยใหม่

---

### 🧪 **กลุ่มธาตุแร่แรร์เอิร์ธประกอบด้วย**

1. แลนทานัม (La)
2. ซีเรียม (Ce)
3. พราซีโอไดเมียม (Pr)
4. นีโอไดเมียม (Nd)
5. โพรมีเทียม (Pm)
6. ซามาเรียม (Sm)
7. ยูโรเปียม (Eu)
8. แกโดลิเนียม (Gd)
9. เทอร์เบียม (Tb)
10. ดิสโพรเซียม (Dy)
11. โฮลเมียม (Ho)
12. เออร์เบียม (Er)
13. ทูเลียม (Tm)
14. อิตเทอร์เบียม (Yb)
15. ลูทีเซียม (Lu)
16. สแกนเดียม (Sc)
17. อิตเทรียม (Y)

---

### ⚙️ **คุณสมบัติเด่น**

* มี **สมบัติแม่เหล็กแรงสูง** → ใช้ทำแม่เหล็กถาวร
* มี **สมบัติการเรืองแสง (phosphorescent)** → ใช้ในจอภาพและไฟ LED
* มี **ความสามารถดูดซับนิวตรอน** → ใช้ในเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์
* นำไฟฟ้าและความร้อนได้ดี

---

### 💡 **การใช้งานของแร่แรร์เอิร์ธ**

| หมวด                         | ตัวอย่างการใช้งาน                      | ธาตุหลักที่ใช้                                      |
| ---------------------------- | -------------------------------------- | --------------------------------------------------- |
| 🔋 **พลังงานสะอาด**          | แม่เหล็กมอเตอร์ในรถยนต์ไฟฟ้า, กังหันลม | นีโอไดเมียม (Nd), ดิสโพรเซียม (Dy), เทอร์เบียม (Tb) |
| 📱 **อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์** | สมาร์ตโฟน, คอมพิวเตอร์, หูฟัง, ลำโพง   | แลนทานัม (La), ซีเรียม (Ce), นีโอไดเมียม (Nd)       |
| 💡 **อุตสาหกรรมแสงสว่าง**    | หลอด LED, หน้าจอทีวี, เรืองแสง         | ยูโรเปียม (Eu), เทอร์เบียม (Tb), อิตเทรียม (Y)      |
| ⚙️ **อุตสาหกรรมกลาโหม**      | เรดาร์, ขีปนาวุธ, เครื่องบินรบ         | ซามาเรียม (Sm), นีโอไดเมียม (Nd), ดิสโพรเซียม (Dy)  |
| ☢️ **นิวเคลียร์และเคมี**     | ตัวกรองมลพิษ, ตัวเร่งปฏิกิริยาในน้ำมัน | ซีเรียม (Ce), แลนทานัม (La)                         |

---

### 🌍 **ประเทศผู้ผลิตหลัก**

* 🇨🇳 **จีน** (ผลิตกว่า 70–80% ของโลก)
* 🇺🇸 สหรัฐอเมริกา
* 🇦🇺 ออสเตรเลีย
* 🇨🇦 แคนาดา
* 🇹🇭 **ประเทศไทย** ก็มีแหล่งศักยภาพ เช่น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ในแร่โมนาไซต์และแบสเทนไซต์)

---

### ⚠️ **ข้อควรระวัง**

* การแยกและสกัดแร่แรร์เอิร์ธมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (น้ำเสีย, กัมมันตรังสี)
* เป็นทรัพยากรเชิงยุทธศาสตร์ — ประเทศผู้ครอบครองมีอำนาจทางเศรษฐกิจสูง

---------------------------------------
#26
ด้านล่างเป็น **ตัวอย่างสัญญาเช่าบ้าน** แบบง่าย ที่คุณสามารถใช้เป็น "แบบร่าง" แล้วปรับแก้ตามความเหมาะสม (ค่าเช่าเดือนละ 5,000 บาท, เงินประกัน 2 เดือน) — ขอแนะนำให้ตรวจสอบกับทนายความเพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมายไทย

---

**สัญญาเช่า (บ้านพักอาศัย)**
เลขที่ .........
ทำที่ ..............................................
วันที่ ...... เดือน ......... พ.ศ. .........

**ระหว่าง**
(1)         ชื่อ .................................... (ผู้ให้เช่า)
เลขบัตรประชาชน/หนังสือเดินทาง .................................
ที่อยู่ ..................................................................
(ต่อไปนี้เรียกว่า "ผู้ให้เช่า")

และ
(2)      ชื่อ .................................... (ผู้เช่า)
เลขบัตรประชาชน/หนังสือเดินทาง .................................
ที่อยู่ ..................................................................
(ต่อไปนี้เรียกว่า "ผู้เช่า")

**ข้อ 1 สถานที่เช่า**
ผู้ให้เช่าให้ผู้เช่าเช่า และผู้เช่ายินยอมเช่า บ้าน/ห้องพัก เลขที่ ....................................... หมู่ที่ ............
ถนน ....................................... ตำบล/แขวง ........................... อำเภอ/เขต ........................... จังหวัด ...........................
(ต่อไปนี้เรียกว่า "สถานที่เช่า")

**ข้อ 2 ระยะเวลาการเช่า**
เริ่มตั้งแต่วันที่ ......... เดือน ......... พ.ศ. ...... ถึงวันที่ ......... เดือน ......... พ.ศ. ...... รวมระยะเวลา ......... (เดือน/ปี)
(ถ้ามีเงื่อนไขการต่ออายุ ให้ระบุไว้ที่นี่)

**ข้อ 3 ค่าเช่า**
ผู้เช่ายินยอมชำระค่าเช่าแก่ผู้ให้เช่า จำนวนเดือนละ **5,000 บาท (ห้าพันบาทถ้วน)**
ผู้เช่าจ่ายล่วงหน้าในทุกวันที่ ...............ของเดือน หากล่าช้า ให้คิดค่าปรับ ...............บาท/วัน (ถ้าต้องการ)

**ข้อ 4 เงินประกัน (เงินมัดจำ)**
ผู้เช่ายินยอมวางเงินประกันจำนวน **2 เดือนค่าเช่า รวมเป็น 10,000 บาท** เมื่อเซ็นสัญญา และจะได้รับคืนเมื่อสิ้นสุดสัญญา (หักค่าเสียหาย/ค้างชำระ ถ้ามี)

**ข้อ 5 วัตถุประสงค์การใช้**
ผู้เช่าใช้สถานที่เช่าเพื่ออยู่อาศัยเท่านั้น และไม่ใช้เพื่อการค้า/โรงงาน/กิจกรรมที่ก่อให้เกิดรบกวนโดยไม่บอกผู้ให้เช่า

**ข้อ 6 สิทธิและหน้าที่ของผู้ให้เช่า**

* ผู้ให้เช่าต้องส่งมอบสถานที่เช่าในสภาพที่ใช้อยู่อาศัยได้
* ผู้ให้เช่าดูแลซ่อมแซมโครงสร้างหลัก เช่น หลังคา ผนัง หากเกิดจากสภาพทั่วไป

**ข้อ 7 สิทธิและหน้าที่ของผู้เช่า**

* ผู้เช่ารักษาสถานที่เช่าให้สะอาด ไม่ทำให้เสียหายเกินเหตุจากการใช้งานปกติ
* หากผู้เช่าหรือแขกของผู้เช่าทำให้สถานที่เสียหาย ต้องรับผิดชอบซ่อมแซมหรือชำระค่าเสียหาย
* ไม่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างหลักโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ให้เช่า
* ผู้เช่ายินยอมให้ผู้ให้เช่า/ตัวแทน เข้าได้ในกรณีฉุกเฉิน หรือซ่อมบำรุง โดยแจ้งล่วงหน้า (ถ้ายึดตามที่ตกลง)

**ข้อ 8 ค่าสาธารณูปโภค**
ผู้เช่าเป็นผู้รับผิดชอบค่าด้วยตนเอง เช่น ค่าน้ำ, ค่าไฟฟ้า, อินเทอร์เน็ต, ค่าโทรศัพท์ (ระบุให้ชัดเจนตามตกลง)

**ข้อ 9 การยกเลิกสัญญา**

* หากผู้เช่าผิดสัญญา เช่น ไม่จ่ายค่าเช่าเกิน ... วัน ผู้ให้เช่ามีสิทธิยกเลิกสัญญา และขับไล่
* หากผู้ให้เช่าผิดสัญญา เช่น ไม่ซ่อมแซมสภาพที่อาศัยได้ ผู้เช่ามีสิทธิเลิกสัญญา (ระบุเงื่อนไขให้ชัด)
* เมื่อสิ้นสุดสัญญา ผู้เช่าต้องคืนสถานที่เช่าในสภาพที่ดี (หักจากการใช้งานปกติ)

**ข้อ 10 การโอนสิทธิ/ให้เช่าช่วง**
ผู้เช่าไม่สามารถโอนสิทธิหรือให้ผู้อื่นเช่าต่อ (sublet) หรือเปลี่ยนผู้เช่าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ให้เช่าเป็นลายลักษณ์อักษร

**ข้อ 11 ข้อกำหนดทั่วไป**

* สัญญานี้จัดทำเป็นสองฉบับ ผู้ให้เช่าและผู้เช่าแต่ละฝ่ายถือไว้ฝ่ายละหนึ่ง
* ทั้งสองฝ่ายอ่านและทำความเข้าใจเงื่อนไขก่อนเซ็น
* ถ้ามีข้อโต้แย้ง ให้ใช้กฎหมายไทยเป็นแนวทาง

ลงชื่อผู้ให้เช่า ....................................
( .......................................... )

ลงชื่อผู้เช่า ....................................
( .......................................... )

ลงวันที่ ......... เดือน ......... พ.ศ. ......

----------------------------------------
#27
ให้เช่าบ้าน 2 ชั้น ราคา 5,000 บาท ซอยสามเสน18 พื้นที่ 10 ตร.วา เริ่มเช่าเดือน ธ.ค.2568 ไม่มีที่จอดรถยนต์

ทำสัญญา 1 ปี เงินประกัน 2 เดือน ค่าเช่า 1 เดือน รวม 15,000 บาท

แผนที่  https://maps.app.goo.gl/zknUs1BHXs9to6ao7

สนใจติดต่อ
สรพล
081-446-5311
line : junjaocom
#28
แนวคิด **การตลาด 4P 4C และ 4E** เป็นกรอบวิเคราะห์กลยุทธ์ทางการตลาดที่ช่วยให้เข้าใจ "สิ่งที่ธุรกิจต้องทำ" และ "สิ่งที่ลูกค้าต้องการ" ได้ชัดเจนขึ้น โดยแต่ละโมเดลพัฒนาและต่อยอดกันตามยุคสมัยครับ 👇

---

## 🎯 1. การตลาด 4P (Marketing Mix) — มุมมองของ "ธุรกิจ"

เป็นแนวคิดดั้งเดิมของ **Philip Kotler** ที่ใช้วางกลยุทธ์ทางการตลาด
เน้น "สิ่งที่บริษัทต้องทำ" เพื่อให้สินค้าขายได้ดี

| หมวด              | คำเต็ม            | ความหมาย                                              |
| ----------------- | ------------------ | ----------------------------------------------------- |
| **P1: Product**  | สินค้า            | สินค้าหรือบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า      |
| **P2: Price**    | ราคา              | การตั้งราคาให้เหมาะสมกับคุณค่าและกลุ่มเป้าหมาย        |
| **P3: Place**    | ช่องทางจัดจำหน่าย  | การนำสินค้าไปถึงมือลูกค้า เช่น ออนไลน์ ร้านค้า ตัวแทน |
| **P4: Promotion** | การส่งเสริมการตลาด | การโฆษณา โปรโมชั่น หรือกิจกรรมเพื่อกระตุ้นยอดขาย      |

🧩 **สรุป:** 4P = สิ่งที่ "ธุรกิจ" ทำเพื่อให้ลูกค้าซื้อสินค้า

---

## 💡 2. การตลาด 4C — มุมมองของ "ลูกค้า"

เป็นแนวคิดที่พัฒนาโดย **Robert F. Lauterborn**
เพื่อให้ธุรกิจเปลี่ยนมามองจาก "สิ่งที่ลูกค้าต้องการจริง ๆ"

| หมวด                  | คำเต็ม              | ความหมาย                                                              |
| ---------------------- | -------------------- | ---------------------------------------------------------------------- |
| **C1: Customer Needs** | ความต้องการของลูกค้า | เข้าใจปัญหาและความต้องการของลูกค้าจริง ๆ ไม่ใช่แค่ขายสินค้า            |
| **C2: Cost**          | ต้นทุนของลูกค้า      | มองรวมถึงราคาสินค้า + ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น เวลาเดินทาง หรือความเสี่ยง |
| **C3: Convenience**    | ความสะดวกสบาย        | ทำให้ลูกค้าซื้อได้ง่าย เช่น สั่งผ่านแอป ชำระเงินออนไลน์                |
| **C4: Communication**  | การสื่อสาร          | สื่อสารแบบสองทาง ไม่ใช่แค่โฆษณา แต่ต้องฟังเสียงลูกค้าด้วย              |

🧭 **สรุป:** 4C = สิ่งที่ "ลูกค้า" ต้องการจากธุรกิจ

---

## 🚀 3. การตลาด 4E — มุมมองยุคดิจิทัลและประสบการณ์

พัฒนาโดย **Brian Fetherstonhaugh (Ogilvy & Mather)**
เน้น "ประสบการณ์และความสัมพันธ์" มากกว่าการขายของ

| หมวด              | คำเต็ม                  | ความหมาย                                                      |
| ------------------ | ------------------------ | -------------------------------------------------------------- |
| **E1: Experience** | ประสบการณ์              | ลูกค้าไม่ได้ซื้อสินค้า แต่ซื้อ "ประสบการณ์" ที่ได้รับจากแบรนด์ |
| **E2: Exchange**  | การแลกเปลี่ยนคุณค่า      | เน้นคุณค่าที่ลูกค้าได้รับ ไม่ใช่แค่ราคา                        |
| **E3: Everyplace** | ทุกที่ทุกเวลา            | สินค้าหรือแบรนด์เข้าถึงได้ทุกช่องทาง (Omni-channel)            |
| **E4: Evangelism** | การบอกต่อ / สร้างแฟนคลับ | ทำให้ลูกค้ากลายเป็นผู้สนับสนุนแบรนด์ (word of mouth)          |

🌐 **สรุป:** 4E = การตลาดยุคดิจิทัล ที่สร้าง "ความสัมพันธ์ระยะยาว" กับลูกค้า

---

## 🔄 เปรียบเทียบภาพรวม

| มุมมอง    | 4P (ธุรกิจ) | 4C (ลูกค้า)    | 4E (ประสบการณ์) |
| --------- | ----------- | -------------- | --------------- |
| สินค้า    | Product    | Customer Needs | Experience      |
| ราคา      | Price      | Cost          | Exchange        |
| ช่องทาง  | Place      | Convenience    | Everyplace      |
| การโปรโมต | Promotion  | Communication  | Evangelism      |

----------------------------------------------
#29
การเลือกของขวัญวันเกิดให้ตรงใจคนอายุต่าง ๆ นั้น แนะนำให้คิดจาก **วัย / ไลฟ์สไตล์ / สิ่งที่เขาสนใจ/ความจำเป็น** เป็นหลักครับ แล้วค่อยเลือกงบ และแนวที่เหมาะสม วันนี้ผมสรุปให้เป็นช่วงวัย + พร้อมตัวอย่างของขวัญจริง ๆ  (ที่หาซื้อได้ในไทย/ออนไลน์) ด้วย เผื่อให้เป็นไอเดียได้เลยครับ

---

## 🎁 ไอเดียตามช่วงวัย

### 1) เด็กเล็ก (0-5 ปี)

![Image](https://m.media-amazon.com/images/I/71lhzJP2gGL.jpg)

![Image](https://m.media-amazon.com/images/I/71Szt-r-evL.jpg)

![Image](https://m.media-amazon.com/images/I/71KIocz1MPL.jpg)

![Image](https://m.media-amazon.com/images/I/71U06Q9P9YL.jpg)

![Image](https://m.media-amazon.com/images/I/71K2gxVCMML.jpg)

![Image](https://pocketofpreschool.com/wp-content/uploads/2018/09/Slide1-1.jpg)

**โฟกัส**: ความปลอดภัย, เล่นได้, ช่วยพัฒนาการ
**แนวของขวัญ**:

* ชุดของเล่นเสริมพัฒนาการ เช่น บล็อกไม้, ตัวต่อเบา ๆ, ของเล่น Montessori / เชิงเรียนรู้ ([St. Jude together][1])
* หนังสือภาพ, พรมเด็กเล่น, ตุ๊กตานุ่ม
* เครื่องแต่งตัวเล็ก ๆ หรืออุปกรณ์กิจกรรมกลางแจ้ง (ถ้ามีพื้นที่)
  **คำแนะนำ**: เลือกวัสดุปลอดภัย, ไม่มีส่วนเล็กมากเกินไปสำหรับเด็กเล็ก, อย่าเน้นแบรนด์แพงจนเกินจำเป็น

---

### 2) เด็กโต / อายุประมาณ 6-12 ปี

![Image](https://www.northcarolinacharm.com/wp-content/uploads/2024/10/7-Year-Old-Girl-Gift-Guide-1.jpg)

![Image](https://www.ahealthysliceoflife.com/wp-content/uploads/2021/10/2021-gift-guide-for-7-year-old-girls-683x1024.jpg)

![Image](https://www.playpartyplan.com/wp-content/uploads/2019/12/untitled-1-of-2.jpg)

![Image](https://arinsolangeathome.com/wp-content/uploads/2023/11/10-yr-old-Boys-2024-Gift-Guide-.png)

![Image](https://m.media-amazon.com/images/I/81ACBwlP8qL._AC_UF894%2C1000_QL80_.jpg)

![Image](https://i.etsystatic.com/44285880/r/il/3ac983/6837875483/il_1080xN.6837875483_7x18.jpg)

**โฟกัส**: สนุก, เรียนรู้, เริ่มมี "ความสนใจ" เฉพาะตัว
**แนวของขวัญ**:

* ชุดตัวต่อ / LEGO / เกมกระดาน / ปริศนา (puzzle) ที่เหมาะกับวัย ([St. Jude together][1])
* เครื่องมือสร้างสรรค์ เช่น ชุดงานศิลป์, เครื่องดนตรีเบา ๆ
* หนังสือ / เกมเรียนรู้
  **คำแนะนำ**: เลือกของที่เขาสามารถใช้ได้หลายครั้ง, หรือที่ช่วยพัฒนาทักษะไม่ใช่แค่ "ของเล่นที่เล่นครั้งเดียว"

**ตัวอย่างสินค้าที่น่าสนใจ**:

### [LEGO Fortnite 77073 Battle Bus]()

#### LEGOเด็กโต

*THB 3,023.33*

### [Throw Throw Burrito Game]()

#### เกมครอบครัว

*THB 324.43*

### [Buffalo Games Skee‑Ball]()

#### เกมอาเขตในบ้าน

*THB 1,259.03*

### [Air Toobz Fat Brain]()

#### ของเล่นสร้างสรรค์

*THB 5,190.48*

### [DKZ 1000‑Piece Fidget Toys Pack]()

#### ชุดฟิดเจ็ตเด็กโต

*THB 1,711.99*

### [NeeDoh Nice Cube]()

#### ของเล่นคลายเครียด

*THB 202.00*

### [FONNEY กำไลหินวันเกิด วันเสาร์]()

#### เครื่องประดับวัยรุ่น

*THB 1,040.00*

### [Glamorous Hamper Hamper V1]()

#### กระเช้าของขวัญอเนกประสงค์

*THB 345.00*

* [LEGO Fortnite 77073 Battle Bus](): สำหรับเด็กโตหรือนักสะสม LEGO + เกม
* [Throw Throw Burrito Game](): เกมสนุกๆ เล่นกับครอบครัว/เพื่อน
* [Buffalo Games Skee‑Ball](): เกมอาเขตในบ้าน เพิ่มความสนุก
* [Air Toobz Fat Brain](): ของเล่นสร้างสรรค์สำหรับวัยกลางๆ
* [DKZ 1000‑Piece Fidget Toys Pack](): สำหรับวัยที่เริ่มสนใจฟิดเจ็ต/คลายเครียด
* [NeeDoh Nice Cube](): ของเล่นเล็กๆ ให้สนุกคลายเครียด
* [FONNEY กำไลหินวันเกิด วันเสาร์](): สำหรับเด็กโต/วัยรุ่นที่เริ่มสนใจเครื่องประดับ
* [Glamorous Hamper Hamper V1](): กระเช้าของขวัญอเนกประสงค์ ใช้ได้หลายวัย

---

### 3) วัยรุ่น (13-19 ปี)

![Image](https://lbsgoodspoon.com/wp-content/uploads/2024/11/Teen-683x1024.png)

![Image](https://nestingwithgrace.com/wp-content/uploads/2024/11/Instagram-Story-31.jpg)

![Image](https://m.media-amazon.com/images/I/71bNcH2%2BrqL.jpg)

![Image](https://i.etsystatic.com/53405142/r/il/4935c4/6347069474/il_fullxfull.6347069474_bt6j.jpg)

![Image](https://tinybeans.com/wp-content/uploads/2023/11/Tech-For-Teens.jpeg)

![Image](https://familystyleschooling.com/wp-content/uploads/2016/11/electronic-gifts.png)

**โฟกัส**: ตัวตน, เทรนด์, ความสนใจเฉพาะตัว
**แนวของขวัญ**:

* เครื่องแต่งตัว / เครื่องประดับ / Accessory ตามเทรนด์
* เทคโนโลยีเล็ก ๆ เช่น หูฟัง, กำไลอัจฉริยะ, เคสมือถือ
* ประสบการณ์ (voucher คอร์สเรียน, ตั๋วคอนเสิร์ต)
  **คำแนะนำ**: พยายามสอบถาม/สังเกตว่าเขาสนใจอะไร เพราะวัยรุ่นแต่ละคนค่อนข้างมีสไตล์เฉพาะ

---

### 4) ผู้ใหญ่ตอนต้น (20-40 ปี)

![Image](https://poisedpetite.com/wp-content/uploads/2020/11/1CF541AA-8071-4F85-8DCF-7408C76042BC-576x1024.jpeg)

![Image](https://images.squarespace-cdn.com/content/v1/56e7391c60b5e9503c7fc907/1697938335117-S8CQ0W96FQ48NX4MMNWA/Gift%2BIdeas%2Bfor%2BCamping%2Bfor%2BChristmas.jpg)

![Image](https://www.theidearoom.net/wp-content/uploads/2018/11/YOUNG-ADULT-WOMEN-GIFT-GUIDE.png)

![Image](https://images.squarespace-cdn.com/content/v1/56e7391c60b5e9503c7fc907/8934dd0e-4cdc-4ca5-a5a6-60f9fab42d0e/2023%2BGift%2BGuide%2Bfor%2BYoung%2BAdults%2B-%2BChristmas%2BGift%2BIdeas.jpg)

![Image](https://m.media-amazon.com/images/I/71NwS10kvpL._AC_UF1000%2C1000_QL80_.jpg)

![Image](https://m.media-amazon.com/images/I/81KUDt%2B2xtL.jpg)

**โฟกัส**: ไลฟ์สไตล์, งาน, ความผ่อนคลาย, ประสบการณ์
**แนวของขวัญ**:

* ของใช้คุณภาพดี: เช่น กำไล/นาฬิกา/เครื่องแต่งตัว
* อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับงาน / การพัฒนา / งานอดิเรก
* ประสบการณ์: บัตรคอร์ส, เวิร์กช็อป, ทริปเล็ก ๆ
* กระเช้าของขวัญที่รวมของหลาย ๆ อย่างในหนึ่ง เช่น ชา/กาแฟ/ขนมพรีเมียม
  **คำแนะนำ**: พิจารณาเรื่องความเหมาะสมกับสถานะ เช่น ถ้ามีครอบครัวแล้ว อาจเป็นของเพื่อบ้าน / สันทนาการร่วมกัน

---

### 5) ผู้ใหญ่กลาง-แก่ (40-60 ปีขึ้นไป)

![Image](https://m.media-amazon.com/images/I/714gT3gY%2B6L.jpg)

![Image](https://m.media-amazon.com/images/I/81z1v9zyyAL._AC_UF894%2C1000_QL80_.jpg)

![Image](https://m.media-amazon.com/images/I/81K3syeT8FL.jpg)

![Image](https://media-cldnry.s-nbcnews.com/image/upload/t_fit-720w%2Cf_auto%2Cq_auto%3Abest/rockcms/2023-11/AMAZON-84706b.jpg)

![Image](https://www.mychicobsession.com/wp-content/uploads/2023/11/For-Her-Hobbies.jpg)

![Image](https://www.mychicobsession.com/wp-content/uploads/2023/11/For-Her-Home.jpg)

**โฟกัส**: รางวัลชีวิต, การผ่อนคลาย, สุขภาพ, ความทรงจำ
**แนวของขวัญ**:

* อุปกรณ์ดูแลสุขภาพ / สปา / นวด / บัตรกำนัลพักผ่อน
* ของสะสม หรือของที่ให้ความทรงจำดี
* งานอดิเรก: อุปกรณ์ตกแต่งบ้าน, งานไม้, งานศิลป์
* กระเช้า/เซ็ตของขวัญคุณภาพสูง
  **คำแนะนำ**: เน้นคุณภาพมากกว่ายี่ห้อแฟชั่น, ให้ความหมาย+ความสะดวกสบาย

---

## ✅ สรุป & Tips หลัก

* คำนึงถึง **วัย + ความสนใจ + ไลฟ์สไตล์** ของผู้รับ
* เลือกของที่ใช้ได้จริง (ไม่ใช่ของที่แค่เก็บไว้เฉย ๆ )
* ถ้าเป็นของสำหรับไทย: พิจารณาเรื่องส่ง/ภาษี/ศุลกากร (ถ้าซื้อต่างประเทศ)
* ถ้าไม่แน่ใจว่าเขาอยากได้อะไร: เลือกเป็น **บัตรกำนัล / กระเช้าของขวัญ** ก็เป็นทางเลือกที่ดี
* อย่าลืม "การห่อ/การนำเสนอ" ให้ดูดี นี่ก็ทำให้ของขวัญรู้สึกพิเศษขึ้น

---------------------------------------------
#30
mt4 2025.10.27 00:36:27.544 TestGenerator: unmatched data error (volume limit 885 at 2025.10.10 04:00 exceeded) แก้ไขอย่างไร

ข้อความ error ใน MetaTrader 4 ที่ว่า

> **"TestGenerator: unmatched data error (volume limit 885 at 2025.10.10 04:00 exceeded)"**

หมายถึง **ข้อมูลราคาหรือปริมาณ Volume ในช่วงเวลานั้น (2025.10.10 04:00)** ไม่ตรงกันหรือเกินขอบเขตของข้อมูลที่ตัวทดสอบกลยุทธ์ (Strategy Tester) สามารถใช้ได้ → ทำให้ EA หรือ Backtest หยุด หรือให้ผลลัพธ์ผิดพลาด

---

### 🔍 สาเหตุหลักที่พบบ่อย

1. **ข้อมูลราคาย้อนหลัง (Historical Data) เสียหาย / ไม่ครบ**

   * เช่นมีข้อมูล M1 แต่ไม่ครบ หรือมี Gap ระหว่างเวลา
   * เกิดขึ้นบ่อยเมื่อดาวน์โหลดข้อมูลจาก broker ที่ต่างกัน หรือเปลี่ยนโบรกเกอร์

2. **ช่วงเวลา (Timeframe) ที่ Backtest ใช้ข้อมูลไม่สัมพันธ์กัน**

   * เช่น คุณทดสอบที่ TF H1 แต่ข้อมูล M1 ที่ใช้สร้าง model ไม่ครบ

3. **ไฟล์ .fxt / .hst เก่าหรือไม่ตรงกับ Symbol**

   * ถ้าเคย backtest Symbol เดิมมาก่อน แล้วเปลี่ยน broker / เปลี่ยนค่าข้อมูล แต่ยังใช้ไฟล์เดิม

4. **EA ใช้ข้อมูล Volume หรือ Tick เกินจริง**

   * เช่น เขียนโค้ดเรียก volume หรือ tick ในลักษณะที่เกินขอบเขต

---

### ✅ วิธีแก้ทีละขั้นตอน

#### **วิธีที่ 1: ล้างและดาวน์โหลดข้อมูลใหม่**

1. ไปที่เมนู **Tools → History Center (F2)**
2. เลือก Symbol ที่ใช้ (เช่น EURUSD → M1)
3. คลิก **Delete** ลบข้อมูลทั้งหมด
4. จากนั้นคลิก **Download** เพื่อโหลดข้อมูลใหม่

   * ถ้าใช้ broker จริง ให้เชื่อมต่อ server และกด *Download* จาก MetaQuotes

> 🔸 หากต้องการความแม่นยำสูงสุด ให้โหลด timeframe M1 ก่อน แล้วค่อยเปิด backtest

---

#### **วิธีที่ 2: ลบไฟล์ backtest เดิม**

1. ปิด MT4
2. ไปที่โฟลเดอร์:

   ```
   C:\Users\<ชื่อผู้ใช้>\AppData\Roaming\MetaQuotes\Terminal\<รหัสบัญชี>\tester\history
   ```
3. ลบไฟล์ทั้งหมดในโฟลเดอร์ `history` และ `cache`
4. เปิด MT4 ใหม่ แล้วทดสอบอีกครั้ง

---

#### **วิธีที่ 3: ตรวจสอบการตั้งค่าใน Strategy Tester**

* Mode ควรใช้:

  * "**Every tick (the most precise method)**"
  * หรือถ้าทดสอบเร็ว ให้ใช้ "**Open prices only**" แทน เพื่อหลีกเลี่ยง tick mismatch
* ตรวจสอบให้แน่ใจว่า Symbol และ timeframe ตรงกับข้อมูลที่โหลดไว้ใน History Center

---

#### **วิธีที่ 4: ปรับหรือจำกัดการอ่าน Volume ใน EA**

ถ้า EA ใช้ `Volume[]`, `iVolume()`, หรือ `TickVolume` ตรวจสอบว่าไม่ได้อ้าง index เกินจำนวนแท่ง เช่น:

```mql4
if (i < 1) return; // ป้องกันการอ่านแท่งก่อนหน้าเมื่อ i=0
```

หรือในกรณี backtest บนข้อมูลจำกัด:

```mql4
int bars = Bars;
if (bars < 100) return;
```

---

### ⚠️ หมายเหตุ

ถ้าใช้ **ไฟล์ .csv / .fxt ที่สร้างจาก Tickstory หรือ Tick Data Suite** →
ให้ตรวจสอบว่าข้อมูลถูกสร้างด้วย broker เดียวกัน และใช้ Timezone เดียวกับใน MT4 ไม่เช่นนั้นจะ mismatch ได้ง่าย

---

หากคุณบอกผมได้ว่า:

* Symbol ที่ทดสอบ (เช่น EURUSD, XAUUSD ฯลฯ)
* Timeframe
* และ Mode ที่ใช้ใน Strategy Tester
--------------------------------------------
#31
คำถามนี้ดีมากครับ 😊 — คำตอบไม่ได้มีแบบ "ถูกหรือผิด" แต่ขึ้นอยู่กับ **มุมมองชีวิตและเป้าหมายของแต่ละคน**
อย่างไรก็ตาม เราสามารถเปรียบเทียบ "อายุน้อยรวย" กับ "อายุมากรวย" ได้ชัดเจนแบบนี้ครับ 👇

---

### 💸 1. **อายุน้อยรวย (รวยเร็ว)**

**ข้อดี**

* ✅ **มีเวลาใช้เงิน** — ยังมีแรง เที่ยว เล่น ลงทุนต่อยอดได้อีกนาน
* ✅ **มีโอกาสเสี่ยงและเรียนรู้** — สามารถลงทุนใหม่ ๆ หรือเริ่มธุรกิจอื่นได้อีก
* ✅ **สร้างอิสรภาพเร็ว** — มีอิสระทางการเงินก่อนคนอื่น
* ✅ **สะสมประสบการณ์เร็ว** — ได้เรียนรู้การจัดการเงินตั้งแต่อายุยังน้อย

**ข้อเสีย**

* ⚠️ **ขาดวุฒิภาวะทางการเงิน** — ถ้าไม่มีวินัย อาจใช้เงินฟุ่มเฟือยจนหมด
* ⚠️ **แรงกดดันสูง** — ต้องรักษาความสำเร็จไว้ให้ได้ในระยะยาว
* ⚠️ **ความสัมพันธ์และการใช้ชีวิตอาจเสียสมดุล** — มุ่งแต่หาเงินเร็วเกินไป

---

### 🧓 2. **อายุมากรวย (รวยช้า)**

**ข้อดี**

* ✅ **มีประสบการณ์ชีวิตและวุฒิภาวะสูง** — ใช้เงินอย่างรู้คุณค่า
* ✅ **เข้าใจคุณค่าของความพยายาม** — รวยจากการสะสมและวางแผนระยะยาว
* ✅ **มักมีฐานะมั่นคงและไม่เสี่ยงมาก** — เพราะรู้จักบริหารความเสี่ยงดีขึ้น

**ข้อเสีย**

* ⚠️ **มีเวลาน้อยลงในการใช้ชีวิตหรูหรา** — สุขภาพและพลังอาจไม่เหมือนเดิม
* ⚠️ **อาจรู้สึกเสียดายเวลาในอดีต** — อยากมีโอกาสใช้เงินตั้งแต่วัยหนุ่มสาว
* ⚠️ **โอกาสลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงมักผ่านไปแล้ว**

---

### 🔍 สรุปแบบเข้าใจง่าย

| มุมมอง                   | อายุน้อยรวย            | อายุมากรวย             |
| :----------------------- | :--------------------- | :--------------------- |
| **เวลาใช้ชีวิต**         | เยอะ ใช้เงินได้เต็มที่ | น้อยลง สุขภาพเริ่มมีผล |
| **ประสบการณ์จัดการเงิน** | ยังไม่มาก อาจใช้ผิดทาง | สูง รู้จักวางแผน       |
| **โอกาสลงทุนต่อยอด**     | มาก เสี่ยงได้อีก       | น้อยลง เน้นความปลอดภัย |
| **ความสุขจากความสำเร็จ** | เร็ว แต่กดดัน          | ช้า แต่ภูมิใจ          |
| **ความมั่นคงในระยะยาว**  | ต้องสร้างเพิ่ม         | มักมั่นคงกว่า          |

---

### 🧠 บทสรุปจากมุมมอง "สมดุลชีวิต"

> "ดีที่สุดคือ **รวยพอเหมาะในเวลาที่เหมาะสม**"
> อาจไม่ต้อง "รวยเร็ว" หรือ "รวยช้า"
> แต่ให้ **วางแผนตั้งแต่วันนี้** เพื่อให้ถึงจุดที่ "ไม่ต้องดิ้นรน" และ "ยังมีแรงใช้ชีวิตได้เต็มที่"

--------------------------------------------
#32
**สแกมเมอร์ (Scammer)** คือ
**"มิจฉาชีพที่ใช้กลโกงเพื่อหลอกเอาทรัพย์สินหรือข้อมูลส่วนตัวของผู้อื่น"** โดยส่วนใหญ่จะอาศัย **ความไว้ใจ ความไม่รู้ หรือความรีบของเหยื่อ** เพื่อให้ตกหลุมพราง เช่น ให้โอนเงิน เปิดเผยรหัส OTP หรือส่งข้อมูลบัตรเครดิต เป็นต้น

---

### 🔍 ตัวอย่างพฤติกรรมของสแกมเมอร์

1. **แอบอ้างองค์กร / หน่วยงานราชการ**

   * เช่น แอบอ้างว่าเป็น "เจ้าหน้าที่ธนาคาร", "ตำรวจ", "ศาล" แล้วอ้างว่ามีคดีหรือต้องยืนยันตัวตน
2. **หลอกให้ลงทุน / เล่นแชร์ / เทรด**

   * อ้างว่ากำไรสูง ถอนเงินได้แน่ แต่สุดท้ายปิดเพจหนี
3. **ปลอมเป็นคนรู้จัก**

   * ใช้โปรไฟล์เพื่อนใน LINE หรือ Facebook มาขอยืมเงิน
4. **ส่งลิงก์หลอก (Phishing)**

   * ให้คลิกเพื่อกรอกข้อมูลบัตรเครดิต หรือรหัส OTP
5. **ขายของออนไลน์ปลอม**

   * โอนเงินแล้วไม่ส่งของ หรือส่งของไม่ตรงตามที่สั่ง

---

### 💡 วิธีสังเกตสแกมเมอร์

* ใช้ **ข้อความเร่งเร้าให้รีบตัดสินใจ**
* ขอข้อมูลส่วนตัว เช่น บัตรประชาชน, OTP, รหัสผ่าน
* ใช้ **บัญชีธนาคารบุคคลธรรมดา** ในการรับเงิน
* มักพูดจาเนียน มีโลโก้หรือเว็บไซต์ปลอมที่ดูเหมือนจริง

---

### 🛡� วิธีป้องกันตัว

* อย่าให้ **รหัสผ่าน / OTP / ข้อมูลบัตร** กับใคร
* ตรวจสอบชื่อบัญชี / เบอร์โทร / เพจ ในเว็บ [ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม](https://www.antifakenewscenter.com) หรือ [เช็กก่อนโอน](https://www.thaipoliceonline.com)
* หากสงสัย โทรสอบถามหน่วยงานจริงก่อนเสมอ
* ใช้ **2FA (Two-Factor Authentication)** กับทุกบัญชีสำคัญ

-------------------------------------------------
#33
คำถามดีมากครับ — "ทำไมมิจฉาชีพถึงรู้ชื่อและเบอร์มือถือของเราได้" เป็นสิ่งที่หลายคนสงสัย และจริง ๆ แล้วมีหลาย **ช่องทาง** ที่ข้อมูลส่วนตัวของเราสามารถ "รั่วไหล" หรือ "ถูกเข้าถึง" ได้โดยที่เราไม่รู้ตัวเลยครับ

---

## 🔍 สาเหตุหลักที่มิจฉาชีพรู้ชื่อและเบอร์ของเรา

### 1. **ข้อมูลรั่วจากแหล่งข้อมูลหรือระบบออนไลน์**

* เว็บไซต์ / แอปที่เราเคยสมัคร (เช่น สมัครสมาชิก, กรอกแบบฟอร์ม, โหลดคูปอง ฯลฯ)
* ระบบของบริษัท / หน่วยงานที่เราใช้บริการ (เช่น ธนาคาร, โทรศัพท์มือถือ, ประกัน ฯลฯ) ถูกแฮก
* ตัวอย่างเช่น เคยมีเหตุ "ฐานข้อมูลผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ" หรือ "เว็บช้อปปิ้งออนไลน์" รั่วไหลออกมา

👉 มิจฉาชีพอาจซื้อข้อมูลเหล่านี้จากตลาดมืด (dark web) ได้ในราคาถูกมาก

---

### 2. **เรากรอกข้อมูลไว้ในแบบฟอร์มหรือแคมเปญออนไลน์**

* เช่น สมัครรับของฟรี, เล่นเกม, กรอกแบบสอบถาม, หรือสมัครโปรโมชั่นบน Facebook / LINE / เว็บไซต์ต่าง ๆ
* บางเว็บเก็บข้อมูลเราไปขายต่อ (เรียกว่า "data broker")

---

### 3. **ใช้เบอร์ผูกกับบริการสาธารณะ**

* เช่น สมัครแอปที่แสดงชื่อผู้โทร (เช่น Truecaller, Whoscall)
  → ถ้ามีคนบันทึกชื่อเราในมือถือว่า "พี่เอกช่างแอร์" ระบบอาจดึงชื่อไปแสดงให้คนอื่นเห็นได้
* หรือบางกรณี ใช้เบอร์ผูกกับบัญชีสาธารณะ (LINE, Facebook, TikTok) ที่เปิดเผยชื่อ

---

### 4. **การหลอกถามข้อมูลโดยตรง (Phishing / Social Engineering)**

* โทรมาปลอมเป็นเจ้าหน้าที่ แล้วหลอกให้เราบอกชื่อ, เบอร์, บัตรประชาชน
* หรือส่งลิงก์ปลอมให้กรอกข้อมูลเอง (SMS, Email, หรือ LINE)

---

### 5. **คนใกล้ตัว / ร้านค้า / พนักงานบางแห่ง**

* ร้านมือถือ, ร้านทอง, บริษัทประกัน, พนักงานขาย ฯลฯ
  บางคนอาจขายข้อมูลลูกค้าให้มิจฉาชีพโดยตรง (มีรายงานหลายกรณีในไทย)

---

## 🧠 สรุปสั้น ๆ

> ข้อมูลของเรารั่วจากทั้ง "ระบบ" และ "พฤติกรรม" ของเราเอง
> มิจฉาชีพแค่ต้องซื้อหรือค้นหาข้อมูลจากหลายแหล่งมาประกอบกันเท่านั้นเองครับ

---

## 🛡� วิธีป้องกันตัว

1. **อย่าโพสต์เบอร์โทร / บัตรประชาชนในที่สาธารณะ**
2. **ระวังเว็บไซต์หรือแคมเปญที่ให้กรอกข้อมูลส่วนตัว**
3. **ใช้เบอร์สำรองสมัครบริการออนไลน์**
4. **ตั้งค่าความเป็นส่วนตัวใน LINE / Facebook / Truecaller**
5. **ติดตามข่าว "ข้อมูลรั่วไหล"** (เช่น เว็บไซต์ HaveIBeenPwned.com)
6. **หากถูกหลอก — แจ้งที่ 1441 (ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม)** หรือ **ธปท. / สอท.**

--------------------------------------
#34
ได้ครับ — มีสองกรณีหลัก ขึ้นกับว่าคุณ **จำรหัส (passcode)** ได้หรือไม่ ผมสรุปวิธีทำที่ปลอดภัยตามช่องทางของ Apple ให้เลยพร้อมข้อควรระวัง:

---

# กรณี 1 — ถ้าคุณ **จำรหัสอยู่** (อยากเอารหัสออก)

1. เข้าไปที่ **การตั้งค่า (Settings)**.
2. เลือก **Face ID & Passcode** หรือ **Touch ID & Passcode** (ขึ้นกับรุ่น).
3. ใส่รหัสปัจจุบันเมื่อระบบขอ.
4. แตะ **Turn Passcode Off** (หรือ Disable Passcode) แล้วยืนยัน.

> ผล: เครื่องจะถอดรหัสหน้าจอออก แต่ข้อมูลยังอยู่ครบ และถอดได้ทันทีต้องใส่รหัสปัจจุบันก่อน

---

# กรณี 2 — ถ้าคุณ **ลืมรหัส / ใส่ผิดจนติดล็อก** (ต้องลบข้อมูลแล้วตั้งค่าใหม่)

> หมายเหตุสำคัญ: วิธีนี้จะ **ลบข้อมูลทั้งหมด** บน iPad ถ้าไม่มีแบ็กอัพ ข้อมูลจะหาย ต้องมีสำรอง (iCloud หรือ คอมพิวเตอร์) ถึงจะคืนได้

**วิธี A — ใช้คอมพิวเตอร์ (Finder บน macOS Catalina ขึ้นไป หรือ iTunes บน Windows/older macOS)**

1. ติดตั้ง Finder/iTunes เวอร์ชันล่าสุดบนคอมพิวเตอร์ และเตรียมสาย USB ที่ใช้ต่อกับ iPad.
2. ปิดเครื่อง iPad (ถ้าปิดไม่ได้ ให้ทำตามขั้นตอนปิดเฉพาะรุ่น).
3. เปิด **Recovery Mode** ขึ้นกับรุ่น:

   * iPad ที่มี **ปุ่ม Home**: ขณะที่ต่อสายไปยังคอมพิวเตอร์ ให้ **กดค้างปุ่ม Home** จนเห็นหน้าจอ recovery (รูปสาย USB/คอมพิวเตอร์ หรือโลโก้ iTunes/Finder ขึ้น).
   * iPad **ไม่มีปุ่ม Home / มี Face ID**: ขณะที่ต่อสายไปยังคอมพิวเตอร์ ให้ **กดค้างปุ่ม Top (ปุ่มเปิด/ปิด)** จนเห็นหน้าจอ recovery.
4. บนคอมพิวเตอร์ จะขึ้นข้อความว่าเจอ iPad ในโหมด recovery — เลือก **Restore** (ไม่ใช่ Update) เพื่อดาวน์โหลดซอฟต์แวร์และล้างเครื่อง.
5. รอให้กระบวนการเสร็จ แล้วตั้งค่าเครื่องใหม่ (หรือกู้จากแบ็กอัพ).

**วิธี B — ถ้าเปิดใช้ Find My และรู้ Apple ID** (ลบจากระยะไกลผ่าน iCloud)

1. เข้าเว็บ **iCloud.com** หรือใช้แอป Find My บนอุปกรณ์อื่น (ล็อกอินด้วย Apple ID เดียวกับ iPad).
2. ไปที่ **Find iPhone** → เลือก iPad ของคุณ → กด **Erase iPad**.
3. เมื่อลบเสร็จ ให้ตั้งค่าเครื่องใหม่ผ่านขั้นตอน Setup.

---

# ข้อควรระวังสำคัญ / สิ่งที่ต้องรู้

* การลบ/รีสโตร์จะ **ล้างข้อมูลทั้งหมด** หากไม่มีแบ็กอัพจะไม่สามารถกู้คืนได้.
* หลังจากลบเครื่อง อาจมี **Activation Lock** (ต้องใส่ Apple ID/รหัสผ่านเดิมที่ผูกกับเครื่อง) — ถ้าคุณไม่รู้ Apple ID หรือรหัสผ่าน อาจต้องกู้บัญชี Apple (iforgot.apple.com) หรือติดต่อ Apple Support พร้อมหลักฐานการซื้อเพื่อขอความช่วยเหลือ.
* ถ้าเป็น iPad ของคนอื่นหรือซื้อมือสอง ให้ตรวจสอบว่าเจ้าของเดิมได้ลบ Activation Lock หรือยัง — ถ้ายังจะไม่สามารถใช้งานต่อได้.

------------------------------------------
#35
การดูว่า "เพชรแท้" หรือ "เพชรปลอม" (เช่น เพชรรัสเซีย, Moissanite, Cubic Zirconia) มีหลายวิธีครับ — ทั้งแบบเบื้องต้นที่ทำเองได้ และแบบตรวจโดยผู้เชี่ยวชาญในร้านเพชรหรือห้องแล็บ

---

## 🔍 วิธีดูเพชรแท้เบื้องต้น (ทำได้ด้วยตัวเอง)

> ✅ ใช้ได้กับเพชรที่หลุดจากตัวเรือนจะดีที่สุด เพราะบางวิธีอาจทำให้ตัวเรือนเป็นรอย

### 1. **ดูด้วยตาเปล่า**

* 💎 **เพชรแท้จะมีประกายไฟ (fire)** คือแสงสะท้อนออกเป็นสีรุ้ง
* 💡 **เพชรปลอมมักมีประกายขาวหรือรุ้งจัดเกินจริง** เหมือน "วาวแบบแก้ว"
* 🔬 ถ้ามีกล้องขยาย (loupe) จะเห็น **เหลี่ยมคมชัด ขอบเหลี่ยมไม่เบลอ** และมักมี "ตำหนิธรรมชาติ (inclusions)" เล็กน้อย

---

### 2. **ทดสอบไอน้ำ (Breath Test)**

* เป่าลมหายใจ (ไอน้ำ) ลงบนเพชร
* ⏱ ถ้าเป็นเพชรแท้: ไอน้ำจะหายไปภายใน **1–2 วินาที**
* ❌ ถ้าเป็นเพชรปลอม: ไอน้ำจะเกาะค้างอยู่นานกว่า 3–5 วินาที

---

### 3. **ทดสอบในน้ำ (Water Test)**

* นำเพชรใส่แก้วน้ำ
* 💎 เพชรแท้มีความหนาแน่นสูง จะ **จมลงก้นแก้วทันที**
* ❌ ของปลอมหลายชนิดจะ "ลอยหรือค้างกลางน้ำ"

---

### 4. **ทดสอบด้วยกระดาษขาว (Read Test)**

* วางเพชรลงบนกระดาษที่มีตัวหนังสือ
* 🔍 ถ้าเป็นเพชรแท้: จะ **มองไม่เห็นตัวหนังสือผ่านเพชร**
* ❌ ถ้าเป็นเพชรปลอม (เช่น CZ): จะเห็นตัวหนังสือพร่า ๆ ผ่านกลางเพชร

---

### 5. **ทดสอบด้วยแสง UV**

* ใช้ไฟ **UV (แสงแบล็กไลต์)**
* เพชรแท้หลายเม็ด (แต่ไม่ทุกเม็ด) จะเรืองแสง **น้ำเงินอ่อน ๆ**
* ของปลอมส่วนใหญ่จะไม่เรืองแสง หรือเรืองเป็นสีอื่น เช่น เขียว เหลือง

---

## 🧪 วิธีตรวจแบบมืออาชีพ (ร้านเพชร / ห้องแล็บ)

| วิธี                                    | รายละเอียด                                               | ความแม่นยำ |
| --------------------------------------- | -------------------------------------------------------- | ---------- |
| **ใช้ Diamond Tester**                  | เครื่องทดสอบความนำความร้อน – เพชรแท้จะนำความร้อนได้ดีมาก | ★★★★☆      |
| **ตรวจด้วยกล้อง Microscope (10x–40x)**  | ตรวจตำหนิธรรมชาติและเหลี่ยมคมของเพชร                     | ★★★★★      |
| **ใบรับรองจากสถาบัน (Certificate)**     | เช่น **GIA, HRD, IGI, EGL**                              | ★★★★★      |
| **ทดสอบด้วยเครื่อง Raman Spectrometer** | ใช้ในแล็บ ตรวจโครงสร้างผลึกโดยตรง                        | ★★★★★      |

---

## 🧾 สรุปง่าย ๆ

| จุดสังเกต | เพชรแท้                  | เพชรปลอม               |
| --------- | ------------------------ | ---------------------- |
| ความวาว   | แสงใส คม มีประกายไฟ      | วาวมากเกินจริงหรือขุ่น |
| น้ำหนัก   | เบากว่าของปลอม           | หนักกว่าเพชรแท้        |
| ความแข็ง  | ขูดกระจกได้โดยไม่เป็นรอย | อาจเป็นรอยหรือบิ่น     |
| ไอน้ำ     | หายเร็ว                  | ค้างนาน                |
| จมในน้ำ   | จมทันที                  | ลอย/ค้าง               |
| ราคา      | สูงมาก                   | ต่ำหรือถูกผิดปกติ      |

---------------------------------------------
#36
XM หน้าเว็บใหม่ ดู Rebate เงินคืนที่ใด 21/10/2568

เข้าที่ my wallet ตรงเมนู เพิ่มเติม ตามรูป
#37
เส้นเลือดหัวใจ (Coronary arteries) มี **3 เส้นหลัก** ที่ทำหน้าที่สำคัญในการ **ลำเลียงเลือดที่มีออกซิเจนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ** โดยตรง เพื่อให้หัวใจสามารถบีบตัวและสูบฉีดเลือดไปทั่วร่างกายได้อย่างปกติ

---

### 🫀 **เส้นเลือดหัวใจหลัก 3 เส้น**

หัวใจมีหลอดเลือดแดงใหญ่ชื่อว่า **Aorta (หลอดเลือดแดงใหญ่เอออร์ตา)**
จากจุดเริ่มต้นของเอออร์ตา จะมีหลอดเลือดแยกออกมาเลี้ยงหัวใจโดยเฉพาะ เรียกว่า **Coronary arteries** ซึ่งแบ่งเป็น 3 เส้นหลักคือ 👇

| เส้นเลือด                                            | ชื่อเต็ม (ภาษาอังกฤษ)    | หน้าที่หลัก                                                    |
| ---------------------------------------------------- | ------------------------ | -------------------------------------------------------------- |
| 1️⃣ **Left Main Coronary Artery (LMCA)**            | หลอดเลือดแดงใหญ่ซ้าย    | เป็นเส้นหลักที่แตกแขนงเป็น 2 เส้นย่อย (ดูด้านล่าง)            |
| ├─ Left Anterior Descending artery (LAD)            | หลอดเลือดแดงด้านหน้าซ้าย | เลี้ยงผนังด้านหน้าของหัวใจและผนังห้องล่างซ้าย (Left Ventricle) |
| └─ Left Circumflex artery (LCx)                      | หลอดเลือดแดงโค้งรอบซ้าย  | เลี้ยงผนังด้านข้างและด้านหลังของหัวใจ                          |
| 2️⃣ **Right Coronary Artery (RCA)**                  | หลอดเลือดแดงขวา          | เลี้ยงผนังด้านขวาของหัวใจ และบางส่วนของหัวใจด้านล่าง          |
| └─ (สาขาย่อยสำคัญ) Posterior Descending artery (PDA) | หลอดเลือดแดงด้านหลัง    | เลี้ยงผนังด้านหลังของหัวใจ                                    |

---

### ⚙️ **หน้าที่การทำงาน**

* เส้นเลือดเหล่านี้จะส่งเลือดที่อุดมด้วย **ออกซิเจนและสารอาหาร** ไปเลี้ยง **กล้ามเนื้อหัวใจ (myocardium)**
* หลังจากกล้ามเนื้อหัวใจใช้ออกซิเจนแล้ว เลือดที่ไม่มีออกซิเจนจะไหลกลับเข้าสู่ **หลอดเลือดดำหัวใจ (coronary veins)** และเข้าสู่ **ห้องหัวใจขวา** เพื่อไปฟอกที่ปอดต่อไป

---

### 💥 หากเส้นเลือดหัวใจตีบหรือตัน

* กล้ามเนื้อหัวใจในบริเวณที่ขาดเลือดจะ "ขาดออกซิเจน" → เกิด **อาการเจ็บหน้าอก (Angina)**
* ถ้าตันเต็มที่ → กล้ามเนื้อหัวใจตาย (**Heart Attack / กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน**)

---

### 🩺 สรุปสั้น ๆ จำง่าย

> **หัวใจมีเส้นเลือดหลัก 3 เส้น (LAD, LCx, RCA)**
> ทำหน้าที่ "ส่งเลือดเลี้ยงหัวใจเอง"
> ถ้าตีบหรือตัน → เสี่ยงหัวใจวายเฉียบพลัน

---------------------------------------
#38
โครงการ คนละครึ่ง พลัส (2568) เป็นโครงการของรัฐบาลไทยที่ช่วยแบ่งจ่ายค่าซื้อสินค้า / บริการให้ประชาชน ที่เข้าร่วมโครงการ โดยใช้ผ่านแอปฯ เป๋าตัง (G-Wallet) ซึ่งมีขั้นตอนและเงื่อนไขสำคัญดังนี้:

---

## ✅ คุณสมบัติผู้มีสิทธิ

ผู้ที่จะลงทะเบียนได้ ต้องมีเงื่อนไขดังนี้ ([www.thairath.co.th][1])

* เป็นผู้มีสัญชาติไทย ([www.thairath.co.th][1])
* อายุ **16 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป** ณ วันที่ลงทะเบียน ([www.thairath.co.th][1])
* มีบัตรประจำตัวประชาชน ([www.thairath.co.th][1])
* **ไม่ใช่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ** ตามฐานข้อมูลของกระทรวงการคลัง ณ วันที่ 1 ต.ค. 2568 ([www.thairath.co.th][2])
* **ไม่ถูกระงับสิทธิ์ หรือถูกเรียกเงินคืน** จากโครงการของรัฐ เช่น โครงการ คนละครึ่ง เฟส 1-5 ([www.thairath.co.th][1])

---

## 📝 วิธีลงทะเบียน

1. ติดตั้ง / เปิดแอปฯ "เป๋าตัง" และเข้าเมนู G-Wallet หรือตรวจว่าใช้งาน G-Wallet ได้ ([Umay Plus][3])
2. ในหน้าแอปฯ เลือกเมนู "โครงการ คนละครึ่ง พลัส" และกดปุ่ม **ลงทะเบียน** ([www.thairath.co.th][2])
3. รอผลการลงทะเบียน ผ่านข้อความ SMS หรือแจ้งในแอปฯ ว่ารับสิทธิ์ได้หรือไม่ ([Umay Plus][3])

**ช่วงเวลาที่เปิดลงทะเบียน** : เริ่ม 20 ตุลาคม 2568 เวลา 06:00 น. และสิ้นสุดวันที่ 26 ตุลาคม 2568 เวลา 22:00 น. (หรือจนกว่าสิทธิ์จะหมด) ([Umay Plus][3])

---

## 💡 จำนวนสิทธิ์และวงเงิน

* ผู้ที่ "อยู่ในระบบภาษี" (ยื่นแบบ ภ.ง.ด.90/91/95) จะได้รับ **2,400 บาท** ([www.thairath.co.th][2])
* ผู้ที่ไม่ได้ยื่นแบบที่กล่าว จะได้รับ **2,000 บาท** ([www.thairath.co.th][2])
* เริ่ม **ใช้สิทธิ์ได้ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2568** เป็นต้นไป ([www.thairath.co.th][2])

---

## 🛒 วิธีใช้สิทธิ์

* หลังได้รับสิทธิ์แล้ว เข้าแอปฯ "เป๋าตัง" ในเมนู G-Wallet จะเห็นยอดสิทธิ์ "คนละครึ่ง พลัส" พร้อมใช้งาน
* ใช้จ่ายที่ร้านค้าหรือบริการที่เข้าร่วมโครงการ โดยระบบจะช่วยจ่ายส่วนหนึ่งให้ (ผู้ใช้จ่ายส่วนที่เหลือ)
* วิธีใช้คล้ายกับโครงการ คนละครึ่งทั่วไป โดยใช้ผ่านแอปฯ และสแกน QR โค้ดของร้านค้า ([bangkokbiznews][4])
* ตรวจสอบว่า "ร้านค้าร่วมโครงการ" ด้วย ก่อนใช้จ่าย

---

## ⚠️ ข้อควรระวัง / หมายเหตุ

* ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐไม่ได้สิทธิ์ในโครงการนี้ ([www.thairath.co.th][2])
* ต้องมีสมาร์ทโฟนและเปิดใช้งานแอปฯ G-Wallet ใน "เป๋าตัง" เพื่อใช้สิทธิ์ ([www.thairath.co.th][2])
* หากคุณเคยถูกระงับสิทธิ์ หรือถูกเรียกเงินคืนในโครงการคนละครึ่งเฟสก่อนหน้า คุณจะไม่สามารถเข้าร่วมได้ ([www.thairath.co.th][1])

---------------------

[1]: https://www.thairath.co.th/news/society/2889956?utm_source=chatgpt.com "ลงทะเบียนคนละครึ่งพลัส ย้ำเงื่อนไขการใช้สิทธิผ่าน \"เป๋าตัง\" ใครจะได้บ้าง"
[2]: https://www.thairath.co.th/news/society/2890019?utm_source=chatgpt.com "ลงทะเบียนคนละครึ่งพลัส เปิดให้ประชาชนรับสิทธิวันแรก ผ่านแอปฯ \"เป๋าตัง ..."
[3]: https://www.umayplus.com/content/blog/government-co-payment-scheme/blogdetail?blogid=2025-100000017&utm_source=chatgpt.com "คนละครึ่งพลัส สิทธิประโยชน์ใหม่ เช็กเงื่อนไขและวิธีลงทะเบียน - Umayplus"
[4]: https://www.bangkokbiznews.com/news/978698?utm_source=chatgpt.com "\"คนละครึ่ง\" แนะนำวิธีใช้จ่ายสำหรับมือใหม่ ซื้ออะไรได้บ้าง อะไรซื้อไม่ได้"
#39
ในหนึ่งถุงกอล์ฟ (Golf Bag) ตามกติกามาตรฐานของ **USGA / R&A**
⛳️ **ผู้เล่นสามารถพกไม้กอล์ฟได้สูงสุด 14 ไม้เท่านั้น**
(ถ้าเกินจะถูกปรับโทษ)

---

### 🏌��♂️ไม้กอล์ฟแต่ละประเภทในถุง (พร้อมหน้าที่)

โดยทั่วไปจะแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่:

#### 1. **ไม้ไดรเวอร์ (Driver / 1 Wood)**

* ใช้ตีจากแท่นที (Tee Shot)
* ระยะไกลที่สุดในถุง (ปกติ 200–300 หลา)
* Loft ต่ำ (ประมาณ 8°–12°)

#### 2. **แฟร์เวย์วูด (Fairway Woods)**

* ใช้ตีจากแฟร์เวย์หรือรัฟ เมื่อต้องการระยะไกลรองจากไดรเวอร์
* ตัวอย่างที่นิยม:

  * 3 Wood (ประมาณ 15° Loft)
  * 5 Wood (ประมาณ 18° Loft)

#### 3. **เหล็ก (Irons)**

* ใช้ตีระยะกลางถึงใกล้กรีน
* หมายเลขยิ่งมาก → Loft สูงขึ้น → ระยะสั้นลง
* ตัวอย่าง:

  * เหล็ก 3–9 (Iron 3–9)
  * ระยะเฉลี่ย Iron 7 ≈ 130–150 หลา (สำหรับชาย)

#### 4. **เวดจ์ (Wedges)**

* ใช้ตีขึ้นกรีน / ออกจากทราย / ชิพรอบกรีน
* Loft สูงมาก (45°–60°)
* ประเภทหลัก:

  * Pitching Wedge (PW)
  * Gap Wedge (GW)
  * Sand Wedge (SW)
  * Lob Wedge (LW)

#### 5. **พัตเตอร์ (Putter)**

* ใช้บนกรีนเพื่อกลิ้งลูกลงหลุม
* เป็นไม้สำคัญที่สุดในถุง

---

### 🧰 ตัวอย่างการจัดถุงไม้ "มาตรฐาน" ของนักกอล์ฟทั่วไป (14 ไม้)

| ประเภท | รายละเอียด              |
| :----- | :---------------------- |
| 1      | Driver                  |
| 2      | 3 Wood                  |
| 3      | 5 Wood หรือ Hybrid (3H) |
| 4–9    | Iron 4, 5, 6, 7, 8, 9   |
| 10     | Pitching Wedge (PW)     |
| 11     | Gap Wedge (GW)          |
| 12     | Sand Wedge (SW)         |
| 13     | Lob Wedge (LW)          |
| 14     | Putter                  |

---------------------------------------------
#40
คำถามดีมากครับ 🏌��♂️✨
ระบบ **"การนับคะแนนของกอล์ฟ"** อาจดูซับซ้อนในตอนแรก แต่จริง ๆ แล้วเข้าใจไม่ยากเลยครับ
ผมจะอธิบายให้แบบเข้าใจง่าย — ทั้งแบบ "เล่นเอง" และ "แข่งจริง"

---

## 🟩 **1. ระบบพื้นฐาน: Stroke Play (การนับสโตรก)**

> ✅ ใช้ทั่วไปในทุกสนาม และในการคิด Handicap ด้วย

### 🔹 วิธีนับ

* นับจำนวนครั้งที่ตีลูก (ทุกครั้งที่หัวไม้แตะลูก = 1 สโตรก)
* รวมทั้งหมด **18 หลุม**
* ผู้ที่ใช้สโตรก "น้อยที่สุด" คือผู้ชนะ

### 🔹 ตัวอย่าง

| หลุม | พาร์ | จำนวนที่ตีจริง | ผล          |
| ---- | ---- | -------------- | ----------- |
| 1    | 4    | 5              | +1 (Bogey)  |
| 2    | 3    | 3              | E (Par)    |
| 3    | 5    | 4              | -1 (Birdie) |

จากนั้นรวมทุกหลุมเป็น "คะแนนรวมต่อรอบ" เช่น 92, 100, 108 เป็นต้น

---

## 🟦 **2. ระบบ Match Play (แบบดวลหลุมต่อหลุม)**

> ✅ ใช้ในการแข่งขันแบบตัวต่อตัว

* แต่ละหลุมมี "ผู้ชนะหลุมนั้น"
* ถ้าคุณใช้สโตรกน้อยกว่าคู่แข่ง → ได้ "ขึ้น 1 หลุม"
* ถ้าตีเท่ากัน → "เสมอ"
* ถ้าคู่แข่งขึ้นนำมากกว่าจำนวนหลุมที่เหลือ → จบเกมทันที

### 🔹 ตัวอย่าง

> ถ้าคุณ "ชนะ 3&2" หมายถึง คุณนำอยู่ 3 หลุม โดยเหลืออีกแค่ 2 หลุม เล่นต่อก็ชนะแล้ว

---

## 🟨 **3. ระบบ Stableford (ระบบคิดแต้มตามพาร์)**

> ✅ นิยมในนักกอล์ฟสมัครเล่น เพราะคำนวณง่ายและไม่ซีเรียสเรื่องหลุมใดหลุมหนึ่ง

| ผลการตีเทียบพาร์        | คะแนนที่ได้ |
| ------------------------ | ----------- |
| Double Bogey หรือแย่กว่า | 0          |
| Bogey (+1)              | 1          |
| Par                      | 2          |
| Birdie (-1)              | 3          |
| Eagle (-2)              | 4          |
| Albatross (-3)          | 5          |

รวมคะแนนทุกหลุม → ใครได้แต้มมากสุดคือผู้ชนะ

---

## 🟧 **4. คำศัพท์พื้นฐานในการนับสกอร์กอล์ฟ**

| คำศัพท์              | ความหมาย                    | ตัวอย่าง (ถ้าหลุมนั้นพาร์ 4) |
| --------------------- | ---------------------------- | ---------------------------- |
| **Par (พาร์)**        | จำนวนสโตรกมาตรฐาน            | 4 สโตรก                      |
| **Birdie (-1)**      | ตีลงหลุมน้อยกว่าพาร์ 1      | 3 สโตรก                      |
| **Eagle (-2)**        | ตีลงหลุมน้อยกว่าพาร์ 2      | 2 สโตรก                      |
| **Albatross (-3)**    | ตีลงหลุมน้อยกว่าพาร์ 3      | 1 สโตรก                      |
| **Bogey (+1)**        | ตีเกินพาร์ 1                | 5 สโตรก                      |
| **Double Bogey (+2)** | ตีเกินพาร์ 2                | 6 สโตรก                      |
| **Triple Bogey (+3)** | ตีเกินพาร์ 3                | 7 สโตรก                      |
| **Hole in One**      | ตีลูกลงหลุมในการตีครั้งเดียว | 1 สโตรกในพาร์ 3              |

---

## 🧮 ตัวอย่างการนับสกอร์รวม (Stroke Play)

| หลุม | Par | สโตรกที่ใช้จริง | +/- ต่อพาร์ |
| ---- | --- | --------------- | ----------- |
| 1    | 4  | 5              | +1          |
| 2    | 3  | 3              | 0          |
| 3    | 5  | 6              | +1          |
| ...    | ...  | ...              | ...          |
| รวม  | 72  | **92**          | **+20**    |

แปลว่า รอบนี้คุณตีเกินพาร์ทั้งหมด 20 สโตรก → **Handicap ประมาณ 20–22**

---

## 🏁 สรุปสั้น ๆ

| ระบบ            | วิธีนับ                | เหมาะสำหรับ                  |
| --------------- | ---------------------- | ----------------------------- |
| **Stroke Play** | นับจำนวนสโตรกรวม      | ทั่วไป / คิด Handicap        |
| **Match Play**  | แข่งกันหลุมต่อหลุม    | การแข่งขันแบบตัวต่อตัว        |
| **Stableford**  | ให้แต้มตามผลงานต่อหลุม | สมัครเล่น / สนุก / ไม่ซีเรียส |

-------------------------------

https://chatgpt.com/s/m_68f091255b40819191f6deb8b1906a30
#41
คำถามนี้ดีมากครับ 😊
เพราะ "Handicap" (แฮนดิแคป) สำหรับ **มือใหม่หัดเล่นกอล์ฟ** มักเป็นตัวเลขที่ใช้ดูพัฒนาการของฝีมือตัวเองได้ชัดเจนเลยครับ 🏌��♂️

---

## 🎯 คำตอบสั้น ๆ

> **มือใหม่หัดเล่นกอล์ฟส่วนใหญ่จะมี Handicap ประมาณ 28–36**

---

## 📊 อธิบายให้เข้าใจง่าย

| ระดับนักกอล์ฟ                            | Handicap โดยประมาณ | ลักษณะการเล่น                                                  |
| ----------------------------------------- | ------------------ | --------------------------------------------------------------- |
| 🏌��♂️ **มือใหม่ (Beginner)**            | 28 – 36+          | ยังตีไม่ตรงทุกครั้ง ตกแฟร์เวย์บ้าง OB บ้าง ใช้ 2–3 พัตต์ต่อหลุม |
| ⛳ **มือสมัครเล่นทั่วไป (Average Golfer)** | 18 – 27            | คุมทิศทางได้ดีขึ้น มีบางหลุมทำพาร์ได้                          |
| 🏆 **นักกอล์ฟฝีมือดี (Low Handicapper)**  | 10 – 17            | ขึ้นกรีนตามพาร์ได้บ่อย พัตต์ดี                                  |
| 👑 **Scratch / โปรสมัครเล่น**            | 0 – 9              | ตีได้พาร์หรือดีกว่าพาร์อย่างสม่ำเสมอ                            |

---

## 🧮 ตัวอย่างเข้าใจง่าย

สนามพาร์รวม 72

* ถ้าคุณเล่นครบ 18 หลุม แล้วใช้ประมาณ **100 สโตรก**
  → Handicap ประมาณ **28**
* ถ้าใช้ **108 สโตรก**
  → Handicap ประมาณ **36**
* ถ้าใช้ **90 สโตรก**
  → Handicap ประมาณ **18**

---

## 💬 คำแนะนำสำหรับมือใหม่

1. 🏌��♂️ เริ่มจากจด **คะแนนแต่ละหลุม** ทุกครั้งที่เล่น
2. 🧮 ใช้ตารางคำนวณ Handicap (ที่ผมทำให้ได้) เพื่อดูพัฒนาการ
3. 🎯 ตั้งเป้าแรกให้ "ต่ำกว่า 100" ก่อน (Handicap จะอยู่ราว ๆ 25–28)
4. 🔁 ฝึก Short Game (ชิพ + พัตต์) เยอะ ๆ เพราะช่วยลดสโตรกได้เร็วมาก

--------------------------------

ตารางประเมินระดับฝีมือกอล์ฟสำหรับมือใหม่

ดีมากครับ 🏌��♂️
นี่คือตารางที่ผมทำให้โดยเฉพาะสำหรับ **มือใหม่หัดเล่นกอล์ฟ** — เพื่อช่วยคุณประเมินได้ว่า

> "ตอนนี้ฝีมือเราอยู่ระดับไหน และควรตั้งเป้า Handicap เท่าไรต่อไป"

---

## 🧾 ตารางประเมินระดับฝีมือกอล์ฟสำหรับมือใหม่

| ระดับนักกอล์ฟ                              | คะแนนรวมต่อรอบ (18 หลุม, พาร์ 72) | Handicap โดยประมาณ | ลักษณะการเล่นโดยทั่วไป                                       |
| ------------------------------------------ | --------------------------------- | ------------------ | ------------------------------------------------------------ |
| 🏌��♂️ **เริ่มต้นมาก (Beginner)**          | 115–130+                          | 40–50+             | ยังตีไม่ตรง ตีไม่โดนบ้าง ตกน้ำ OB หลายหลุม ใช้พัตต์หลายครั้ง |
| 🟤 **มือใหม่ทั่วไป (High Beginner)**       | 105–114                           | 32–39              | เริ่มตีโดนลูกมากขึ้น เข้ากรีนบ้าง ใช้พัตต์ 2–3 ครั้งต่อหลุม  |
| 🔵 **สมัครเล่นระดับต้น (Recreational)**    | 95–104                            | 24–31              | ขึ้นกรีนได้บ่อยขึ้น มีบางหลุมได้พาร์ พัตต์ใกล้หลุมได้ดีขึ้น  |
| 🟢 **สมัครเล่นระดับกลาง (Average Golfer)** | 85–94                             | 15–23              | คุมทิศทางได้ดี มีโอกาสทำพาร์หรือเบอร์ดี้เป็นบางครั้ง         |
| 🟡 **สมัครเล่นฝีมือดี (Low Handicap)**     | 75–84                             | 5–14               | ขึ้นกรีนตามพาร์บ่อย พัตต์มั่นใจ สกอร์คงที่                   |
| 🏆 **ระดับโปร / Scratch**                  | 72 หรือต่ำกว่า                    | 0–4                | ควบคุมเกมได้ทุกระยะ มีวางแผนทุกช็อต ตีสม่ำเสมอมาก            |

---

## 🎯 วิธีใช้ตารางนี้

1. หลังเล่นครบ 18 หลุม ให้รวม "จำนวนสโตรกทั้งหมด"
2. เทียบกับคอลัมน์ "คะแนนรวมต่อรอบ"
3. ดูว่าอยู่ระดับใด
4. ตั้งเป้าต่อไป เช่น

   * ตอนนี้ 110 → เป้าหมายต่อไปคือ "ต่ำกว่า 100"
   * ตอนนี้ 98 → เป้าต่อไป "ต่ำกว่า 90"

---

## 💪 เคล็ดลับพัฒนา Handicap ให้ลดเร็ว

| ด้านที่ควรฝึก                       | ผลลัพธ์                                  |
| ----------------------------------- | ---------------------------------------- |
| 🎯 Short Game (ชิพ + พัตต์)         | ลดสโตรกได้ไวที่สุด                       |
| 🪶 ไม้เหล็กกลาง (Iron 7–9)          | ช่วยขึ้นกรีนแม่น                         |
| 🧘�♂️ การวางแผน (Course Management) | ลดความผิดพลาด OB หรือโดนน้ำ              |
| 🧩 จดสถิติแต่ละรอบ                  | ดูว่าพลาดตรงไหนบ่อย เช่น พัตต์หรือทีช็อต |

--------------------------------------

#42
คำว่า **"Handicap" (แฮนดิแคป)** ในกอล์ฟ คือระบบที่ใช้ **ปรับความยุติธรรม** ระหว่างนักกอล์ฟที่มีฝีมือต่างกัน 👍

---

## 🏌��♂️ ความหมายสั้น ๆ

> **Handicap คือ ค่าความสามารถของนักกอล์ฟ**
> แสดงเป็น "ตัวเลข" บอกว่า นักกอล์ฟคนนั้น **ตีเกินจากพาร์โดยเฉลี่ยกี่สโตรก**

---

## 📊 ตัวอย่างความเข้าใจง่าย

| นักกอล์ฟ | ค่า Handicap | ความหมาย                                          |
| -------- | ------------ | ------------------------------------------------- |
| A        | 0            | ระดับโปร หรือ scratch golfer (ตีได้พาร์โดยเฉลี่ย) |
| B        | 10           | โดยเฉลี่ยตีเกินพาร์ 10 สโตรก ต่อ 18 หลุม          |
| C        | 24           | ตีเกินพาร์ประมาณ 24 สโตรก ต่อ 18 หลุม             |

ดังนั้น ถ้าแข่งกัน

* คนที่มี **Handicap สูงกว่า** จะได้ **แต้มต่อ (strokes)** เพิ่มในบางหลุม
* เพื่อให้แข่งขันกันได้ยุติธรรม

---

## 🎯 วิธีคิดแต้มต่อในแต่ละหลุม (แนวคิด)

สมมติสนามมี 18 หลุม และแต่ละหลุมมี **Handicap (HD)** ตั้งแต่ 1 ถึง 18 (ยาก → ง่าย)
ถ้าคุณมี Handicap 18

* คุณจะได้แต้มต่อ **1 สโตรกในทุกหลุม**
  ถ้ามี Handicap 9
* คุณจะได้แต้มต่อเฉพาะหลุม HD 1–9 เท่านั้น

เช่น

* หลุม HD 1 (ยากสุด) → คุณได้แต้มต่อก่อน
* หลุม HD 18 (ง่ายสุด) → ไม่มีแต้มต่อ

---

## 🧮 ตัวอย่างการคิดจริง

คุณมี Handicap 18
เล่นหลุม **Par 4 HD 1**

* ถ้าคุณตี 5 สโตรก → ปกติคือ Bogey (+1)
* แต่เพราะคุณได้แต้มต่อ 1 สโตรก → จึงถือว่า **เท่ากับพาร์** ในการคิดแต้มแข่งขัน

---

## 🏆 สรุปสั้น ๆ

> **Handicap คือ ค่าที่ใช้วัดฝีมือ และปรับแต้มต่อให้ผู้เล่นทุกระดับแข่งขันกันได้อย่างยุติธรรม**

-------------------------------

เยี่ยมครับ คำถามนี้สำคัญมากเลย 👍
เพราะ **"Handicap" (HCP)** ไม่ได้มาจากการเดา — แต่มีสูตรทางการที่ใช้ทั่วโลก เรียกว่า

> **World Handicap System (WHS)**
> ใช้โดยสมาคมกอล์ฟทั่วโลก รวมถึง **สมาคมกอล์ฟแห่งประเทศไทย (TGA)**

---

## 🧮 ขั้นตอนคำนวณ Handicap อย่างเป็นทางการ (WHS)

### 🩵 ขั้นตอนที่ 1 : บันทึกคะแนนจริง (Score)

หลังจากเล่นครบ 18 หลุม
ให้บันทึกคะแนน "จำนวนสโตรกที่ใช้จริง" ในแต่ละหลุม

---

### 💛 ขั้นตอนที่ 2 : คำนวณค่า "Score Differential (SD)"

สูตรคือ 👇

[
\text{Score Differential} = \frac{(Adjusted Gross Score - Course Rating) \times 113}{Slope Rating}
]

#### คำอธิบาย:

* **Adjusted Gross Score (AGS)** = คะแนนรวมหลังปรับ (เช่น จำกัดจำนวนสโตรกสูงสุดต่อหลุมตามกติกา "Net Double Bogey")
* **Course Rating (CR)** = ค่าความยากของสนามสำหรับนักกอล์ฟระดับพาร์ (ประกาศไว้ใน scorecard)
* **Slope Rating (SR)** = ค่าความชันของสนาม (บอกความยากสำหรับนักกอล์ฟทั่วไป, ค่ากลางคือ 113)

---

### 🩷 ขั้นตอนที่ 3 : เลือก **ค่าเฉลี่ยของ 8 ดีที่สุดจาก 20 รอบล่าสุด**

เมื่อคุณมี **Score Differential** จากการเล่นอย่างน้อย 20 รอบ
→ ให้นำ **8 ค่าที่ดีที่สุด (ต่ำสุด)** มาหาค่าเฉลี่ย

[
\text{Handicap Index} = \text{ค่าเฉลี่ยของ 8 Score Differential ที่ต่ำสุด}
]

---

### 💚 ขั้นตอนที่ 4 : ปัดทศนิยม

* ปัดให้เหลือ **ทศนิยม 1 ตำแหน่ง**
  เช่น 12.34 → Handicap Index = **12.3**

---

### 💙 ขั้นตอนที่ 5 : ใช้คำนวณ "Course Handicap" ก่อนเล่นจริง

เพราะแต่ละสนามมีความยากไม่เท่ากัน
ต้องแปลงเป็น "Course Handicap" ก่อนใช้แข่งขันจริง

สูตรคือ 👇

[
\text{Course Handicap} = \text{Handicap Index} \times \frac{\text{Slope Rating}}{113} + (\text{Course Rating} - \text{Par})
]

---

## 📊 ตัวอย่างคำนวณจริง

| รายการ                 | ค่า  |
| ---------------------- | ---- |
| คะแนนรวมหลังปรับ (AGS) | 90   |
| Course Rating          | 72.0 |
| Slope Rating           | 130  |

[
\text{Score Differential} = \frac{(90 - 72.0) \times 113}{130} = 15.6
]

ถ้ามีรอบอื่น ๆ อีก 19 รอบ
→ เอา **8 ค่าที่ดีที่สุด** มาหาค่าเฉลี่ย เช่น ได้ค่าเฉลี่ย = 14.2
⇒ **Handicap Index = 14.2**

จากนั้นถ้าไปเล่นสนามที่ Slope Rating = 125
[
\text{Course Handicap} = 14.2 \times \frac{125}{113} = 15.7 \approx 16
]

แปลว่าในสนามนี้ คุณจะได้ **แต้มต่อ 16 สโตรก** สำหรับ 18 หลุม

---

## 🏁 สรุปสั้น ๆ

| ขั้นตอน | รายละเอียด                                |
| ------- | ----------------------------------------- |
| 1       | เก็บคะแนนจริงแต่ละรอบ                     |
| 2       | คำนวณ Score Differential                  |
| 3       | เอา 8 ค่าที่ดีที่สุดจาก 20 รอบ            |
| 4       | ได้ค่า Handicap Index                     |
| 5       | คำนวณ Course Handicap ก่อนเล่นในแต่ละสนาม |

------------------------

#43
คำว่า **"Hole 3 Par 4 HD 1"** ในกอล์ฟ หมายถึงข้อมูลของ "หลุมที่ 3" ของสนาม ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ 👇

---

### 🏌��♂️ แยกความหมายทีละคำ

* **Hole 3** = หลุมที่ 3
  → คือหลุมลำดับที่ 3 ของสนาม (ปกติสนามจะมี 18 หลุม)

* **Par 4** = พาร์ 4
  → หมายถึง หลุมนี้ "นักกอล์ฟมาตรฐาน" ควรตีให้ลงหลุมใน **4 ครั้ง**
  เช่น

  * ครั้งที่ 1: ตีจากแท่นที (Tee shot)
  * ครั้งที่ 2: เข้ากลางแฟร์เวย์หรือขึ้นกรีน
  * ครั้งที่ 3: พัตต์ขึ้นใกล้หลุม
  * ครั้งที่ 4: พัตต์ลงหลุมพอดี

* **HD 1** = Handicap 1 (หรือ Stroke Index 1)
  → หมายถึง หลุมนี้เป็น **หลุมที่ยากที่สุดในสนาม**
  โดยสนามจะจัดลำดับความยากตั้งแต่ HD 1 (ยากสุด) → HD 18 (ง่ายสุด)

---

### 🧮 ตัวอย่างการคิดแต้ม (สำหรับนักกอล์ฟที่มีแฮนดิแคป)

สมมติคุณมี **Handicap 18**

* หลุมนี้ (HD 1) คุณจะได้ **แต้มต่อ 1 สโตรก**
  หมายความว่า ถ้าคุณตีได้ 5 สโตรก (bogey) ในหลุมนี้ จะถือว่า "ได้พาร์" ในการคิดแต้ม Stableford หรือ Match Play

---

### 🔎 สรุปสั้น ๆ

> **Hole 3 Par 4 HD 1** = หลุมที่ 3, พาร์ 4, เป็นหลุมที่ยากที่สุดในสนาม

-----------------------------
#44
คำถามนี้สำคัญมากครับ เพราะถุงยางขาดหรือทะลุระหว่างมีเพศสัมพันธ์ **มีความเสี่ยงทั้งต่อการตั้งครรภ์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs / HIV)**

ต่อไปนี้คือสิ่งที่ควรทำ **ทันทีและภายใน 72 ชั่วโมง**:

---

### 🕐 1. **ภายใน 24 ชั่วโมงแรก**

#### ✅ หากมีโอกาสตั้งครรภ์ (เพศสัมพันธ์แบบชาย-หญิง)

* **กินยาคุมฉุกเฉินทันที**

  * มี 2 แบบ:

    * แบบ **Levonorgestrel (Postinor, Madonna ฯลฯ)** — ต้องกินภายใน 72 ชม. ยิ่งเร็ว ยิ่งได้ผล
    * แบบ **Ulipristal acetate (EllaOne)** — มีประสิทธิภาพดีกว่า กินได้ภายใน 120 ชม. (5 วัน)
  * หาซื้อได้ที่ร้านขายยาทั่วไป

---

### 🧬 2. **ถ้ามีความเสี่ยงต่อโรคติดต่อ / HIV**

#### ✅ ควรไป **โรงพยาบาลหรือคลินิกเฉพาะทางภายใน 72 ชม.** เพื่อรับยา **PEP (Post-Exposure Prophylaxis)**

* เป็นยาป้องกัน HIV หลังมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน
* ต้องกินต่อเนื่อง 28 วัน
* ยิ่งเริ่มเร็ว (ภายใน 2–6 ชม. หลังเหตุการณ์) ยิ่งมีประสิทธิภาพสูง
* คลินิกให้บริการ PEP เช่น

  * โรงพยาบาลรัฐ/เอกชนทั่วไป
  * คลินิกนิรนาม สภากาชาดไทย
  * คลินิกเพื่อนพึ่ง (Buddies)
  * คลินิกบางรัก (กรุงเทพฯ)

---

### 🧪 3. **ตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs)**

* ตรวจเลือดหา **HIV, ซิฟิลิส, หนองใน, หนองในเทียม, ตับอักเสบบี/ซี**
* ครั้งแรก: ภายใน 2–4 สัปดาห์
* ตรวจซ้ำ: ที่ 3 เดือน และ 6 เดือน

---

### 🚿 4. **ห้ามสวนล้างหรือใช้สบู่แรง ๆ**

* ไม่ช่วยป้องกันอะไร และอาจระคายเคือง ทำให้เชื้อเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น

---

### 💬 สรุปสั้น ๆ:

| เรื่อง          | สิ่งที่ควรทำ    | เวลาที่ควรทำ                    |
| ---------------- | --------------- | ------------------------------- |
| ป้องกันตั้งครรภ์ | กินยาคุมฉุกเฉิน | ภายใน 72 ชม.                    |
| ป้องกัน HIV      | ไปขอยา PEP      | ภายใน 72 ชม. (เร็วที่สุดยิ่งดี) |
| ตรวจโรคอื่น ๆ    | ตรวจเลือด      | 2–4 สัปดาห์ และตรวจซ้ำตามกำหนด  |

----------------------------------

ดีมากครับที่รีบหาข้อมูล — ถ้าใช้ **Ulipristal acetate (ชื่อการค้า "EllaOne")** จะมีประสิทธิภาพสูงสุดในบรรดายาคุมฉุกเฉินทั้งหมด 👍

---

### 💊 วิธีใช้ยา **EllaOne (Ulipristal acetate 30 mg)**

#### ✅ **ขนาดยา**

* **กินเพียง 1 เม็ดเท่านั้น** (ขนาด 30 มิลลิกรัม)
* ไม่ต้องกินซ้ำอีก ไม่ว่าจะมีเพศสัมพันธ์เพียงครั้งเดียวหรือหลายครั้งใน 24 ชม.

#### ⏱️ **เวลาที่ควรกิน**

* ควรกิน **โดยเร็วที่สุดหลังจากมีเพศสัมพันธ์ที่เสี่ยง**
* สามารถกินได้ภายใน **120 ชั่วโมง (5 วัน)** แต่ยิ่งกินเร็ว ยิ่งมีประสิทธิภาพสูง

  > ประสิทธิภาพลดลงตามเวลา:
  >
  > * ภายใน 24 ชม. → ป้องกันได้ ~98%
  > * ภายใน 72 ชม. → ประมาณ 85–90%
  > * ภายใน 120 ชม. → ประมาณ 75–80%

#### 🍽� **ก่อน/หลังอาหาร**

* กินก่อนหรือหลังอาหารก็ได้
* ดื่มน้ำตามปกติ

#### ⚠️ **ห้ามอาเจียนภายใน 3 ชม. หลังรับประทาน**

* ถ้าอาเจียนภายใน 3 ชม. ให้ **กินซ้ำอีก 1 เม็ด** เพราะยาอาจยังไม่ดูดซึม

---

### 🚫 **สิ่งที่ควรรู้เพิ่มเติม**

1. **ห้ามใช้ร่วมกับยาคุมฉุกเฉินชนิดอื่น** (เช่น Postinor หรือ Levonorgestrel) เพราะจะลดประสิทธิภาพของกันและกัน
2. **ห้ามใช้ EllaOne บ่อย ๆ** – ไม่ใช่ยาคุมประจำ ใช้เฉพาะกรณีฉุกเฉินเท่านั้น
3. ถ้าจะกลับมาใช้ **ยาคุมแบบรายเดือน** ต้องรอ **5 วันหลังจากกิน EllaOne** เพราะตัวยาจะลดฤทธิ์ยาคุมปกติ
4. หลังจากนั้นให้ใช้ **ถุงยาง** หรือ **งดเพศสัมพันธ์** ไปก่อนจนกว่าจะเริ่มยาคุมแบบปกติครบอย่างน้อย 7 วัน

---

### 🩸 **หลังใช้ยา**

* ประจำเดือนอาจมาเร็วหรือช้ากว่าปกติ 1–7 วัน
* ถ้า **ประจำเดือนขาดเกิน 1 สัปดาห์** หรือ **มีเลือดออกผิดปกติ** → ควรตรวจการตั้งครรภ์

---------------------------------------

#45
โรคผิวหนังสามารถแบ่งออกได้เป็น **2 กลุ่มใหญ่** คือ
1️⃣ **โรคผิวหนังที่ไม่ติดต่อ**
2️⃣ **โรคผิวหนังที่ติดต่อ**

ต่อไปนี้คือการสรุปแบบเข้าใจง่าย 👍

---

## 🧴 1. โรคผิวหนังที่ "ไม่ติดต่อ"

คือโรคที่ **ไม่สามารถแพร่จากคนสู่คน** ผ่านการสัมผัส หรือของใช้ร่วมกัน

### 🔹 ตัวอย่างโรคที่พบบ่อย

| โรค                                                                                | ลักษณะอาการ                                                 |
| ---------------------------------------------------------------------------------- | ----------------------------------------------------------- |
| **โรคผื่นแพ้ (Allergic dermatitis)**                                               | ผิวหนังแดง คัน บวม จากการแพ้สารเคมี น้ำหอม โลหะ หรือยาง     |
| **โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic dermatitis)**                                      | คันเรื้อรัง โดยเฉพาะบริเวณข้อพับ พบในเด็กบ่อย               |
| **โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis)**                                                      | ผิวแห้ง หนา มีขุยสีขาว-เงิน มักขึ้นที่ศอก หัวเข่า หนังศีรษะ |
| **โรคสิว (Acne vulgaris)**                                                         | มีสิวหัวดำ สิวอุดตัน หรือสิวอักเสบ โดยเฉพาะที่หน้าและหลัง   |
| **โรคผิวแห้ง (Xerosis)**                                                           | ผิวลอก คัน โดยเฉพาะในผู้สูงอายุหรืออากาศแห้ง                |
| **โรคด่างขาว (Vitiligo)**                                                          | ผิวเป็นดวงขาวซีด ไม่มีเม็ดสี                                |
| **โรคผมร่วงเป็นหย่อม (Alopecia areata)**                                           | ผมร่วงเป็นวงกลมเล็ก ๆ                                       |
| **โรคหูดข้าวสุก (Molluscum contagiosum)** *(แม้มีไวรัส แต่บางตำราแยกอยู่กึ่งกลาง)* | ตุ่มนูนมัน ๆ เล็ก ๆ พบในเด็ก                                |

---

## 🦠 2. โรคผิวหนังที่ "ติดต่อได้"

คือโรคที่ **แพร่จากคนสู่คน หรือจากสัตว์สู่คน** ได้
ผ่านการสัมผัส การใช้ของร่วมกัน หรือแมลงเป็นพาหะ

### 🔹 ตัวอย่างโรคที่พบบ่อย

| โรค                                                      | สาเหตุ                                | วิธีติดต่อ                                    |
| -------------------------------------------------------- | ------------------------------------- | --------------------------------------------- |
| **กลาก (Tinea / Dermatophytosis)**                       | เชื้อรา                               | สัมผัสผิวหรือของใช้ เช่น ผ้าเช็ดตัว รองเท้า   |
| **เกลื้อน (Pityriasis versicolor)**                      | ยีสต์ (เชื้อรา)                       | สัมผัสโดยตรงหรือของใช้ร่วมกัน                 |
| **หิด (Scabies)**                                        | ไรหิด                                 | สัมผัสใกล้ชิด / ใช้เสื้อผ้าร่วมกัน            |
| **เหา (Pediculosis)**                                    | ตัวเหา                                | ใช้หวี หมวก หมอนร่วมกัน                       |
| **เริม (Herpes simplex)**                                | ไวรัสเริม                             | สัมผัสน้ำเหลือง / น้ำลาย / เพศสัมพันธ์        |
| **งูสวัด (Herpes zoster)**                               | ไวรัสวาริเซลลา (ตัวเดียวกับอีสุกอีใส) | ผู้ที่ไม่เคยเป็นอีสุกอีใสอาจติดได้            |
| **หูด (Warts)**                                          | ไวรัส HPV                             | สัมผัสโดยตรงกับตุ่มหูดหรือพื้นเปียก           |
| **เชื้อราในเล็บ / เชื้อราที่เท้า (Athlete's foot)**      | เชื้อรา                               | สวมรองเท้าอับชื้น / เดินเท้าเปล่าในห้องน้ำรวม |
| **ฝี / แผลติดเชื้อแบคทีเรีย (Bacterial skin infection)** | แบคทีเรีย เช่น สแตฟฟีโลคอคคัส         | สัมผัสหนอง / แผลของผู้อื่น                    |

---

## 🩺 สรุปสั้น ๆ

| ประเภท          | ตัวอย่างโรค                                |
| --------------- | ------------------------------------------ |
| ✅ **ไม่ติดต่อ** | สิว, สะเก็ดเงิน, ผื่นแพ้, ด่างขาว          |
| ⚠️ **ติดต่อ**   | กลาก, เกลื้อน, หิด, เหา, เริม, หูด, งูสวัด |

------------------------------------------------
#46
การสร้าง **Shortcut (ช็อตคัต)** ของ **Windows Media Player** (หรือโปรแกรมอื่น ๆ) ไว้บน **Desktop ของ Windows 11** ทำได้ง่ายมากครับ มีหลายวิธีให้เลือก — ผมจะสรุปแบบทีละขั้นตอนให้คุณเลือกใช้ได้เลย 👇

---

### 🧩 วิธีที่ 1: สร้างจากเมนู Start

1. คลิกปุ่ม **Start (โลโก้ Windows)** ที่มุมล่างซ้ายของหน้าจอ
2. พิมพ์ว่า **"Windows Media Player"**
3. เมื่อเจอโปรแกรมแล้ว → **คลิกขวา** ที่ "Windows Media Player"
4. เลือก **"Open file location" (เปิดตำแหน่งไฟล์)**
5. จะมีหน้าต่างโฟลเดอร์ขึ้นมา (ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ `C:\ProgramData\Microsoft\Windows\Start Menu\Programs`)
6. คลิกขวาที่ **Windows Media Player** → เลือก **"Send to > Desktop (create shortcut)"**

✅ จะได้ช็อตคัตของ Media Player บน Desktop ทันที

---

### 🧩 วิธีที่ 2: ลากออกจาก Start Menu โดยตรง

1. กดปุ่ม **Start**
2. พิมพ์ "Windows Media Player"
3. คลิกซ้ายค้างไว้ที่ไอคอน แล้ว **ลากมาวางบน Desktop**
   (Windows จะสร้าง Shortcut ให้อัตโนมัติ)

---

### 🧩 วิธีที่ 3: สร้าง Shortcut เองแบบกำหนดเส้นทาง

1. คลิกขวาบน Desktop → เลือก **New → Shortcut**
2. ในช่อง "Type the location of the item" ให้ใส่:

   ```
   C:\Program Files\Windows Media Player\wmplayer.exe
   ```
3. คลิก **Next** → ตั้งชื่อว่า "Windows Media Player"
4. คลิก **Finish**

---

### 🧩 วิธีเสริม: หากหาโปรแกรมไม่เจอ

ใน Windows 11 เวอร์ชันใหม่อาจมีทั้ง "Windows Media Player" (เก่า) และ "Media Player" (ใหม่)

* ถ้าคุณใช้ตัวใหม่ ให้พิมพ์ว่า **Media Player** แทน
* วิธีสร้าง Shortcut เหมือนกันทุกประการครับ
--------------------------------------------
#47
ดีมากครับ คำถามนี้เจาะจงดี 👍
การ **สร้าง QR Code ในเว็บของตัวเอง** ทำได้หลายวิธี — ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยากให้มันเป็น
1️⃣ **QR Code แบบคงที่ (Static)** — แสดงลิงก์หรือข้อความคงที่
2️⃣ **QR Code แบบไดนามิก (Dynamic)** — สร้างเปลี่ยนได้ตามข้อมูล เช่น ลิงก์ผู้ใช้, ข้อมูลสินค้าฯ

---

## 🔹 วิธีที่ 1: ใช้ JavaScript Library (ง่ายสุด)

### ตัวอย่างใช้ `qrcodejs`

📦 ดาวน์โหลดหรือใช้ CDN ก็ได้เลย

```html
<!DOCTYPE html>
<html lang="th">
<head>
  <meta charset="UTF-8">
  <title>สร้าง QR Code</title>
  <script src="https://cdnjs.cloudflare.com/ajax/libs/qrcodejs/1.0.0/qrcode.min.js"></script>
</head>
<body style="text-align:center; margin-top:50px;">
  <h2>ตัวอย่าง QR Code</h2>
  <div id="qrcode"></div>

  <script>
    // สร้าง QR Code
    var qrcode = new QRCode(document.getElementById("qrcode"), {
      text: "https://your-website.com",
      width: 200,
      height: 200,
      colorDark: "#000000",
      colorLight: "#ffffff",
      correctLevel: QRCode.CorrectLevel.H
    });
  </script>
</body>
</html>
```

✅ ผลลัพธ์: QR Code จะถูกสร้างขึ้นกลางหน้าเว็บทันที
คุณเปลี่ยนค่า `"https://your-website.com"` เป็นอะไรก็ได้ เช่น เบอร์โทร, LINE ID, ข้อความ ฯลฯ

---

## 🔹 วิธีที่ 2: สร้าง QR Code ฝั่งเซิร์ฟเวอร์ (เช่น PHP / Python)

### ตัวอย่าง PHP ใช้ Google Chart API (ไม่ต้องติดตั้ง lib)

```php
<?php
  $text = urlencode("https://your-website.com");
  echo "<img src='https://chart.googleapis.com/chart?cht=qr&chs=200x200&chl=$text'; />";
?>
```

---

## 🔹 วิธีที่ 3: ถ้าใช้ Framework เช่น React / Vue / Node.js

สามารถใช้ npm package เช่น

```bash
npm install qrcode
```

แล้วในโค้ด:

```javascript
import QRCode from 'qrcode'

QRCode.toDataURL('https://your-website.com')
  .then(url => {
    console.log(url) // base64 image
  })
```

---

## 🔹 วิธีที่ 4: ให้ผู้ใช้พิมพ์ข้อความแล้วเว็บสร้าง QR ให้เลย

```html
<input type="text" id="text" placeholder="กรอกข้อความ...">
<button onclick="makeQR()">สร้าง QR</button>
<div id="qrcode"></div>

<script src="https://cdnjs.cloudflare.com/ajax/libs/qrcodejs/1.0.0/qrcode.min.js"></script>
<script>
  function makeQR() {
    var text = document.getElementById("text").value;
    document.getElementById("qrcode").innerHTML = ""; // ล้างเก่า
    new QRCode(document.getElementById("qrcode"), text);
  }
</script>
```

---------------------------------------------

<!DOCTYPE html>
<html lang="th">
<head>
  <meta charset="UTF-8">
  <meta name="viewport" content="width=device-width, initial-scale=1.0">
  <title>สร้าง QR Code ขั้นโปร</title>
  <script src="https://cdnjs.cloudflare.com/ajax/libs/qrcodejs/1.0.0/qrcode.min.js"></script>
  <script src="https://cdnjs.cloudflare.com/ajax/libs/jspdf/2.5.1/jspdf.umd.min.js"></script>
  <style>
    body {
      font-family: sans-serif;
      display: flex;
      flex-direction: column;
      align-items: center;
      justify-content: start;
      min-height: 100vh;
      padding-top: 40px;
      background: #f4f6f8;
      color: #333;
    }
    h2 {
      margin-bottom: 20px;
    }
    input, select {
      padding: 10px;
      border: 1px solid #ccc;
      border-radius: 8px;
      font-size: 16px;
      margin: 5px;
      width: 250px;
    }
    #qrcode {
      margin-top: 20px;
      background: white;
      padding: 10px;
      border-radius: 12px;
      box-shadow: 0 2px 8px rgba(0,0,0,0.1);
      position: relative;
    }
    button {
      padding: 10px 20px;
      margin-top: 10px;
      border: none;
      background-color: #2563eb;
      color: white;
      border-radius: 8px;
      cursor: pointer;
      font-size: 16px;
      transition: 0.2s;
    }
    button:hover {
      background-color: #1e40af;
    }
    #downloadBtn, #pdfBtn {
      display: none;
      margin-top: 10px;
    }
    #downloadBtn {
      background-color: #16a34a;
    }
    #downloadBtn:hover {
      background-color: #15803d;
    }
    #pdfBtn {
      background-color: #dc2626;
    }
    #pdfBtn:hover {
      background-color: #991b1b;
    }
  </style>
</head>
<body>
  <h2>สร้าง QR Code ขั้นโปร</h2>
 
  <input type="text" id="text" placeholder="พิมพ์ข้อความหรือ URL...">
 
  <label>เลือกสี:</label>
  <input type="color" id="colorPicker" value="#000000">

  <label>อัปโหลดโลโก้ (ไม่บังคับ):</label>
  <input type="file" id="logoInput" accept="image/*">

  <button onclick="generateQR()">สร้าง QR Code</button>
 
  <div id="qrcode"></div>
 
  <button id="downloadBtn" onclick="downloadQR()">ดาวน์โหลด PNG</button>
  <button id="pdfBtn" onclick="downloadPDF()">บันทึกเป็น PDF</button>

  <script>
    let logoDataURL = null;

    // อ่านไฟล์โลโก้
    document.getElementById("logoInput").addEventListener("change", function(event) {
      const file = event.target.files
  • ;
      if (!file) return;
      const reader = new FileReader();
      reader.onload = function(e) {
        logoDataURL = e.target.result;
      };
      reader.readAsDataURL(file);
    });

    // สร้าง QR
    function generateQR() {
      const text = document.getElementById('text').value.trim();
      const color = document.getElementById('colorPicker').value;
      const qrContainer = document.getElementById('qrcode');
      const downloadBtn = document.getElementById('downloadBtn');
      const pdfBtn = document.getElementById('pdfBtn');

      if (!text) {
        alert("กรุณากรอกข้อความหรือ URL ก่อนครับ");
        return;
      }

      qrContainer.innerHTML = "";

      // สร้าง QR ด้วยสีที่เลือก
      const qrCode = new QRCode(qrContainer, {
        text: text,
        width: 250,
        height: 250,
        colorDark: color,
        colorLight: "#ffffff",
        correctLevel: QRCode.CorrectLevel.H
      });

      setTimeout(() => {
        const qrImg = qrContainer.querySelector("img") || qrContainer.querySelector("canvas");
        if (logoDataURL && qrImg) {
          const canvas = document.createElement("canvas");
          const ctx = canvas.getContext("2d");
          const size = 250;
          canvas.width = size;
          canvas.height = size;

          const img = new Image();
          img.src = qrImg.src;
          img.onload = () => {
            ctx.drawImage(img, 0, 0, size, size);

            // ใส่โลโก้ตรงกลาง
            const logo = new Image();
            logo.src = logoDataURL;
            logo.onload = () => {
              const logoSize = size * 0.2; // 20%
              const x = (size - logoSize) / 2;
              const y = (size - logoSize) / 2;
              ctx.drawImage(logo, x, y, logoSize, logoSize);

              qrContainer.innerHTML = "";
              const finalImg = new Image();
              finalImg.src = canvas.toDataURL("image/png");
              qrContainer.appendChild(finalImg);
            };
          };
        }
      }, 500);

      downloadBtn.style.display = "inline-block";
      pdfBtn.style.display = "inline-block";
    }

    // ดาวน์โหลด PNG
    function downloadQR() {
      const img = document.querySelector("#qrcode img");
      if (img) {
        const link = document.createElement("a");
        link.href = img.src;
        link.download = "qrcode.png";
        link.click();
      }
    }

    // ดาวน์โหลด PDF
    async function downloadPDF() {
      const { jsPDF } = window.jspdf;
      const img = document.querySelector("#qrcode img");
      if (!img) return alert("ยังไม่มี QR Code ให้ดาวน์โหลดครับ");

      const pdf = new jsPDF({
        orientation: "portrait",
        unit: "mm",
        format: "a4"
      });

      pdf.setFontSize(18);
      pdf.text("QR Code ของคุณ", 80, 20);
      pdf.addImage(img.src, "PNG", 50, 40, 100, 100);
      pdf.save("qrcode.pdf");
    }
  </script>
</body>
</html>
---------------------------------------------------

สุดยอดครับ! 🔥
นี่คือตัวอย่าง **เว็บหน้าเดียว (HTML + JS)** เวอร์ชัน **ขั้นโปร** ที่สามารถ

✅ พิมพ์ข้อความหรือ URL
✅ สร้าง QR Code
✅ ใส่ "โลโก้ตรงกลาง"
✅ เปลี่ยนสี QR ได้
✅ ดาวน์โหลดเป็น **PNG หรือ PDF**

---

## 🔹 ตัวอย่างโค้ดพร้อมใช้งาน

บันทึกเป็นไฟล์ `qrcode-pro.html` แล้วเปิดในเบราว์เซอร์ได้เลย

```html
<!DOCTYPE html>
<html lang="th">
<head>
  <meta charset="UTF-8">
  <meta name="viewport" content="width=device-width, initial-scale=1.0">
  <title>สร้าง QR Code ขั้นโปร</title>
  <script src="https://cdnjs.cloudflare.com/ajax/libs/qrcodejs/1.0.0/qrcode.min.js"></script>
  <script src="https://cdnjs.cloudflare.com/ajax/libs/jspdf/2.5.1/jspdf.umd.min.js"></script>
  <style>
    body {
      font-family: sans-serif;
      display: flex;
      flex-direction: column;
      align-items: center;
      justify-content: start;
      min-height: 100vh;
      padding-top: 40px;
      background: #f4f6f8;
      color: #333;
    }
    h2 {
      margin-bottom: 20px;
    }
    input, select {
      padding: 10px;
      border: 1px solid #ccc;
      border-radius: 8px;
      font-size: 16px;
      margin: 5px;
      width: 250px;
    }
    #qrcode {
      margin-top: 20px;
      background: white;
      padding: 10px;
      border-radius: 12px;
      box-shadow: 0 2px 8px rgba(0,0,0,0.1);
      position: relative;
    }
    button {
      padding: 10px 20px;
      margin-top: 10px;
      border: none;
      background-color: #2563eb;
      color: white;
      border-radius: 8px;
      cursor: pointer;
      font-size: 16px;
      transition: 0.2s;
    }
    button:hover {
      background-color: #1e40af;
    }
    #downloadBtn, #pdfBtn {
      display: none;
      margin-top: 10px;
    }
    #downloadBtn {
      background-color: #16a34a;
    }
    #downloadBtn:hover {
      background-color: #15803d;
    }
    #pdfBtn {
      background-color: #dc2626;
    }
    #pdfBtn:hover {
      background-color: #991b1b;
    }
  </style>
</head>
<body>
  <h2>สร้าง QR Code ขั้นโปร</h2>
 
  <input type="text" id="text" placeholder="พิมพ์ข้อความหรือ URL...">
 
  <label>เลือกสี:</label>
  <input type="color" id="colorPicker" value="#000000">

  <label>อัปโหลดโลโก้ (ไม่บังคับ):</label>
  <input type="file" id="logoInput" accept="image/*">

  <button onclick="generateQR()">สร้าง QR Code</button>
 
  <div id="qrcode"></div>
 
  <button id="downloadBtn" onclick="downloadQR()">ดาวน์โหลด PNG</button>
  <button id="pdfBtn" onclick="downloadPDF()">บันทึกเป็น PDF</button>

  <script>
    let logoDataURL = null;

    // อ่านไฟล์โลโก้
    document.getElementById("logoInput").addEventListener("change", function(event) {
      const file = event.target.files
  • ;
      if (!file) return;
      const reader = new FileReader();
      reader.onload = function(e) {
        logoDataURL = e.target.result;
      };
      reader.readAsDataURL(file);
    });

    // สร้าง QR
    function generateQR() {
      const text = document.getElementById('text').value.trim();
      const color = document.getElementById('colorPicker').value;
      const qrContainer = document.getElementById('qrcode');
      const downloadBtn = document.getElementById('downloadBtn');
      const pdfBtn = document.getElementById('pdfBtn');

      if (!text) {
        alert("กรุณากรอกข้อความหรือ URL ก่อนครับ");
        return;
      }

      qrContainer.innerHTML = "";

      // สร้าง QR ด้วยสีที่เลือก
      const qrCode = new QRCode(qrContainer, {
        text: text,
        width: 250,
        height: 250,
        colorDark: color,
        colorLight: "#ffffff",
        correctLevel: QRCode.CorrectLevel.H
      });

      setTimeout(() => {
        const qrImg = qrContainer.querySelector("img") || qrContainer.querySelector("canvas");
        if (logoDataURL && qrImg) {
          const canvas = document.createElement("canvas");
          const ctx = canvas.getContext("2d");
          const size = 250;
          canvas.width = size;
          canvas.height = size;

          const img = new Image();
          img.src = qrImg.src;
          img.onload = () => {
            ctx.drawImage(img, 0, 0, size, size);

            // ใส่โลโก้ตรงกลาง
            const logo = new Image();
            logo.src = logoDataURL;
            logo.onload = () => {
              const logoSize = size * 0.2; // 20%
              const x = (size - logoSize) / 2;
              const y = (size - logoSize) / 2;
              ctx.drawImage(logo, x, y, logoSize, logoSize);

              qrContainer.innerHTML = "";
              const finalImg = new Image();
              finalImg.src = canvas.toDataURL("image/png");
              qrContainer.appendChild(finalImg);
            };
          };
        }
      }, 500);

      downloadBtn.style.display = "inline-block";
      pdfBtn.style.display = "inline-block";
    }

    // ดาวน์โหลด PNG
    function downloadQR() {
      const img = document.querySelector("#qrcode img");
      if (img) {
        const link = document.createElement("a");
        link.href = img.src;
        link.download = "qrcode.png";
        link.click();
      }
    }

    // ดาวน์โหลด PDF
    async function downloadPDF() {
      const { jsPDF } = window.jspdf;
      const img = document.querySelector("#qrcode img");
      if (!img) return alert("ยังไม่มี QR Code ให้ดาวน์โหลดครับ");

      const pdf = new jsPDF({
        orientation: "portrait",
        unit: "mm",
        format: "a4"
      });

      pdf.setFontSize(18);
      pdf.text("QR Code ของคุณ", 80, 20);
      pdf.addImage(img.src, "PNG", 50, 40, 100, 100);
      pdf.save("qrcode.pdf");
    }
  </script>
</body>
</html>
```

---

## 🔹 ฟีเจอร์ในหน้านี้

| ฟีเจอร์              | รายละเอียด                          |
| -------------------- | ----------------------------------- |
| 🧾 กรอกข้อความ / URL | ระบบจะสร้าง QR อัตโนมัติ            |
| 🎨 เปลี่ยนสี QR      | เลือกสีได้เองด้วย color picker      |
| 🖼� ใส่โลโก้กลาง QR  | อัปโหลดไฟล์รูป (PNG, JPG) ได้      |
| 📸 ดาวน์โหลด PNG    | บันทึกภาพ QR                        |
| 📄 บันทึกเป็น PDF    | บันทึก QR ลงไฟล์ PDF พร้อมหัวเรื่อง |

-----------------------------
ใช้งานจริงได้ที่ https://junjao.com/qrcode.html


#48
ดีเลยครับ 👇 ผมอธิบายวิธีเปิดและตั้งค่า **ซับไตเติล (Subtitle)** ใน **Media Player ของ Windows 11 (เวอร์ชันใหม่)** แบบละเอียดให้เลย

---

### 🧭 วิธีเปิด Subtitle บน **Windows 11 Media Player**

*(หมายถึงแอปชื่อ "Media Player" ตัวใหม่ ไม่ใช่ Windows Media Player Classic)*

#### ✅ ขั้นตอน:

1. **เปิดไฟล์วิดีโอ** ด้วยแอป **Media Player**

   * คลิกขวาที่ไฟล์ → เลือก **Open with → Media Player**

2. เมื่อหนังเริ่มเล่นแล้ว

   * คลิกที่ **ไอคอน "..." (More options)** มุมล่างขวาของจอ
   * เลือก **"Subtitles and captions" (คำบรรยายและคำอธิบายภาพ)**

3. จากนั้นจะมีตัวเลือกให้:

   * **Turn on subtitles if available** → เปิดถ้ามีซับในไฟล์อยู่แล้ว
   * หรือ **Add subtitles** → เพื่อเลือกไฟล์ `.srt`, `.vtt`, `.sub` ที่อยู่ในเครื่อง

4. เลือกไฟล์ซับที่ต้องการ → ระบบจะโหลดและแสดงซับทันที

---

### 💡 เคล็ดลับ:

* ชื่อไฟล์ซับควร **ตรงกับชื่อไฟล์วิดีโอ** เช่น

  ```
  movie.mp4 
  movie.srt
  ```

  แล้ววางไว้ในโฟลเดอร์เดียวกัน — Media Player จะตรวจจับอัตโนมัติ

* ถ้าซับไม่ขึ้น ให้ลองเปลี่ยนชื่อไฟล์เป็นชื่อเดียวกันเป๊ะ (ไม่ต้องมีช่องว่างหรืออักษรพิเศษ)

---

### ⚙️ ถ้าอยากปรับขนาด/สีของซับ

1. ไปที่ **Settings (ตั้งค่า)** ของ Windows → **Accessibility → Captions**
2. จะสามารถปรับได้ เช่น

   * สีตัวอักษร
   * พื้นหลัง
   * ขนาด
   * ฟอนต์

การเปลี่ยนตรงนี้จะมีผลกับทุกแอปที่ใช้ระบบซับไตเติลของ Windows รวมถึง Media Player ด้วยครับ

-----------------------------------------
#49
คำถามดีมากครับ 👍

คำตอบคือ — **ยังใช้กันอยู่ครับ แต่ "เปลี่ยนรูปแบบและบทบาท" ไปมากแล้ว**

### 🔹 1. ยังจำเป็นในบางสถานการณ์

**ยังจำเป็น** โดยเฉพาะในบริบทธุรกิจที่ "ความสุภาพ / ความเป็นทางการ" ยังสำคัญ เช่น

* การพบลูกค้าครั้งแรก
* การเข้าร่วมงานสัมมนา / Networking
* การประชุมกับหน่วยงานรัฐ หรือองค์กรใหญ่
* การติดต่อกับต่างประเทศ (บางประเทศให้ความสำคัญมาก เช่น ญี่ปุ่น)

นามบัตรจริงช่วยสร้าง **ความประทับใจแรก** ได้ดี — โดยเฉพาะถ้าออกแบบสวย สะท้อนแบรนด์ หรือมีวัสดุพรีเมียม

---

### 🔹 2. แต่บทบาทลดลงเพราะ "ดิจิทัลแทนที่ได้"

หลายคนเปลี่ยนมาใช้:

* **Digital Business Card (เช่น HiHello, Popl, L-Card, LinkMe)**
* **QR Code / Line / LinkedIn / NFC Card** ที่แตะแล้วขึ้นข้อมูลครบ
* **ลิงก์แบบ Linktree หรือเว็บไซต์ส่วนตัว**

ข้อดีคือ

* ไม่ต้องพกหรือพิมพ์ซ้ำ
* แก้ไขข้อมูลได้ตลอดเวลา
* แชร์ผ่านมือถือได้ทันที

---

### 🔹 3. แนวทางแนะนำในปัจจุบัน

✅ มี **นามบัตรกระดาษ** ติดไว้บ้าง (ใช้ตอนเจอคนสำคัญหรือในงานทางการ)
✅ ใช้ **นามบัตรดิจิทัล (QR / NFC)** สำหรับใช้ทั่วไปหรือออนไลน์
✅ ผสานทั้งสองแบบ — เช่น นามบัตรกระดาษมี QR นำไปสู่โปรไฟล์ออนไลน์

---

### 🔹 สรุปสั้น ๆ

| ด้าน                       | นามบัตรกระดาษ            | นามบัตรดิจิทัล                   |
| -------------------------- | ------------------------ | -------------------------------- |
| ความสุภาพ / ความเป็นทางการ | ✅ สูง                    | ⚪ ปานกลาง                        |
| ความสะดวก / แก้ไขง่าย      | ⚪ ต่ำ                    | ✅ สูง                            |
| ความทันสมัย                | ⚪ ปานกลาง                | ✅ สูง                            |
| เหมาะกับใคร                | ผู้บริหาร, เซลส์, งานรัฐ | ฟรีแลนซ์, สตาร์ทอัพ, คนทำออนไลน์ |

-----------------------------------------------------------
#50
ข้อความว่า

> **"One Driver: Sorry, an error has occurred."**

เป็นข้อความผิดพลาดที่มักเกิดจาก **Microsoft OneDrive** (ไม่ใช่ "One Driver") ครับ ซึ่งหมายความว่าโปรแกรม OneDrive มีปัญหาในการซิงก์ไฟล์หรือเชื่อมต่อกับบัญชี Microsoft ของคุณ

---

### 🔍 สาเหตุที่พบบ่อย

1. การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไม่เสถียร
2. บัญชี Microsoft หมดอายุการเข้าสู่ระบบ (ต้อง Sign in ใหม่)
3. ไฟล์หรือโฟลเดอร์ซิงก์มีปัญหา (เช่น ชื่อไฟล์ยาวหรือมีอักขระต้องห้าม)
4. เวอร์ชันของ OneDrive เก่าหรือเสียหาย
5. สิทธิ์โฟลเดอร์หรือ Registry ใน Windows ผิดพลาด

---

### ✅ วิธีแก้ไขทีละขั้นตอน

#### 🧩 ขั้นตอนที่ 1: รีสตาร์ต OneDrive

1. คลิกขวาที่ไอคอน **OneDrive (รูปเมฆ)** ที่มุมขวาล่างของจอ
2. เลือก **Close OneDrive / ออกจาก OneDrive**
3. เปิดอีกครั้งจากเมนู Start → พิมพ์ "OneDrive" แล้วกด Enter

---

#### 🧩 ขั้นตอนที่ 2: ตรวจสอบบัญชี Microsoft

1. คลิกขวาที่ไอคอน OneDrive → **Settings**
2. ไปที่แท็บ **Account** → กด **Unlink this PC**
3. จากนั้นเปิดใหม่แล้ว **Sign in ด้วยบัญชี Microsoft อีกครั้ง**

---

#### 🧩 ขั้นตอนที่ 3: อัปเดต OneDrive

* ดาวน์โหลดเวอร์ชันล่าสุดจาก Microsoft โดยตรง:
  👉 [https://www.microsoft.com/onedrive/download](https://www.microsoft.com/onedrive/download)

---

#### 🧩 ขั้นตอนที่ 4: รีเซ็ต OneDrive (ถ้ายังไม่หาย)

1. กดปุ่ม **Windows + R**
2. พิมพ์คำสั่งนี้ แล้วกด Enter:

   ```
   %localappdata%\Microsoft\OneDrive\onedrive.exe /reset
   ```
3. รอประมาณ 1–2 นาที แล้วเปิด OneDrive อีกครั้งจาก Start Menu

---

#### 🧩 ขั้นตอนที่ 5: ตรวจสอบสิทธิ์โฟลเดอร์

* ตรวจสอบว่าโฟลเดอร์ที่ซิงก์อยู่ในไดรฟ์ C หรือ D มีสิทธิ์ให้ "Read/Write"
* หลีกเลี่ยงการซิงก์ไฟล์ที่ชื่อมีอักขระ เช่น `#`, `%`, `"`, `|`, `?`, `>`, `<`, `:`

---

#### 🧩 ขั้นตอนที่ 6: ตรวจสอบ Windows Update

* ไปที่ **Settings → Windows Update → Check for updates**
  เพื่อให้แน่ใจว่า Windows และ OneDrive เป็นเวอร์ชันล่าสุด

---

ถ้าทำครบแล้วยังขึ้น **"Sorry, an error has occurred"** อยู่
ขอทราบเพิ่มเติมหน่อยครับ:

* ข้อความขึ้นใน **แอป OneDrive** หรือ **เว็บ (OneDrive.com)**?
* ใช้ **Windows เวอร์ชันอะไร** (เช่น Windows 10 / 11)?
* และตอนนี้คุณสามารถเปิดไฟล์ใน OneDrive ได้ไหม?
----------------------------------------
#51
สมาคมนักวิทยุและโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (สวทท.) 
เปิดอบรม หลักสูตร  นักจัดรายการวิทยุและโทรทัศน์ รุ่นที่ 81
ระหว่างวันที่ 5 – 9 ธันวาคม 2568 (รวม 5 วัน)
สมัครออนไลน์  :  https://shorturl.asia/Oa94t
หรือ ดาวน์โหลด ใบสมัคร - รายละเอียด :  https://shorturl.asia/Anoek
ส่งหลักฐานการสมัคร  ทางสวทท.ส่วนกลาง   
>>> Line id : 0646862497 <<<
สอบถามรายละเอียด เพิ่มเติม โทร 02-2785665 , 02-2755670
โทรสายด่วน 092-1569545   
( เปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป - 3 ธันวาคม 2568 )  https://www.facebook.com/share/p/1CPQKwYMuQ/
#52
"**รายจ่ายมากขึ้นตามรายได้**" เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดกับคนส่วนใหญ่ เรียกว่า

> 📈 **Lifestyle Inflation (เงินเดือนขึ้น แต่เงินเก็บไม่ขึ้น)**

---

### 🔍 ทำไมรายจ่ายถึงมากขึ้นตามรายได้

| สาเหตุ                                               | คำอธิบาย                                                                                                                       |
| ---------------------------------------------------- | ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ |
| **1. การใช้ชีวิตยกระดับตามรายได้ (Lifestyle creep)** | เมื่อรายได้เพิ่ม เช่น ได้โบนัสหรือเลื่อนตำแหน่ง เรามัก "ให้รางวัลตัวเอง" ด้วยของแพงขึ้น เช่น รถใหม่ มือถือใหม่ ร้านอาหารดีขึ้น |
| **2. แรงกดดันทางสังคม (Social pressure)**            | เห็นเพื่อนร่วมงานหรือคนรอบข้างใช้ของดี ก็อยากมีเหมือนกัน                                                                       |
| **3. ขาดการวางแผนทางการเงิน**                        | ไม่มีการกำหนดงบประมาณรายเดือน รายจ่ายเลยเพิ่มโดยไม่รู้ตัว                                                                      |
| **4. ความเคยชินทางอารมณ์**                           | ใช้เงินเพื่อความสุขชั่วคราว เช่น ช้อปคลายเครียด หรือซื้อของเพราะ "รู้สึกว่ามีสิทธิ์"                                           |
| **5. ไม่มีเป้าหมายทางการเงินที่ชัดเจน**              | เมื่อไม่มีเป้าหมาย เช่น เงินเกษียณ หรือเงินลงทุน จึงไม่รู้ว่าควรเก็บเท่าไหร่                                                   |

---

### ✅ วิธีแก้ไข "รายจ่ายมากขึ้นตามรายได้"

| วิธี                                                    | แนวทางปฏิบัติ                                                                   |
| ------------------------------------------------------- | ------------------------------------------------------------------------------- |
| **1. แยกบัญชี "รายได้เพิ่ม" ออกจากบัญชีปกติ**           | ทุกครั้งที่รายได้เพิ่ม ให้โอนส่วนหนึ่งเข้าบัญชีออม/ลงทุนทันที เช่น 30–50%       |
| **2. กำหนดสัดส่วนเงิน 50/30/20**                        | ใช้จ่ายจำเป็น 50% / ใช้เพื่อความสุข 30% / ออมและลงทุน 20%                       |
| **3. ตั้งเป้าการออมแบบ "เพิ่มตามรายได้"**               | ถ้ารายได้เพิ่ม 10% ให้เพิ่มสัดส่วนเงินออมด้วย เช่น จาก 20% → 25%                |
| **4. บันทึกรายจ่ายทุกเดือน**                            | ใช้แอป เช่น Spendee, Money Lover, หรือ Google Sheet เพื่อตรวจพฤติกรรมการใช้เงิน |
| **5. ลงทุนในสินทรัพย์ที่สร้างรายได้ (แทนของฟุ่มเฟือย)** | เช่น กองทุน หุ้น หรืออสังหาริมทรัพย์เล็ก ๆ                                      |
| **6. สร้างระบบอัตโนมัติ (Auto transfer)**               | โอนเงินออมเข้าบัญชีลงทุนทันทีหลังเงินเดือนออก                                   |
| **7. ฝึก "Delayed Gratification"**                      | อย่ารีบซื้อสิ่งที่อยากได้ทันที รอ 7 วัน ถ้ายังอยากได้จริงค่อยซื้อ               |

---

### 💬 ตัวอย่างจริง

นาย A ได้เงินเดือนเพิ่มจาก 30,000 → 40,000 บาท
แต่รายจ่ายก็เพิ่มจาก 25,000 → 35,000 บาท เพราะ

* เปลี่ยนมือถือใหม่
* ไปกินร้านดีขึ้น
* ผ่อนรถแพงกว่าเดิม

ผลลัพธ์: เงินเก็บ "เท่าเดิม" หรือ "น้อยลง"
แต่ถ้าเขาใช้วิธีเก็บ 30% ของรายได้เพิ่ม (3,000 บาท) ทุกเดือน
จะมีเงินเก็บเพิ่มปีละ **36,000 บาท** โดยไม่รู้สึกว่า "อัตคัด"

----------------------------------

เยี่ยมมากครับ 👏
เรามาเริ่มทำ **"แผนควบคุมรายจ่ายส่วนตัว"** ให้เหมาะกับคุณโดยเฉพาะ
เพื่อให้แม่นที่สุด ขอข้อมูลสั้น ๆ ก่อนครับ ⬇️

1. 💰 **รายได้ต่อเดือน (โดยประมาณ)**
2. 🧾 **รายจ่ายหลัก ๆ** เช่น ค่าอาหาร / ค่าเดินทาง / ผ่อนบ้าน / ผ่อนรถ / ค่าเทรด / อื่น ๆ
3. 🎯 **เป้าหมายทางการเงินหลักตอนนี้** เช่น

   * อยากมีเงินเก็บ
   * ลดหนี้
   * ลงทุนเพิ่ม
   * เก็บเงินเพื่อเกษียณ
4. 💸 อยากให้ผมวางแผนแบบใด

   * แบบ **50/30/20 มาตรฐาน (ง่าย)**
   * แบบ **ละเอียด แยกรายจ่ายรายหมวดพร้อมงบควบคุม (เหมือนงบการเงินส่วนบุคคล)**

--------------------------------------------------
#53
AI LLMs คือ **Artificial Intelligence – Large Language Models** หรือ **โมเดลภาษาขนาดใหญ่**

อธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ คือ:

* เป็น **โมเดลปัญญาประดิษฐ์ (AI)** ที่ถูกฝึกจากข้อมูลข้อความจำนวนมหาศาล (เช่น หนังสือ บทความ เว็บไซต์ โค้ด ฯลฯ)
* ใช้สถาปัตยกรรมแบบ **Neural Network (เครือข่ายประสาทเทียม)** โดยเฉพาะ **Transformer**
* จุดเด่นคือสามารถ **เข้าใจภาษา และสร้างข้อความใหม่ได้อย่างมีความหมาย** เช่น ตอบคำถาม แปลภาษา เขียนโค้ด สรุปข้อมูล แต่งเรื่อง แต่งบทความ หรือแม้แต่สนทนาคล้ายมนุษย์

---

### คุณสมบัติหลักของ LLMs

1. **Natural Language Understanding (NLU)** – เข้าใจความหมายของข้อความ
2. **Natural Language Generation (NLG)** – สร้างข้อความใหม่ได้
3. **Context Awareness** – เข้าใจบริบทของการสนทนา
4. **Few-shot / Zero-shot Learning** – ทำงานกับโจทย์ใหม่ได้โดยไม่ต้องเทรนเพิ่มมาก

---

### ตัวอย่าง LLMs ที่โด่งดัง

* **GPT-3, GPT-4, GPT-5** (โดย OpenAI – ใช้ใน ChatGPT)
* **LLaMA** (Meta)
* **Claude** (Anthropic)
* **Gemini** (Google DeepMind)
* **Mistral** (Mistral AI)

---

### การใช้งานจริง

* **ธุรกิจ** → แชตบอท, สรุปรายงาน, วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า
* **โปรแกรมเมอร์** → เขียนโค้ด อธิบายโค้ด แก้บั๊ก
* **นักเรียน/นักวิจัย** → สรุปบทความ, ช่วยค้นคว้า, เขียนงานวิชาการ
* **ครีเอทีฟ** → แต่งเนื้อหา, เขียนบทโฆษณา, ทำสคริปต์วิดีโอ

------------------------------------------------
#54
ขึ้นอยู่กับ **ว่าเพลงที่คุณร้องเป็นเพลงอะไร และคุณใช้เสียงดนตรีแบบไหนครับ**

### ✅ กรณีที่อาจไม่โดนลิขสิทธิ์

1. **ร้องสด / A cappella (ไม่มีดนตรีต้นฉบับ)** → ส่วนใหญ่ไม่โดนบล็อก แต่เจ้าของเพลงอาจเคลม **สิทธิ์การแต่งเพลง (composition right)** ได้ เช่น ถ้าเพลงดัง ๆ ของค่ายใหญ่ (แกรมมี่, RS, ฯลฯ) คุณอาจโดนแจ้งว่าเป็น *"เพลงมีลิขสิทธิ์"* แล้วรายได้โฆษณาจะตกไปที่เจ้าของเพลง ไม่ใช่คุณ
2. **ใช้ดนตรี Cover ที่ทำเอง (เล่นกีตาร์, คีย์บอร์ด)** → ปลอดภัยกว่า แต่ยังถือว่าละเมิดสิทธิ์เชิงดนตรี ถ้าเจ้าของเพลงไม่อนุญาต
3. **เพลงที่หมดอายุลิขสิทธิ์ (เพลงเก่ามากกว่า 50 ปีขึ้นไปในไทย)** → สามารถร้องและเผยแพร่ได้ แต่ต้องระวังถ้ามี "เวอร์ชันบันทึกเสียงใหม่" ก็ยังมีลิขสิทธิ์

### ❌ กรณีที่มักจะโดนลิขสิทธิ์

1. **ใช้ดนตรีคาราโอเกะของค่ายเพลงโดยตรง** → โดน Content ID แน่นอน เช่น คาราโอเกะที่ซื้อแผ่นมาหรือโหลดจากยูทูบ
2. **เอา backing track ที่มีลิขสิทธิ์มาลง** → ระบบยูทูบจะตรวจเจอว่าเป็นเสียงเดียวกับเพลงต้นฉบับ
3. **เพลงดังของค่ายใหญ่ในไทย (GMM, RS, LOVEiS, ฯลฯ)** → ค่ายเหล่านี้มีสัญญากับ YouTube ถ้าคุณลงคลิป cover รายได้จะไปที่ค่าย ไม่ใช่คุณ

### 📝 สิ่งที่ควรรู้

* **YouTube Content ID** จะตรวจจับเสียงเพลงอัตโนมัติ → ถ้าตรงกับเพลงลิขสิทธิ์ คุณอาจไม่ได้รายได้ หรือบางประเทศอาจถูกบล็อกคลิป
* ถ้าอยากทำ **ช่อง cover แบบถูกต้อง** → ติดต่อขอ **Cover License** จากเจ้าของลิขสิทธิ์ หรือใช้บริการที่ทำสัญญาแล้ว เช่น **Loudr, We Are The Hits (WATH)** แต่รองรับเพลงไทยค่อนข้างน้อย
* เพลงอินดี้บางวง/ศิลปินเปิดให้ cover ได้ แต่ต้องให้เครดิต

👉 สรุป:

* ถ้าแค่ร้องเล่น ๆ ลง YouTube ส่วนใหญ่ **ไม่โดนลบ แต่รายได้จะไม่ตกกับคุณ**
* ถ้าอยากสร้างรายได้จริง ๆ ควรใช้ **เพลงที่มี License หรือเพลงตัวเองแต่ง**

-------------------------------------------------
#55
exness เปิดบัญชีใหม่ ต้องฝากเงิน 100 USD ถึงจะเทรดได้

เริ่ม 1 ต.ค. 2568 บัญชีมีออาชีพ 1,000 USD เหมือนเดิม ถ้าลูกค้ามีบัญชีเก่า สามารถใช้งานได้ปรกติ

เปิดบัญชีใหม่ Standard ได้ที่ https://www.exness.com/a/73208
#56
ราคาทองคำ 60,000 บาทต่อบาท+ วิ่งต่อไปเรื่อยๆ  30/9/2568

เปิดบัญชี Standard ดูกราฟ ได้ที่ https://www.exness.com/a/73208
#57
คำถามดีมากครับ 🙏 เรื่อง **"การลงทุน vs การออม"** เป็นสิ่งที่หลายคนสับสนว่าควรให้น้ำหนักกับอะไร วันนี้ผมจะให้เหตุผล **30 ข้อ** โดยแบ่งเป็น 3 ส่วนชัด ๆ

* **10 ข้อที่ออมสำคัญกว่า**
* **10 ข้อที่ลงทุนสำคัญกว่า**
* **10 ข้อที่ต้องทำควบคู่กัน (สมดุลระหว่างออมและลงทุน)**

---

## 🔹 10 เหตุผลที่ "ออม" สำคัญกว่า

1. ออมคือพื้นฐานการเงิน ถ้าไม่ออมจะไม่มีทุนไปลงทุน
2. การออมให้สภาพคล่องสูง ใช้ยามฉุกเฉินได้ทันที
3. เงินออมไม่มีความเสี่ยงขาดทุนเหมือนการลงทุน
4. ช่วยสร้างวินัยทางการเงิน
5. ทำให้รู้จักการจัดการรายจ่ายและควบคุมตนเอง
6. เงินออมเปรียบเหมือน "กันชน" ป้องกันหนี้
7. การออมทำให้ไม่ต้องกู้หนี้นอกระบบเวลาขาดเงิน
8. สร้างความมั่นคงทางจิตใจ รู้ว่าไม่เดือดร้อนถ้ามีเหตุไม่คาดฝัน
9. เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับคนที่ยังไม่กล้าเสี่ยงลงทุน
10. เงินออมสามารถนำไปใช้ตามเป้าหมายระยะสั้น เช่น ซื้อบ้าน รถ หรือท่องเที่ยว

---

## 🔹 10 เหตุผลที่ "ลงทุน" สำคัญกว่า

1. เงินออมเฉย ๆ มูลค่าลดลงเพราะเงินเฟ้อ
2. การลงทุนสร้างผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก
3. ช่วยให้เงินทำงานแทนเรา
4. ถ้าลงทุนถูกวิธี สามารถเกษียณได้เร็วขึ้น
5. การลงทุนเปิดโอกาสสร้างความมั่งคั่ง (Wealth)
6. เงินลงทุนสามารถสร้างรายได้แบบ Passive Income
7. ได้เรียนรู้เศรษฐกิจและตลาดการเงิน
8. การลงทุนทำให้รู้จักการบริหารความเสี่ยง
9. ถ้าเริ่มลงทุนเร็ว จะใช้พลังทบต้น (Compound Interest) ได้เต็มที่
10. ลงทุนบางประเภทช่วยลดหย่อนภาษี (RMF, SSF, กองทุนต่าง ๆ)

---

## 🔹 10 เหตุผลที่ "ออม + ลงทุน" ต้องทำควบคู่กัน

1. การออมสร้างความมั่นคง การลงทุนสร้างการเติบโต
2. มีเงินออมฉุกเฉินก่อนลงทุน จะช่วยลดความเสี่ยงชีวิต
3. สมดุลทำให้ไม่เครียดเกินไปเมื่อเจอตลาดผันผวน
4. เงินออมรองรับรายจ่ายปัจจุบัน เงินลงทุนเตรียมอนาคต
5. ใช้เงินออมในเป้าหมายสั้น ใช้เงินลงทุนในเป้าหมายยาว
6. การออมคือ Safety Net การลงทุนคือ Growth Engine
7. สอนวินัยการใช้เงินทั้งระยะสั้นและระยะยาว
8. การทำทั้งสองอย่างช่วยกระจายความเสี่ยง
9. เงินออมช่วยให้ไม่ต้องขายลงทุนทิ้งในเวลาตลาดตก
10. คนที่ประสบความสำเร็จทางการเงิน มักทำทั้งสองอย่างคู่กัน

---

✅ **สรุปสั้น ๆ**

* ถ้าเพิ่งเริ่มต้น หรือยังไม่มีเงินสำรอง → ออมมาก่อน
* ถ้ามีเงินสำรองเพียงพอแล้ว → ลงทุนเพื่อให้เงินเติบโต
* ที่ดีที่สุด → ทำควบคู่กัน "ออมเพื่อความมั่นคง + ลงทุนเพื่ออนาคต"

---------------------------------------------


## 📊 ตารางเปรียบเทียบ "ออม vs ลงทุน vs ทำควบคู่กัน"

| ด้านเปรียบเทียบ          | ออม (สำคัญกว่า)            | ลงทุน (สำคัญกว่า)                 | ทำควบคู่กัน (สมดุล)                           |
| ------------------------ | -------------------------- | --------------------------------- | --------------------------------------------- |
| **1. เป้าหมายหลัก**      | ความมั่นคง ปลอดภัย         | การเติบโต ความมั่งคั่ง            | มีทั้งความมั่นคง + เติบโต                     |
| **2. ความเสี่ยง**        | ต่ำ (เกือบไม่มี)           | สูง (อาจขาดทุน)                   | กระจายความเสี่ยง                              |
| **3. ผลตอบแทน**          | ต่ำ (ดอกเบี้ยฝาก)          | สูงกว่า (หุ้น, กองทุน, อสังหาฯ)   | สมดุล ไม่เสี่ยงเกินไป                         |
| **4. เงินเฟ้อ**          | มูลค่าเงินลดลง             | เอาชนะเงินเฟ้อได้                 | เงินออมรองรับฉุกเฉิน + เงินลงทุนโตทันเงินเฟ้อ |
| **5. สภาพคล่อง**         | ถอนง่าย ใช้ได้ทันที        | ถอนยาก (บางประเภท)                | มีทั้งสภาพคล่องและการลงทุน                    |
| **6. วินัยทางการเงิน**   | ฝึกการเก็บหอมรอมริบ        | ฝึกการบริหารความเสี่ยง            | ได้ทักษะครบทั้งสองด้าน                        |
| **7. ความรู้ที่ต้องใช้** | น้อย (แค่เลือกบัญชีฝาก)    | มาก (ต้องศึกษาเครื่องมือ)         | เริ่มจากออม → ค่อยเรียนรู้การลงทุน            |
| **8. เหมาะกับใคร**       | ผู้เริ่มต้น รายได้น้อย     | ผู้มีเงินสำรองแล้ว                | ทุกคนที่อยากมั่นคง + มั่งคั่ง                 |
| **9. ตัวอย่าง**          | เงินฝากออมทรัพย์, ฝากประจำ | หุ้น, กองทุน, ETF, อสังหาฯ        | ออมฉุกเฉิน + ลงทุนระยะยาว                     |
| **10. ผลลัพธ์ระยะยาว**   | มีเงินใช้ แต่ไม่มั่งคั่ง   | มั่งคั่ง แต่เสี่ยงถ้าไม่มีเงินออม | ทั้งมั่นคงและมั่งคั่ง                         |

---

✅ **สรุปสั้น ๆ**

* **ออมอย่างเดียว** → ปลอดภัย แต่รวยยาก
* **ลงทุนอย่างเดียว** → รวยได้เร็ว แต่เสี่ยงพังถ้าไม่มีเงินสำรอง
* **ทำควบคู่กัน** → คือทางสายกลางที่ดีที่สุด

--------------------------------------

#58
เทรด Forex Leverage 1:30 ทุน 100,000 usd เทรด eurusd ได้สูงสุดกี่Lot

เปิดบัญชี Standard ได้ที่ https://www.exness.com/a/73208

**ข้อมูลที่ให้มา**

* Leverage = 1:30
* ทุน (Equity/Balance) = **100,000 USD**
* คู่เงินที่เทรด = **EURUSD**
* 1 Standard Lot EURUSD = 100,000 EUR

---

### 1. สูตรคำนวณ Margin ที่ต้องใช้

[
\text{Margin} = \frac{\text{Contract Size}}{\text{Leverage}}
]

สำหรับ **1 Lot EURUSD**:
[
\text{Margin} = \frac{100,000 ,\text{EUR}}{30} \approx 3,333.33 ,\text{EUR}
]

---

### 2. แปลงเป็น USD

เพราะบัญชีเป็น **USD** → ต้องคูณด้วยค่าแลกเปลี่ยน EURUSD (สมมติ 1 EUR = 1.10 USD)

[
3,333.33 \times 1.10 \approx 3,666.67 ,\text{USD ต่อ 1 Lot}
]

---

### 3. หาจำนวน Lot สูงสุด

[
\text{Max Lot} = \frac{ทุน}{Margin ต่อ Lot}
]

[
\text{Max Lot} = \frac{100,000}{3,666.67} \approx 27.27 ,\text{Lot}
]

---

✅ ดังนั้น **ทุน $100,000, leverage 1:30 จะสามารถเปิดได้สูงสุดประมาณ 27 Lot EURUSD** (ขึ้นกับเรทราคา EURUSD ตอนนั้นด้วย อาจแกว่งเล็กน้อย)

----------------------------------------

ได้เลยครับ ผมจะทำ **ตารางเปรียบเทียบทุนกับจำนวน lot สูงสุด** (โดยอิงค่า EURUSD = 1.10 เพื่อแปลงเป็น USD)

👉 Margin ต่อ 1 lot (EURUSD) ที่ Leverage 1:30 = **≈ 3,666.67 USD**

---

## ตารางทุน vs จำนวน Lot สูงสุด (Leverage 1:30)

| ทุน (USD)  | Lot สูงสุด (EURUSD) |
| ----------- | ------------------- |
| **1,000**  | ≈ **0.27 lot**      |
| **10,000**  | ≈ **2.73 lot**      |
| **50,000**  | ≈ **13.64 lot**    |
| **100,000** | ≈ **27.27 lot**    |
| **200,000** | ≈ **54.55 lot**    |

---

📌 หมายเหตุ:

* ตัวเลขนี้เป็น **Lot สูงสุดตาม Margin** ที่เปิดได้ "ทั้งหมด" แต่จริง ๆ เวลาลงทุนควรใช้แค่บางส่วนเพื่อให้มี **Free Margin** กันความเสี่ยง
* ถ้า EURUSD ไม่ใช่ ~1.10 แต่เป็นค่าอื่น (เช่น 1.05 หรือ 1.20) จำนวน lot จะต่างออกไปเล็กน้อย

----------------------------------------
#59
แนวความคิด **SPIN** มักจะใช้ในเชิง **การขายและการเจรจา (Sales Technique)** โดยเฉพาะจากหนังสือ **SPIN Selling** ของ **Neil Rackham**

คำว่า **SPIN** เป็นตัวย่อ มาจาก 4 ประเภทของคำถามที่ใช้ในการสนทนากับลูกค้า ได้แก่

1. **S – Situation (คำถามสถานการณ์)**

   * ใช้เพื่อเก็บข้อมูลพื้นฐานของลูกค้า เช่น สถานการณ์ ปัญหาปัจจุบัน วิธีทำงาน
   * ตัวอย่าง:

     * "ตอนนี้บริษัทใช้ซอฟต์แวร์บริหารจัดการอะไรอยู่ครับ?"
     * "ทีมของคุณมีกี่คน?"

2. **P – Problem (คำถามปัญหา)**

   * ใช้ค้นหาปัญหาหรือความไม่พอใจที่ลูกค้ามี
   * ตัวอย่าง:

     * "ระบบปัจจุบันมีปัญหาช้า หรือใช้ยากตรงไหนบ้างครับ?"
     * "คุณพบข้อจำกัดอะไรที่ทำให้งานไม่ราบรื่นบ้าง?"

3. **I – Implication (คำถามผลกระทบ)**

   * ช่วยให้ลูกค้าตระหนักว่าปัญหานั้นมีผลเสียมากกว่าที่คิด และควรหาทางแก้ไข
   * ตัวอย่าง:

     * "ถ้าแก้ปัญหานี้ไม่ได้ จะส่งผลต่อการส่งงานให้ลูกค้าอย่างไรครับ?"
     * "การเสียเวลาตรงนี้ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นขนาดไหน?"

4. **N – Need-Payoff (คำถามถึงคุณค่า/ผลลัพธ์เมื่อแก้ปัญหาได้)**

   * ทำให้ลูกค้าเห็นคุณค่าของทางออก (Solution) ที่คุณเสนอ
   * ตัวอย่าง:

     * "ถ้าใช้ระบบใหม่ที่ลดขั้นตอนทำงานลงครึ่งหนึ่ง จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้ทีมอย่างไรครับ?"
     * "ถ้าสามารถลดต้นทุนได้เดือนละ 20% คุณคิดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อบริษัทแค่ไหน?"

---

📌 **สรุปสั้น ๆ**

* **SPIN** คือเทคนิคการขายที่ใช้คำถามนำทางลูกค้า → จาก **สถานการณ์ → ปัญหา → ผลกระทบ → คุณค่า/ทางแก้**
* ช่วยให้ลูกค้า **ตระหนักถึงปัญหาเอง** และ **ยอมรับว่าคำตอบของเรามีคุณค่า**
* เหมาะกับการขายที่ซับซ้อน (Complex Sale) เช่น ซอฟต์แวร์ ระบบธุรกิจ การลงทุน ไม่ใช่แค่สินค้าทั่วไป

------------------------------------------------


ได้เลยครับ ✨ ผมทำตาราง **สรุป SPIN Selling** แบบเข้าใจง่าย พร้อมตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจนครับ

---

## 📊 ตารางสรุป SPIN Selling

| ขั้นตอน                                  | ความหมาย                             | จุดประสงค์                                             | ตัวอย่างคำถาม                                                                                                                       |
| ---------------------------------------- | ------------------------------------ | ------------------------------------------------------ | ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- |
| **S – Situation**
(สถานการณ์)         | เก็บข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับลูกค้า     | เข้าใจภาพรวม สภาพแวดล้อม วิธีทำงาน                     | "ตอนนี้คุณใช้ระบบอะไรในการจัดการสต็อกครับ?"
"ทีมมีพนักงานกี่คนครับ?"                                                             |
| **P – Problem**
(ปัญหา)               | ค้นหาปัญหา/ข้อจำกัดที่ลูกค้ากำลังเจอ | ชี้ให้เห็นว่ามี "Pain Point" ที่ต้องแก้                | "ระบบที่ใช้อยู่มีปัญหาอะไรบ้างครับ?"
"การทำงานล่าช้าเพราะขั้นตอนไหนครับ?"                                                        |
| **I – Implication**
(ผลกระทบ)         | ขยายความร้ายแรงของปัญหา              | ทำให้ลูกค้าเห็นผลเสียที่ชัดเจน ถ้าไม่แก้จะกระทบมากขึ้น | "ถ้าสต็อกผิดพลาดบ่อย จะกระทบการส่งของให้ลูกค้าอย่างไรครับ?"
"ต้นทุนที่เพิ่มเพราะความผิดพลาดคิดเป็นกี่ % ของยอดขายครับ?"          |
| **N – Need-Payoff**
(คุณค่า/ผลตอบแทน) | ทำให้ลูกค้าเห็นคุณค่าของการแก้ปัญหา  | สร้างความเชื่อมั่นว่า Solution ของเราคือคำตอบ          | "ถ้าใช้ระบบใหม่ที่ลดข้อผิดพลาดได้ 90% จะช่วยธุรกิจคุณอย่างไรครับ?"
"ถ้าใช้เวลาน้อยลง 50% จะทำให้ทีมมีเวลาทำงานอื่นเพิ่มไหมครับ?" |

---

📌 **สรุปสั้น ๆ**:

* **S** = เข้าใจลูกค้า
* **P** = หาปัญหา
* **I** = ทำให้เห็นผลเสีย
* **N** = ชี้ให้เห็นคุณค่า

--------------------------------------------
#60
โบท็อกซ์ (Botox) และ ฟิลเลอร์ (Filler) มักถูกพูดถึงคู่กันเวลาพูดถึงการเสริมความงาม แต่จริง ๆ แล้ว **หลักการทำงาน วัตถุประสงค์ และผลข้างเคียงต่างกัน** ครับ

---

## ✅ ความแตกต่างหลัก

| ด้าน                  | โบท็อกซ์ (Botox)                                                   | ฟิลเลอร์ (Filler)                                            |
| --------------------- | ------------------------------------------------------------------ | ------------------------------------------------------------ |
| **สารหลัก**           | Botulinum toxin type A (โปรตีนสกัดจากแบคทีเรีย)                    | Hyaluronic acid (HA) หรือสารเติมเต็มอื่น ๆ                   |
| **กลไกการทำงาน**      | ทำให้กล้ามเนื้อบางส่วน "หยุดทำงานชั่วคราว" → ริ้วรอยจากการขยับลดลง | เติมเต็มปริมาตรในผิว → แก้ปัญหาผิวบาง/ยุบ/ขาดน้ำ             |
| **ผลลัพธ์ที่เห็นชัด** | ริ้วรอยตีนกา, หน้าผาก, ระหว่างคิ้วตื้นลง, หน้าเรียวจากการลดกราม    | เติมร่องแก้ม, ร่องใต้ตา, ปากอวบอิ่ม, คางสวยขึ้น, โหนกแก้มชัด |
| **ระยะเวลาอยู่ได้**   | 3–6 เดือน                                                          | 6 เดือน – 2 ปี (ขึ้นกับชนิดและตำแหน่ง)                       |
| **จุดเด่น**           | ลดริ้วรอยจากการขยับ + ปรับรูปหน้าเรียว                             | เติมเต็มส่วนที่ขาด/ตอบ → หน้าดูอิ่มฟูเป็นธรรมชาติ            |

---

## 👍 ประโยชน์

**โบท็อกซ์**

* ลดริ้วรอยจากการแสดงสีหน้า (Dynamic wrinkles)
* ทำให้หน้าดูเรียบ เนียนขึ้น
* ใช้ลดกรามให้หน้าเรียวเล็ก
* ใช้ลดเหงื่อ, ลดน่องโต (medical use)

**ฟิลเลอร์**

* เติมเต็มร่องแก้ม, ใต้ตาลึก, ขมับตอบ
* ปรับรูปคาง, จมูก, ริมฝีปากให้ชัดและอวบอิ่ม
* ทำให้ผิวดูชุ่มชื้น ฟู อ่อนเยาว์

---

## ⚠️ โทษ / ความเสี่ยง

**โบท็อกซ์**

* ฉีดมากเกินไป → หน้าตึงแข็ง, สีหน้าไม่เป็นธรรมชาติ
* ฉีดผิดตำแหน่ง → หนังตาตก, คิ้วตก
* อาการชั่วคราว เช่น ปวดศีรษะ, ช้ำ

**ฟิลเลอร์**

* ฉีดตื้นเกินไป → เห็นเป็นก้อน, เป็นคลื่น
* ฉีดผิดตำแหน่ง (เช่น เส้นเลือด) → อันตรายถึงตาบอด/เนื้อตาย
* บวม แดง ช้ำ บริเวณที่ฉีด (มักหายเอง)

---

## ✅ สรุป

* **โบท็อกซ์ → "คลายกล้ามเนื้อ ลดริ้วรอย/ปรับรูปหน้า"**
* **ฟิลเลอร์ → "เติมเต็มให้ใบหน้าดูอิ่มฟู/สมส่วน"**
* ถ้าจะทำ → ควรเลือก **คลินิกที่ได้มาตรฐาน และแพทย์ที่มีประสบการณ์** เพราะผลเสียจากการฉีดผิดวิธีอาจรุนแรง

----------------------------------------
#61
ถ้าน้ำประปาไม่ไหล สามารถตรวจสอบประกาศหยุดจ่ายน้ำ/น้ำไหลอ่อน ผ่าน **แอปของการประปา** ได้ครับ ขึ้นอยู่กับพื้นที่ที่คุณอยู่

* **กทม. และปริมณฑล** → ใช้แอป

  * 📱 **MWA onMobile** (การประปานครหลวง – Metropolitan Waterworks Authority)
  * แจ้งเหตุ, ตรวจสอบพื้นที่ที่น้ำไม่ไหล, ค่าบริการ, จ่ายค่าน้ำได้
* **ต่างจังหวัด** → ใช้แอป

  * 📱 **PWA 1662** (การประปาส่วนภูมิภาค – Provincial Waterworks Authority)
  * มีข่าวสารหยุดจ่ายน้ำชั่วคราว, แผนซ่อมท่อ, ชำระค่าน้ำ

นอกจากนี้ยังเช็กได้จาก

* เว็บไซต์ทางการของ **กปน.** หรือ **กปภ.**
* Facebook Page ของสาขาในพื้นที่ (มักมีการประกาศเร็ว)

-------------------------------------------------------
#62
Exness มีการแจ้งให้ทราบว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงยอดเงินฝากครั้งแรกสำหรับบัญชีที่เปิดใหม่ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป 🚨

• บัญชี Standard Cent, Standard, เงินฝากขั้นต่ำจะเริ่มที่ $100

• บัญชี Pro, Raw Spread, Zero: เงินฝากขั้นต่ำยังคงอยู่ที่ $1,000 เหมือนเดิม

สำหรับบัญชีที่เปิดก่อนวันที่ 1 ตุลาคม 2568 จะยังคงใช้ยอดเงินฝากตามเงื่อนไขเดิม

เปิดบัญชี Standard ได้ที่ https://www.exness.com/a/73208
#63
✨ "เสียง" ของคุณจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป 🎤
มาเปลี่ยนเสียงธรรมดาให้กลายเป็นเครื่องมือสร้างโอกาสกับ Craft Your Voice Workshop รุ่นที่ 3
👉 เรียนกับผู้เชี่ยวชาญตัวจริง
👉 ได้ทั้งทักษะและผลงาน Portfolio พร้อมใช้
👉 มี Certificate การันตีมาตรฐานระดับมืออาชีพ โดย สมาคมนักวิทยุและโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
สถานที่
Workshop 2 วันจัดเต็ม
📅: 1-2 พฤศจิกายน 2025
⏰: เวลา 10:00 – 17:00 น.
📍: สถานที่ โรงแรม SAMALA Hotel Bangkok
https://maps.app.goo.gl/5DKvStDEHg8SvX117?g_st=ipc
🎧 อัดเสียง DEMO
📅: 8 หรือ 9 พฤศจิกายน 2025
⏰: 📌 จองช่วงเวลาได้
📍: สถานที่ Cine Sound Town In Town
https://maps.app.goo.gl/CtqBJid3shKQBrVe7?g_st=ipc
รีบคว้าที่นั่งก่อนเต็ม!
📲 ลงทะเบียนเลยที่ LINE OA: @upmod.community   https://www.facebook.com/share/p/1BSLpeepk3/
#64
รางวัล **บัลลงดอร์ (Ballon d'Or)** 🏆
คือ **รางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำปีของโลก** จัดขึ้นโดยนิตยสาร *France Football* ของฝรั่งเศส ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1956

### รายละเอียดสำคัญ

* **ผู้ก่อตั้ง:** *France Football* (ฟรองซ์ ฟุตบอล)
* **ปีแรกที่จัด:** ค.ศ. 1956 (ผู้ชนะคนแรกคือ *สแตนลีย์ แมตธิวส์* นักเตะอังกฤษ)
* **วิธีการคัดเลือก:**

  * เดิมทีโหวตโดยนักข่าวฟุตบอลยุโรป
  * ต่อมาเปิดกว้างให้ผู้สื่อข่าวจากทั่วโลก รวมถึงกัปตันทีมชาติและโค้ชทีมชาติ (ช่วงปี 2010–2015 ตอนร่วมกับ FIFA)
  * ปัจจุบัน (หลังปี 2016) กลับมาอยู่ภายใต้การจัดการของ *France Football* โดยผู้สื่อข่าวจากหลายประเทศเป็นผู้โหวต
* **เกณฑ์:** พิจารณาจากผลงานนักเตะตลอดฤดูกาล (ทั้งสโมสรและทีมชาติ) รวมถึงความสามารถส่วนบุคคล, ความสำเร็จของทีม, และความเป็นมืออาชีพ

### หมวดรางวัล

* **Ballon d'Or (ชาย)** – นักฟุตบอลชายยอดเยี่ยม
* **Ballon d'Or Féminin (หญิง)** – นักฟุตบอลหญิงยอดเยี่ยม (เริ่มมอบตั้งแต่ปี 2018)
* **รางวัลอื่น ๆ** ที่เพิ่มเติม เช่น

  * **Kopa Trophy** (นักเตะดาวรุ่งอายุต่ำกว่า 21 ปี)
  * **Yashin Trophy** (ผู้รักษาประตูยอดเยี่ยม)

### ความสำคัญ

ถือว่าเป็น **รางวัลส่วนบุคคลที่มีเกียรติและทรงคุณค่าที่สุดในวงการฟุตบอลโลก** เพราะสะท้อนถึงการยอมรับในระดับนานาชาติ

-----------------------------------------------

นี่คือ **รายชื่อผู้ชนะ Ballon d'Or (ชาย & หญิง)** ย้อนหลังประมาณ 10 ปี ล่าสุด (รวมปี 2025) พร้อมปีที่ไม่ได้มอบถ้ามี:

| ปี       | ผู้ชนะ (ชาย)                                                  | ผู้ชนะ (หญิง)                                               |
| -------- | ------------------------------------------------------------- | ----------------------------------------------------------- |
| **2025** | Ousmane Dembélé ([Sky Sports][1])                             | Aitana Bonmatí ([Sky Sports][1])                            |
| **2024** | Rodri ([Sky Sports][1])                                       | Aitana Bonmatí ([SI][2])                                    |
| **2023** | Lionel Messi ([NBC Sports][3])                                | Aitana Bonmatí ([SI][2])                                    |
| **2022** | Karim Benzema ([Khel Now][4])                                 | Alexia Putellas ([SI][2])                                   |
| **2021** | Lionel Messi ([Khel Now][4])                                  | Alexia Putellas ([SI][2])                                   |
| **2020** | *ไม่มีการมอบรางวัล* (COVID-19) ([Encyclopedia Britannica][5]) | *ไม่มีการมอบรางวัล* ([SI][2])                               |
| **2019** | Lionel Messi ([Khel Now][4])                                  | Megan Rapinoe ([SI][2])                                     |
| **2018** | Luka Modrić ([Khel Now][4])                                   | Ada Hegerberg ([SI][2])                                     |
| **2017** | Cristiano Ronaldo ([Khel Now][4])                             | — (ก่อนมี Ballon d'Or Feminin ยังไม่เริ่ม) ([Wikipedia][6]) |
| **2016** | Cristiano Ronaldo ([Khel Now][4])                             | — ([Wikipedia][6])                                          |

----------------------------------------------------

#65
Exness Free Swap เปิดสัญญาข้ามวัน ไม่มีดอกเบี้ย

เข้าไปดูเมนู เงื่อนไขการเทรด ถ้าขึ้น สว็อปฟรี ผ่านเกณฑ์ ถือสัญญาไปกันยาว ๆ ได้เลย

เปิดบัญชี Standard ได้ที่ https://www.exness.com/a/73208
#66
แก้ไข mt4 ขึ้น error ว่า 2025.09.22 21:41:24.751 TestGenerator: actual tick file "C:\Users\Win11-29082025\AppData\Roaming\MetaQuotes\Terminal\A20FD70E8672155D242E2CBD3AB54D74\tester\history\EURUSDm60_0.fxt" found

อาการที่คุณเจอเกี่ยวข้องกับ **การทดสอบ EA/อินดิเคเตอร์บน MT4 (Strategy Tester)** ครับ

ข้อความ

```
TestGenerator: actual tick file "...EURUSDm60_0.fxt" found
```

ไม่ใช่ **error** จริง ๆ แต่เป็น **log แจ้งเตือน (info/debug)** ว่า MT4 พบไฟล์ tick data (`.fxt`) สำหรับคู่เงิน/ timeframe ที่คุณเลือกทดสอบอยู่แล้ว

สรุปคือ MT4 กำลังบอกว่า:

* ไฟล์ทดสอบ (`.fxt`) ถูกสร้างหรือมีอยู่แล้วในโฟลเดอร์ `tester\history`
* เวลาคุณกดทดสอบใหม่ มันจะใช้ไฟล์นี้ (ถ้าไม่ลบ)
* ถ้าไฟล์ไม่ตรงกับ data ล่าสุด อาจทำให้ผล backtest ไม่ตรงกับความจริง

---

### วิธีแก้ไข/ตรวจสอบ

1. **ถ้าอยาก backtest ต่อได้เลย**
   → ข้อความนี้ปล่อยผ่านได้เลย ไม่ต้องแก้ เพราะเป็นเพียงการบอกว่าพบไฟล์อยู่แล้ว

2. **ถ้าเจอผลทดสอบไม่ตรง (data mismatch)**

   * ปิด MT4 ก่อน
   * ลบไฟล์เก่าในโฟลเดอร์

     ```
     C:\Users\<ชื่อผู้ใช้>\AppData\Roaming\MetaQuotes\Terminal\<ID>\tester\history\
     ```

     โดยเฉพาะไฟล์ `.fxt` และ `.hst` ของคู่เงินนั้น
   * เปิด MT4 → ไปที่ `Tools > History Center` (F2) → ดาวน์โหลดหรือ Import ข้อมูลราคาใหม่
   * รัน backtest อีกครั้ง MT4 จะสร้างไฟล์ `.fxt` ใหม่ให้

3. **ตรวจสอบ Symbol ชื่อพิเศษ (เช่น EURUSDm, EURUSD.pro)**

   * ต้องใช้ชื่อ symbol ให้ตรงกับ broker เช่น `EURUSDm` ไม่ใช่ `EURUSD`
   * ถ้าเลือกผิด ระบบจะสร้างไฟล์ `.fxt` ที่ใช้ไม่ได้

---

👉 ถ้าอยากให้ผมช่วยดูแบบเจาะจงว่า error/backtest ไม่รันเพราะอะไร คุณลองส่ง log บรรทัดต่อ ๆ มาหลังจากนี้ด้วยครับ จะได้แยกได้ว่าเป็นเพียง info หรือมี error จริง ๆ เกี่ยวกับ EA/tester

คุณต้องการให้ผมทำ step-by-step วิธี **ลบไฟล์เก่า + โหลดใหม่** แบบละเอียด (พร้อมภาพโฟลเดอร์/เมนูใน MT4) ไว้ให้เลยไหมครับ?
-----------------------------------------------------------------
#67
ได้เลยครับ 📌

### การส่งไฟล์แนบ (Attachment) เข้า Gmail / Hotmail (Outlook.com)

* **Gmail** → ขนาดไฟล์แนบ **สูงสุด 25 MB** ต่ออีเมล

  * ถ้าไฟล์ใหญ่กว่า 25 MB ระบบจะอัปโหลดไฟล์เข้า **Google Drive** อัตโนมัติ แล้วแนบลิงก์ให้แทน

* **Hotmail / Outlook.com** → ขนาดไฟล์แนบ **สูงสุด 20 MB** ต่ออีเมล

  * ถ้าไฟล์ใหญ่กว่า 20 MB ต้องอัปโหลดไฟล์เข้า **OneDrive** แล้วแชร์ลิงก์แทน

---

✅ ถ้าไฟล์ PDF ใหญ่มากกว่า 25 MB (เช่น 50 MB, 100 MB ขึ้นไป) แนะนำวิธี:

1. บีบอัดไฟล์ (Zip หรือใช้ PDF Compressor)
2. อัปโหลดขึ้น Google Drive / OneDrive แล้วแชร์ลิงก์
3. ใช้บริการส่งไฟล์ (เช่น WeTransfer, Dropbox, Mega)

-------------------------------------
#68
ถ้าคุณมี **PowerDVD** (ของ CyberLink) อยู่แล้ว อยากใช้เปิดหนังจาก USB ทำได้ตามนี้ครับ:

---

### 🔹 วิธีเล่นไฟล์หนังจาก USB ด้วย PowerDVD

1. **เสียบ USB เข้ากับคอมพิวเตอร์**
   → รอให้ Windows ตรวจพบ และขึ้นเป็นไดรฟ์ (เช่น `E:` หรือ `F:`)

2. **เปิดโปรแกรม PowerDVD**

3. ที่หน้าแรกของ PowerDVD ให้เลือกเมนู

   * ถ้าเป็น **PowerDVD เวอร์ชันใหม่** → ไปที่ **PC Mode → My Computer**
   * ถ้าเป็น **เวอร์ชันเก่า** → ไปที่ **Media Library → My Computer**

4. **เลือกไดรฟ์ USB** (เช่น "Removable Disk (F:)")

5. เลือกโฟลเดอร์หรือไฟล์หนังที่ต้องการ เช่น `.mp4`, `.avi`, `.mkv`, `.iso` หรือไฟล์ DVD/BD ที่อยู่ในโฟลเดอร์

6. **ดับเบิลคลิกไฟล์ → หนังจะเริ่มเล่น**

---

### 🔹 หมายเหตุ

* ถ้าเป็น **ไฟล์ DVD หรือ Blu-ray ISO/โฟลเดอร์**
  → PowerDVD จะจำลองเป็นแผ่น (เหมือนใส่แผ่นจริง) แล้วเล่นเมนูได้เลย
* ถ้าเป็น **ไฟล์วิดีโอทั่วไป (MP4, MKV, AVI)**
  → จะเล่นตรง ๆ แบบ Media Player
* ควรใช้ **USB 3.0 ขึ้นไป** ถ้าไฟล์ใหญ่ (หนัง Full HD/4K) เพื่อไม่ให้กระตุก

---------------------------------------------
mp4 โปรแกรม PowerDVD เปิดได้หรือไม่

ได้ครับ 👍

**PowerDVD เปิดไฟล์ .mp4 ได้แน่นอน** (ตั้งแต่เวอร์ชันเก่า ๆ เช่น PowerDVD 10 ขึ้นไปจนถึงเวอร์ชันล่าสุด) เพราะไฟล์ MP4 เป็นฟอร์แมตมาตรฐานที่มี Codec รองรับในตัว เช่น H.264 / AAC

---

### ✅ วิธีเปิดไฟล์ .mp4 ใน PowerDVD

1. เสียบ **USB** → รอให้คอมพิวเตอร์เจอไดรฟ์
2. เปิด **PowerDVD**
3. ไปที่ **My Computer** หรือ **Browse Media**
4. เลือก **USB Drive** ที่เสียบเข้าไป
5. ดับเบิลคลิกไฟล์ `.mp4` → หนังเล่นทันที

---

### ⚠️ หมายเหตุเล็กน้อย

* ถ้าเป็น MP4 ที่บีบอัดด้วย Codec แปลก ๆ (เช่น HEVC/H.265 บางเวอร์ชัน) → อาจต้องใช้ PowerDVD เวอร์ชันใหม่ถึงจะเล่นได้
* ถ้าไฟล์ใหญ่ (Full HD / 4K) → ควรใช้ USB 3.0 หรือ External SSD เพื่อให้เล่นลื่น

-------------------------------------------

#69
ปัญหา **เสื้อออกกำลังกาย (โดยเฉพาะเสื้อผ้า Dry-fit, Polyester, Spandex)** มีกลิ่นเหงื่อหรือกลิ่นอับฝังแน่น เป็นเรื่องที่พบบ่อย เพราะใยสังเคราะห์ดูดซับและกักกลิ่นได้ง่ายกว่าผ้าฝ้ายปกติ

👉 วิธีแก้ที่ได้ผล มีดังนี้ครับ

---

### ✅ ขั้นตอนก่อนซัก

1. **แช่น้ำผสมเบกกิ้งโซดา**

  * ผสมเบกกิ้งโซดา ½ ถ้วย ลงในน้ำอุ่น 5 ลิตร
  * แช่เสื้อไว้ 30 นาที – 1 ชั่วโมง ช่วยลดกรดและกลิ่น

2. **ใช้น้ำส้มสายชูขาว**

  * เติมน้ำส้มสายชูขาว 1 ถ้วย ลงในน้ำแช่เสื้อ (หรือน้ำสุดท้ายของเครื่องซักผ้า)
  * ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดกลิ่น

3. **น้ำเกลือหรือน้ำยาฆ่าเชื้ออ่อน ๆ** (เช่น Dettol หรือน้ำยาฆ่าเชื้อผ้า)

  * แช่ 15–20 นาที ช่วยฆ่าเชื้อโรคและเชื้อรา

---

### ✅ ระหว่างซัก

* ใช้น้ำยาซักผ้า **สำหรับผ้าออกกำลังกาย** (เช่น Sport Detergent, ผงซักฟอกสูตรขจัดกลิ่น)
* **ห้ามใส่น้ำยาปรับผ้านุ่ม** เพราะจะเคลือบเส้นใย ทำให้เก็บกลิ่นไว้มากขึ้น

---

### ✅ หลังซัก

* **ตากแดดแรง ๆ** ช่วยฆ่าเชื้อและลดกลิ่น
* ถ้าไม่มีแดด → ตากในที่อากาศถ่ายเท และใช้ **พัดลมช่วยเป่า**
* หากยังมีกลิ่น → อบด้วย **ไอน้ำร้อนจากเตารีดไอน้ำ** หรือนำไปอบฆ่าเชื้อในเครื่องอบ

---

### 🛠 ถ้ายังไม่หายจริง ๆ

* ใช้ **สเปรย์ขจัดกลิ่นผ้า (Odor Eliminator)** ฉีดก่อนซัก
* หรือใช้ **เอนไซม์ทำความสะอาด (enzyme cleaner)** ที่ช่วยย่อยคราบโปรตีนจากเหงื่อ

---------------------------------------------

ได้เลยครับ 🙌 ผมทำเป็น **คู่มือ Step-by-Step** สำหรับใช้ **เบกกิ้งโซดา + น้ำส้มสายชู** ขจัดกลิ่นเสื้อออกกำลังกาย แบบง่าย ๆ ชัดเจน สามารถพิมพ์ไปติดข้างเครื่องซักผ้าได้เลย

---

# 🧴 คู่มือซักเสื้อออกกำลังกาย (สูตรลัดในบ้าน)

### ✅ อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม

* เบกกิ้งโซดา
* น้ำส้มสายชูขาว
* กะละมัง / ถังน้ำ
* ถ้วยตวง

---

## 🔹 วิธีที่ 1 : แช่ก่อนซัก (เหมาะกับเสื้อกลิ่นแรงมาก)

1. เตรียมน้ำอุ่น **5 ลิตร**
2. เติม **เบกกิ้งโซดา ½ ถ้วยตวง**
3. เติม **น้ำส้มสายชูขาว ½ ถ้วยตวง**
4. คนให้เข้ากัน
5. แช่เสื้อ 30–60 นาที
6. ซักตามปกติ (ใส่น้ำยาซักผ้าได้ตามปกติ)

---

## 🔹 วิธีที่ 2 : ใส่เพิ่มในเครื่องซักผ้า (ซักทุกครั้ง)

1. เติม **เบกกิ้งโซดา ½ ถ้วยตวง** ลงในช่องใส่ผงซักฟอก หรือใส่พร้อมผงซักฟอก
2. ตอนน้ำล้างสุดท้าย เติม **น้ำส้มสายชูขาว ½ ถ้วยตวง** ลงในช่องใส่น้ำยาปรับผ้านุ่ม (แทนปรับผ้านุ่ม)
3. ซักและปั่นตามปกติ

---

## 🔹 วิธีที่ 3 : ฉีดพ่นเฉพาะจุด (เช่น รักแร้ / คอเสื้อ)

1. ผสม **น้ำ 1 แก้ว (250 มล.)**
2. ใส่ **เบกกิ้งโซดา 1 ช้อนโต๊ะ**
3. ใส่ **น้ำส้มสายชูขาว 1 ช้อนโต๊ะ**
4. เทใส่ขวดสเปรย์ เขย่าให้เข้ากัน
5. ฉีดตรงจุดที่กลิ่นแรง ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วค่อยซัก

---

## 🌞 เคล็ดลับเพิ่มประสิทธิภาพ

* **ห้ามใช้น้ำยาปรับผ้านุ่ม** → จะเคลือบเส้นใย ทำให้เก็บกลิ่นไว้
* **ตากแดดจัด** หรือถ้าไม่มีแดด ให้ตากในที่ลมโกรก + เปิดพัดลมช่วย
* ถ้ายังมีกลิ่นหลังซัก → แช่ซ้ำด้วยสูตร "น้ำส้มสายชูขาว ½ ถ้วย + น้ำ 5 ลิตร" แล้วซักใหม่

----------------------------------

#70
**IKIGAI (อิคิไก)** เป็นคำภาษาญี่ปุ่น (生き甲斐)
แปลตรงตัวได้ว่า *"เหตุผลของการมีชีวิตอยู่"* หรือ *"คุณค่าที่ทำให้ตื่นขึ้นมาในแต่ละวัน"*

แนวคิดนี้มาจากวัฒนธรรมญี่ปุ่น โดยเฉพาะในเกาะโอกินาวา (Okinawa) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีคนอายุยืนมากที่สุดในโลก ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าการมี **Ikigai** คือกุญแจสำคัญที่ทำให้ชีวิตมีความหมาย สุขภาพดี และมีความสุขยืนยาว

---

### องค์ประกอบหลักของ Ikigai

Ikigai มักถูกอธิบายด้วยแผนภาพวงกลม 4 ส่วนตัดกัน (คล้าย Venn Diagram) ได้แก่

1. **สิ่งที่คุณรัก (What you love)** – ความหลงใหล, ความสุข
2. **สิ่งที่คุณถนัด (What you are good at)** – ความสามารถ, ทักษะ
3. **สิ่งที่โลกต้องการ (What the world needs)** – การสร้างคุณค่าให้สังคม
4. **สิ่งที่สร้างรายได้ (What you can be paid for)** – อาชีพ, รายได้เลี้ยงชีพ

เมื่อทั้ง 4 สิ่งมาบรรจบกัน → นั่นคือ **Ikigai** ของคุณ

---

### ประโยชน์ของการมี Ikigai

* ทำให้ชีวิต **มีเป้าหมายและความหมาย**
* เพิ่มแรงจูงใจในการใช้ชีวิตและทำงาน
* ช่วยให้ **สมดุลระหว่างงาน–ชีวิตส่วนตัว**
* มีผลต่อ **สุขภาพกายและใจที่ดีขึ้น**

---

📌 สรุปสั้น ๆ
**Ikigai = จุดตัดระหว่าง "สิ่งที่รัก–สิ่งที่ถนัด–สิ่งที่โลกต้องการ–สิ่งที่เลี้ยงชีพได้"**
เป็นแนวคิดที่ช่วยให้เรามีเป้าหมาย มีคุณค่า และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในทุกวัน

------------------------------------
#71
พื้นสนามแบดมินตันแบบมาตรฐาน (ที่ใช้ในการแข่งขันระดับสากล เช่น BWF – Badminton World Federation รับรอง) จะมี **วัสดุหลัก ๆ อยู่ 2 แบบ** ครับ 👇

---

### 1. **พื้นยางสังเคราะห์ (PVC / PU Synthetic Flooring) – มาตรฐานที่นิยมที่สุด**

* เป็นแผ่นปูยางสังเคราะห์ (PVC หรือ PU)
* ด้านล่างมีชั้นโฟม/ชั้นรองรับแรงกระแทก → ช่วยลดการบาดเจ็บที่ข้อเข่า/ข้อเท้า
* ด้านบนมีผิวกันลื่น → เหมาะสำหรับการเคลื่อนที่เร็วของนักกีฬา
* ใช้ในการแข่งขันระดับนานาชาติ (BWF Approved)
* ปูทับพื้นคอนกรีตหรือพื้นไม้ที่เตรียมไว้ก่อน

---

### 2. **พื้นไม้เนื้อแข็ง (Hardwood Flooring) – แบบดั้งเดิม**

* มักใช้ไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้ยางพารา ไม้เมเปิล
* ให้ความยืดหยุ่นและแรงดีดกลับที่ดี
* นิยมใช้ในโรงยิมหรือสนามกีฬาเอนกประสงค์
* ปัจจุบันถ้าเป็นการแข่งใหญ่ ๆ ก็มักจะปูทับด้วยพื้นยางสังเคราะห์อีกชั้นหนึ่ง

---

### 🔹 โครงสร้างทั่วไปของพื้นสนามแบดมินตันมาตรฐาน

1. **ฐาน (Base Layer)** → คอนกรีตเสริมเหล็กหรือไม้ยึดติดแน่น
2. **ชั้นรองรับแรง (Underlay)** → โฟมยาง/ไม้ชั้นย่อย เพื่อกันแรงกระแทก
3. **พื้นผิว (Surface Layer)** → PVC/PU สีเขียวหรือน้ำเงิน (มาตรฐาน BWF)

---

### ✅ สรุป

* **มาตรฐานสากลที่ BWF รับรอง** → พื้น **PVC/PU Synthetic**
* **สนามทั่วไป/โรงยิม** → อาจใช้ **พื้นไม้เนื้อแข็ง** แล้วปูทับด้วยยาง

--------------------------------------------
#72
ธุรกิจแบบ **"กงสี"** เป็นคำที่ใช้ในสังคมไทย โดยเฉพาะในกลุ่มคนไทยเชื้อสายจีน หมายถึง

**ธุรกิจครอบครัว** ที่ญาติพี่น้องหลายคนร่วมกันทำ กำไรและทรัพย์สินทั้งหมดถือเป็นของ "กงสี" (ส่วนกลาง) ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง

---

### ลักษณะของธุรกิจกงสี

1. **โครงสร้างการเป็นเจ้าของ**

   * ธุรกิจเป็นของ "ครอบครัวรวม" ไม่ใช่ของบุคคล
   * รายได้ กำไร หรือทรัพย์สินถือเป็นสมบัติรวม

2. **การแบ่งปันผลประโยชน์**

   * ทุกคนในครอบครัวที่ทำงานกับกงสีจะได้รับค่าใช้จ่าย/เงินเลี้ยงดูเป็นรายเดือน (บางครั้งเรียกว่า "เบี้ยเลี้ยง")
   * ไม่ใช่เงินเดือนตามผลงาน แต่เป็นการแบ่งตามฐานะ เช่น ลูกชาย ลูกสาว หรือสะใภ้

3. **การตัดสินใจ**

   * ผู้ใหญ่หรือหัวหน้าครอบครัว (เช่น "อากง" หรือ "อาเจ็ก" คนโต) จะเป็นผู้นำในการตัดสินใจ
   * เน้นความเชื่อฟังและความกตัญญู

4. **หลักคิด**

   * เน้น "สามัคคี" อยู่รวมกัน เพื่อให้ธุรกิจเจริญเติบโต
   * เน้นการสืบทอดรุ่นต่อรุ่น ลูกหลานต้องช่วยธุรกิจครอบครัว

---

### ข้อดี

* รวมทรัพยากรและแรงงานในครอบครัว → ธุรกิจโตเร็ว
* สมาชิกมีงานทำ ไม่ตกงาน
* ธุรกิจสามารถสืบทอดต่อไปยังรุ่นลูกหลาน
* เกิดความมั่นคงทางการเงินในครอบครัว

### ข้อเสีย

* ขาดระบบบริหารที่เป็นธรรม (บางคนทำมากได้เงินเท่าคนที่ทำงานน้อย)
* อาจเกิดความขัดแย้งภายในครอบครัวเรื่องการเงิน/อำนาจ
* ขัดกับหลักธุรกิจสมัยใหม่ที่เน้นผลตอบแทนตามผลงาน
* เสี่ยงต่อการแตกแยกเมื่อธุรกิจใหญ่ขึ้น

---

📌 สรุปสั้น ๆ:
**"ธุรกิจกงสี" คือธุรกิจครอบครัวแบบไทย-จีน ที่สมาชิกทำงานและใช้ทรัพย์สินร่วมกัน กำไรไม่ใช่ของใครคนใด แต่เป็นของส่วนรวมในครอบครัว**

----------------------------------------------------------

ได้เลยครับ ✨ ผมสรุปเป็น **ตารางเปรียบเทียบ "กงสี vs ธุรกิจครอบครัวทั่วไป"** ให้เห็นชัด ๆ ดังนี้

| ประเด็น             | กงสี                                                                 | ธุรกิจครอบครัวทั่วไป                                                      |
| ------------------- | -------------------------------------------------------------------- | ------------------------------------------------------------------------- |
| **ความเป็นเจ้าของ** | เป็นของ "ครอบครัวรวม" → ทุกอย่างถือว่าเป็นทรัพย์สินส่วนกลาง          | มักเป็นของบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือหุ้นส่วนบางคนในครอบครัว                    |
| **การใช้กำไร**      | กำไรเข้ากองกลาง แบ่งเป็นเบี้ยเลี้ยงหรือค่าใช้จ่ายให้สมาชิก           | เจ้าของ/หุ้นส่วนตัดสินใจแบ่งกำไรตามสัดส่วนการถือหุ้น                      |
| **การทำงาน**        | ญาติพี่น้องทุกคนมีส่วนร่วม ไม่คำนึงถึงความสามารถมากนัก               | เลือกคนทำงานตามความถนัด หรือจ้างคนนอกที่มีความเชี่ยวชาญ                   |
| **การตัดสินใจ**     | ผู้ใหญ่/หัวหน้าครอบครัวเป็นหลัก → ใช้ระบบอาวุโส                      | ขึ้นกับเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ → เน้นระบบธุรกิจ                         |
| **การตอบแทน**       | เงินเลี้ยงดู (ไม่ขึ้นกับผลงาน)                                       | เงินเดือน/ปันผลตามผลงานและสัดส่วนการลงทุน                                 |
| **ข้อดี**           | รวมแรง/ทุนในครอบครัว, สร้างความสามัคคี, ดูแลสมาชิกทุกคน              | บริหารตามระบบธุรกิจ, ยืดหยุ่น, ดึงคนนอกที่เก่งมาช่วยได้                   |
| **ข้อเสีย**         | เสี่ยงขัดแย้งเรื่องเงิน/อำนาจ, ขาดระบบมืออาชีพ, โตยากเมื่อธุรกิจใหญ่ | อาจเกิดการแย่งชิงมรดกหรืออำนาจ, ถ้าผู้บริหารไม่มีความสามารถธุรกิจก็เสี่ยง |
| **เป้าหมาย**        | สืบทอดครอบครัวให้อยู่รอดและอยู่รวมกัน                                | เน้นความยั่งยืนและการเติบโตของธุรกิจ                                      |

---

📌 สรุป:

* **กงสี** = เน้น "ครอบครัวมาก่อนธุรกิจ"
* **ธุรกิจครอบครัวทั่วไป** = เน้น "ธุรกิจมาก่อนครอบครัว"

-----------------------------------

#73
เวลาฟัง YouTube แล้วเสียงเบา อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุครับ คุณลองเช็กตามนี้ทีละขั้นได้เลย:

### 1. ใน YouTube เอง

* ดูที่ **แถบเสียง (speaker icon)** ใต้คลิป ว่าปรับไว้กี่เปอร์เซ็นต์
* กดปุ่ม `M` (Mute) ดูว่าเผลอกดปิดเสียงไว้หรือไม่

### 2. ที่เครื่องคอม/มือถือ

* **Windows / Mac** → กดดู **ไอคอนลำโพง** ขวาล่าง → ปรับระดับเสียงให้ดังขึ้น
* เปิด **Volume Mixer (Windows: คลิกขวาที่ไอคอนลำโพง → Open Volume Mixer)** แล้วดูว่า **Google Chrome / Browser** ที่ใช้เปิด YouTube ถูกปรับเบาไว้หรือไม่
* **มือถือ** → ปุ่มเพิ่มเสียงด้านข้างเครื่อง และเช็กว่าอยู่ที่ "Media Volume" ไม่ใช่แค่เสียงเรียกเข้า

### 3. การตั้งค่าเสียงพิเศษ

* Windows → เข้า **Sound Settings** → เลือก **Output Device** ให้ตรงกับลำโพง/หูฟังที่ใช้งาน
* บางเครื่องอาจมี **Enhancements / Equalizer** ที่ทำให้เสียงเบาลง ให้ลองปิดดู

### 4. อุปกรณ์ภายนอก

* ถ้าใช้ลำโพง/หูฟัง Bluetooth → เช็กปุ่มปรับเสียงที่ตัวอุปกรณ์ด้วย
* ลองถอดเสียบใหม่ หรือเชื่อมต่อใหม่

👉 ถ้าเช็กทุกอย่างแล้วเสียง YouTube ยังเบา แต่เสียงจากแอปอื่นดังปกติ แนะนำลองเปิด YouTube ใน **เบราว์เซอร์อื่น** หรือ **อัปเดต Chrome/Edge/Firefox** ดูครับ
----------------------------------------------
โอเคครับ 👍 ถ้าใช้ **Google Chrome** เปิด YouTube แล้วเสียงเบา แก้ไขได้ตามนี้ทีละขั้น:

---

## 🔧 วิธีแก้เสียงเบา YouTube บน Chrome (Windows 10/11)

### 1. ตรวจสอบแถบเสียงใน YouTube

* ไปที่วิดีโอ → ดู **ไอคอนลำโพง** ใต้คลิป
* ลากแถบ **Volume** ให้สุด

---

### 2. ตรวจสอบ Volume Mixer ของ Windows

1. คลิกขวาที่ **ไอคอนลำโพง** มุมขวาล่าง → เลือก **Open Volume Mixer**
2. จะเห็นระดับเสียงของแต่ละโปรแกรม → หาว่า **Google Chrome** อยู่เบาหรือเปล่า
3. ถ้าเบา ให้เลื่อนขึ้น

---

### 3. รีเซ็ต/ตรวจสอบ Output Device

1. คลิกขวาที่ **ไอคอนลำโพง** → **Sound settings**
2. ที่หัวข้อ **Output** เลือกอุปกรณ์ที่ใช้งาน (เช่น Speaker / Headphone) ให้ตรง
3. กด **Test** เพื่อเช็กเสียง

---

### 4. ปิดตัวช่วยเสียง (ถ้ามี)

* ไปที่ **Sound Control Panel** → เลือกอุปกรณ์ลำโพง → Properties
* แท็บ **Enhancements** → ติ๊ก **Disable all enhancements** แล้วกด OK

---

### 5. รีเซ็ต Chrome

* เข้า **chrome://settings/reset**
* เลือก **Restore settings to their original defaults**
* แล้วลองเปิด YouTube ใหม่

---

👉 ถ้ายังเบาอยู่ ลองทดสอบ:

* เปิด YouTube ด้วย **Edge / Firefox** ว่าเสียงดังขึ้นไหม → ถ้าดัง แปลว่าปัญหามาจาก Chrome
* อัปเดต Chrome → กด `⋮ (เมนูสามจุด)` → **Help** → **About Google Chrome** → จะมีอัปเดตให้

---------------------------------------------------


#74
คำถามนี้น่าสนใจครับ 😊 จริง ๆ แล้วกิจกรรมที่คนเรามัก **เลิกทำไปตามวัย** เกี่ยวข้องกับทั้งร่างกาย, จิตใจ, ความสนใจ, บทบาทชีวิต และข้อจำกัดสุขภาพ

ผมขอทำเป็น **ไทม์ไลน์ 15–80 ปี** ให้เห็นภาพชัด ๆ

---

## 🕒 ไทม์ไลน์กิจกรรมที่คนมักเลิกทำไปตามวัย

### 🎒 วัยรุ่น (15–20 ปี)

* เล่นเกม ติดการ์ตูน/ของเล่น → ลดลงเมื่อโตขึ้น
* อยู่กับเพื่อนมากกว่าอยู่บ้าน → พอมีครอบครัวจะลดลง
* เที่ยวกลางคืน ปาร์ตี้บ่อย ๆ → เลิกไปเมื่อต้องทำงาน/มีครอบครัว

### 👨�🎓 วัยเรียน/ต้นทำงาน (21–30 ปี)

* ออกไปเที่ยวบ่อย ๆ, ดื่มหนัก ๆ → ลดลงเมื่อเข้าสู่วัยทำงานจริงจัง
* ใช้เวลากับกิจกรรมเพื่อความบันเทิงมาก → ลดลงเพราะมีหน้าที่การงาน
* เล่นกีฬาหนัก ๆ แบบสุดแรง เช่น ฟุตบอล, บาส → พอใกล้ 30+ เริ่มบาดเจ็บง่าย

### 👨�👩�👧 วัยทำงานสร้างครอบครัว (31–45 ปี)

* นอนดึก ตื่นสาย → เปลี่ยนเป็นนอนเร็วขึ้น
* เล่นกีฬาแข่งขันจริงจัง → เปลี่ยนไปเล่นเพื่อสุขภาพ เช่น เดิน, วิ่งเบา ๆ
* เที่ยวไกล ๆ หรือ backpack แบบลุย ๆ → เลิกเพราะมีครอบครัว/ภาระ

### 🧑�🦳 วัยกลางคน (46–60 ปี)

* กีฬาหนัก เช่น ฟุตบอล, บาส, มวย → เปลี่ยนเป็นกีฬาที่เบากว่า เช่น ว่ายน้ำ, ปั่นจักรยาน
* การดื่มแอลกอฮอล์หนัก ๆ → ลดลงเพราะสุขภาพ
* ทำงานหามรุ่งหามค่ำ → ลดลงเมื่อเริ่มคิดเรื่องเกษียณและสุขภาพ

### 👵 วัยเกษียณ (61–70 ปี)

* ขับรถไกล ๆ คนเดียว → หลายคนเลิกเพราะสายตา/สมาธิลดลง
* ทำงานที่ใช้แรงมาก → เลิกไปเพราะร่างกายไม่ไหว
* เข้าสังคมใหญ่ ๆ บ่อย ๆ → เลือกอยู่บ้านหรือวงเล็ก ๆ มากกว่า

### 👴 วัยสูงอายุ (71–80 ปี)

* เดินทางไกล → เลิกเพราะร่างกายอ่อนแรง
* เล่นกีฬาแทบทั้งหมด → เหลือเพียงเดินเล่น, รำไทเก็ก, โยคะเบา ๆ
* กิจกรรมเสี่ยง ๆ เช่น ขึ้นที่สูง, ปีนบันได, ใช้เครื่องมือคม → เลิกเพื่อความปลอดภัย
* ทำงานประจำ → เกษียณแล้ว

---

## 📌 สรุปภาพรวม

* **วัยรุ่น – วัยต้นทำงาน** → เลิกเล่นเด็ก/เที่ยวปาร์ตี้บ่อย
* **วัยทำงาน – กลางคน** → เลิกกีฬาและกิจกรรมหนัก ๆ
* **วัยเกษียณ** → เลิกเดินทางและทำงานที่ใช้แรง
* **วัยสูงอายุ** → เหลือเพียงกิจกรรมที่เบา ปลอดภัย และเพื่อสุขภาพ

-----------------------------------------------------------------------

ได้เลยครับ 🙌 ผมจัดทำเป็น **ตารางช่วงอายุ 15 → 80 ปี** พร้อมกิจกรรมที่คนเรามักเลิกทำไปตามวัย ให้เห็นภาพรวมชัดเจนครับ

---

## 🗂� ตารางกิจกรรมที่เลิกทำไปตามช่วงอายุ

| ช่วงอายุ (ปี)                      | กิจกรรมที่มักเลิกทำ / ลดลง                                                                                     |
| ---------------------------------- | -------------------------------------------------------------------------------------------------------------- |
| **15–20** (วัยรุ่น)                | เล่นของเล่น/การ์ตูนจริงจัง, เล่นเกมติดทั้งวัน, เที่ยวกลางคืน/ปาร์ตี้ถี่ ๆ, อยู่กับเพื่อนมากกว่าครอบครัว        |
| **21–30** (วัยเรียน-ต้นทำงาน)      | เที่ยวหนัก ๆ backpack แบบลุยสุด, ดื่มแอลกอฮอล์จัด, นอนดึกตื่นสาย, เล่นกีฬาหนักแข่งขันเต็มที่ (ฟุตบอล, บาส ฯลฯ) |
| **31–45** (วัยทำงาน-สร้างครอบครัว) | เล่นกีฬาแข่งขันจริงจัง, ทำงานหามรุ่งหามค่ำ, เที่ยวผจญภัยเสี่ยง ๆ, ออกเที่ยวกลางคืนบ่อย ๆ                       |
| **46–60** (วัยกลางคน)              | กีฬาใช้แรงมาก (ฟุตบอล, มวย, บาส), ดื่มหนัก, งานหนักใช้แรงเยอะ, ทำกิจกรรมที่เสี่ยงต่อสุขภาพ                     |
| **61–70** (วัยเกษียณต้น)           | ขับรถไกล ๆ คนเดียว, ทำงานใช้แรงมาก, เข้าสังคมกลุ่มใหญ่บ่อย ๆ, เดินทางผจญภัย                                    |
| **71–80** (วัยสูงอายุ)             | เดินทางไกล ๆ, เล่นกีฬาหนักทุกชนิด, ปีนบันได/ทำงานที่เสี่ยงอุบัติเหตุ, ทำงานประจำ                               |

------------------------------------------------------

## กิจกรรมที่คนเรามักเลิกทำไปตามช่วงวัย: จาก 15 ถึง 80 ปี

เมื่อก้าวผ่านช่วงวัยต่างๆ ของชีวิต ตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงวัยสูงอายุ กิจกรรมและความสนใจหลายอย่างที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันก็จะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงและเลือนหายไปตามกาลเวลา การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สะท้อนถึงพัฒนาการทางร่างกาย สังคม และภาระหน้าที่ที่เปลี่ยนไปในแต่ละช่วงวัย

**ช่วงวัยรุ่น (15 - 25 ปี): อำลาความสนใจชั่วครู่และกิจกรรมไร้ขีดจำกัด**

ในวัยแห่งการค้นหาตัวเองนี้ กิจกรรมหลายอย่างมักถูกเลิกไปเมื่อความสนใจเปลี่ยนทิศทาง หรือเมื่อต้องเผชิญกับความรับผิดชอบที่มากขึ้นในรั้วมหาวิทยาลัยและที่ทำงาน

* **งานอดิเรกที่ต้องใช้เวลามาก:** การเล่นเกมออนไลน์อย่างหนัก, การหมกมุ่นกับวงดนตรีหรือศิลปินอย่างสุดตัว, การสะสมของเล่นหรือการ์ตูน อาจลดน้อยลงเมื่อต้องให้ความสำคัญกับการเรียนและการทำงาน
* **การเข้าสังคมแบบไร้ขีดจำกัด:** การนัดเจอเพื่อนฝูงทุกวัน, การไปเที่ยวกลางคืนบ่อยครั้ง, การเข้าร่วมกิจกรรมสันทนาการของโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยอย่างเต็มที่จะลดลง เมื่อเพื่อนฝูงต่างแยกย้ายไปตามเส้นทางของตนเอง
* **กีฬาที่ต้องใช้ความเสี่ยงสูง:** กีฬาผาดโผนหรือกิจกรรมที่ต้องใช้พละกำลังอย่างหนักอาจถูกเลิกเล่นไปบ้าง เนื่องจากความกังวลเรื่องความปลอดภัยและเวลาในการฝึกซ้อม

**ช่วงผู้ใหญ่ตอนต้น (25 - 40 ปี): ทิ้งพฤติกรรมวัยหนุ่มสาว สู่การสร้างความมั่นคง**

วัยนี้เป็นช่วงของการสร้างรากฐานให้ชีวิต ทั้งในด้านอาชีพการงานและครอบครัว ทำให้กิจกรรมหลายอย่างที่เคยทำในวัยหนุ่มสาวต้องถูกตัดทอนออกไป

* **การใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย:** การซื้อของตามกระแสนิยม, การทุ่มเงินไปกับงานสังสรรค์ จะลดลงเพื่อเปลี่ยนไปสู่การเก็บออมและวางแผนทางการเงินเพื่ออนาคต
* **ปาร์ตี้และสังสรรค์สุดเหวี่ยง:** การเที่ยวกลางคืนจนดึกดื่น, การดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนัก จะค่อยๆ เลิกไปเนื่องจากความรับผิดชอบในหน้าที่การงานและภาระทางครอบครัว รวมถึงสุขภาพที่เริ่มส่งสัญญาณเตือน
* **การใช้ชีวิตแบบไม่ใส่ใจสุขภาพ:** การกินอาหารขยะ, การอดนอน, การละเลยการออกกำลังกาย จะถูกแทนที่ด้วยการหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น เพื่อให้ร่างกายพร้อมสำหรับการทำงานหนักและดูแลครอบครัว
* **การเปลี่ยนงานบ่อยครั้ง:** ความคิดที่จะเปลี่ยนงานเพื่อค้นหาตัวเองจะน้อยลง และมุ่งเน้นไปที่การสร้างความมั่นคงและความก้าวหน้าในอาชีพการงานปัจจุบัน

**ช่วงวัยกลางคน (40 - 60 ปี): ปรับตัวรับความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย**

เมื่อเข้าสู่ช่วงวัยกลางคน สภาพร่างกายที่เริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ต้องเลิกกิจกรรมบางอย่างไป

* **กีฬาที่ต้องใช้แรงปะทะหนัก:** กีฬาที่ต้องมีการกระแทกหรือใช้กำลังมาก เช่น ฟุตบอล, บาสเกตบอล, รักบี้ อาจต้องเลิกเล่นไปโดยสิ้นเชิงเพื่อหลีกเลี่ยงอาการบาดเจ็บรุนแรง และหันไปเล่นกีฬาที่เบาลง เช่น กอล์ฟ, โยคะ หรือเดินเร็ว
* **การทำงานหามรุ่งหามค่ำ:** การโหมทำงานหนักและอดหลับอดนอนจะส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างชัดเจนในวัยนี้ ทำให้หลายคนเลือกที่จะปรับสมดุลชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวมากขึ้น
* **การกินอาหารรสจัดและไขมันสูง:** ระบบเผาผลาญที่ช้าลงและปัญหาสุขภาพที่อาจตามมา เช่น ความดันโลหิตสูง, ไขมันในเลือดสูง ทำให้ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอย่างจริงจัง
* **การเพิกเฉยต่อสัญญาณเตือนของร่างกาย:** การฝืนทำกิจกรรมต่างๆ ทั้งที่ร่างกายไม่พร้อม จะเป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง และหันมาให้ความสำคัญกับการตรวจสุขภาพประจำปีและการดูแลตัวเองมากขึ้น

**ช่วงวัยสูงอายุ (60 - 80 ปี): เน้นความสงบสุขและกิจกรรมที่ปลอดภัย**

ในวัยเกษียณและช่วงท้ายของชีวิต กิจกรรมต่างๆ จะถูกปรับให้เข้ากับสภาพร่างกายที่ถดถอยลง และเน้นไปที่การดูแลรักษาสุขภาพกายและใจเป็นหลัก

* **การขับขี่ยานพาหนะทางไกลหรือในเวลากลางคืน:** ปัญหาด้านสายตาและการตอบสนองที่ช้าลง ทำให้การขับรถมีความเสี่ยงมากขึ้น หลายคนจึงเลือกที่จะเลิกขับรถหรือจำกัดการเดินทาง
* **กิจกรรมที่ต้องใช้กำลังมากหรืองานบ้านหนักๆ:** การยกของหนัก, การทำสวนที่ต้องก้มๆ เงยๆ เป็นเวลานาน, การขึ้นลงบันไดบ่อยๆ จะกลายเป็นเรื่องยากและเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ
* **การเดินทางท่องเที่ยวแบบผจญภัย:** การเดินทางไปยังสถานที่ทุรกันดารหรือการท่องเที่ยวที่ต้องใช้พลังงานมากจะลดน้อยลง และเปลี่ยนเป็นการท่องเที่ยวเชิงพักผ่อนมากขึ้น
* **การเข้าสังคมในที่ที่มีคนพลุกพล่าน:** ความกังวลเรื่องสุขภาพและความเหนื่อยล้า อาจทำให้ผู้สูงอายุเลือกที่จะหลีกเลี่ยงการไปร่วมงานสังคมใหญ่ๆ และหันมาใช้เวลากับครอบครัวหรือเพื่อนสนิทในกลุ่มเล็กๆ มากกว่า
* **การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์:** แม้จะเป็นสิ่งที่ควรเลิกในทุกวัย แต่ในวัยสูงอายุ การเลิกสิ่งเหล่านี้จะมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการรักษาชีวิตให้ยืนยาวและมีคุณภาพชีวิตที่ดี
------------------------------------------------------------------

#75

## 🌍 ประเทศที่ "ภาษีเงินได้บุคคลแพงที่สุด"

(วัดที่ **อัตราสูงสุดของขั้นภาษีสูงสุด – Top marginal tax rate**)

* **ไอวอรีโคสต์ (Côte d'Ivoire)** → **60%**
* **ฟินแลนด์** → ประมาณ **56.95%**
* **ญี่ปุ่น** → ประมาณ **55.97%**
* **เดนมาร์ก** → ประมาณ **55.90%**
* **ออสเตรีย** → ประมาณ **55%**

> กลุ่มประเทศยุโรปเหนือ (Nordic) และยุโรปตะวันตกมักเก็บอัตราสูง เพื่อแลกกับสวัสดิการรัฐที่ครอบคลุม เช่น การศึกษา การรักษาพยาบาลฟรี

---

## 🏝� ประเทศที่ "ภาษีเงินได้บุคคลถูกที่สุด"

(อัตรา PIT = 0%)

* **สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE)**
* **กาตาร์**
* **คูเวต**
* **บาห์เรน**
* **ซาอุดีอาระเบีย**
* **บาฮามาส** / **เบอร์มิวดา** / **เคย์แมน** (Tax Havens)

> ประเทศเหล่านี้ไม่มีภาษีเงินได้บุคคลเลย แต่รายได้รัฐมาจากน้ำมัน การท่องเที่ยว หรือการเป็นศูนย์กลางการเงิน

---

📌 สรุปสั้น ๆ

* **แพงสุด:** ไอวอรีโคสต์, ฟินแลนด์, ญี่ปุ่น, เดนมาร์ก (อัตรา \~55–60%)
* **ถูกสุด:** กลุ่มประเทศอ่าวอาหรับ และ Tax Havens หลายแห่ง (อัตรา = 0%)

-----------------------------

# 📊 ตารางเปรียบเทียบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

| อันดับ | ภาษีสูงสุดในโลก 🌍 (Top Marginal Tax Rate) | อัตราภาษีสูงสุด | ภาษีต่ำสุดในโลก 🏝� (PIT = 0%) | อัตราภาษี |
| ------ | ------------------------------------------ | --------------- | ------------------------------ | --------- |
| 1      | ไอวอรีโคสต์ (Côte d'Ivoire)                | **60%**         | สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE)     | **0%**    |
| 2      | ฟินแลนด์                                   | **56.95%**      | กาตาร์                         | **0%**    |
| 3      | ญี่ปุ่น                                    | **55.97%**      | คูเวต                          | **0%**    |
| 4      | เดนมาร์ก                                   | **55.90%**      | บาห์เรน                        | **0%**    |
| 5      | ออสเตรีย                                   | **55%**         | ซาอุดีอาระเบีย                 | **0%**    |
| 6      | สวีเดน                                     | \~**52.9%**     | บาฮามาส                        | **0%**    |
| 7      | เนเธอร์แลนด์                               | \~**49.5%**     | เบอร์มิวดา                     | **0%**    |
| 8      | เบลเยียม                                   | **50%**         | เคย์แมน                        | **0%**    |
| 9      | อิสราเอล                                   | **50%**         | มัลดีฟส์                       | **0%**    |
| 10     | สโลวีเนีย                                  | \~**50%**       | โมนาโก                         | **0%**    |

---

📌 **สรุป:**

* กลุ่ม **ยุโรปเหนือและตะวันตก** (เดนมาร์ก ฟินแลนด์ สวีเดน ฯลฯ) + ญี่ปุ่น/ออสเตรีย → **เก็บสูงมาก (50–60%)**
* กลุ่ม **ตะวันออกกลาง + Tax Havens** เช่น UAE, กาตาร์, บาห์เรน, เคย์แมน → **ไม่เก็บเลย (0%)**

---------------------------------------
#76
ถ้าต้องการ **โปรแกรมตัดต่อวิดีโอที่ใช้งานง่ายที่สุด และเป็นที่นิยม** ผมขอสรุปให้เป็น 2 กลุ่มครับ

---

## 🔹 มือใหม่ – ใช้งานง่าย เน้นความเร็ว

1. **CapCut (Windows, macOS, iOS, Android)**

   * ฟรี ใช้งานง่ายมาก มีทั้งบนมือถือและคอม
   * มี Template สำเร็จรูป, ฟิลเตอร์, Subtitle อัตโนมัติ
   * เหมาะกับทำคลิปลง **TikTok, Facebook, YouTube Shorts**

2. **Filmora (Windows, macOS)**

   * อินเทอร์เฟซเข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน
   * มีเอฟเฟกต์ เพลง และ Template ให้เลือกเยอะ
   * เหมาะสำหรับมือใหม่ที่อยากได้งานสวยเร็ว ๆ

3. **iMovie (macOS, iOS)**

   * ฟรีสำหรับผู้ใช้ Apple
   * ใช้งานง่าย ลากวางแล้วตัดต่อได้เลย
   * เหมาะกับคนที่ใช้ Mac หรือ iPhone

---

## 🔹 ระดับกลาง – มืออาชีพแต่ยังใช้ง่าย

1. **Adobe Premiere Pro (Windows, macOS)**

   * โปรแกรมยอดนิยมที่สุดในสายมืออาชีพ
   * ใช้ทำคอนเทนต์ YouTube, หนัง, โฆษณา
   * มีปลั๊กอินเยอะ และหา Tutorial ได้ง่าย
   * เหมาะกับคนที่อยากจริงจัง

2. **DaVinci Resolve (Windows, macOS, Linux)**

   * ฟรี (เวอร์ชัน Studio มีค่าใช้จ่าย)
   * เด่นเรื่อง Color Grading และเสียง
   * ฟีเจอร์ใกล้เคียง Premiere แต่ฟรีเกือบทั้งหมด
   * เรียนรู้ไม่ยากถ้าอยากพัฒนาไปสายโปร

---

## ✅ สรุปแนะนำ

* ถ้า **มือใหม่ทั่วไป / เน้นความง่าย** → CapCut หรือ Filmora
* ถ้า **ผู้ใช้ Mac/iPhone** → iMovie
* ถ้า **อยากทำจริงจัง / สายมืออาชีพ** → Premiere Pro หรือ DaVinci Resolve

-------------------------------

CapCut ถือว่าเป็นแอป **ตัดต่อวิดีโอที่ง่ายที่สุด** ตัวหนึ่งเลยครับ เหมาะทั้งมือถือและคอม ผมสรุปวิธีใช้งานแบบเบื้องต้นให้ครับ 👇

---

## 📌 วิธีใช้งาน **CapCut (มือถือ/PC เบื้องต้น)**

### 1. ดาวน์โหลดและติดตั้ง

* มือถือ → ดาวน์โหลดจาก **App Store / Google Play**
* คอมพ์ → โหลดจาก [CapCut Official](https://www.capcut.com/)

---

### 2. เริ่มโปรเจกต์ใหม่

* เปิดแอป → กด **"New Project" (โปรเจกต์ใหม่)**
* เลือกวิดีโอ/รูปภาพที่ต้องการตัดต่อ → กด **Add**

---

### 3. หน้าต่างการตัดต่อ (Timeline)

* **ลากวิดีโอ** มาวางใน Timeline
* สามารถ **ซูมเข้า-ออก Timeline** เพื่อดูรายละเอียด

---

### 4. เครื่องมือหลัก

* **Split (ตัด)** → ใช้นิ้วลากเลือกตำแหน่ง → กด "Split" เพื่อตัดคลิปออก
* **Delete (ลบ)** → ลบส่วนที่ไม่ต้องการ
* **Text (ตัวอักษร)** → เพิ่มข้อความ / Subtitle
* **Audio (เสียง)** → ใส่เพลง, เสียงบรรยาย, เอฟเฟกต์เสียง
* **Effect & Transition** → เพิ่มเอฟเฟกต์ภาพ และการเปลี่ยนฉาก
* **Speed (ความเร็ว)** → ทำคลิปสโลว์โมชั่นหรือเร่งความเร็ว
* **Filter** → ปรับโทนสีสวย ๆ

---

### 5. Export / Save

* เมื่อทำเสร็จ → กดปุ่ม **Export** (ขวาบน)
* เลือกความละเอียด (720p, 1080p, 4K) และ FPS
* เซฟลงเครื่อง หรือแชร์ไป **TikTok, Facebook, YouTube** ได้เลย

---

## ✅ จุดเด่น

* ใช้ง่ายมาก เหมาะกับมือใหม่
* มี Template สำเร็จรูป → แค่ใส่วิดีโอ/รูป ก็ได้คลิปสวย
* มีฟังก์ชัน **Auto Caption (ซับอัตโนมัติ)** ภาษาไทยด้วย

--------------------------------
โอเคครับ 🙌 ผมจะทำ **คู่มือ CapCut (เวอร์ชันคอม PC/Notebook)** แบบ Step-by-step ให้เลย พร้อมภาพหน้าจอประกอบ (ผมจะวาด mockup UI ให้คล้ายกับของจริง เพื่อให้อ่านง่ายขึ้นครับ)

---

# 📘 คู่มือใช้งาน **CapCut บนคอมพิวเตอร์**

---

## 1. ดาวน์โหลดและติดตั้ง

1. ไปที่เว็บไซต์ 👉 [https://www.capcut.com/](https://www.capcut.com/)
2. กด **Download for Windows / Mac**
3. ติดตั้งแล้วเปิดโปรแกรม จะเห็นหน้าตาแบบนี้

🖼� Mockup:

```
[CapCut Logo]  New Project
  •    Import
-----------------------------------------
|    Template   |   Recent Projects     |
|---------------|-----------------------|
```

---

## 2. สร้างโปรเจกต์ใหม่

1. กดปุ่ม **New Project**
2. เลือกไฟล์วิดีโอ/รูปภาพจากคอม → กด **Open**

🖼� Mockup:

```
+------------------------------------------+
| Media Bin   | Preview Window | Timeline |
+------------------------------------------+
```

---

## 3. รู้จักหน้าจอหลัก

* **Media Bin** (ซ้ายบน) → สำหรับไฟล์วิดีโอ, รูป, เพลง
* **Preview Window** (กลางบน) → ดูตัวอย่างคลิป
* **Timeline** (ล่าง) → พื้นที่ตัดต่อ (ลากคลิปมาต่อกัน)

🖼� Mockup:

```
[Media Bin]   [Preview]
   file.mp4   -----------------
   file.jpg   |   Video Play  |
              -----------------
---------------------------------
| Timeline (Drag & Drop Clips) |
---------------------------------
```

---

## 4. การตัดต่อเบื้องต้น

### ✂️ ตัดคลิป (Split)

* เลือกคลิปใน Timeline → เลื่อนเส้น Marker ไปจุดที่ต้องการตัด
* กด **Split (Ctrl + B)**

### 🗑� ลบคลิป

* คลิกเลือกคลิป → กด **Delete**

### 🎵 ใส่เสียง/เพลง

* Import เพลง/เสียงเข้ามา → ลากลง Timeline (Audio Track)

### 🔠 เพิ่มข้อความ

* กด **Text → Add text**
* พิมพ์ข้อความ → ปรับฟอนต์/สี/เอฟเฟกต์

### 🎨 เอฟเฟกต์และ Transition

* กด **Effect / Transition** → เลือกเอฟเฟกต์ที่ชอบ → ลากใส่คลิป

---

## 5. Export วิดีโอ

1. กดปุ่ม **Export (ขวาบน)**
2. เลือก:

   * ความละเอียด (1080p/4K)
   * FPS (30/60)
   * Format (MP4 แนะนำ)
3. กด **Export** → จะได้ไฟล์วิดีโอพร้อมใช้งาน

---

## ✅ สรุป

* เหมาะสำหรับ **มือใหม่ → ทำคลิป TikTok, YouTube, Facebook**
* ใช้งานง่ายกว่า Premiere / DaVinci
* มี **Template + Auto Caption ภาษาไทย**

----------------------------------


#77
ถ้าเขียนแอปเสร็จแล้ว อยากเอาขึ้น **Google Play Store** ขั้นตอนหลัก ๆ มีดังนี้ครับ 👇

---

## ✅ ขั้นตอนการอัปโหลดแอปขึ้น Google Play

1. **สมัครบัญชี Google Play Console**

   * ไปที่ [Google Play Console](https://play.google.com/console)
   * ใช้ Gmail สมัคร
   * จ่ายค่าธรรมเนียมครั้งเดียว **25 USD (\~900 บาท)**

2. **เตรียมไฟล์แอป (APK / AAB)**

   * Google แนะนำให้ใช้ **Android App Bundle (.aab)** แทน APK
   * ต้อง **Signed** ด้วย Keystore ของนักพัฒนา

3. **เตรียมข้อมูลสำหรับหน้าแอป**

   * ชื่อแอป (App Name)
   * คำอธิบายสั้น และยาว
   * ไอคอน (512x512 px)
   * ภาพหน้าจอ (Screenshot) อย่างน้อย 2 รูป
   * Feature Graphic (ขนาด 1024x500 px)
   * วิดีโอ (ถ้ามี, เช่น YouTube demo)

4. **สร้างแอปบน Google Play Console**

   * เลือก **Create app**
   * กรอกข้อมูลเบื้องต้น → ชื่อ, ภาษา, หมวดหมู่ (Category)
   * ตั้งค่าการเผยแพร่ (ฟรี หรือเสียเงิน)

5. **อัปโหลดไฟล์ .aab (หรือ APK)**

   * ไปที่ **Production → Create Release**
   * อัปโหลดไฟล์ **Signed AAB**
   * กรอก Release notes (เช่น "เวอร์ชันแรกของแอป")

6. **ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว & นโยบาย**

   * ใส่ **Privacy Policy URL** (จำเป็น ถ้ามีการเก็บข้อมูลผู้ใช้)
   * ตอบแบบสอบถามเนื้อหา (Content Rating)
   * ระบุว่าแอปมีโฆษณา / เก็บข้อมูลส่วนบุคคลหรือไม่

7. **ตรวจสอบและส่งตรวจสอบ (Review)**

   * เมื่อกรอกครบ → กด **Submit for Review**
   * Google จะตรวจสอบใช้เวลาประมาณ **1–7 วัน** (บางทีเร็วแค่ 1-2 ชั่วโมง)

8. **เผยแพร่ (Publish)**

   * ถ้าผ่านตรวจสอบ แอปจะ **ออนไลน์ใน Google Play Store** ให้คนดาวน์โหลดได้

---

## ⚠️ สิ่งที่ควรระวัง

* ต้อง **Signed ด้วย Keystore เดียวกันทุกเวอร์ชัน** → ถ้าเปลี่ยน key จะอัปเดตไม่ได้
* แอปที่มี **เนื้อหาผิดนโยบาย (การพนัน, ลามก, หลอกลวง)** อาจถูกแบน
* ถ้ามี **In-App Purchase (IAP)** ต้องใช้ Google Billing

--------------------------------------------
#78
คำว่า **Safe Zone** (เซฟโซน) แปลตรงตัวว่า "เขตปลอดภัย" แต่การใช้งานจริงขึ้นอยู่กับบริบทครับ เช่น

---

### 1. ความหมายทั่วไป

* พื้นที่หรือเขตที่ปลอดภัยจากอันตราย ภัยคุกคาม หรือสิ่งที่ไม่พึงประสงค์
* เช่น เขตหลบภัยในภัยพิบัติ พื้นที่ปลอดภัยทางการทหาร หรือสถานที่ที่ผู้คนรู้สึกว่าปลอดภัย

---

### 2. ด้านจิตใจ / สังคม

* หมายถึง **พื้นที่ที่ทำให้คนรู้สึกสบายใจ ไม่ถูกตัดสิน ไม่ถูกกดดัน**
* เช่น การอยู่กับครอบครัว เพื่อนสนิท หรือกลุ่มที่รับฟังโดยไม่วิจารณ์แรง
* ใช้ในเชิง "พื้นที่ปลอดภัยทางอารมณ์" (Emotional Safe Zone)

---

### 3. ในเกม (เช่น PUBG, Free Fire ฯลฯ)

* หมายถึง **วงปลอดภัย** ที่ผู้เล่นต้องเข้ามาอยู่ด้านใน ถ้าอยู่นอกวงจะโดนทำดาเมจหรือตาย
* ใช้เพื่อบังคับให้ผู้เล่นเผชิญหน้ากัน ไม่กระจายตัวกว้างเกินไป

---

### 4. ด้านออกแบบสื่อ / กราฟิก / วิดีโอ

* Safe Zone = พื้นที่ปลอดภัยของข้อความหรือโลโก้บนจอ
* ถ้าวางข้อความออกไปนอก Safe Zone อาจถูกตัดขอบจอ (เช่น TV, มือถือ, เว็บไซต์)
* จึงใช้เป็นแนวทางการจัดวางให้อ่านได้ทุกหน้าจอ

-------------------------------------

คำว่า **Safe Zone ในการทำงาน** มักจะใช้ในเชิง **สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย** ทั้งด้านกายภาพและจิตใจ

---

### 1. Safe Zone = ความปลอดภัยทางกายภาพ (Physical Safety)

* พื้นที่ทำงานที่ **ลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุ** เช่น

  * มีอุปกรณ์นิรภัย (หมวก, แว่น, ถุงมือ, รองเท้า)
  * มีการติดป้ายเตือนและทางหนีไฟชัดเจน
  * พื้นที่จัดเก็บเครื่องมือเป็นระเบียบ
  * ระบบไฟฟ้า เครื่องจักร ได้มาตรฐาน
* มักเกี่ยวข้องกับ **มาตรการความปลอดภัยในการทำงาน (Occupational Safety)**

---

### 2. Safe Zone = ความปลอดภัยทางจิตใจ (Psychological Safety)

* คือ **บรรยากาศที่พนักงานรู้สึกปลอดภัยที่จะพูด แสดงความคิดเห็น หรือยอมรับความผิดพลาด**
* ไม่มีการถูกตำหนิหรือลงโทษเกินเหตุ
* ส่งเสริมให้ทีมกล้าลองสิ่งใหม่ ๆ และแก้ปัญหาได้อย่างสร้างสรรค์
* องค์กรที่มี Safe Zone ทางใจ จะช่วยเพิ่ม **Engagement, Productivity และ Innovation**

---

### 3. Safe Zone = พื้นที่ผ่อนคลาย

* บางองค์กรมีมุม **พักผ่อน / พักใจ** เช่น ห้องนั่งเล่น ห้องสมาธิ หรือโซนเงียบ
* ทำให้พนักงานรู้สึกสมดุลระหว่างงานกับสุขภาพจิต

---

📌 สรุป
**Safe Zone ในการทำงาน** คือพื้นที่หรือบรรยากาศที่ทำให้พนักงาน

1. ปลอดภัยจากอุบัติเหตุ
2. ปลอดภัยทางจิตใจ (กล้าแสดงออกโดยไม่กลัวโดนตำหนิ)
3. มีพื้นที่พักใจเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

--------------------------------------

#79
ดิจิทัลฟุตพริ้นท์ (Digital Footprint) คือ **ร่องรอยข้อมูลดิจิทัลที่เราได้ทิ้งไว้บนโลกออนไลน์** จากการใช้อินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นการเข้าเว็บไซต์ โพสต์ข้อความ กดไลก์ แชร์ ค้นหาข้อมูล หรือแม้กระทั่งการใช้อุปกรณ์ดิจิทัลต่าง ๆ ข้อมูลเหล่านี้สามารถถูกเก็บ บันทึก และติดตามได้

🔹 **ประเภทของ Digital Footprint**

1. **Passive Footprint (ฟุตพริ้นท์แบบไม่ตั้งใจ/ถูกเก็บโดยอัตโนมัติ)**

   * เกิดขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว เช่น

     * เว็บไซต์บันทึก IP Address
     * Cookies เก็บประวัติการเข้าชมเว็บ
     * ข้อมูลตำแหน่งจากสมาร์ตโฟน

2. **Active Footprint (ฟุตพริ้นท์แบบตั้งใจ/สร้างเอง)**

   * เกิดจากสิ่งที่เราทำโดยตรง เช่น

     * การโพสต์บน Facebook, X (Twitter), Instagram
     * การคอมเมนต์ หรือรีวิวสินค้า
     * การอัปโหลดภาพ วิดีโอ หรือไฟล์ต่าง ๆ

🔹 **ความสำคัญของ Digital Footprint**

* ใช้ยืนยันตัวตนบนโลกออนไลน์
* มีผลต่อความน่าเชื่อถือ ชื่อเสียงส่วนตัว และภาพลักษณ์ (ทั้งบวกและลบ)
* อาจถูกนำไปใช้ทางกฎหมาย ธุรกิจ หรือการตลาด
* มีผลต่อโอกาสการทำงานหรือการศึกษา (เช่น บริษัทค้นหาข้อมูลผู้สมัครงานจากโซเชียลมีเดีย)

🔹 **วิธีจัดการ Digital Footprint**

* คิดก่อนโพสต์ (เพราะสิ่งที่ลงไปแล้ว อาจลบไม่หมด)
* ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว (Privacy Settings)
* ลบข้อมูลหรือบัญชีที่ไม่ใช้แล้ว
* ใช้รหัสผ่านที่ปลอดภัยและเปิดการยืนยันสองชั้น (2FA)
------------------------------------------------------
#80
FTMO 10 ขั้นตอนในการสร้างกลยุทธ์การซื้อขาย

การซื้อขายในตลาดการเงินต้องการมากกว่าแค่ความรู้เกี่ยวกับกราฟและอินดิเคเตอร์หากไม่มีระบบที่ชัดเจน แม้แต่แนวคิดที่ดีก็อาจกลายเป็นการขาดทุนได้ ด้วยเหตุนี้ การวางแผนอย่างรอบคอบจึงเป็นสิ่งสำคัญที่กำหนดเวลาเข้าตลาด กำหนดเวลาออกตลาด และวิธีบริหารความเสี่ยงกระบวนการสิบขั้นตอนนี้จะช่วยให้คุณสร้างกลยุทธ์ที่ชัดเจน ทดสอบได้ และยั่งยืนในระยะยาว

1. เลือกเครื่องมือการซื้อขายของคุณ
การเลือกตราสารไม่ได้ขึ้นอยู่กับความผันผวนหรือสเปรดเพียงอย่างเดียว การมี "ความถนัดในการเทรด" ในระดับหนึ่งก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน ซึ่งหมายถึงความรู้ ประสบการณ์ และที่สำคัญคือความสนใจอย่างแท้จริงในตลาดนั้นๆ

หากคุณอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกาและติดตามเศรษฐกิจภายในประเทศ การซื้อขายดัชนี S&P 500 หรือ Nasdaq จะง่ายขึ้นสำหรับคุณ คุณเข้าใจข่าวท้องถิ่น รู้จักบริษัทต่างๆ ในดัชนี และสามารถคาดการณ์ผลกระทบของข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคของสหรัฐฯ ได้

ในทำนองเดียวกัน หากคุณติดตามการค้าระหว่างประเทศหรือนโยบายการเงิน ดอลลาร์สหรัฐอาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสม เมื่อรวมกับยูโรแล้ว ดอลลาร์สหรัฐจะกลายเป็นคู่สกุลเงินที่มีสภาพคล่องมากที่สุดในโลก ขณะเดียวกัน ดอลลาร์สหรัฐยังตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่างๆ ที่คุณอาจกำลังติดตามอยู่

เหตุใดสิ่งนี้จึงสำคัญ?
เมื่อคุณเทรดในตลาดที่คุณรู้จัก ปฏิกิริยาตอบสนองที่จะทำให้คุณประหลาดใจจะน้อยลง คุณสามารถประมวลผลข่าวสารได้เร็วขึ้น เข้าใจ "ลักษณะ" ของความเคลื่อนไหวของราคา และเทรดได้อย่างมั่นใจมากขึ้น

2. เลือกตัวบ่งชี้ทางเทคนิค
เลือกตัวบ่งชี้ที่วัดแง่มุมต่าง ๆ ของตลาด ควรเลือกตัวบ่งชี้ที่เรียบง่าย อ่านง่าย และอิงตามหลักการที่หลากหลาย ตัวบ่งชี้สองตัวที่มีพื้นฐานทางคณิตศาสตร์เดียวกันมักไม่ค่อยเพิ่มมูลค่า ตัวอย่างเช่น การใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สองประเภทมักจะให้สัญญาณซ้ำกัน การผสมผสานที่เหมาะสมอาจเป็นดังนี้:

• RSI (ดัชนีความแข็งแกร่งสัมพันธ์):แสดงโซนซื้อมากเกินไปและขายมากเกินไป และช่วยระบุการกลับตัว
• MACD (การแยกทิศทางการบรรจบกันของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่):ติดตามทิศทางและความแข็งแกร่งของแนวโน้ม เน้นที่การเปลี่ยนแปลงโมเมนตัม

RSIตอบสนองต่อราคาที่พุ่งขึ้นอย่างรุนแรงในระยะสั้น ขณะที่MACDคอยติดตามแนวโน้มในวงกว้าง เมื่อนำมารวมกันแล้ว ทั้งสองอย่างนี้จะช่วยให้คุณมองเห็นภาพรวมของตลาดได้อย่างสมดุล

3. ตั้งค่าพารามิเตอร์ของตัวบ่งชี้ของคุณ
การตั้งค่าเริ่มต้นนั้นน่าดึงดูดใจ แต่บ่อยครั้งก็ไม่เหมาะสม ตลาดแต่ละแห่งมีจังหวะ ความผันผวน และปฏิกิริยาต่อข่าวที่แตกต่างกัน ตัวบ่งชี้จำเป็นต้องได้รับการปรับแต่งอย่างละเอียดเพื่อให้เหมาะสมกับตราสารและกรอบเวลาที่คุณเลือก

อุทิศเวลาให้กับการปรับเปลี่ยนพารามิเตอร์ต่างๆ เช่น ปรับความไวของ RSI เพื่อลดสัญญาณหลอกในความผันผวนต่ำ หรือเปลี่ยนการตั้งค่า MACD เพื่อจับแนวโน้มระยะกลางได้ดีขึ้น

นอกจากนี้ ควรทดสอบตัวบ่งชี้ในหลายกรอบเวลา สัญญาณบน H1 อาจทำงานแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงบน M15 หรือ D1

คุณสามารถเพิ่มประสิทธิภาพตัวบ่งชี้ของคุณได้อย่างไร?
1. เลือกตัวแปรพารามิเตอร์หลายตัวสำหรับตัวบ่งชี้ของคุณ (เช่น RSI ช่วง 14, 21 และ 7; MACD ที่มีการตั้งค่า EMA ต่างกัน)
2. ทดสอบตัวแปรเหล่านี้ในกรอบเวลาต่างๆ (M15, H1, D1)
3. รันการทดสอบย้อนหลังสำหรับแต่ละชุดค่าผสม – ดูขั้นตอนที่ 6

เป้าหมายคือการค้นหาการตั้งค่าที่ให้สมดุลระหว่างอัตราความสำเร็จในการซื้อขาย RRR (อัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน) และความเสถียรของผลลัพธ์ในสภาวะตลาดที่แตกต่างกัน



4. กำหนดกฎการเข้าและออก
กฎการเข้าและออกที่กำหนดไว้อย่างชัดเจนคือกุญแจสำคัญสู่วินัยและความสม่ำเสมอในการเทรด ยิ่งคุณปล่อยให้มีอิสระในการตัดสินใจแบบด้นสดและ "สัญชาตญาณ" มากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งยึดมั่นในกลยุทธ์และหลีกเลี่ยงการเทรดแบบหุนหันพลันแล่นได้ง่ายขึ้นเท่านั้น

กฎการเข้า (ตำแหน่งซื้อ):
• RSI ปรับตัวสูงขึ้นจากโซน oversold (ค่าเพิ่มขึ้นจาก <30 ขึ้นไป)
• เส้นหลัก MACD ตัดกับเส้นสัญญาณขึ้น
• สัญญาณทั้งสองควรเกิดขึ้นใกล้กันมากที่สุด โดยควรอยู่ในแท่งเทียนเดียวกันหรือภายใน 1-2 แท่งเทียน เพื่อยืนยันความแรงของสัญญาณ

กฎการเข้า (ตำแหน่งขายชอร์ต):
• RSI ร่วงลงจากโซนซื้อมากเกินไป (ค่าลดลงจาก >70 ลงมา)
• เส้น MACD หลักตัดกับเส้นสัญญาณลง
• เช่นเดียวกับสถานะซื้อ ควรมีการซิงโครไนซ์สัญญาณ มิฉะนั้น ความเสี่ยงของการเข้าซื้อผิดพลาดจะสูงขึ้น

กฎการออก:
• ทางออกหลัก:บรรลุจุดทำกำไร (TP) ที่กำหนดไว้ล่วงหน้าตาม RRR – ตัวอย่างเช่น หากมีความเสี่ยง -500 USD (SL) TP จะอยู่ที่ +1,000 USD โดยมี RRR 2:1 (อีกทางเลือกหนึ่งคือ RRR 3:1)
• ทางออกทางเลือก:ปรากฏสัญญาณ MACD ตรงข้าม – เส้นตัดผ่านเส้นสัญญาณในทิศทางตรงข้ามกับจุดเข้าเดิม
• กฎความปลอดภัย:หากสัญญาณสูญหายหรืออ่อนลงก่อนที่จะถึง TP สถานะอาจถูกปิดด้วยตนเอง แต่ต้องเป็นไปตามแผน (เช่น ในกรณีที่ตลาดมีการกลับตัวที่ชัดเจน)

เหตุใดจึงต้องซิงโครไนซ์สัญญาณ?
เมื่อ RSI และ MACD ยืนยันพร้อมกัน โอกาสที่ตลาดจะเปลี่ยนทิศทางหรือความแข็งแกร่งของแนวโน้มอย่างแท้จริงก็จะสูงขึ้น หากสัญญาณแตกต่างกัน มักบ่งชี้ถึงความไม่แน่นอนของตลาดและเพิ่มความเสี่ยงในการเข้าซื้อที่ผิดพลาด

ผลลัพธ์หลังจากการซื้อขาย 10 ครั้งด้วย RRR 2:1 และ 3:1 จะเป็นอย่างไร?
ผลลัพธ์หลังจากการซื้อขาย 10 ครั้งสามารถดูตารางได้อย่างไร
5. กำหนดความเสี่ยงต่อการซื้อขาย
การบริหารความเสี่ยงเป็นรากฐานสำคัญของการซื้อขายที่ประสบความสำเร็จ หากปราศจากการบริหารความเสี่ยง แม้แต่กลยุทธ์ที่ทำกำไรก็อาจจบลงด้วยการขาดทุนได้ ในFTMO Challengeกฎเกณฑ์ต่างๆ ถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่น ใน 100,000 Challenge:

• ขาดทุนสูงสุดต่อวัน: 5% ของบัญชี → สำหรับบัญชี 100,000 USD นั่นคือ5,000 USD •
ขาดทุนรวมสูงสุด: 10% ของบัญชี → 10,000 USD

ซึ่งหมายความว่าหากคุณเสี่ยงมากเกินไปในการซื้อขายแต่ละครั้ง คุณอาจละเมิดกฎได้หลังจากสูญเสียตำแหน่งไปเพียงไม่กี่ตำแหน่งเท่านั้น

เหตุใดจึงเสี่ยงเพียงเปอร์เซ็นต์เล็กน้อย?
มาตรฐานที่แนะนำคือเสี่ยง0.25–1% ของบัญชีต่อการซื้อขายหนึ่งครั้ง

• ข้อดีของแนวทางนี้:
• มีความยืดหยุ่นมากขึ้นระหว่างช่วงที่แพ้ติดต่อกัน
• ความสบายใจทางจิตใจ – การแพ้มีค่อนข้างน้อยและยอมรับได้ง่ายกว่า

ความสามารถในการเคารพข้อจำกัดของ FTMO แม้ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก

ตัวอย่างการใช้งานจริงสำหรับบัญชี 100,000 USD:

• ความเสี่ยงต่อการซื้อขาย: 0.5% ของเงินทุน = 500 USD •
Stop -loss (SL):ตัวอย่างเช่น 50 จุด
• มูลค่าต่อจุด: 10 USD (ที่ขนาดตำแหน่ง 1 ล็อต)
• การคำนวณ: 50 จุด × 10 USD = 500 USD = 0.5% พอดีของบัญชี

วิธีนี้ช่วยให้คุณคำนวณขนาดตำแหน่งสำหรับตราสารใดๆ ก็ได้ หาก SL กว้างกว่า (เช่น 100 จุด) คุณต้องลดขนาดตำแหน่งลงเพื่อให้ความเสี่ยงยังคงอยู่ที่ 500 ดอลลาร์สหรัฐ

การตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อจำกัด FTMO
ความเสี่ยง 0.5% ต่อการซื้อขาย → ขาดทุน 10 ครั้งติดต่อกัน = ขาดทุน 5% ของบัญชี → ยังคงอยู่ภายใต้กฎ แม้จะขาดทุนติดต่อกัน คุณก็สามารถหลีกเลี่ยงการฝ่าฝืนกฎได้ทันที ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จใน Challenge


6. ดำเนินการทดสอบย้อนหลัง
การทดสอบย้อนหลังจะแสดงให้เห็นว่ากลยุทธ์ของคุณมีประสิทธิภาพอย่างไรในอดีต นี่ไม่ใช่การทดสอบเพียงครั้งเดียว คุณต้องทดสอบจนกว่ากลยุทธ์จะได้ผลในระยะยาวและภายใต้เงื่อนไขต่างๆ

เหตุใดจึงสำคัญ:
ระบบอาจดูดีในกลุ่มตัวอย่างขนาดเล็ก แต่เมื่อทดสอบข้อมูลเป็นเวลา 1-2 ปี มักจะพบจุดอ่อน

แนวทางที่แนะนำ:

1. กำหนดเป้าหมาย (เช่น ถอนสูงสุด 10%, อัตราการชนะ ≥55%, RRR ≥1:2)

2. เลือกข้อมูลย้อนหลังอย่างน้อย 6 เดือนโดยเหมาะจะเป็น 12–24 เดือน

3. ทดสอบกลยุทธ์ด้วยการตั้งค่าปัจจุบัน

4. หากผลลัพธ์ล้มเหลว ให้ปรับพารามิเตอร์หรือกรอบเวลาและทดสอบซ้ำ

5. ทำซ้ำจนกว่ากลยุทธ์ จะได้ ผลสม่ำเสมอ

โปรดจำไว้ว่า:การทดสอบย้อนหลังไม่ใช่การสร้าง "กลยุทธ์ที่สมบูรณ์แบบในอดีต" แต่เป็นการพิสูจน์ความยืดหยุ่นและเสถียรภาพในตลาดที่แตกต่างกัน

7. ตรวจสอบกลยุทธ์ของคุณ
ก่อนเสี่ยงเงินจริง (หรือเงินทุนท้าทาย) คุณต้องทดสอบกลยุทธ์นี้ในสภาวะตลาดจริงโดยไม่มีความเสี่ยงทางการเงินการทดลองใช้ฟรีเป็นสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมที่สุด เพราะช่วยให้คุณ:

• สังเกตว่ากลยุทธ์ตอบสนองต่อกิจกรรมตลาดปัจจุบันอย่างไร
• ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณสามารถปฏิบัติตามการจัดการเงินและความเสี่ยงได้ในทางปฏิบัติ
• ทดสอบด้านเทคนิค เช่น ความเร็วในการดำเนินการ การตั้งค่าแพลตฟอร์ม และข้อผิดพลาดในการส่งคำสั่งซื้อขายที่อาจเกิดขึ้น

เคล็ดลับสำหรับการซื้อขายทดลองฟรีที่มีประสิทธิผล:
• ใช้เงินทุนขนาดเดียวกับบัญชี FTMO ของคุณ (เช่น 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ)
• ใช้ขนาดตำแหน่ง SL และ TP เดียวกันกับที่วางแผนไว้ในการซื้อขายจริง
• ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์การจำกัดเดียวกัน (ขาดทุนสูงสุดต่อวัน, ขาดทุนสูงสุดต่อการซื้อขาย)
• จดบันทึกการเทรด – หลังการซื้อขายแต่ละครั้ง ให้บันทึกเหตุผลในการเข้า เหตุผลในการออก ผลลัพธ์ และบันทึกอารมณ์ความรู้สึก

จุดมุ่งหมายไม่เพียงแต่เพื่อตรวจสอบผลกำไรเท่านั้น แต่ยังเพื่อยืนยันอีกด้วยว่าคุณสามารถยึดมั่นตามกลยุทธ์ของคุณได้อย่างอัตโนมัติโดยไม่มีการเบี่ยงเบนที่ไม่จำเป็น

8. เริ่มการซื้อขายบนบัญชีจริง
เมื่อกลยุทธ์ของคุณเสถียรในบัญชีทดลอง (อย่างน้อย 1-2 เดือน) คุณก็สามารถเทรดจริงได้ ในการแข่งขันFTMO Challengeวินัยเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง

คำแนะนำสำหรับเดือนแรกของการซื้อขายสด:
• จำกัดการซื้อขายสูงสุดไว้ที่ 2-3 ครั้งต่อวันเฉพาะเมื่อเป็นไปตามเงื่อนไขกลยุทธ์ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการซื้อขายแบบหุนหันพลันแล่นและหลีกเลี่ยงการฝ่าฝืนขีดจำกัดการขาดทุนรายวัน
• หลีกเลี่ยงการซื้อขายในช่วงที่มีการเผยแพร่ข่าวเศรษฐกิจมหภาคสำคัญ เว้นแต่จะเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ของคุณ
• หลังจากทำกำไรได้ในแต่ละวันแล้ว (เช่น 1-1.5% ของบัญชี) ควรพิจารณายุติการซื้อขาย เพื่อปกป้องทั้งเงินทุนและจิตวิทยา

9. ประเมินผลงานของคุณเป็นประจำ
การติดตามผลลัพธ์ไม่ได้เป็นเพียงการตรวจสอบยอดคงเหลือในบัญชีเท่านั้น สิ่งสำคัญคือการวัดตัวชี้วัดสำคัญๆที่บอกคุณว่ากลยุทธ์นั้นยังคงประสิทธิภาพอยู่หรือไม่:

• อัตราความสำเร็จ – จำนวนการซื้อขายที่จบลงด้วยกำไร
• RRR (อัตราส่วนผลตอบแทนต่อความเสี่ยง) – อัตราส่วนเฉลี่ยของกำไรต่อความเสี่ยง
• Drawdown – การลดลงของเงินทุนมากที่สุดจากจุดสูงสุด
• กำไร/ขาดทุนเฉลี่ยต่อการซื้อขาย – แสดงให้เห็นว่ากำไรมากกว่าขาดทุนหรือไม่

ตัวอย่างหลังจากการซื้อขาย 15 ครั้ง:

• อัตราความสำเร็จ: 60%
• กำไรเฉลี่ยต่อการซื้อขาย: 800 USD
• ความเสี่ยงเฉลี่ยต่อการซื้อขาย: 500 USD (RRR 1:1.6)
• การถอนเงิน: 2%

การประเมินเป็นประจำ (เช่น ทุก 2 สัปดาห์) ช่วยให้คุณตรวจพบปัญหาได้ในระยะเริ่มต้นและปรับกลยุทธ์ก่อนที่จะเกิดการสูญเสีย

10. ปรับปรุงประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง
ทุกกลยุทธ์จำเป็นต้องได้รับการตรวจสอบและปรับปรุง ตลาดมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ความผันผวน สภาพคล่อง และปฏิกิริยาต่อข่าวมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ดังนั้น อย่าลืม:

• ดำเนินการทดสอบย้อนหลังแบบย่อ เป็นประจำ โดยใช้ข้อมูลปัจจุบัน
• ตรวจสอบว่าพารามิเตอร์ RSI และ MACD ในปัจจุบันยังใช้งานได้หรือไม่ หากผลสำเร็จต่ำกว่าเป้าหมาย ให้กลับไปทดสอบการตั้งค่าอื่น
• ปรับกรอบเวลา – สัญญาณใน H1 อาจทำงานแตกต่างไปจากเมื่อหกเดือนที่แล้ว

การทดสอบและพัฒนากลยุทธ์ของคุณไม่ได้หมายความว่าต้องเปลี่ยนพารามิเตอร์ทุกสัปดาห์ การทดสอบย้อนหลังและการตรวจสอบจะช่วยให้คุณปรับเปลี่ยนเล็กๆ น้อยๆ ได้เมื่อจำเป็น และช่วยให้กลยุทธ์ของคุณมีประสิทธิภาพสูงสุด

ที่มา https://ftmo.com/en/10-steps-to-building-a-trading-strategy/?utm_campaign=WR_EN_05092025&utm_medium=mailing&utm_source=newsletter
#81
คุณสมบัติของ **ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.)** ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับปัจจุบัน พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม) มีหลัก ๆ ดังนี้ครับ

---

### ✅ คุณสมบัติของผู้สมัคร ส.ส.

1. **สัญชาติไทยโดยการเกิด**

   * หากแปลงสัญชาติมา ต้องได้สัญชาติมาแล้วไม่น้อยกว่า **10 ปี**

2. **อายุไม่ต่ำกว่า 25 ปีบริบูรณ์**

   * ในวันเลือกตั้ง

3. **เป็นสมาชิกพรรคการเมืองเดียวกันไม่น้อยกว่า 90 วัน**

   * นับถึงวันสมัคร (ยกเว้นการเลือกตั้งครั้งแรกหลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญ อาจกำหนดไว้ 30 วัน)

4. **การศึกษา**

   * จบการศึกษา **ไม่ต่ำกว่าปริญญาตรี หรือเทียบเท่า**

5. **มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตเลือกตั้ง**

   * ไม่น้อยกว่า 5 ปีติดต่อกัน (เฉพาะผู้สมัครแบบแบ่งเขต)
   * แต่ถ้าสมัครแบบบัญชีรายชื่อ ไม่กำหนดเรื่องเขต

---

### ❌ ลักษณะต้องห้ามของผู้สมัคร ส.ส.

ห้ามสมัคร ถ้ามีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น

* อยู่ในสมณเพศ
* เป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ
* ติดยาเสพติดให้โทษ หรืออยู่ในภาวะล้มละลาย
* ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง
* เคยต้องโทษจำคุกในคดีทุจริตเลือกตั้ง / คดีอาญาบางประเภท (ยกเว้นความผิดลหุโทษหรือประมาท)
* เป็นข้าราชการประจำ พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ (ต้องลาออกก่อนสมัคร)
* เป็นสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) หรือดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นในช่วงเวลาที่กฎหมายห้าม

---

📌 สรุปสั้น ๆ:
ผู้สมัคร ส.ส. ต้อง **เป็นคนไทยโดยกำเนิด อายุ 25 ปีขึ้นไป จบปริญญาตรี สังกัดพรรคการเมืองเกิน 90 วัน และไม่มีลักษณะต้องห้าม** ตามที่กฎหมายกำหนดครับ

--------------------------------------

คุณถามดีมากครับ 👍
ตำแหน่ง **สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.)** ของไทย ตาม **รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560** (และกฎหมายประกอบที่เกี่ยวข้อง) จะมีคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามที่ชัดเจนครับ

---

## ✅ คุณสมบัติของผู้สมัคร ส.ว.

1. **สัญชาติไทยโดยการเกิด**
2. **อายุไม่ต่ำกว่า 40 ปี** ในวันสมัคร
3. **มีประสบการณ์ทำงานไม่น้อยกว่า 10 ปี** ในด้านใดด้านหนึ่ง (ที่เกี่ยวข้องกับการสมัครในกลุ่มสาขาอาชีพ เช่น วิชาชีพ, สังคม, ภูมิภาค ฯลฯ)
4. **คุณสมบัติทั่วไปของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง**

   * มีชื่อในทะเบียนบ้านในเขตเลือกตั้ง
   * ไม่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง

---

## ❌ ลักษณะต้องห้ามของผู้สมัคร ส.ว.

* อยู่ในสมณเพศ
* เป็นคนไร้ความสามารถ หรือเสมือนไร้ความสามารถ
* ติดยาเสพติดให้โทษ หรืออยู่ในภาวะล้มละลาย
* เคยต้องโทษจำคุก (ยกเว้นความผิดลหุโทษหรือประมาท)
* เป็นข้าราชการประจำ พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ (ถ้าไม่ลาออกก่อนสมัคร)
* เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือดำรงตำแหน่งทางการเมือง
* เป็นกรรมการหรือผู้ดำรงตำแหน่งบริหารในพรรคการเมือง

---

📌 **สรุปสั้น ๆ**
ผู้สมัคร ส.ว. ต้อง

* **อายุ 40 ปีขึ้นไป**
* **สัญชาติไทยโดยกำเนิด**
* **มีประสบการณ์ทำงาน ≥ 10 ปี**
* **ไม่มีลักษณะต้องห้าม** (เช่น ข้าราชการประจำ พระสงฆ์ คนล้มละลาย นักการเมือง หรือผู้เคยถูกตัดสิทธิ)

-------------------------------------------

ได้เลยครับ 🙌 ผมทำตารางเปรียบเทียบ **คุณสมบัติของผู้สมัคร ส.ส. vs ส.ว.** ให้ดูชัด ๆ

---

# 📊 ตารางเปรียบเทียบคุณสมบัติผู้สมัคร

| รายการ                                | **ส.ส. (สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร)**                                                                                                                                                          | **ส.ว. (สมาชิกวุฒิสภา)**                                                                                                                                                                           |
| ------------------------------------- | ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- | -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- |
| **สัญชาติ**                           | ต้องเป็น **สัญชาติไทยโดยการเกิด** (ถ้าแปลงสัญชาติต้องได้มาแล้ว ≥ 10 ปี)                                                                                                                  | ต้องเป็น **สัญชาติไทยโดยการเกิด** เท่านั้น                                                                                                                                                         |
| **อายุขั้นต่ำ**                       | **25 ปี** บริบูรณ์                                                                                                                                                                       | **40 ปี** บริบูรณ์                                                                                                                                                                                 |
| **การศึกษา**                          | จบ **ปริญญาตรีหรือเทียบเท่า**                                                                                                                                                            | ไม่กำหนดวุฒิการศึกษา แต่ต้องมี **ประสบการณ์ทำงาน ≥ 10 ปี**                                                                                                                                         |
| **การสังกัดพรรคการเมือง**             | ต้องเป็นสมาชิกพรรคการเมืองเดียวกัน ≥ 90 วัน (ยกเว้นบางกรณี 30 วัน)                                                                                                                       | ❌ **ห้าม** เป็นสมาชิกพรรคการเมือง                                                                                                                                                                  |
| **ภูมิลำเนา/ทะเบียนบ้าน**             | แบบแบ่งเขต : ต้องมีชื่อในเขตเลือกตั้ง ≥ 5 ปี
แบบบัญชีรายชื่อ : ไม่กำหนด                                                                                                               | ไม่กำหนดว่าต้องอยู่เขตใด                                                                                                                                                                           |
| **ลักษณะต้องห้าม** (เหมือนกันหลายข้อ) | - พระภิกษุ/นักบวช
- คนไร้ความสามารถ/เสมือนไร้ความสามารถ
- ติดยาเสพติด/ล้มละลาย
- เคยถูกจำคุกบางความผิด
- เป็นข้าราชการประจำ / เจ้าหน้าที่รัฐ / ส.ว. / ผู้ดำรงตำแหน่งการเมือง | - พระภิกษุ/นักบวช
- คนไร้ความสามารถ/เสมือนไร้ความสามารถ
- ติดยาเสพติด/ล้มละลาย
- เคยถูกจำคุกบางความผิด
- เป็นข้าราชการประจำ / เจ้าหน้าที่รัฐ / ส.ส. / นักการเมือง / สมาชิกพรรคการเมือง |

---

📌 **สรุป:**

* **ส.ส.** เน้นที่อายุขั้นต่ำ 25 ปี + ปริญญาตรี + ต้องสังกัดพรรคการเมือง
* **ส.ว.** เน้นอายุ ≥ 40 ปี + ประสบการณ์ทำงาน 10 ปี + ห้ามสังกัดพรรคการเมือง

----------------------------------------

#82
น้ำอัดลม **ไม่มีน้ำตาล (sugar-free / zero / diet)** มักถูกเปรียบเทียบกับน้ำอัดลม **แบบมีน้ำตาล** เรื่องสุขภาพบ่อยครับ ✅❌

---

### 1. เรื่องแคลอรีและน้ำหนัก

* **แบบไม่มีน้ำตาล** → ให้พลังงานน้อยหรือแทบไม่มี → ช่วยควบคุมน้ำหนักได้ดีกว่า
* **แบบมีน้ำตาล** → มีน้ำตาลสูง (1 กระป๋อง \~ 7–10 ช้อนชา) → เสี่ยงอ้วนลงพุง, เบาหวาน, ฟันผุ

👉 ในแง่นี้ **แบบไม่มีน้ำตาลดีกว่า**

---

### 2. เรื่องเบาหวานและเมตาบอลิก

* **น้ำตาลสูง** → ทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งเร็ว → เพิ่มความเสี่ยงเบาหวานชนิดที่ 2
* **น้ำอัดลมไม่มีน้ำตาล** ใช้สารให้ความหวานแทน (เช่น แอสปาร์แตม, ซูคราโลส, สตีเวีย) → ไม่ทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งทันที
  แต่...มีบางงานวิจัยพบว่า **อาจส่งผลต่อการเผาผลาญหรือจุลินทรีย์ในลำไส้** ในระยะยาว → อาจทำให้ความอยากของหวานยังคงอยู่

👉 โดยรวม **ดีกว่าแบบมีน้ำตาล** แต่ไม่ใช่ว่าปลอดภัย 100%

---

### 3. เรื่องสุขภาพช่องปาก

* **ทั้งสองแบบ** มีความเป็นกรด → กัดกร่อนฟันได้
* แบบมีน้ำตาล → ฟันผุ + กร่อน
* แบบไม่มีน้ำตาล → ไม่ทำให้ฟันผุเพิ่ม แต่กรดยังคงทำลายเคลือบฟันได้

👉 ทั้งคู่กระทบฟัน แต่แบบไม่มีน้ำตาล **ดีกว่านิดหน่อย**

---

### 4. เรื่องสุขภาพระยะยาว

* **น้ำตาลสูง** เชื่อมโยงกับ **อ้วน, เบาหวาน, ไขมันพอกตับ, หัวใจ**
* **สารให้ความหวานเทียม** ยังอยู่ในการถกเถียง → ส่วนใหญ่จัดว่าปลอดภัยถ้าไม่เกินปริมาณที่กำหนด, แต่ควรดื่มพอประมาณ

---

✅ **สรุป**

* น้ำอัดลม **ไม่มีน้ำตาล ดีกว่าแบบมีน้ำตาล** ชัดเจน โดยเฉพาะเรื่องน้ำหนักและเบาหวาน
* แต่ **ไม่ใช่เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ** เพราะยังมีกรด, คาเฟอีน, สารให้ความหวาน
* ถ้าต้องเลือก → เลือก **ไม่มีน้ำตาล**
* ถ้าอยากดีจริง → เลือก **น้ำเปล่า, ชาไม่หวาน, กาแฟดำ** จะดีที่สุดครับ

---------------------------------

น้ำอัดลมมีน้ำตาล vs ไม่มีน้ำตาล vs น้ำเปล่า

| ประเด็น                     | น้ำอัดลม **มีน้ำตาล**                   | น้ำอัดลม **ไม่มีน้ำตาล (Zero/Diet)**                       | **น้ำเปล่า**                       |
| --------------------------- | --------------------------------------- | ---------------------------------------------------------- | ---------------------------------- |
| **แคลอรี**                  | สูง (120–150 kcal/กระป๋อง) → เสี่ยงอ้วน | แทบไม่มี (0–5 kcal)                                        | 0 kcal                             |
| **น้ำตาล**                  | สูงมาก (7–10 ช้อนชา/กระป๋อง)            | ไม่มีน้ำตาล → ใช้สารให้ความหวานเทียม/ธรรมชาติ              | ไม่มี                              |
| **ผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด** | พุ่งสูงเร็ว → เสี่ยงเบาหวาน             | ไม่พุ่งทันที แต่บางการศึกษาเจอผลต่อการเผาผลาญ              | คงที่                              |
| **ฟัน**                     | น้ำตาล + กรด → ฟันผุ + กร่อน            | กรดกัดฟัน แต่ไม่ทำให้ฟันผุเพิ่ม                            | ปลอดภัย                            |
| **ผลระยะยาว**               | อ้วนลงพุง, เบาหวาน, ไขมันพอกตับ, หัวใจ  | อาจทำให้ติดรสหวาน, กระทบจุลินทรีย์ลำไส้, ยังอยู่ในการศึกษา | ดีที่สุดต่อสุขภาพ                  |
| **ความสดชื่น/ความอยากดื่ม** | หวานจัด ดื่มง่าย แต่ติดน้ำตาล           | หวาน (แต่ใช้สารทดแทน) ช่วยลดแคลอรี                         | ดับกระหายจริง ไม่เพิ่มความอยากหวาน |
| **คำแนะนำ**                 | ลดหรือเลี่ยง                            | ดื่มได้บ้าง (ถ้าต้องการความซ่าแบบไม่อ้วน) แต่ไม่ควรบ่อย    | ควรเป็นหลัก                        |

---

✅ **สรุปสั้น ๆ**

* ถ้าเทียบกัน → **น้ำเปล่า ดีที่สุด**
* ถ้าจำเป็นต้องเลือกน้ำอัดลม → **แบบไม่มีน้ำตาลดีกว่าแบบมีน้ำตาล**
* แต่ควรจำกัด → ไม่ให้แทนที่น้ำเปล่าในชีวิตประจำวันครับ

---------------------------
#83
ราคาทองคำขึ้นมาหลายวันแล้ว ทำ New High 3,560 USD

เปิดบัญชี Standard ได้ที่ https://www.exness.com/a/73208
#84

ช่องทางตรวจสอบเงินเกษตรกร ช่วยเหลือไร่ละ 1000 บาท เริ่มโอนตามมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรังและนาปี

ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เริ่มโอนตามมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรังและนาปี ไร่ละ 1,000 บาท (สูงสุดไม่เกิน 10 ไร่ หรือไม่เกิน 10,000 บาท/ครัวเรือน) เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายและเพิ่มรายได้ให้พี่น้องเกษตรกร โดยเริ่มโอนครั้งแรก 1 ก.ย. 68 เป็นต้นไป กรอบวงเงินรวม 2 หมื่นล้านบาท ครอบคลุมเกษตรกรกว่า 2.48 ล้านราย

กำหนดการโอน ดังนี้

- 1 ก.ย. 68 โครงการนาปรัง ปี 68 เกษตรกร 769,461 ราย รวม 6,280 ล้านบาท (ทั่วประเทศ)
- 2 ก.ย. 68 โครงการนาปี 68 เกษตรกร 286,831 ราย รวม 2,459 ล้านบาท (ภาคเหนือ)
- 3 ก.ย. 68 โครงการนาปี 68 เกษตรกร 1,291,298 ราย รวม 10,586 ล้านบาท (ภาคอีสาน)
- 4 ก.ย. 68 โครงการนาปี 68 เกษตรกร 137,478 ราย รวม 1,254 ล้านบาท (ภาคอื่น ๆ)
.
ตรวจสอบสถานะการโอนเงินและจำนวนเงินที่ได้รับ ได้ที่ https://govtransfer.baac.or.th  หรือ LINE Official BAAC Family สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook : ธกส BAAC Thailand หรือ Call Center : 02 555 0555

ขอบคุณข้อมูล ไทยคู่ฟ้า , ธ.ก.ส.


ที่มา https://www.ch7.com/sports/824682
#85
คำว่า **"ได้อย่างเสียอย่าง"**
เป็น **สำนวนภาษาไทย** หมายถึง

👉 การที่เรา **ได้สิ่งหนึ่งมา แต่ต้องสูญเสียอีกสิ่งหนึ่งไป**
หรือ
👉 ไม่มีอะไรที่จะได้ทั้งหมดโดยไม่เสียอะไรเลย ทุกการเลือกมีทั้งข้อดีและข้อเสียเสมอ

**ตัวอย่างการใช้**

* "งานที่เงินเดือนสูงมาก แต่เครียดและไม่มีเวลาพัก ได้อย่างเสียอย่าง"
* "ถ้าเลือกเรียนต่อปริญญาโท ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายเพิ่ม ถือว่าได้อย่างเสียอย่าง"

สรุปสั้น ๆ:

> "ได้สิ่งหนึ่ง แต่ต้องแลกด้วยการเสียอีกสิ่งหนึ่ง"

------------------------------------------

ดีมากครับ 👍
สำนวน **"ได้อย่างเสียอย่าง"** มีความหมายใกล้กับคำ/สำนวนอื่น ๆ ที่คุณยกมา แต่มี **นัยแตกต่างเล็กน้อย** ดังนี้ครับ:

---

### 1. **ได้อย่างเสียอย่าง**

* เน้นการ **แลกเปลี่ยนระหว่างสิ่งที่ได้กับสิ่งที่เสีย**
* สื่อว่าการตัดสินใจใด ๆ มักไม่มีทางสมบูรณ์ ต้องเสียบางอย่างเพื่อได้บางอย่าง
* ออกแนว "เลือกสิ่งนี้ → เสียสิ่งนั้น"

**ตัวอย่าง:**
"ทำงานต่างประเทศได้เงินดี แต่ห่างครอบครัว ได้อย่างเสียอย่าง"

---

### 2. **แลกมา**

* ใช้ในกรณีที่สิ่งที่ได้มา **ต้องใช้ความพยายามหรือยอมเสียบางสิ่งไปโดยตรง**
* มักมีนัย **ชัดเจนว่าเป็นการลงทุน/เสียสละเพื่อสิ่งที่ได้**

**ตัวอย่าง:**
"ความสำเร็จครั้งนี้ แลกมาด้วยความเหนื่อยยากและน้ำตา"

---

### 3. **มีได้มีเสีย**

* เน้นความจริงว่า **ไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์แบบ** มีข้อดีข้อเสียควบคู่กัน
* ออกโทนกลาง ๆ เป็นการยอมรับธรรมชาติของสิ่งต่าง ๆ

**ตัวอย่าง:**
"ทำธุรกิจเอง มีได้มีเสีย บางเดือนกำไรก็ดี บางเดือนก็เจ็บหนัก"

---

### 4. **สองด้านของเหรียญ**

* เน้นการมองว่า **ทุกสิ่งมีทั้งด้านบวกและด้านลบเสมอ**
* ใช้ในเชิงเปรียบเทียบ มักเป็นภาษาที่ค่อนข้างเป็นทางการหรือใช้ในการให้ข้อคิด

**ตัวอย่าง:**
"ชื่อเสียงก็เหมือนสองด้านของเหรียญ มีทั้งคนชื่นชมและคนอิจฉา"

---

📌 **สรุปเปรียบเทียบสั้น ๆ**

* **ได้อย่างเสียอย่าง** → เน้นการเลือก/แลก
* **แลกมา** → เน้นการลงทุน เสียสละเพื่อให้ได้
* **มีได้มีเสีย** → เน้นความจริงของชีวิต มีข้อดีข้อเสีย
* **สองด้านของเหรียญ** → เน้นการมองสิ่งเดียวกันในสองมุม

---------------------------------

#86
แจกวิธีทำ Gemini สร้างรูปมาอีกแล้ว บิวด์ตัวเองเป็นอนุสาวรีย์กลางเมืองไปเลย

Gemini สร้างรูปตัวเองเป็นโมเดลฟิกเกอร์ยังไม่ทันจะซา คราวนี้เนรมิตตัวเองเป็นอนุสาวรีย์ใจกลางเมืองไปเลย วิธีทำไม่กี่ขั้นตอน และแน่นอนว่าทำฟรีเหมือนเดิม


วิธีสร้างรูป Gemini เป็นอนุสาวรีย์
1. เปิดแอปพลิเคชัน Gemini บนมือถือ หรือเข้าเว็บ Google Gemini

2. เลือกรูปภาพเราเองหรือสัตว์เลี้ยงแสนรักแบบเต็มตัว

3. ป้อนคำสั่ง (Prompt) ดังนี้

"สร้างภาพใหม่ เป็นรูปปั้นบุคคลในรูป @img1 ลักษณะคงเดิม 100% ขนาดใหญ่กลางกรุงเทพฯ,ปรับผิวสกินโทนให้เหมาะกับแสง,สีสมจริง ,คนงานก่อสร้างมากมายกำลังช่วยกันสร้างบนนั่งร้านไม้ไผ่สูง,มีรถก่อสร้าง ,ถนนวงเวียนมีรถสัญจรไปมา , อากาศสดใสมีเมฆ, ภาพถ่ายมืออาชีพด้วยกล้อง DSLR fullframe,ตึกมากมาย,ต้นไม้ , มีป้ายไวนิลจากรูป ref @img1 ขนาดใหญ่ อยู่ 2-3 ป้าย , แสงทั้งรูปสว่างสดใสสมจริง"

4. จากนั้นก็อัปโหลดภาพและคำสั่ง รอไม่เกิน 5 นาทีก็ได้รูปเราเป็นอนุสาวรีย์กลางเมืองสมใจ

ทั้งนี้สามารถปรับเปลี่ยนคำสั่ง (Prompt) ใหม่โดยออกแบบได้ตามต้องการ และเนื่องจากช่วงนี้กระแสสร้างรูปบน Gemini มาแรงมาก ระบบจะมีความสับสนเล็กน้อย เช่น ให้สร้างรูปใหม่แต่ระบบส่งรูปเดิมมาให้ หรือได้สัดส่วนแปลกๆ ไม่สมจริง ซึ่งแก้ไขเบื้องต้นด้วยการเปิด "แชทใหม่" แล้วสร้างรูปกับป้อนคำสั่งใหม่ก็จะได้รูปที่ตรงใจมากขึ้น

ที่มา https://www.thairath.co.th/lifestyle/tech/2880404
#87
เทรนด์ฮิต มีเหรอจะพลาด จะ Gen ไหน ๆ ก็ต้องอยากเล่น วันนี้ BT beartai เอาวิธีป้อน Prompt มาไว้ให้แล้ว คัดลอกแล้วไปใส่ใน Gemini ได้เลย


วิธีป้อน Prompt Gemini AI ฟิกเกอร์ 3D
เข้าแอปฯ หรือ เว็บไซต์ Gemini
แนบภาพที่ต้องการจะให้ AI Gen
ป้อน Prompt "Use the nano-banana model to create a 1/7 scale commercialized figure of the character in the illustration, in a realistic style and environment. Place the figure on a computer desk, using a circular transparent acrylic base without any text. On the computer screen, display the ZBrush modeling process of the figure. Next to the computer screen, place a BANDAI-style toy packaging box printed with the original artwork."
กด Enter และรอ AI Gen เป็นอันเสร็จ

อย่างวันนี้ลองเอารูปพี่หนุ่ยของพวกเรา ไป Gen ดู รูปที่ออกมาก็เกือบเนียน น่ารักสุด ๆ แต่รายละเอียดหน้าตาก็ยังไม่เนียนเท่าไหร่ ถึงอย่างนั้นก็ยังเก็บซิกเนเจอร์ของภาพได้เป็นอย่างดี สำหรับใครที่ไม่อยากตกเทรนด์ อยากเอาไว้เรียกยอดไลก์แบบคิวต์ ๆ ต้องไปลองเล่นแล้วครับ

ที่มา https://www.beartai.com/tech/it-news/1481364
#88
### ✨ กลอนสุภาพ (สี่สุภาพ)

เวลาเหมือนเพชรค่า  ยากหาแทนได้
ผ่านแล้วคืนมิหวน  อย่าชวนผลัดไป
ขยันเพียรทุกสิ่ง  อย่าทิ้งเสียหาย
ชีวิตมีความหมาย  หากใช้เวลา

---

### ✨ กลอนแปด

เวลาเดินหน้ามิรอใคร 
พ้นผ่านไปแล้วไม่หวนมา
หมั่นเพียรเรียนรู้ทุกเวลา
สร้างคุณค่าแท้ในชีวี

รักษาเวลาให้มีผล
เปลี่ยนเป็นทุนตนทุกนาที
อย่าปล่อยล่องลอยไร้ประโยชน์มี
ใช้วันนี้ให้คุ้มทุกลมหายใจ

---------------------------------------

เข้าใจแล้วครับ 👍 ถ้าต้องการโทน **จริงจัง ให้ข้อคิด สอนใจ** ผมลองแต่งให้แบบ **กลอนสุภาพ 4 บท** เน้นความหมายชัด ๆ

---

### 🌿 กลอนสุภาพ : คุณค่าของเวลา

เวลาผ่านแล้ว  มิอาจหวนคืน
อย่ามัวหลงฝืน  ผลัดวันผัดการ
หนึ่งวินาที  มีค่าประมาณ
สร้างสุขสร้างงาน  หากรู้รักษา

ใช้เวลาถูก  ชีวิตก้าวไกล
เก็บเกี่ยวสิ่งใหม่  ด้วยใจศึกษา
วันหนึ่งไม่นาน  ชรามาเยือนหา
ใครรักษาไว้  ไม่เสียโอกาส

คนที่ผัดผ่อน  มักย้อนเสียใจ
เมื่อวันล่วงไป  ไร้ผลงานปรากฏ
แต่ผู้เพียรจริง  ทำสิ่งประโยชน์
เขาย่อมมีบท  ให้โลกชื่นชม

จงรู้คุณค่า  ของเวลาทุกยาม
มั่นคงไม่คร้าม  ต่ออุปสรรคขัดขวาง
ชีวิตสั้นนัก  อย่าปล่อยลอยตาม
รักษาเวลางาม  คือทุนแท้จริง

-------------------------------

ได้เลยครับ 🙏 ผมลองแต่งให้สั้น กระชับ แบบข้อคิดกินใจ ใช้ได้ทั้งโพสต์หรือคำคม

---

### ✨ กลอนสุภาพ (สั้น 2 บท)

เวลาหมุนผ่าน  มิหวนคืนมา
จงเร่งทำค่า  อย่าผัดวันไป

รักษาเวลา  ดังทองล้ำค่า
ชีวิตก้าวหน้า  หากใช้ถูกทาง

-------------------------------


#89
Bios ขึ้นว่า "Reboot and Select proper Boot device or Insert Boot Media in selected Boot device and press a key" แก้ไข

ข้อความที่ขึ้นในภาพคือ

**"Reboot and Select proper Boot device or Insert Boot Media in selected Boot device and press a key"**

แปลว่าเครื่องหา **ไดรฟ์ที่มีระบบปฏิบัติการ (Windows/OS)** ไม่เจอ หรือไม่ได้ตั้งให้บูตจากไดรฟ์ที่ถูกต้อง

---

### วิธีแก้ไข (ทำทีละขั้น)

1. **เข้า BIOS/UEFI**

  * กดปุ่ม **Del, F2, F10 หรือ F12** (แล้วแต่รุ่นเมนบอร์ด/โน้ตบุ๊ก) ตอนเปิดเครื่อง

2. **เช็กในเมนู Boot**

  * ดูว่าไดรฟ์ **HDD/SSD ที่ติดตั้ง Windows** ถูกตรวจพบหรือไม่
  * ถ้าเจอ ให้ตั้งเป็น **Boot Option #1**
  * ถ้าไม่เจอ อาจหมายถึงสาย SATA/ไฟเลี้ยงหลวม หรือไดรฟ์เสีย

3. **โหลดค่า Default**

  * ใน BIOS เลือก `Load Setup Defaults` หรือ `Optimized Defaults` แล้ว Save & Exit

4. **ตรวจสอบสายและอุปกรณ์**

  * ถ้าเป็น PC ตั้งโต๊ะ ให้ปิดเครื่องแล้วตรวจสอบสาย SATA และสายไฟที่ต่อ SSD/HDD ว่าแน่นดีหรือไม่
  * ถ้าเป็นโน้ตบุ๊ก บางครั้ง SSD/HDD อาจหลวม ให้ลองถอดแล้วใส่ใหม่

5. **ถ้า SSD/HDD ไม่ถูกตรวจพบเลย**

  * มีโอกาสว่าไดรฟ์เสีย → ต้องเปลี่ยนใหม่ และลง Windows ใหม่

6. **ถ้าถูกตรวจพบแต่ยังบูตไม่ได้**

  * อาจเป็นเพราะ Boot Loader ของ Windows เสียหาย
  * ใช้ **Flash Drive ติดตั้ง Windows** → Boot เข้าไปเลือก `Repair your computer` → `Startup Repair`

--------------------------------------

## 🔧 วิธีใช้ Flash Drive ติดตั้ง Windows เพื่อทำ **Startup Repair**

### 1. เตรียม Flash Drive ติดตั้ง Windows

* ใช้คอมเครื่องอื่นโหลด **Media Creation Tool** จากเว็บ Microsoft
* เสียบ Flash Drive (8GB ขึ้นไป) → เปิด Media Creation Tool → เลือก **Create installation media**
* ทำตามขั้นตอนจนได้ Flash Drive ที่บูตได้

---

### 2. ตั้งค่าให้บูตจาก Flash Drive

1. เสียบ Flash Drive เข้าคอมที่มีปัญหา
2. เปิดเครื่อง → กดปุ่มเข้า **Boot Menu/BIOS**

  * ASUS กด **F8** (Boot Menu) หรือ **Del/F2** (เข้า BIOS)
3. เลือก Flash Drive เป็น Boot Device
4. รอให้เครื่องบูตจาก Flash Drive → จะเข้าหน้าจอติดตั้ง Windows

---

### 3. เข้าสู่โหมด Repair

1. เมื่อเจอหน้าต่าง **Install Windows** → เลือก **Next**
2. ด้านล่างซ้าย → กด **Repair your computer**
3. เลือก **Troubleshoot** → **Advanced options** → **Startup Repair**

---

### 4. รอระบบซ่อม

* Windows จะสแกนและซ่อม **Boot Loader** ให้อัตโนมัติ
* ถ้าซ่อมเสร็จแล้ว รีสตาร์ต → ควรบูตเข้า Windows ได้

---

### 5. ถ้า Startup Repair ไม่สำเร็จ

* กลับไปที่ **Advanced options** → เปิด **Command Prompt** แล้วลองสั่งซ่อมเอง:

```cmd
bootrec /fixmbr
bootrec /fixboot
bootrec /scanos
bootrec /rebuildbcd
```

* พิมพ์เสร็จแต่ละคำสั่งแล้วกด **Enter**
* เสร็จแล้วพิมพ์ `exit` → Restart

---

✅ ถ้าทำตามนี้ ส่วนใหญ่จะแก้ได้ครับ เว้นแต่ว่า SSD/HDD จะเสียจริง ๆ (Windows จะไม่เจอ Drive เลย)

----------------------------------------


#90
จากภาพที่คุณส่งมา → เครื่องของคุณติดอยู่ที่หน้า **BIOS/POST ของ AMI** แล้วขึ้นข้อความว่า

> "The system has POSTed in safe mode. This may be due to the previous POST attempt failing because of system instability, or if the power button was held in to force the system off..."

แปลว่า เครื่องบูตเข้ามาแบบ **Safe Mode ของ BIOS** (ไม่ใช่ Safe Mode ของ Windows) สาเหตุหลัก ๆ มักเกิดจาก:

1. **การตั้งค่า UEFI/BIOS ไม่เสถียร**

   * อาจเพราะคุณไป Overclock CPU, RAM หรือปรับ XMP/DOCP แล้วเครื่องบูตไม่ผ่าน
   * BIOS เลยรีเซ็ตตัวเองเข้ามา Safe Mode

2. **ปัญหาหน่วยความจำ (RAM)**

   * ความเร็ว RAM ตั้งไว้สูงเกินไป (จากภาพ DDR5-4000 แต่ทำงาน 4700 MHz ซึ่งสูงกว่ามาตรฐาน)
   * บางที RAM ไม่เสถียรกับเมนบอร์ด/ซีพียู

3. **การปิดเครื่องผิดปกติ**

   * กดปุ่ม Power ค้างบ่อย ๆ จน BIOS คิดว่ามีปัญหาความเสถียร

---

### วิธีแก้ไข

1. **กด F1 เข้า BIOS Setup**

   * เครื่องขึ้นข้อความให้กด F1 → ทำตาม

2. **รีเซ็ตค่า BIOS กลับเป็น Default (Load Optimized Defaults)**

   * เข้าไปที่ BIOS → เลือก *Load Optimized Defaults* หรือ *Restore Defaults*
   * Save & Exit

3. **ตรวจสอบค่า RAM (XMP/DOCP)**

   * ถ้าเปิด XMP แล้วบูตไม่ผ่าน → ลองปิดก่อน แล้วบูตใหม่
   * หรือถ้าจะใช้ XMP ให้เลือกความเร็วที่เมนบอร์ด/ซีพียูรองรับจริง ๆ

4. **อัปเดต BIOS ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด**

   * เมนบอร์ด ASUS ROG STRIX B660-G GAMING WIFI → เข้าเว็บ ASUS โหลด BIOS ล่าสุดมาแฟลช

5. **ถอดปลั๊ก เคลียร์ CMOS** (ถ้ายังไม่หาย)

   * ปิดเครื่อง ถอดปลั๊ก → กดปุ่ม Clear CMOS ที่เมนบอร์ด (หรือถอดถ่าน CMOS ออกสัก 1–2 นาทีแล้วใส่กลับ)

---

✅ แนะนำให้เริ่มจากการ **รีเซ็ตค่า BIOS เป็น Default ก่อน** ถ้าเข้า Windows ได้ปกติแล้วค่อยลองปรับ XMP ทีหลัง

คุณอยากให้ผมเขียนขั้นตอนละเอียด ๆ ของการ **กดเข้า BIOS แล้วรีเซ็ตค่า Default** สำหรับ ASUS ROG STRIX B660-G ให้ไหมครับ?

โอเคครับ ✨ ผมเขียนขั้นตอนให้แบบละเอียดเลย สำหรับเมนบอร์ด **ASUS ROG STRIX B660-G GAMING WIFI**

---

## 🔧 วิธีรีเซ็ตค่า Default (Load Optimized Defaults) ใน BIOS

1. **กดเข้า BIOS**

   * เปิดเครื่อง → ที่หน้าจอที่คุณเห็น (AMI BIOS) ให้กด **F1**
   * หรือถ้ารีสตาร์ตใหม่ ให้กด **Del** หรือ **F2** ตอนเปิดเครื่อง เพื่อเข้า BIOS

2. **เข้า Advanced Mode (โหมดเต็ม)**

   * ถ้าเข้าไปแล้วเจอหน้า BIOS แบบง่าย (EZ Mode) ให้กด **F7** เพื่อเปลี่ยนเป็น Advanced Mode

3. **โหลดค่า Default**

   * ในเมนูด้านบน ไปที่ **Exit**
   * เลือก **Load Optimized Defaults** หรือบางรุ่นจะเขียนว่า **Restore Defaults**
   * กดยืนยัน (เลือก OK)

4. **บันทึกและออก**

   * เลือกเมนู **Save Changes & Reset**
   * เครื่องจะรีสตาร์ตและบูตด้วยค่าเริ่มต้นโรงงาน

---

## 🔄 วิธีลัด

ถ้าไม่อยากหาเมนูเยอะ ๆ

* กดปุ่ม **F5** ใน BIOS → จะขึ้นถามว่า *"Load Optimized Defaults?"* → ตอบ **OK**
* จากนั้นกด **F10** → *Save & Exit*

---

## ✅ หลังรีเซ็ตแล้ว

* เครื่องจะใช้ค่ามาตรฐานทั้งหมด (RAM จะวิ่งตาม JEDEC ไม่ใช่ XMP)
* ถ้าเข้าวินโดวส์ได้แล้วปกติ → แสดงว่าปัญหาเกิดจากการตั้งค่าเดิมไม่เสถียร
* ถ้าจะปรับ XMP/DOCP ของ RAM อีกที → ค่อยกลับไปเปิดใหม่ แต่ถ้าเปิดแล้วเจอปัญหาอีก แนะนำให้ปิดไว้

------------------------------

#91
การเปลี่ยน **ยางรถยนต์** และ **ยางรถจักรยานยนต์** ไม่มีตัวเลขตายตัวว่าใช้ได้กี่กิโลเมตร เพราะขึ้นอยู่กับการใช้งานจริง (ถนน, ความเร็ว, น้ำหนักบรรทุก, การดูแลยาง, สไตล์การขับขี่ ฯลฯ) แต่มีแนวทางโดยทั่วไปดังนี้ครับ

---

## 🚗 ยางรถยนต์

* **ระยะทางเฉลี่ย** : ประมาณ **40,000 – 60,000 กิโลเมตร**
* **อายุยาง** : ไม่ควรเกิน **4 – 6 ปี** แม้จะยังไม่หมดดอกยาง เพราะเนื้อยางเสื่อมตามอายุ
* **สัญญาณว่าควรเปลี่ยนยาง**

  * ดอกยางเหลือน้อยกว่า **1.6 มม.** (วัดด้วยเกจ์ หรือดูที่ "สะพานยาง")
  * มีรอยแตก ร้าว บวม หรือโดนตะปูแล้วซ่อมหลายครั้ง
  * รถเกาะถนนน้อยลง เสียงดังผิดปกติ

---

## 🏍� ยางรถจักรยานยนต์

* **ระยะทางเฉลี่ย** : ประมาณ **15,000 – 20,000 กิโลเมตร** สำหรับยางใช้งานทั่วไป

  * ถ้าเป็น **บิ๊กไบค์** หรือ **สปอร์ตไบค์** ที่ใช้ความเร็วสูง → อาจเปลี่ยนที่ **8,000 – 12,000 กิโลเมตร**
* **อายุยาง** : โดยมากไม่ควรเกิน **3 – 4 ปี**
* **สัญญาณว่าควรเปลี่ยน**

  * ดอกยางตื้นหรือสึกไม่สม่ำเสมอ
  * ยางแข็ง กระด้าง หรือมีรอยแตก
  * เวลาขี่แล้วรู้สึกไม่มั่นคง เข้าโค้งไม่เกาะ

---

✅ สรุปสั้น ๆ

* **รถยนต์** : เปลี่ยนทุก 40,000–60,000 กม. หรือ 4–6 ปี
* **รถจักรยานยนต์** : เปลี่ยนทุก 15,000–20,000 กม. (หรือ 8,000–12,000 กม. สำหรับบิ๊กไบค์/สปอร์ต) หรือ 3–4 ปี

-----------------------------------
#92
Social Media มีพัฒนาการเป็นลำดับครับ ✨

**📌 จุดเริ่มต้น**

* **ปี 1997** : "SixDegrees.com" ถือเป็น *โซเชียลมีเดียยุคแรก* (ให้คนสร้างโปรไฟล์ เชื่อมต่อเพื่อน และโพสต์ข้อความได้)
* ต่อมา **2002** : Friendster
* **2003** : MySpace, LinkedIn
* **2004** : Facebook (เปลี่ยน landscape ของ Social Media ไปเลย)
* **2006** : Twitter (ปัจจุบันคือ X)
* **2010** : Instagram
* **2011** : Snapchat
* **2016** : TikTok (เริ่มจาก Douyin ในจีน → TikTok global)

---

**📌 ปัจจุบัน (ปี 2025)**
แพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลก (อิงจำนวนผู้ใช้ประจำเดือน, Monthly Active Users – MAU)

1. **Facebook** – \~3 พันล้านคน
2. **YouTube** – \~2.5 พันล้านคน
3. **WhatsApp** – \~2.4 พันล้านคน
4. **Instagram** – \~2 พันล้านคน
5. **WeChat** – \~1.3 พันล้านคน (ฮิตในจีน)
6. **TikTok** – \~1.6 พันล้านคน (ฮิตสุดในกลุ่มวัยรุ่น/คนรุ่นใหม่)

---

👉 ถ้า **ดูทั่วโลก** Facebook และ YouTube ยังเป็นอันดับ 1
👉 แต่ถ้า **ดูเทรนด์รุ่นใหม่** (Gen Z, คนอายุน้อยกว่า 30) **TikTok + Instagram** กำลังนิยมมากที่สุด

----------------------------------------------------
#93
คำถามนี้สำคัญมากครับ 👍 ผมสรุปให้เข้าใจง่าย ๆ เกี่ยวกับ **การเขียนพินัยกรรม** และ **ถ้าไม่มีพินัยกรรมจะเป็นอย่างไร**

---

## 📝 วิธีการเขียนพินัยกรรม (ตามกฎหมายไทย – ป.พ.พ.)

การทำพินัยกรรมต้องทำให้ถูกต้องตามรูปแบบ ไม่เช่นนั้นอาจเป็นโมฆะ (ไม่มีผลบังคับ)

**รูปแบบพินัยกรรมที่ใช้บ่อย**

1. **พินัยกรรมแบบเขียนเองทั้งฉบับ**

  * ผู้ทำต้องเขียนเองทั้งหมด (ห้ามพิมพ์หรือให้คนอื่นเขียน)
  * ต้องลงวัน เดือน ปี และลายมือชื่อท้ายพินัยกรรม
  * ไม่มีพยานก็ได้

2. **พินัยกรรมแบบมีพยาน (เอกสารธรรมดา)**

  * เขียนหรือพิมพ์ได้
  * ผู้ทำต้องลงชื่อ และต้องมี **พยานอย่างน้อย 2 คน** ลงลายมือชื่อรับรอง
  * พยานต้องเป็นผู้บรรลุนิติภาวะ และไม่ใช่ผู้รับประโยชน์จากพินัยกรรม

3. **พินัยกรรมทำต่อหน้าเจ้าพนักงาน (เช่น นายอำเภอ/กงสุล)**

  * บอกความจำนงต่อเจ้าพนักงาน แล้วลงลายมือชื่อ
  * มีพยาน 2 คนร่วมรับรอง

---

## ⚖️ ถ้าไม่ได้ทำพินัยกรรม (ตายโดยไม่มีพินัยกรรม)

ทรัพย์สินจะตกทอดไปยังทายาทโดยธรรมตามลำดับ (ป.พ.พ. ม.1629) ได้แก่

1. **ผู้สืบสันดาน (ลูกหลาน)**
2. **บิดามารดา**
3. **พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน**
4. **พี่น้องร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน**
5. **ปู่ ย่า ตา ยาย**
6. **ลุง ป้า น้า อา**

👉 **คู่สมรสที่ถูกต้องตามกฎหมาย** ได้รับส่วนแบ่งร่วมด้วยเสมอ

เช่น

* ถ้ามี **คู่สมรส + ลูก** → แบ่งครึ่ง ๆ ระหว่างคู่สมรสกับลูก
* ถ้ามีแค่ **คู่สมรส ไม่มีลูก ไม่มีพ่อแม่** → คู่สมรสได้ทั้งหมด

---

✅ ดังนั้น ถ้าอยากให้ทรัพย์สินไปถึง **คนที่เราตั้งใจจริง ๆ** (เช่น เพื่อน คนรักที่ไม่ได้จดทะเบียน คู่ชีวิต หรือองค์กรการกุศล) → **ควรทำพินัยกรรมไว้ชัดเจน**

-------------------------

พินัยกรรม

ข้าพเจ้า นายสมชาย ใจดี อยู่บ้านเลขที่ 123 หมู่ 4 ตำบลสุขใจ อำเภอเมือง จังหวัดกรุงเทพมหานคร
เกิดวันที่ 1 มกราคม 2522 เลขประจำตัวประชาชน 1-2345-67890-12-3

ขอทำพินัยกรรมฉบับนี้ไว้ เพื่อแสดงเจตนาสุดท้ายของข้าพเจ้า ดังนี้

ข้อ 1. ข้าพเจ้าขอมอบบ้านเลขที่ 123 พร้อมที่ดินโฉนดเลขที่ 45678
ให้แก่บุตรชายของข้าพเจ้า นายกิตติ ใจดี แต่เพียงผู้เดียว

ข้อ 2. เงินฝากธนาคารทุกบัญชีของข้าพเจ้า
ให้แบ่งแก่บุตรทั้งสองคน คือ นายกิตติ ใจดี และนางสาวเกศรา ใจดี คนละครึ่ง

ข้อ 3. ทรัพย์สินอื่นใดที่มิได้ระบุไว้ในพินัยกรรมนี้
ให้ตกแก่ทายาทโดยธรรมของข้าพเจ้าตามกฎหมาย

พินัยกรรมฉบับนี้ ข้าพเจ้าได้เขียนขึ้นด้วยลายมือของข้าพเจ้าเองทั้งหมด
และมีเจตนาที่แท้จริงให้เป็นไปตามข้อความข้างต้นทุกประการ

ทำที่บ้านเลขที่ 123 หมู่ 4 ตำบลสุขใจ อำเภอเมือง จังหวัดกรุงเทพมหานคร 
วันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2568 

ลงชื่อ................................................. (นายสมชาย ใจดี) 
ผู้ทำพินัยกรรม


ได้เลยครับ 🙏 ผมทำ **ตัวอย่างพินัยกรรมภาษาไทยแบบสั้น ๆ** ที่ถูกต้องตาม **ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ. มาตรา 1656)** ซึ่งเป็น "พินัยกรรมแบบเขียนเองทั้งฉบับ" (ง่ายที่สุด ไม่ต้องมีพยาน)

---

## 📌 ตัวอย่างพินัยกรรม (แบบเขียนเองทั้งฉบับ)

```
พินัยกรรม

ข้าพเจ้า นายสมชาย ใจดี อยู่บ้านเลขที่ 123 หมู่ 4 ตำบลสุขใจ อำเภอเมือง จังหวัดกรุงเทพมหานคร
เกิดวันที่ 1 มกราคม 2522 เลขประจำตัวประชาชน 1-2345-67890-12-3

ขอทำพินัยกรรมฉบับนี้ไว้ เพื่อแสดงเจตนาสุดท้ายของข้าพเจ้า ดังนี้

ข้อ 1. ข้าพเจ้าขอมอบบ้านเลขที่ 123 พร้อมที่ดินโฉนดเลขที่ 45678
ให้แก่บุตรชายของข้าพเจ้า นายกิตติ ใจดี แต่เพียงผู้เดียว

ข้อ 2. เงินฝากธนาคารทุกบัญชีของข้าพเจ้า
ให้แบ่งแก่บุตรทั้งสองคน คือ นายกิตติ ใจดี และนางสาวเกศรา ใจดี คนละครึ่ง

ข้อ 3. ทรัพย์สินอื่นใดที่มิได้ระบุไว้ในพินัยกรรมนี้
ให้ตกแก่ทายาทโดยธรรมของข้าพเจ้าตามกฎหมาย

พินัยกรรมฉบับนี้ ข้าพเจ้าได้เขียนขึ้นด้วยลายมือของข้าพเจ้าเองทั้งหมด
และมีเจตนาที่แท้จริงให้เป็นไปตามข้อความข้างต้นทุกประการ

ทำที่บ้านเลขที่ 123 หมู่ 4 ตำบลสุขใจ อำเภอเมือง จังหวัดกรุงเทพมหานคร 
วันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2568 

ลงชื่อ................................................. (นายสมชาย ใจดี) 
ผู้ทำพินัยกรรม
```

---

## ✅ สิ่งสำคัญ

* ต้อง **เขียนด้วยลายมือผู้ทำพินัยกรรมเองทั้งฉบับ**
* ต้องมี **วัน เดือน ปี** ชัดเจน
* ต้องมี **ลายเซ็นผู้ทำพินัยกรรม**
* ห้ามพิมพ์หรือให้คนอื่นเขียน (ถ้าอยากพิมพ์ ต้องใช้รูปแบบมีพยาน 2 คน)

----------------------------------------------------

เวอร์ชันพินัยกรรมแบบพิมพ์ได้ (แล้วให้พยาน 2 คนลงชื่อ)

พินัยกรรม

ข้าพเจ้า นายสมชาย ใจดี อยู่บ้านเลขที่ 123 หมู่ 4 ตำบลสุขใจ อำเภอเมือง จังหวัดกรุงเทพมหานคร
เกิดวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2522 เลขประจำตัวประชาชน 1-2345-67890-12-3

ขอทำพินัยกรรมฉบับนี้ไว้ เพื่อแสดงเจตนาสุดท้ายของข้าพเจ้า ดังต่อไปนี้

ข้อ 1. บ้านเลขที่ 123 พร้อมที่ดินโฉนดเลขที่ 45678
ให้ตกเป็นของบุตรชาย นายกิตติ ใจดี แต่เพียงผู้เดียว

ข้อ 2. เงินฝากธนาคารทุกบัญชีของข้าพเจ้า
ให้แบ่งแก่บุตรทั้งสองคน คือ นายกิตติ ใจดี และนางสาวเกศรา ใจดี คนละครึ่ง

ข้อ 3. ทรัพย์สินอื่นใดที่มิได้ระบุไว้ในพินัยกรรมฉบับนี้
ให้ตกแก่ทายาทโดยธรรมของข้าพเจ้าตามกฎหมาย

พินัยกรรมฉบับนี้ ข้าพเจ้าได้ทำขึ้นโดยสมัครใจ มีเจตนาที่แท้จริงให้เป็นไปตามข้อความทั้งหมดข้างต้น 
ทำที่บ้านเลขที่ 123 หมู่ 4 ตำบลสุขใจ อำเภอเมือง จังหวัดกรุงเทพมหานคร 
วันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2568 

ลงชื่อ................................................... (นายสมชาย ใจดี) 
ผู้ทำพินัยกรรม 

---------------------------------------------- 
พยานรับรอง 

ข้าพเจ้า.................................................... อายุ........ปี 
อยู่บ้านเลขที่.................................................. 
ลงชื่อ.................................................... พยานคนที่ 1 

ข้าพเจ้า.................................................... อายุ........ปี 
อยู่บ้านเลขที่.................................................. 
ลงชื่อ.................................................... พยานคนที่ 2 

เข้าใจเลยครับ 🙏
นี่คือตัวอย่าง **พินัยกรรมแบบพิมพ์ได้** (ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1657) ต้องมี **พยาน 2 คน** ลงชื่อรับรองทุกครั้ง

---

## 📌 ตัวอย่างพินัยกรรม (แบบพิมพ์ + พยาน 2 คน)

```
พินัยกรรม

ข้าพเจ้า นายสมชาย ใจดี อยู่บ้านเลขที่ 123 หมู่ 4 ตำบลสุขใจ อำเภอเมือง จังหวัดกรุงเทพมหานคร
เกิดวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2522 เลขประจำตัวประชาชน 1-2345-67890-12-3

ขอทำพินัยกรรมฉบับนี้ไว้ เพื่อแสดงเจตนาสุดท้ายของข้าพเจ้า ดังต่อไปนี้

ข้อ 1. บ้านเลขที่ 123 พร้อมที่ดินโฉนดเลขที่ 45678
ให้ตกเป็นของบุตรชาย นายกิตติ ใจดี แต่เพียงผู้เดียว

ข้อ 2. เงินฝากธนาคารทุกบัญชีของข้าพเจ้า
ให้แบ่งแก่บุตรทั้งสองคน คือ นายกิตติ ใจดี และนางสาวเกศรา ใจดี คนละครึ่ง

ข้อ 3. ทรัพย์สินอื่นใดที่มิได้ระบุไว้ในพินัยกรรมฉบับนี้
ให้ตกแก่ทายาทโดยธรรมของข้าพเจ้าตามกฎหมาย

พินัยกรรมฉบับนี้ ข้าพเจ้าได้ทำขึ้นโดยสมัครใจ มีเจตนาที่แท้จริงให้เป็นไปตามข้อความทั้งหมดข้างต้น 
ทำที่บ้านเลขที่ 123 หมู่ 4 ตำบลสุขใจ อำเภอเมือง จังหวัดกรุงเทพมหานคร 
วันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2568 

ลงชื่อ................................................... (นายสมชาย ใจดี) 
ผู้ทำพินัยกรรม 

---------------------------------------------- 
พยานรับรอง 

ข้าพเจ้า.................................................... อายุ........ปี 
อยู่บ้านเลขที่.................................................. 
ลงชื่อ.................................................... พยานคนที่ 1 

ข้าพเจ้า.................................................... อายุ........ปี 
อยู่บ้านเลขที่.................................................. 
ลงชื่อ.................................................... พยานคนที่ 2 
```

---

## ✅ ข้อควรระวัง

* ผู้ทำพินัยกรรมต้อง **ลงชื่อทุกหน้า** (ถ้ามีหลายหน้า)
* พยาน 2 คน ต้อง **เป็นผู้บรรลุนิติภาวะ (อายุ 20 ปีขึ้นไป)**
* พยานต้องไม่ใช่ **ผู้มีส่วนได้เสียในพินัยกรรม** (เช่น คนที่จะได้ทรัพย์สินตามพินัยกรรม)
* เก็บพินัยกรรมไว้ในที่ปลอดภัย (เช่น ตู้เซฟ, ฝากทนายความ, ฝากศาล)

------------------------------------------------
พินัยกรรม เขียนเองเก็บไว้ที่ใด

คำถามนี้ดีมากครับ 👍
การทำพินัยกรรม แม้จะเขียนเองถูกต้องตามกฎหมายแล้ว แต่ **ถ้าเก็บไม่ดี → เสี่ยงหาย, ถูกทำลาย, หรือทายาทหาไม่เจอ** ทำให้ศาลถือว่า "ไม่มีพินัยกรรม" ได้ครับ

---

## 🗄� ที่เก็บพินัยกรรมที่เหมาะสม

1. **เก็บเองที่บ้าน**

   * ใส่ **ตู้เซฟ** หรือซองปิดผนึก เขียนว่า "พินัยกรรม – ห้ามเปิดก่อนผู้ทำเสียชีวิต"
   * แจ้งคนที่ไว้ใจได้ว่ามีพินัยกรรมอยู่ (เช่น ลูกหลาน คนสนิท)

2. **ฝากทนายความหรือที่ปรึกษากฎหมาย**

   * ให้ทนายความเก็บรักษาและแจ้งวิธีติดต่อเมื่อถึงเวลา
   * เหมาะถ้ามีทรัพย์สินหลายประเภท หรือเสี่ยงมีคดีความ

3. **ฝากศาลโดยตรง** (ศาลจังหวัด)

   * สามารถยื่นพินัยกรรมต่อศาล เพื่อให้ศาลเก็บรักษาอย่างเป็นทางการ
   * ปลอดภัยสูงสุด หายากที่พินัยกรรมจะสูญหาย

4. **ฝากกับสำนักกฎหมาย/ธนาคารบางแห่ง**

   * บริการ "เก็บเอกสารสำคัญ" ในตู้เซฟธนาคาร
   * มีค่าใช้จ่ายรายปี แต่มั่นคงและปลอดภัย

---

## ⚠️ สิ่งที่ควรทำเพิ่มเติม

* ทำ **สำเนา** 1–2 ชุด เก็บแยกไว้ (แต่ต้องระบุให้ชัดว่า "สำเนา")
* บอก **พยานที่ไว้ใจได้** หรือคนในครอบครัวว่า "มีพินัยกรรม" และเก็บไว้ที่ไหน
* ไม่ควรบอก "รายละเอียดในพินัยกรรม" ทั้งหมด แต่ควรบอก "มีพินัยกรรมจริง" เพื่อป้องกันปัญหา

---

👉 สรุป: ถ้าพินัยกรรมเขียนเองแล้วเก็บไว้ที่บ้าน **ควรใส่ตู้เซฟและบอกคนที่ไว้ใจได้** แต่ถ้าอยากมั่นใจมากที่สุด แนะนำให้ **ฝากศาลเก็บรักษา** เพราะถูกต้องและปลอดภัยที่สุดครับ

--------------------------------------------

ได้เลยครับ 🙏 ผมทำเป็น **เช็กลิสต์สั้น ๆ** ที่ใช้เป็นคู่มือเวลา "ทำพินัยกรรม + เก็บให้ปลอดภัย" สามารถพิมพ์เก็บหรือติดไว้ในตู้เซฟได้เลย

---

# ✅ เช็กลิสต์ทำพินัยกรรม + เก็บให้ปลอดภัย

### 1. ทำพินัยกรรมให้ถูกต้อง

* [ ] ระบุ **ชื่อ–นามสกุล เลขบัตรประชาชน ที่อยู่ วันเดือนปี** ชัดเจน
* [ ] ระบุ **ทรัพย์สินแต่ละอย่าง + ใครจะได้รับ** อย่างไม่กำกวม
* [ ] เขียนเองทั้งฉบับ (ถ้าเป็นแบบเขียนเอง) → ต้อง **ลายมือทั้งหมด**
* [ ] ถ้าพิมพ์ → ต้องมี **พยาน 2 คน** ลงชื่อกำกับทุกหน้า
* [ ] ลงชื่อผู้ทำพินัยกรรมทุกหน้า (ห้ามขาด)

### 2. เลือกที่เก็บพินัยกรรม

* [ ] **ตู้เซฟในบ้าน** (เขียนหน้าซองชัดเจน: "พินัยกรรม ห้ามเปิดก่อนเสียชีวิต")
* [ ] **ฝากทนายความ/สำนักกฎหมาย**
* [ ] **ฝากศาลจังหวัด** เพื่อให้เก็บรักษาอย่างเป็นทางการ
* [ ] **ฝากธนาคาร (บริการตู้เซฟเอกสาร)**

### 3. ป้องกันพินัยกรรมหาย

* [ ] ทำ **สำเนา** 1–2 ชุด (เขียนว่า "สำเนา" ชัดเจน)
* [ ] บอก **คนที่ไว้ใจได้** ว่ามีพินัยกรรมและเก็บไว้ที่ไหน
* [ ] จัดเก็บในที่ **กันไฟ กันน้ำ กันความชื้น**
* [ ] อัปเดตพินัยกรรมใหม่ หากมี **การเปลี่ยนแปลงทรัพย์สิน/เจตนา**

### 4. หลังจากทำพินัยกรรมแล้ว

* [ ] ตรวจสอบความถูกต้องทุกปี (อย่างน้อย 1 ครั้ง/ปี)
* [ ] ถ้ามีการยกเลิกพินัยกรรมเก่า → ต้องทำบันทึกหรือทำฉบับใหม่อย่างชัดเจน
* [ ] เก็บ **บัญชีทรัพย์สิน/เอกสารโฉนด/สมุดบัญชี** ไว้รวมชุดเดียวกัน

---

📌 **สรุปสั้น ๆ** :
✔️ เขียนถูกต้องตามกฎหมาย → ✔️ เก็บในที่ปลอดภัย → ✔️ บอกคนที่ไว้ใจได้

--------------------------------------------------


#94
คำถามนี้สำคัญมากครับ 👍 เพราะผู้ประกันตนมาตรา 33 (ทำงานในระบบ มีนายจ้าง) เมื่อเกษียณอายุ 55 ปีขึ้นไป และส่งเงินสมทบครบ **180 เดือน (15 ปีขึ้นไป)** จะมีสิทธิเลือกระหว่าง **บำนาญชราภาพ** หรือ **บำเหน็จชราภาพ**

---

## ✅ ความแตกต่างหลัก

### 1. **บำนาญชราภาพ**

* ได้เงิน **ทุกเดือนตลอดชีวิต**
* คำนวณจาก **ค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย × อัตราส่วนบำนาญ (%)**
* อัตราส่วนบำนาญ = 20% ของค่าจ้างเฉลี่ย หากส่งครบ 180 เดือน และจะได้บวกเพิ่ม 1.5% ทุก ๆ 12 เดือนที่ส่งเกิน
* เหมาะกับคนที่ **อยากมีรายได้ประจำหลังเกษียณ** และคาดว่าจะมีอายุยืน

**ตัวอย่าง:**
ค่าจ้างเฉลี่ย 20,000 บาท ส่งครบ 20 ปี
\= 20% + (5 ปีเกิน × 1.5%) = 27.5%
บำนาญ = 20,000 × 27.5% = **5,500 บาท/เดือน ตลอดชีวิต**

---

### 2. **บำเหน็จชราภาพ**

* ได้เงิน **ก้อนเดียวครั้งเดียว** หลังเกษียณ
* คำนวณจาก **เงินสมทบที่ตัวเอง + นายจ้าง + รัฐบาล จ่ายทั้งหมด รวมดอกผล**
* เหมาะกับคนที่ **อยากได้เงินก้อนทันที** ไปลงทุน/ใช้หนี้/เก็บเอง

**ตัวอย่าง:**
ถ้าส่งสมทบเดือนละ 750 บาท + นายจ้าง 750 บาท = 1,500 บาท/เดือน
15 ปี รวม = 270,000 บาท (ยังไม่รวมดอกผลประกันสังคมจ่ายเพิ่ม)
ก็จะได้ก้อนใหญ่พอสมควร แต่ได้ครั้งเดียว

---

## 🔑 เลือกอะไรดีกว่า?

1. **เลือกบำนาญดีกว่า** ถ้า...

   * สุขภาพดี อายุยืนในครอบครัว
   * ไม่มีหนี้ ต้องการรายได้แน่นอนหลังเกษียณ
   * คิดว่าบริหารเงินก้อนไม่เก่ง (เสี่ยงใช้หมดเร็ว)

2. **เลือกบำเหน็จดีกว่า** ถ้า...

   * สุขภาพไม่ค่อยดี คิดว่าอายุขัยสั้น
   * ต้องการเงินก้อนเพื่อใช้ทันที (เช่น ปลดหนี้ ลงทุน ซื้อบ้าน ฯลฯ)
   * มีรายได้หลังเกษียณจากที่อื่นอยู่แล้ว (เช่น บำนาญข้าราชการ, เงินออม, กองทุน ฯลฯ)

---

## 📊 สรุปง่าย ๆ

* อยู่ยาว → **บำนาญคุ้มกว่า** (ได้เงินรวมเยอะกว่าก้อนเดียว)
* อยู่ไม่นาน → **บำเหน็จก้อนเดียว** ดีกว่า

---

คุณอยากให้ผมทำตารางคำนวณเปรียบเทียบแบบ **บำเหน็จ vs บำนาญ** โดยใช้รายได้เฉลี่ยของคุณ (เช่น 20,000 / 30,000) ไหมครับ? จะได้เห็นชัดเลยว่าผ่านไป 5 ปี 10 ปี 20 ปี แบบไหนได้เงินรวมมากกว่า 👍
---------------------------------------------------------
#95
คุณสามารถเข้า Incognito Mode ใน Google Chrome ได้โดยใช้แป้นพิมพ์ลัดหรือเมนู โดยในคอมพิวเตอร์ให้กด Ctrl + Shift + n (Windows/Linux/ChromeOS) หรือ ⌘ + Shift + n (Mac) หรือคลิกที่ไอคอน จุดสามจุด (เมนูเพิ่มเติม) ที่มุมขวาบนของหน้าจอ แล้วเลือก "แท็บใหม่ที่ไม่ระบุตัวตน

เปิดบัญชี Standard ได้ที่ https://www.exness.com/a/73208
#96
โอเคครับ ✨
คุณมีเวลา **15 วัน** เตรียมตัวแข่งแบดมือ N (ชายเดี่ยว) — ถือว่าเวลาสั้นมาก จึงควรเน้น

1. **รักษาสภาพร่างกาย (ไม่เจ็บ)**
2. **เพิ่มความฟิตและสปีดให้ทันใจ**
3. **ซ้อมเกมจริง / tactical play**

---

## ตารางฝึก 15 วันก่อนแข่ง

### สัปดาห์ที่ 1 (วัน 1–7) → เน้นความฟิต + sharpen

**วัน 1 – 2 : ฟิตเนส + footwork**

* วอร์มอัพ 10 นาที (วิ่งเบา + stretching)
* ฝึก footwork 6 จุด (หน้า–หลัง–ซ้าย–ขวา–cross step–กลับกลาง) × 5 รอบ
* Shadow badminton 10 นาที (ตีลม คิดว่ามีคู่แข่ง)
* เวทน้ำหนักตัว (squat, lunge, core plank) × 3 รอบ
* คูลดาวน์ ยืดกล้ามเนื้อ

**วัน 3 : ซ้อมเกม**

* ตีคู่ซ้อม 3 เกมจริง (21 แต้ม)
* เน้นความแม่น ไม่พยายามเร่ง
* หลังแข่ง ทำ core exercise 10 นาที

**วัน 4 : Recovery + mobility**

* ว่ายน้ำ/ปั่นจักรยานเบา 30 นาที
* โยคะ/ยืดเหยียด

**วัน 5 – 6 : ความเร็ว + power**

* Footwork sprint 5 จุด × 8 รอบ (สปีดเต็มที่)
* Multi-shuttle drill (โค้ช/เพื่อน feeding ลูกเร็ว) 10–15 นาที
* Smash + net kill drill × 30 ลูก
* Core & shoulder strength (band training)

**วัน 7 : Match practice**

* ตีจริง 2–3 เกม (21 แต้ม)
* โฟกัส stamina + tactical play

---

### สัปดาห์ที่ 2 (วัน 8–14) → sharpen + taper

**วัน 8 – 9 : ซ้อมเกมเต็มรูปแบบ**

* ตีเกม 2–3 แมทช์ (simulate tournament)
* ฝึกจังหวะเสิร์ฟสั้น + return

**วัน 10 : Recovery**

* ยืดเหยียด + โฟมโรล
* Jog เบา 20 นาที

**วัน 11 – 12 : ความเร็ว + reaction**

* Multi-shuttle rally (โค้ชป้อนเร็วๆ)
* Net play + reflex drill (ยืนหน้าเน็ตให้เพื่อนตีมาเร็ว)
* Shadow 5 นาที

**วัน 13 : ซ้อมเกมสุดท้าย**

* เล่น 1–2 เกมแบบจริง แต่ไม่หักโหม
* หลังจบ recovery, ice bath/ประคบเย็น

**วัน 14 : Rest เต็มที่**

* เดินชิลๆ / ยืดเบาๆ
* เตรียมอุปกรณ์

---

### วันแข่ง (วัน 15)

* วอร์มอัพวิ่งเบา + footwork 10 นาที
* Shadow swing + net shot 5 นาที
* ตี warm-up กับคู่แข่งก่อนแข่ง 5 นาที
* เน้นเปิดเกมด้วยเสิร์ฟสั้น + คุมกลางคอร์ท

---

## เคล็ดลับเพิ่มเติม

* **โภชนาการ**: กินคาร์บเชิงซ้อน (ข้าวกล้อง, มัน, กล้วย) + โปรตีนพอเพียง, น้ำเยอะๆ
* **น้ำหนักตัว**: 88 กก. → อย่าโฟกัสลดน้ำหนักใน 15 วัน ให้คงพลังงานและ speed
* **การฟื้นฟู**: นอน 7–8 ชม. / วัน สำคัญมาก
* **กลยุทธ์มือ N ชายเดี่ยว**

  * ตีเสิร์ฟสั้นบ่อยๆ บังคับคู่แข่งยก
  * เล่น drop shot + clear สลับ smash ไม่ให้เดาง่าย
  * อย่ารันเยอะเกิน ให้บังคับคู่แข่งเหนื่อยแทน

----------------------------------------------

โอเคครับ ✨
คุณมีเวลา **15 วัน** เตรียมตัวแข่งแบดมือ N (ชายเดี่ยว) — ถือว่าเวลาสั้นมาก จึงควรเน้น

1. **รักษาสภาพร่างกาย (ไม่เจ็บ)**
2. **เพิ่มความฟิตและสปีดให้ทันใจ**
3. **ซ้อมเกมจริง / tactical play**

---

## ตารางฝึก 15 วันก่อนแข่ง

### สัปดาห์ที่ 1 (วัน 1–7) → เน้นความฟิต + sharpen

**วัน 1 – 2 : ฟิตเนส + footwork**

* วอร์มอัพ 10 นาที (วิ่งเบา + stretching)
* ฝึก footwork 6 จุด (หน้า–หลัง–ซ้าย–ขวา–cross step–กลับกลาง) × 5 รอบ
* Shadow badminton 10 นาที (ตีลม คิดว่ามีคู่แข่ง)
* เวทน้ำหนักตัว (squat, lunge, core plank) × 3 รอบ
* คูลดาวน์ ยืดกล้ามเนื้อ

**วัน 3 : ซ้อมเกม**

* ตีคู่ซ้อม 3 เกมจริง (21 แต้ม)
* เน้นความแม่น ไม่พยายามเร่ง
* หลังแข่ง ทำ core exercise 10 นาที

**วัน 4 : Recovery + mobility**

* ว่ายน้ำ/ปั่นจักรยานเบา 30 นาที
* โยคะ/ยืดเหยียด

**วัน 5 – 6 : ความเร็ว + power**

* Footwork sprint 5 จุด × 8 รอบ (สปีดเต็มที่)
* Multi-shuttle drill (โค้ช/เพื่อน feeding ลูกเร็ว) 10–15 นาที
* Smash + net kill drill × 30 ลูก
* Core & shoulder strength (band training)

**วัน 7 : Match practice**

* ตีจริง 2–3 เกม (21 แต้ม)
* โฟกัส stamina + tactical play

---

### สัปดาห์ที่ 2 (วัน 8–14) → sharpen + taper

**วัน 8 – 9 : ซ้อมเกมเต็มรูปแบบ**

* ตีเกม 2–3 แมทช์ (simulate tournament)
* ฝึกจังหวะเสิร์ฟสั้น + return

**วัน 10 : Recovery**

* ยืดเหยียด + โฟมโรล
* Jog เบา 20 นาที

**วัน 11 – 12 : ความเร็ว + reaction**

* Multi-shuttle rally (โค้ชป้อนเร็วๆ)
* Net play + reflex drill (ยืนหน้าเน็ตให้เพื่อนตีมาเร็ว)
* Shadow 5 นาที

**วัน 13 : ซ้อมเกมสุดท้าย**

* เล่น 1–2 เกมแบบจริง แต่ไม่หักโหม
* หลังจบ recovery, ice bath/ประคบเย็น

**วัน 14 : Rest เต็มที่**

* เดินชิลๆ / ยืดเบาๆ
* เตรียมอุปกรณ์

---

### วันแข่ง (วัน 15)

* วอร์มอัพวิ่งเบา + footwork 10 นาที
* Shadow swing + net shot 5 นาที
* ตี warm-up กับคู่แข่งก่อนแข่ง 5 นาที
* เน้นเปิดเกมด้วยเสิร์ฟสั้น + คุมกลางคอร์ท

---

## เคล็ดลับเพิ่มเติม

* **โภชนาการ**: กินคาร์บเชิงซ้อน (ข้าวกล้อง, มัน, กล้วย) + โปรตีนพอเพียง, น้ำเยอะๆ
* **น้ำหนักตัว**: 88 กก. → อย่าโฟกัสลดน้ำหนักใน 15 วัน ให้คงพลังงานและ speed
* **การฟื้นฟู**: นอน 7–8 ชม. / วัน สำคัญมาก
* **กลยุทธ์มือ N ชายเดี่ยว**

  * ตีเสิร์ฟสั้นบ่อยๆ บังคับคู่แข่งยก
  * เล่น drop shot + clear สลับ smash ไม่ให้เดาง่าย
  * อย่ารันเยอะเกิน ให้บังคับคู่แข่งเหนื่อยแทน

---
จัดให้ครับ ✨
ตารางปฏิทินฝึก **15 วันก่อนแข่งแบดมือ N (ชายเดี่ยว)**
เหมาะกับคุณ (46 ปี / 88 กก. / 172 ซม. / มีประสบการณ์ตี 23 ปี)

---

## 📅 ตารางฝึก 15 วัน

| Day        | กิจกรรมหลัก         | รายละเอียด                                                                             |
| ---------- | ------------------- | -------------------------------------------------------------------------------------- |
| **Day 1**  | Footwork + Strength | วอร์มอัพ 10 นาที → Footwork 6 จุด × 5 รอบ → Shadow 10 นาที → Squat/Lunge/Plank × 3 รอบ |
| **Day 2**  | ความฟิต + Core      | วอร์มอัพ → Multi-shuttle 10 นาที → Smash drill 30 ลูก → Core exercise 15 นาที          |
| **Day 3**  | Match Practice      | ซ้อมเกม 2–3 เกมจริง (21 แต้ม) → Recovery stretch                                       |
| **Day 4**  | Recovery            | เดิน/ปั่นจักรยานเบา 30 นาที → โยคะ/ยืดเหยียด                                           |
| **Day 5**  | Speed & Power       | Footwork sprint × 8 รอบ → Multi-shuttle 15 นาที → Smash + net kill                     |
| **Day 6**  | Strength + Reflex   | Band training (ไหล่/แขน) → Net play reflex drill → Core exercise                       |
| **Day 7**  | Match Simulation    | เล่น 2–3 เกมจริงแบบแข่ง → จดโน้ต tactical                                              |
| **Day 8**  | Game Focus          | ซ้อมเกมเต็มรูปแบบ 2–3 เกม → ฝึกเสิร์ฟสั้น + return                                     |
| **Day 9**  | Game Focus          | ซ้อมเกม 2 เกม → ฝึก clear-drop-smash transition                                        |
| **Day 10** | Recovery            | Jog เบา 20 นาที → Foam roll + stretch                                                  |
| **Day 11** | Reaction            | Multi-shuttle rally → Net reflex drill → Shadow 5 นาที                                 |
| **Day 12** | Speed + Light Game  | Footwork 10 นาที → ซ้อมเกมเบา 1–2 เกม                                                  |
| **Day 13** | Last Game Test      | เล่น 1–2 เกมจริง แต่ไม่หักโหม → Recovery, ice bath                                     |
| **Day 14** | Rest                | พักเต็มที่ → เดินชิล / ยืดเบาๆ → เตรียมอุปกรณ์                                         |
| **Day 15** | แข่งจริง            | วอร์มอัพวิ่งเบา 10 นาที → Shadow swing + net play 5 นาที → ตี warm-up กับคู่แข่ง       |

---

✅ **วิธีใช้**:

* ปริ๊นหรือใส่ในมือถือ → ติ๊ก ✔ แต่ละวัน
* เน้น **คุณภาพมากกว่าปริมาณ** (อย่าหักโหมจนบาดเจ็บ)
* วันที่เป็น Match Practice ควรเล่นกับคนระดับพอๆ กัน

----------------------------------

#97
## เปิดคู่มือฉบับสมบูรณ์: ลงทะเบียนรถไฟฟ้า 20 บาท ผ่านแอปพลิเคชัน "ทางรัฐ"

**เตรียมพร้อมใช้สิทธิ์ค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายได้ง่ายๆ เพียงลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน "ทางรัฐ" ซึ่งเป็นช่องทางหลักในการยืนยันตัวตนและผูกบัตรโดยสาร เริ่มเปิดให้ลงทะเบียนแล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เพื่อเตรียมใช้งานจริงในวันที่ 1 ตุลาคม 2568**

โครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เป็นนโยบายของภาครัฐที่มุ่งหวังจะช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน และส่งเสริมให้เกิดการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะมากขึ้น โดยครอบคลุมโครงข่ายรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวม 8 สาย

### คุณสมบัติและสิ่งที่ต้องเตรียม
* **สัญชาติไทย:** ผู้ลงทะเบียนต้องเป็นบุคคลสัญชาติไทยเท่านั้น
* **บัตรประจำตัวประชาชน:** ใช้สำหรับยืนยันตัวตนในแอปพลิเคชัน "ทางรัฐ"
* **สมาร์ทโฟน:** สำหรับดาวน์โหลดและติดตั้งแอปพลิเคชัน "ทางรัฐ"
* **บัตรโดยสาร:** เตรียมบัตรที่ต้องการผูกกับสิทธิ์ มี 2 ประเภทหลัก ได้แก่
    * **บัตรแรบบิท (Rabbit Card):** สำหรับใช้กับรถไฟฟ้าบีทีเอส (สายสีเขียว, สีทอง), สายสีชมพู และสายสีเหลือง
    * **บัตร EMV Contactless:** คือบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตที่มีสัญลักษณ์การชำระเงินแบบไร้สัมผัส (คล้ายสัญลักษณ์ Wi-Fi) ใช้ได้กับรถไฟฟ้าสายสีแดง, สายสีน้ำเงิน, สายสีม่วง, สายสีชมพู, สายสีเหลือง และแอร์พอร์ต เรล ลิงก์

### ขั้นตอนการลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน "ทางรัฐ"

**ส่วนที่ 1: การติดตั้งและยืนยันตัวตนแอปพลิเคชัน "ทางรัฐ" (สำหรับผู้ใช้งานใหม่)**

1.  **ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน:** ค้นหาและดาวน์โหลดแอปฯ "ทางรัฐ" ได้จาก App Store (สำหรับ iOS) หรือ Google Play Store (สำหรับ Android)
2.  **สมัครสมาชิก:** เปิดแอปฯ และเลือก "สมัครสมาชิก"
3.  **ยืนยันตัวตน:** ทำตามขั้นตอนการยืนยันตัวตนด้วยบัตรประชาชน ซึ่งอาจมีการถ่ายภาพใบหน้าเพื่อเปรียบเทียบกับข้อมูลบนบัตร หากไม่เคยยืนยันตัวตนดิจิทัลมาก่อน อาจต้องทำการยืนยันตัวตนเพิ่มเติมผ่านช่องทางต่างๆ เช่น เคาน์เตอร์เซอร์วิสที่ 7-Eleven, ตู้บริการภาครัฐ, หรือติดต่อเจ้าหน้าที่ ณ สำนักงานเขต/ที่ว่าการอำเภอ

**ส่วนที่ 2: การลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์รถไฟฟ้า 20 บาท**

1.  **เข้าสู่ระบบ:** เปิดแอปฯ "ทางรัฐ" และเข้าสู่ระบบให้เรียบร้อย
2.  **เลือกเมนูลงทะเบียน:** มองหาและกดที่แบนเนอร์ (Banner) ที่ระบุว่า "ลงทะเบียนผูกบัตรรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย"
3.  **ให้ความยินยอม:** ระบบจะขออนุญาตเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล ให้กด "อนุญาต"
4.  **อ่านข้อมูลและเงื่อนไข:** ศึกษาข้อมูลโครงการ ข้อกำหนดและเงื่อนไขต่างๆ จากนั้นทำเครื่องหมายในช่อง "ยอมรับ"
5.  **อนุญาตการเข้าถึงตำแหน่ง:** กด "อนุญาตให้เข้าถึงข้อมูลที่ตั้ง" และเลือก "อนุญาตขณะใช้แอป"
6.  **เลือกประเภทบัตรที่จะผูก:**
    * **กรณีผูกบัตรแรบบิท:**
        * เลือก "ผูกบัตรแรบบิท"
        * กรอกหมายเลขบัตรแรบบิท 13 หลัก และข้อมูลที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน
        * กดยืนยันการผูกบัตร
    * **กรณีผูกบัตร EMV Contactless:**
        * เลือก "ผูกบัตร EMV"
        * กรอกข้อมูลบัตรเครดิต/เดบิตที่ต้องการใช้
        * กดยืนยันการผูกบัตร
7.  **ตรวจสอบสถานะ:** เมื่อดำเนินการเสร็จสิ้น ระบบจะแสดงสถานะการผูกบัตร

### เงื่อนไขสำคัญที่ควรทราบ

* **1 คน 1 สิทธิ์:** ผู้ลงทะเบียน 1 คน (1 เลขบัตรประชาชน) สามารถผูกบัตร EMV ได้ 1 ใบ และบัตรแรบบิทได้ 1 ใบ
* **ไม่จำกัดจำนวนสิทธิ์:** โครงการไม่มีการจำกัดจำนวนผู้ลงทะเบียน และไม่มีกำหนดปิดรับสมัคร
* **การเดินทางข้ามสาย:** การใช้สิทธิ์ 20 บาทตลอดสายจะครอบคลุมการเดินทางข้ามระบบ โดยมีเงื่อนไขเรื่องระยะเวลาในการเปลี่ยนสาย ซึ่งโดยทั่วไปต้องไม่เกิน 30 นาที เพื่อที่จะไม่ถูกคิดค่าแรกเข้าใหม่
* **เริ่มใช้สิทธิ์:** แม้จะลงทะเบียนแล้ว แต่จะสามารถเริ่มใช้สิทธิ์ค่าโดยสาร 20 บาทได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป

หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับการลงทะเบียนหรือการใช้งาน สามารถติดต่อได้ที่ **ศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน (GCC 1111)**
----------------------------------------------------
#98
บัญชีผม ฝากเงินผ่าน Thai QR Payment ไม่ได้หลายเดือน เพิ่งจะกลับมาใช้ได้ปรกติ (ฝากศุกร์แล้วถอนบ่อยๆ EA ยังไม่เปิดเลยถอนวันเสาร์)

เปิดบัญชี Standard ได้ที่ https://www.exness.com/a/73208

สอบถามได้ข้อมูลคือ ข้อควรระวัง ห้ามทำแบบ 3 ข้อนี
1. บัญชีของลูกค้าเคยมีการฝาก–ถอนผ่านบัญชีบุคคลที่ 3
2. ลูกค้ามีพฤติกรรมการเทรดต่ำมาก เช่น ฝากเงิน $1,000 แล้วถอนออกทันทีโดยไม่มีการเปิดออร์เดอร์ จึงดูคล้ายการเก็งกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน
– คำแนะนำ: ควรเปิดออร์เดอร์อย่างน้อย 10 ออร์เดอร์ ก่อนจึงค่อยถอนเงินออก
3. ลูกค้ามีประวัติอาชญากรรมหรืออยู่ในระหว่างคดีความ

การแก้ไข
ให้เข้าเมนู ช่วยเหลือ และสร้างคำร้อง การฝากเงิน ส่งไปหลายๆ ครั้งครับ
#99
โอเค เดี๋ยวผมอธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ เลยนะครับ 😊

---

### 📱 **Mobile App**

* ก็คือ **แอปพลิเคชันที่รันบนมือถือหรือแท็บเล็ต** เช่น แอปบน Android (จาก Google Play) หรือ iOS (จาก App Store)
* ตัวอย่างเช่น Facebook, LINE, Grab, Shopee
* แอปมือถือสามารถมีได้ 2 แบบหลัก ๆ

  1. **Native App** → เขียนด้วยภาษาที่เฉพาะเจาะจงของแต่ละระบบ เช่น

     * Android → Java/Kotlin
     * iOS → Swift/Objective-C
  2. **Hybrid / Cross-platform App** → ใช้เฟรมเวิร์กที่เขียนครั้งเดียวรันได้ทั้ง Android/iOS เช่น Flutter, React Native

---

### 🌐 **REST API**

* **API (Application Programming Interface)** = ช่องทางให้ระบบคุยกันได้
* **REST (Representational State Transfer)** = รูปแบบการออกแบบ API ที่เป็นมาตรฐาน ใช้ง่าย และนิยมมากที่สุด
* เวลาที่แอปหรือเว็บจะ **ดึง/ส่งข้อมูล** ไปยังเซิร์ฟเวอร์ ก็มักจะใช้ **REST API** ผ่านโปรโตคอล HTTP/HTTPS
* ตัวอย่างเช่น:

  * แอปมือถือ Shopee → กดดูสินค้า → แอปจะส่ง request ไปยัง REST API
  * API จะดึงข้อมูลจากฐานข้อมูล → ส่งกลับมาเป็น **JSON** → แอปแสดงผล

---

### 🧩 สรุปความสัมพันธ์

* **Mobile App** = ตัวที่ผู้ใช้ถืออยู่ ใช้กดใช้งาน
* **REST API** = ตัวกลางที่ให้ Mobile App ติดต่อกับระบบหลังบ้าน (Database, Server, Service อื่น ๆ)
* เปรียบเทียบง่าย ๆ:

  * Mobile App = พนักงานหน้าร้าน
  * REST API = ครัว
  * Database = วัตถุดิบ
  * ลูกค้า (User) = ผู้ใช้แอป

--------------------------------------------
#100
การเลิกกันของคู่แต่งงานเกิดได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งอาจแตกต่างกันไปตามบริบทของแต่ละคู่ ด้านล่างนี้คือรายการ 100 เหตุผลที่อาจทำให้คู่แต่งงานเลิกกัน โดยครอบคลุมมิติต่างๆ เช่น อารมณ์ การเงิน การสื่อสาร ครอบครัว และปัจจัยภายนอก เหตุผลเหล่านี้จัดเรียงอย่างกระชับและหลากหลายเพื่อให้ครอบคลุมทุกแง่มุมที่เป็นไปได้:

1. ขาดการสื่อสารที่ดี
2. ความไม่ซื่อสัตย์หรือการนอกใจ
3. ความไม่เข้ากันในค่านิยมหรือเป้าหมายชีวิต
4. ปัญหาการเงินหรือหนี้สิน
5. ขาดความไว้วางใจ
6. ความคาดหวังที่ไม่ตรงกัน
7. ขาดความรักหรือความผูกพัน
8. การทะเลาะเบาะแว้งบ่อยครั้ง
9. ความแตกต่างในนิสัยหรือบุคลิกภาพ
10. การขาดความเคารพต่อกัน
11. ปัญหาการเลี้ยงลูกหรือความขัดแย้งในวิธีเลี้ยงดู
12. การแทรกแซงจากครอบครัวหรือญาติ
13. ความเบื่อหน่ายในความสัมพันธ์
14. การเปลี่ยนแปลงในลำดับความสำคัญของชีวิต
15. ขาดความสนิทสนมหรือความสัมพันธ์ทางเพศ
16. การติดสารเสพติด (ยาเสพติด แอลกอฮอล์)
17. ความรุนแรงในครอบครัว
18. ความเครียดจากงานหรืออาชีพ
19. การย้ายถิ่นฐานหรือการแยกจากกันทางภูมิศาสตร์
20. ขาดการสนับสนุนทางอารมณ์
21. ความหึงหวงหรือความไม่มั่นคง
22. การหลอกลวงหรือโกหก
23. ความแตกต่างในเรื่องศาสนาหรือความเชื่อ
24. ปัญหาสุขภาพจิตของคู่ใดคู่หนึ่ง
25. การไม่ยอมรับข้อผิดพลาดของกันและกัน
26. ขาดความพยายามในการรักษาความสัมพันธ์
27. การพัฒนาตัวตนที่แตกต่างกัน
28. ความขัดแย้งเรื่องการแบ่งงานบ้าน
29. การไม่ให้อภัยกัน
30. ขาดความสนใจในเป้าหมายร่วมกัน
31. การเปลี่ยนแปลงในความต้องการทางเพศ
32. ความรู้สึกถูกละเลยหรือไม่ได้รับการใส่ใจ
33. การตัดสินใจที่สำคัญโดยไม่ปรึกษากัน
34. การขาดความยืดหยุ่นในความสัมพันธ์
35. ความรู้สึกสูญเสียตัวตนส่วนบุคคล
36. การเปรียบเทียบคู่ครองกับผู้อื่น
37. ขาดความซื่อสัตย์ในเรื่องการเงิน
38. ความขัดแย้งในเรื่องการใช้เวลาว่าง
39. การไม่ยอมรับครอบครัวของอีกฝ่าย
40. ความรู้สึกถูกควบคุมหรือกดขี่
41. การเปลี่ยนแปลงในสถานะทางสังคม
42. ขาดการยอมรับในความแตกต่าง
43. ความรู้สึกไม่ได้รับการชื่นชม
44. การขาดเป้าหมายระยะยาวร่วมกัน
45. ความแตกต่างในเรื่องการวางแผนครอบครัว
46. การนอกใจทางอารมณ์
47. ขาดความใกล้ชิดทางร่างกาย
48. ความรู้สึกถูกทอดทิ้ง
49. การขาดความสนุกในความสัมพันธ์
50. ความขัดแย้งในเรื่องการจัดการเวลา
51. การไม่เคารพขอบเขตส่วนตัว
52. ความแตกต่างในไลฟ์สไตล์
53. การเปลี่ยนแปลงในความสนใจส่วนตัว
54. ขาดการพัฒนาความสัมพันธ์
55. ความรู้สึกถูกตัดสิน
56. การไม่สามารถแก้ไขปัญหาด้วยกันได้
57. ความคาดหวังที่ไม่สมจริง
58. การขาดความโปร่งใส
59. ความรู้สึกไม่มั่นคงในความสัมพันธ์
60. การเปลี่ยนแปลงในระดับความมุ่งมั่น
61. การขาดความเข้าใจในความต้องการของกัน
62. การไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงของอีกฝ่าย
63. ความรู้สึกไม่ได้รับการสนับสนุน
64. การขาดความสมดุลระหว่างงานและชีวิต
65. ความแตกต่างในเรื่องการบริหารเงิน
66. การสูญเสียความหลงใหลในความสัมพันธ์
67. ความรู้สึกถูกจำกัดอิสรภาพ
68. การขาดความอดทนต่อกัน
69. ความขัดแย้งในเรื่องการเดินทาง
70. การไม่ยอมรับเพื่อนของอีกฝ่าย
71. ความรู้สึกถูกปฏิเสธ
72. การขาดความพยายามในการแก้ไขปัญหา
73. ความแตกต่างในเรื่องการเมือง
74. การไม่สามารถจัดการกับความเครียดร่วมกัน
75. ความรู้สึกไม่ได้รับความรัก
76. การเปลี่ยนแปลงในความเชื่อส่วนตัว
77. การขาดความภักดี
78. ความรู้สึกไม่ได้รับการปกป้อง
79. การไม่ยอมรับอดีตของอีกฝ่าย
80. ความขัดแย้งในเรื่องการดูแลสุขภาพ
81. การขาดความไว้วางใจในเรื่องเล็กๆ
82. ความรู้สึกไม่ได้รับการยอมรับ
83. การเปลี่ยนแปลงในความสนใจทางเพศ
84. การไม่สามารถจัดการกับความโกรธ
85. ความรู้สึกถูกกดดันให้เปลี่ยนแปลง
86. การขาดการสื่อสารในเรื่องสำคัญ
87. ความรู้สึกไม่มีความสำคัญ
88. การเปลี่ยนแปลงในบทบาททางสังคม
89. การขาดความมั่นคงทางอารมณ์
90. ความรู้สึกถูกวิพากษ์วิจารณ์
91. การไม่ยอมรับความฝันของอีกฝ่าย
92. ความขัดแย้งในเรื่องการย้ายที่อยู่อาศัย
93. การขาดความพยายามในการรักษาความโรแมนติก
94. ความรู้สึกถูกทิ้งให้เผชิญปัญหาคนเดียว
95. การเปลี่ยนแปลงในความมั่นใจในตัวเอง
96. การขาดความเข้าใจในวัฒนธรรมของอีกฝ่าย
97. ความรู้สึกไม่ได้รับการสนับสนุนในอาชีพ
98. การขาดความสัมพันธ์กับครอบครัวของอีกฝ่าย
99. ความรู้สึกว่าความสัมพันธ์ถึงทางตัน
100. การตัดสินใจว่าไม่ต้องการใช้ชีวิตด้วยกันอีกต่อไป

--------------------------------------------------

นี่คือ "100 เหตุผล" ที่คู่แต่งงานมักเลิกกัน (สรุปสั้น กระชับ):

1. ขาดการสื่อสาร

2. สื่อสารเชิงรุกล้ำ/ก้าวร้าว

3. ไม่ยอมรับฟังกัน

4. ปกปิดความรู้สึก

5. ประชดประชันบ่อย

6. หลบเลี่ยงปัญหา

7. วิจารณ์/ดูถูกซ้ำๆ

8. ตั้งการ์ดตลอด ไม่ยอมรับผิด

9. เงียบใส่ (stonewalling)

10. ไม่ขอโทษ/ไม่ให้อภัย

11. นอกใจ/คบซ้อน

12. โกหกเรื่องสำคัญ

13. ความลับทางการเงิน

14. ละเมิดความเป็นส่วนตัว

15. ผิดคำสัญญาซ้ำซาก

16. เป้าหมายชีวิตต่างกัน

17. ค่านิยม/ศาสนาต่างกันมาก

18. คาดหวังบทบาทสามี–ภรรยาไม่ตรง

19. บุคลิก/นิสัยเข้ากันไม่ได้

20. ช่องว่างวัย/วุฒิภาวะ

21. ไลฟ์สไตล์ไม่สอดคล้อง

22. ความต้องการการแสดงออกถึงรักไม่ตรงกัน

23. หึงหวงเกินเหตุ

24. ขาดความเคารพซึ่งกันและกัน

25. ระดับการสนทนา/ความสนใจทางปัญญาไม่ตรงกัน

26. ภาระหนี้สินสูง

27. ใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย

28. ตระหนี่จนกดดัน

29. รายได้ไม่แน่นอน/ตกงาน

30. ไม่โปร่งใสเรื่องเงิน

31. ใช้อำนาจผ่านเงิน

32. ช่วยเหลือญาติเรื่องเงินจนกระทบคู่

33. เป้าหมายการเงินต่างกัน (บ้าน/รถ/ลงทุน)

34. ความเครียดค่าครองชีพ

35. ภาษี/ภาระกฎหมายการเงินกระทบ

36. ความต้องการทางเพศไม่ตรงกัน

37. ปัญหาทางเพศที่ไม่แก้ร่วมกัน

38. ขาดความใกล้ชิดทางอารมณ์

39. ไม่มั่นใจรูปร่าง/สุขภาพจนห่างเหิน

40. เสพสื่อลามกจนกระทบความสัมพันธ์

41. เห็นต่างเรื่องมี/ไม่มีลูก

42. วิธีเลี้ยงลูกขัดแย้ง

43. ภาระเลี้ยงลูกทำให้ห่างกัน

44. ลูกติดจากความสัมพันธ์เดิม

45. ภาวะมีบุตรยาก

46. แท้ง/สูญเสียบุตรทำให้เศร้าและตึงเครียด

47. ผูกพันลูกมากจนละเลยคู่

48. แย่งอำนาจตัดสินใจเรื่องลูก

49. ปัญหากับอดีตคู่ของฝ่ายหนึ่ง (co-parenting)

50. ค่าใช้จ่าย/การศึกษาลูกกดดัน

51. ครอบครัวฝ่ายใดแทรกแซง

52. อยู่บ้านเดียวกับพ่อแม่จนเกิดแรงเสียดทาน

53. ความต่างด้านวัฒนธรรม/เชื้อชาติ

54. เพื่อนชวนใช้ชีวิตเสี่ยง/ไม่สร้างสรรค์

55. แรงกดดันภาพลักษณ์จากโซเชียล

56. ทำงานหนักจนไม่มีเวลา

57. เวรงาน/ตารางไม่ตรงกัน

58. นำความเครียดงานกลับบ้าน

59. ย้ายงาน/ย้ายเมืองบ่อย

60. ความสำเร็จ/รายได้ต่างกันจนเกิดระแวงหรือดูถูก

61. ซึมเศร้า/วิตกกังวลไม่รักษา

62. โรคเรื้อรังสร้างภาระและความตึงเครียด

63. ติดการพนัน

64. ติดสุรา

65. ติดสารเสพติดอื่น

66. โรคทางบุคลิกภาพ/อารมณ์ไม่ได้รับการดูแล

67. ปัญหาการนอน/กรนรุนแรงกระทบชีวิตคู่

68. ภาวะหลังคลอด/ฮอร์โมนแปรปรวน

69. ไม่ดูแลสุขภาพตนเองจนอีกฝ่ายรับภาระหนัก

70. ต้องดูแลญาติป่วยจนละเลยคู่

71. ความรุนแรงในครอบครัว (กาย/ใจ)

72. ควบคุม ครอบงำ ติดตาม

73. ละเมิด/กดขี่ทางการเงิน

74. ด่าทอ เหยียดหยาม

75. บังคับ/ละเมิดทางเพศ

76. วิกฤตการเงินฉับพลัน

77. ภัยพิบัติ/บ้านเสียหายทำให้เครียด

78. ธุรกิจล้ม/หนี้ท่วม

79. สูญเสียคนใกล้ชิด

80. วิกฤตวัยกลางคน อยาก "เริ่มใหม่"

81. ความสัมพันธ์ระยะไกลยืดเยื้อ

82. ตารางชีวิตสวนทาง (กลางวัน/กลางคืน)

83. ปัญหาวีซ่า/เอกสารต้องแยกกันอยู่

84. เดินทางบ่อยมาก

85. สื่อสารระยะไกลไม่พอ จนเข้าใจคลาดเคลื่อน

86. แต่งเพราะแรงกดดันสังคม/ครอบครัว

87. แต่งเร็วเกินไป ไม่ได้เรียนรู้กันพอ

88. แต่งเพราะผลประโยชน์/ผลตอบแทน

89. ขาดความมุ่งมั่นจะแก้ปัญหา

90. ไม่ยอมไปปรึกษาหรือบำบัดคู่

91. ขอบเขตส่วนตัวไม่ชัด (เพื่อน งาน เวลา)

92. เอาเรื่องคู่ไปเล่าในที่สาธารณะ

93. ใช้โซเชียลทำร้าย/สอดส่องกัน

94. ตัดสินใจเรื่องใหญ่โดยไม่ปรึกษา

95. ขัดแย้งเรื่องของสะสม/สัตว์เลี้ยง/พื้นที่บ้าน

96. สูบบุหรี่/ดื่มหนักจนอีกฝ่ายรับไม่ได้

97. ระเบียบในบ้านต่างสุดขั้ว (สะอาด/สกปรก)

98. มาสาย/ไม่รักษาเวลาต่อเนื่อง

99. ติดเกม/มือถือจนละเลย

100. ความรู้สึกหมดรักจากการสะสมปัญหายาวนาน

---------------------------------------------------------

แน่นอนครับ sorapol! การแต่งงานที่จบลงด้วยการเลิกราอาจเกิดจากหลายปัจจัย ทั้งเรื่องส่วนตัว ความสัมพันธ์ การเงิน หรือแม้แต่สิ่งแวดล้อมรอบตัว ผมรวบรวมเหตุผลที่คู่รักอาจเลิกกันได้ถึง **100 ข้อ** โดยแบ่งเป็นหมวดหมู่เพื่อให้อ่านง่ายและเข้าใจลึกขึ้นครับ

---

## 💔 หมวดความสัมพันธ์ส่วนตัว

1. ขาดการสื่อสารที่ดี 
2. ไม่รับฟังกัน 
3. ทะเลาะบ่อยเกินไป 
4. ไม่เคารพกัน 
5. ขาดความเข้าใจ 
6. ความคาดหวังไม่ตรงกัน 
7. ไม่ให้เวลาแก่กัน 
8. ขาดความใกล้ชิดทางอารมณ์ 
9. ขาดความใกล้ชิดทางกายภาพ 
10. ไม่สนใจความรู้สึกของอีกฝ่าย 
11. ไม่ให้กำลังใจ 
12. ไม่ยอมปรับตัว 
13. ไม่ให้อภัย 
14. ขาดความซื่อสัตย์ 
15. ไม่แสดงความรัก 
16. ไม่ยอมรับข้อบกพร่องของกัน 
17. ขาดความอดทน 
18. ไม่แบ่งปันชีวิตร่วมกัน 
19. ไม่ให้เกียรติครอบครัวอีกฝ่าย 
20. ขาดความเป็นเพื่อนในชีวิตคู่

---

## 💸 หมวดการเงินและอาชีพ

21. ปัญหาหนี้สิน 
22. รายได้ไม่พอใช้ 
23. ใช้เงินไม่ตรงกัน 
24. ไม่วางแผนการเงินร่วมกัน 
25. ฝ่ายหนึ่งไม่ทำงาน 
26. ความเครียดจากงาน 
27. ฝ่ายหนึ่งใช้เงินฟุ่มเฟือย 
28. ไม่แบ่งภาระค่าใช้จ่าย 
29. ปิดบังรายได้ 
30. ไม่สนับสนุนเป้าหมายทางอาชีพของกัน

---

## 🧠 หมวดทัศนคติและค่านิยม

31. ค่านิยมต่างกัน 
32. ความเชื่อทางศาสนาไม่ตรงกัน 
33. ทัศนคติต่อการเลี้ยงลูกต่างกัน 
34. ทัศนคติต่อเพศสัมพันธ์ต่างกัน 
35. ทัศนคติต่อครอบครัวต่างกัน 
36. ทัศนคติต่อการใช้ชีวิตต่างกัน 
37. ฝ่ายหนึ่งไม่อยากมีลูก 
38. ฝ่ายหนึ่งอยากมีลูกมากเกินไป 
39. ไม่เห็นคุณค่าของกัน 
40. ไม่สนใจการพัฒนาตัวเอง

---

## 🧬 หมวดพฤติกรรมและนิสัย

41. ขี้หึงเกินไป 
42. เจ้าชู้ 
43. ติดเกม 
44. ติดมือถือ 
45. ติดโซเชียล 
46. ติดเหล้า 
47. ติดยาเสพติด 
48. ใช้ความรุนแรง 
49. พฤติกรรมควบคุมอีกฝ่าย 
50. พฤติกรรมหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ 
51. ขี้โมโห 
52. ขี้เกียจ 
53. ไม่รักษาความสะอาด 
54. ไม่รักษาสุขภาพ 
55. ไม่ช่วยงานบ้าน 
56. ไม่สนใจลูก 
57. พฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ 
58. พฤติกรรมโกหกซ้ำซาก 
59. พฤติกรรมหลบเลี่ยงปัญหา 
60. พฤติกรรมไม่ให้เกียรติ

---

## 🧑�🤝�🧑 หมวดครอบครัวและสังคม

61. ครอบครัวฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแทรกแซง 
62. เพื่อนมีอิทธิพลมากเกินไป 
63. ถูกกดดันจากสังคม 
64. ความคาดหวังจากพ่อแม่ 
65. ปัญหากับญาติ 
66. ปัญหากับลูก 
67. ปัญหากับเพื่อนร่วมงาน 
68. ปัญหากับเพื่อนสนิท 
69. ถูกเปรียบเทียบกับคู่รักคนอื่น 
70. ถูกกดดันให้มีลูก

---

## 🌍 หมวดสิ่งแวดล้อมและสถานการณ์

71. ย้ายที่อยู่บ่อย 
72. อยู่ไกลกัน (Long Distance) 
73. เวลาทำงานไม่ตรงกัน 
74. ไม่มีเวลาร่วมกัน 
75. ความเครียดจากสถานการณ์ภายนอก 
76. ปัญหาสุขภาพ 
77. ปัญหาทางจิตใจ 
78. ภาวะซึมเศร้า 
79. โรคเรื้อรัง 
80. ภาวะหมดไฟในชีวิตคู่

---

## 💣 หมวดเหตุการณ์เฉพาะหน้า

81. การนอกใจ 
82. การโกงเงิน 
83. การทำร้ายร่างกาย 
84. การทำร้ายจิตใจ 
85. การเปิดเผยความลับ 
86. การทรยศความไว้ใจ 
87. การมีลูกกับคนอื่น 
88. การแต่งงานซ้อน 
89. การล้มละลาย 
90. การติดคดีความ

---

## 🧘 หมวดการเติบโตและเปลี่ยนแปลง

91. โตไปคนละทาง 
92. เป้าหมายชีวิตเปลี่ยน 
93. ความฝันไม่ตรงกัน 
94. ไม่สนับสนุนกัน 
95. ไม่พัฒนาความสัมพันธ์ 
96. ไม่เรียนรู้จากความผิดพลาด 
97. ไม่ปรับตัวตามวัย 
98. ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง 
99. ไม่ให้โอกาสกัน 
100. ไม่รักกันแล้ว

-------------------------------------

## 100 เหตุผลที่นำไปสู่การหย่าร้าง: ทำไมชีวิตคู่จึงมาถึงทางตัน

การตัดสินใจยุติชีวิตคู่ไม่ใช่เรื่องง่าย และเบื้องหลังของแต่ละการหย่าร้างนั้นมีเหตุผลที่ซับซ้อนและหลากหลาย การแต่งงานที่เริ่มต้นด้วยความรักและความหวังอาจจบลงด้วยความเจ็บปวดและการแยกทางได้จากปัจจัยมากมาย ตั้งแต่ปัญหาคลาสสิกที่ทุกคนคุ้นเคย ไปจนถึงเหตุผลปลีกย่อยที่ค่อยๆ กัดกินความสัมพันธ์ทีละน้อย นี่คือ 100 เหตุผลที่คู่แต่งงานตัดสินใจเลิกรากัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางและความท้าทายของชีวิตสมรส

### **ปัญหาด้านความสัมพันธ์และการสื่อสาร (ข้อ 1-25)**

รากฐานสำคัญของชีวิตคู่คือความเข้าใจและการสื่อสารที่ดี เมื่อสิ่งนี้พังทลายลง ก็อาจนำไปสู่ปัญหาอื่นๆ จนยากจะแก้ไข

1.  **การนอกใจ:** การมีเพศสัมพันธ์กับคนอื่นที่ไม่ใช่คู่สมรสของตน ถือเป็นการทำลายความไว้วางใจอย่างรุนแรง
2.  **การนอกใจทางอารมณ์:** การสร้างความสัมพันธ์ทางใจที่ลึกซึ้งกับคนอื่น แม้ไม่มีความสัมพันธ์ทางกาย
3.  **ขาดการสื่อสารที่ดี:** ไม่พูดคุยกันอย่างเปิดอก ไม่รับฟัง หรือต่างคนต่างคิดไปเอง
4.  **การสื่อสารเชิงลบ:** ใช้คำพูดดูถูก เหยียดหยาม หรือประชดประชันกันตลอดเวลา
5.  **การไม่ให้เกียรติซึ่งกันและกัน:** แสดงออกถึงการไม่เคารพในความคิด ความรู้สึก หรือตัวตนของอีกฝ่าย
6.  **การโกหกและปิดบัง:** การไม่พูดความจริงในเรื่องต่างๆ ทำให้ความไว้วางใจหมดไป
7.  **ความลับทางการเงิน:** แอบใช้เงิน แอบสร้างหนี้ หรือปกปิดรายได้
8.  **ความห่างเหินทางอารมณ์:** รู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียวแม้จะมีคู่สมรสอยู่ข้างๆ
9.  **รู้สึกว่าไม่ได้รับความสำคัญ:** ฝ่ายหนึ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นตัวเลือกท้ายๆ เสมอ
10. **การไม่สนับสนุนความฝันและเป้าหมายของกันและกัน:** ไม่ให้กำลังใจหรือขัดขวางความก้าวหน้าของอีกฝ่าย
11. **การวิจารณ์ไม่สิ้นสุด:** ตำหนิติเตียนทุกเรื่อง ไม่เคยมีคำชม
12. **การกล่าวโทษกันไปมา:** ไม่ยอมรับผิดและโยนความผิดให้อีกฝ่ายเสมอ
13. **การใช้ "สงครามเย็น" (Silent Treatment):** การลงโทษอีกฝ่ายด้วยความเงียบ ไม่ยอมพูดจาด้วย
14. **ความไม่ลงรอยกันเรื่องพื้นฐาน:** มีเป้าหมายชีวิต ทัศนคติ และจริยธรรมที่ต่างกันเกินไป
15. **ความสัมพันธ์ที่พึ่งพาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากเกินไป (Codependency):** ขาดความเป็นตัวของตัวเองจนน่าอึดอัด
16. **การไม่รู้จักขอโทษ:** ทิฐิสูงเกินกว่าจะยอมรับผิดและกล่าวคำขอโทษ
17. **การไม่รู้จักให้อภัย:** ยึดติดกับความผิดพลาดในอดีตและนำกลับมาพูดซ้ำๆ
18. **ความเบื่อหน่าย:** ความสัมพันธ์ขาดความตื่นเต้น กลายเป็นกิจวัตรที่ซ้ำซากจำเจ
19. **เติบโตไปคนละทาง:** ความสนใจ ความคิด และการใช้ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปจนไม่เหมือนเดิม
20. **แต่งงานเร็วเกินไป:** ยังไม่รู้จักตัวเองและคู่ของตนดีพอเมื่อตัดสินใจแต่งงาน
21. **แต่งงานผิดเหตุผล:** แต่งเพราะความกดดันจากครอบครัว ท้องก่อนแต่ง หรือเพราะผลประโยชน์
22. **ความคาดหวังที่ไม่ตรงกับความจริง:** วาดฝันชีวิตแต่งงานไว้สวยหรู แต่ความจริงกลับตรงกันข้าม
23. **เปรียบเทียบคู่ของตัวเองกับคนอื่น:** มักจะมองว่าคู่ของคนอื่นดีกว่าเสมอ
24. **ความไม่เท่าเทียมในความสัมพันธ์:** ฝ่ายหนึ่งมีอำนาจควบคุมและตัดสินใจทุกอย่าง
25. **การขาดทีมเวิร์ค:** ไม่มองว่าชีวิตคู่คือการทำงานร่วมกัน แต่กลับแข่งขันและเอาชนะกันเอง

### **ปัญหาทางการเงิน (ข้อ 26-35)**

เรื่องเงินไม่เข้าใครออกใคร และเป็นสาเหตุหลักของการทะเลาะเบาะแว้งในหลายครอบครัว

26. **นิสัยการใช้เงินที่แตกต่างกันสุดขั้ว:** คนหนึ่งประหยัดสุดๆ อีกคนใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
27. **หนี้สิน:** ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายมีหนี้สินจำนวนมากที่ส่งผลกระทบต่อครอบครัว
28. **การตกงาน:** ความเครียดจากการขาดรายได้และความไม่มั่นคงทางการเงิน
29. **ความขี้เกียจทางการเงิน:** ฝ่ายหนึ่งไม่ยอมทำงานหรือไม่ช่วยกันทำมาหากิน
30. **ความเห็นไม่ตรงกันเรื่องเป้าหมายทางการเงิน:** คนหนึ่งอยากเก็บเงินซื้อบ้าน อีกคนอยากนำเงินไปลงทุน
31. **การพนัน:** การเสพติดการพนันนำไปสู่ปัญหาหนี้สินและการโกหก
32. **การให้ความสำคัญกับวัตถุมากกว่าความสัมพันธ์:** ทุ่มเทเงินไปกับสิ่งของเพื่อสร้างภาพลักษณ์
33. **ความขัดแย้งเรื่องการช่วยเหลือครอบครัวของแต่ละฝ่าย:** ให้เงินครอบครัวตัวเองมากเกินไปจนอีกฝ่ายไม่พอใจ
34. **การขาดความโปร่งใสทางการเงิน:** ไม่มีการวางแผนหรือพูดคุยเรื่องการเงินร่วมกัน
35. **ความเครียดจากความยากจน:** การดิ้นรนหาเลี้ยงชีพในแต่ละวันทำให้ไม่มีเวลาให้กัน

### **ปัญหาเรื่องเซ็กส์และความใกล้ชิด (ข้อ 36-45)**

ความใกล้ชิดทางกายเป็นส่วนสำคัญของชีวิตสมรส เมื่อปัญหานี้เกิดขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ในภาพรวม

36. **ความต้องการทางเพศไม่เท่ากัน:** ฝ่ายหนึ่งต้องการบ่อยกว่าอีกฝ่ายอย่างเห็นได้ชัด
37. **ขาดความใกล้ชิดทางกาย:** ไม่มีการกอด จูบ หรือสัมผัสที่แสดงความรักต่อกัน
38. **ชีวิตเซ็กส์ที่น่าเบื่อ:** ขาดความแปลกใหม่และความพยายามที่จะทำให้เรื่องบนเตียงดีขึ้น
39. **การปฏิเสธเรื่องเพศสัมพันธ์:** ฝ่ายหนึ่งปฏิเสธอีกฝ่ายบ่อยครั้งจนทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไร้ค่า
40. **รสนิยมทางเพศที่เข้ากันไม่ได้:** มีความชอบหรือความต้องการที่แตกต่างกันมาก
41. **ปัญหาทางเพศที่ไม่ได้รับการแก้ไข:** เช่น ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ หรือความเจ็บปวดขณะมีเพศสัมพันธ์
42. **ใช้เซ็กส์เป็นเครื่องมือต่อรอง:** ไม่ยอมมีเพศสัมพันธ์เพื่อลงโทษหรือเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ
43. **การนอกใจทางเพศ (Physical Infidelity):** ดังที่กล่าวไปแล้ว แต่เป็นเหตุผลสำคัญในหมวดนี้
44. **การเสพติดสื่อลามก:** ทำให้ความสนใจในตัวคู่สมรสน้อยลงและสร้างความคาดหวังที่ไม่สมจริง
45. **การไม่ใส่ใจความสุขทางเพศของอีกฝ่าย:** มุ่งเน้นแต่ความสุขของตนเองเพียงฝ่ายเดียว

### **ปัญหาเรื่องลูกและการเลี้ยงดู (ข้อ 46-55)**

การมีลูกคือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันในการเลี้ยงดูสามารถสร้างรอยร้าวได้

46. **สไตล์การเลี้ยงลูกที่แตกต่างกัน:** คนหนึ่งเข้มงวด อีกคนตามใจ
47. **การไม่ให้เกียรติวิธีการเลี้ยงลูกของอีกฝ่าย:** คิดว่าวิธีของตนเองถูกเสมอและดูถูกวิธีของอีกฝ่าย
48. **ความขัดแย้งเรื่องการลงโทษลูก:** ความเห็นไม่ตรงกันว่าควรลงโทษอย่างไรและเมื่อไหร่
49. **การมีลูกไม่ได้:** ความเจ็บปวดและความเครียดจากการพยายามมีบุตรแต่ไม่สำเร็จ
50. **การไม่ต้องการมีลูก:** ฝ่ายหนึ่งอยากมี แต่อีกฝ่ายไม่ต้องการอย่างชัดเจน
51. **การให้ความสำคัญกับลูกมากกว่าคู่สมรส:** ทุ่มเททุกอย่างให้ลูกจนหลงลืมสถานะสามีภรรยา
52. **ความเครียดจากการเลี้ยงดูลูกที่มีความต้องการพิเศษ:** ความเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ
53. **การเข้าข้างลูกของตัวเอง (ในกรณีที่เป็นครอบครัวผสม):** พ่อเลี้ยงหรือแม่เลี้ยงมีความลำเอียง
54. **การนำลูกมาเป็นเครื่องมือในการทะเลาะ:** พูดให้อีกฝ่ายรู้สึกผิดโดยอ้างถึงลูก
55. **ความเห็นไม่ตรงกันเรื่องการศึกษาของลูก:** การเลือกโรงเรียนและแนวทางการเรียน

### **การทำร้ายร่างกายและจิตใจ (ข้อ 56-65)**

เป็นเหตุผลที่รุนแรงและไม่อาจยอมรับได้ ซึ่งนำไปสู่การหย่าร้างอย่างแน่นอน

56. **การทำร้ายร่างกาย:** การใช้ความรุนแรงในครอบครัว
57. **การทำร้ายจิตใจ:** การใช้คำพูดทำร้ายให้รู้สึกไร้ค่า กดดัน หรือข่มขู่
58. **การควบคุมบงการ:** ควบคุมทุกการกระทำ การตัดสินใจ และการเข้าสังคมของอีกฝ่าย
59. **ความหึงหวงที่เกินเหตุ:** ระแวงและกล่าวหาว่ามีชู้โดยไม่มีหลักฐาน
60. **การบงการทางความคิด (Gaslighting):** ทำให้ฝ่ายหนึ่งเริ่มสงสัยในสติและความทรงจำของตัวเอง
61. **การคุกคามทางเพศ:** การบังคับขืนใจให้มีเพศสัมพันธ์
62. **การทำลายข้าวของ:** แสดงความโกรธด้วยการทำลายทรัพย์สิน
63. **การขู่ว่าจะทำร้ายตนเองหรือคนอื่น:** เพื่อสร้างความกลัวและควบคุมอีกฝ่าย
64. **การแบล็กเมล์ทางอารมณ์:** ใช้ความรู้สึกผิดหรือความกลัวเพื่อให้อีกฝ่ายทำตามที่ต้องการ
65. **การไม่ปกป้องคู่ของตนจากคำดูถูกของผู้อื่น:** ปล่อยให้คนอื่นมาทำร้ายจิตใจคู่สมรสของตน

### **ปัญหาสุขภาพและการเสพติด (ข้อ 66-75)**

ปัญหาสุขภาพที่รุนแรงและการเสพติดสามารถสร้างแรงกดดันมหาศาลให้กับชีวิตคู่

66. **การติดสุราหรือยาเสพติด:** การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและปัญหาทางการเงินที่ตามมา
67. **การเจ็บป่วยเรื้อรัง:** ความเครียดจากการดูแลและการเปลี่ยนแปลงบทบาทในครอบครัว
68. **ปัญหาสุขภาพจิตที่ไม่ได้รับการรักษา:** เช่น โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล หรือไบโพลาร์
69. **การเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย:** น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างมาก หรือการไม่ดูแลตัวเอง
70. **การไม่ใส่ใจสุขภาพของอีกฝ่าย:** ไม่สนใจดูแลเมื่ออีกฝ่ายเจ็บป่วย
71. **การปฏิเสธที่จะไปพบแพทย์หรือนักบำบัด:** ไม่ยอมรับว่าตัวเองมีปัญหาและไม่ยอมรับการช่วยเหลือ
72. **ความเครียดจากการเป็นผู้ดูแล:** ฝ่ายที่แข็งแรงรู้สึกเหนื่อยล้าและหมดไฟ
73. **การติดการพนัน:** (ซ้ำกับหมวดการเงิน แต่เป็นปัญหาการเสพติดที่สำคัญ)
74. **การติดงาน:** ทำงานหนักเกินไปจนไม่มีเวลาให้ครอบครัว
75. **การเสพติดโซเชียลมีเดีย:** ใช้เวลาอยู่กับโลกออนไลน์มากกว่าคนข้างๆ

### **ปัจจัยภายนอกและสภาพแวดล้อม (ข้อ 76-90)**

บางครั้งปัญหาก็ไม่ได้มาจากคนสองคน แต่มาจากสภาพแวดล้อมรอบตัว

76. **ปัญหากับพ่อแม่หรือญาติของอีกฝ่าย (ปัญหาแม่ผัวลูกสะใภ้):** การเข้ามาแทรกแซงชีวิตคู่มากเกินไป
77. **การที่คู่สมรสเข้าข้างครอบครัวตัวเองเสมอ:** ไม่เคยปกป้องเราจากครอบครัวของเขา/เธอ
78. **ความแตกต่างทางศาสนาหรือวัฒนธรรม:** ความขัดแย้งในความเชื่อและธรรมเนียมปฏิบัติ
79. **ปัญหากับเพื่อนของอีกฝ่าย:** ไม่ชอบกลุ่มเพื่อนของคู่สมรสและมองว่าเป็นอิทธิพลที่ไม่ดี
80. **ความเครียดจากงาน:** นำความเครียดจากที่ทำงานกลับมาลงที่บ้าน
81. **การย้ายที่อยู่บ่อยครั้ง:** ทำให้รู้สึกไม่มั่นคงและต้องปรับตัวตลอดเวลา
82. **การเดินทางไกลเพื่อทำงาน:** การอยู่ห่างกันเป็นเวลานานทำให้ความสัมพันธ์ห่างเหิน
83. **ความสำเร็จในหน้าที่การงานที่ไม่เท่ากัน:** ทำให้เกิดความอิจฉาหรือความรู้สึกด้อยค่า
84. **การสูญเสียครั้งใหญ่:** เช่น การเสียลูกหรือคนในครอบครัว ซึ่งอาจทำให้คนสองคนห่างเหินกัน
85. **อิทธิพลจากเพื่อนที่หย่าร้าง:** ทำให้มองว่าการหย่าร้างเป็นทางออกที่ง่ายขึ้น
86. **การเปลี่ยนแปลงของสังคม:** ทัศนคติที่เปิดกว้างต่อการหย่าร้างมากขึ้น
87. **ความไม่ลงรอยกันเรื่องสัตว์เลี้ยง:** ฝ่ายหนึ่งรักสัตว์เหมือนลูก อีกฝ่ายไม่ชอบ
88. **ปัญหางานบ้าน:** การแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบที่ไม่เท่าเทียม
89. **ไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกัน:** คนหนึ่งชอบเข้าสังคม อีกคนชอบอยู่บ้าน
90. **การไม่มีเวลาส่วนตัว:** รู้สึกอึดอัดเพราะต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลา

### **เหตุผลส่วนบุคคลและการเปลี่ยนแปลงภายใน (ข้อ 91-100)**

บางครั้งการเลิกราก็เกิดจากการเปลี่ยนแปลงภายในของคนใดคนหนึ่ง

91. **การค้นพบตัวตนใหม่:** ตระหนักว่าสิ่งที่ต้องการในชีวิตไม่ใช่การมีชีวิตคู่อีกต่อไป
92. **การตระหนักว่าหมดรักแล้ว:** ความรู้สึกรักค่อยๆ จางหายไปตามกาลเวลา
93. **วิกฤตวัยกลางคน (Mid-life Crisis):** การตั้งคำถามกับชีวิตและการตัดสินใจที่ผ่านมาทั้งหมด
94. **การเปลี่ยนแปลงรสนิยมทางเพศ:** ตระหนักว่าตนเองไม่ได้รักเพศตรงข้าม
95. **ความรู้สึกติดกับ (Feeling Trapped):** รู้สึกว่าชีวิตแต่งงานคือพันธนาการ
96. **การไม่ได้รับการเติมเต็ม:** รู้สึกว่างเปล่าและไม่มีความสุขในความสัมพันธ์
97. **การไม่เป็นตัวของตัวเอง:** ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองมากเกินไปเพื่อให้อีกฝ่ายพอใจ
98. **การสูญเสียตัวตน:** ลืมไปแล้วว่าตัวเองเคยเป็นใครและชอบอะไรก่อนแต่งงาน
99. **ความปรารถนาที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่:** ต้องการโอกาสครั้งที่สองเพื่อมีความสุขในแบบของตัวเอง
100. **การให้อภัยตัวเองไม่ได้:** ฝ่ายที่เคยทำผิดพลาดรู้สึกผิดเกินกว่าจะอยู่ในความสัมพันธ์ต่อไปได้
----------------------------------------------------

แน่นอนครับ นี่คือรายการเหตุผล 100 ข้อที่ทำให้คู่สมรสตัดสินใจหย่าร้างหรือแยกกันอยู่ ซึ่งรวบรวมจากปัจจัยทางจิตใจ สังคม เศรษฐกิจ และชีวิตคู่

**ด้านการสื่อสารและอารมณ์ (1-20)**
1.  การสื่อสารที่ไม่effective หรือสื่อสารน้อยลงจนเหมือน陌生人
2.  การโต้เถียงอย่างรุนแรงและต่อเนื่องโดยไม่หาทางออก
3.  การเก็บกดความรู้สึกไม่พูดกันตรงๆ
4.  การดูถูก เหน็บแนม หรือพูดจาทำร้ายจิตใจกัน
5.  ความรู้สึกว่า "ไม่ได้รักกันเหมือนแต่ก่อน"
6.  ความเบื่อหน่ายและความรู้สึกซ้ำซากในความสัมพันธ์
7.  การไม่ได้รับการเอาใจใส่หรือความรู้สึกถูกทอดทิ้งทางอารมณ์
8.  ความคาดหวังในคู่สมรสที่สูงเกินจริงและผิดพลาด
9.  การไม่ยอมรับหรือไม่เข้าใจในความแตกต่างของกันและกัน
10. การนำความเครียดจากที่ทำงานหรือ外在มาเหวี่ยงใส่กันในบ้าน
11. ความเหงาภายในความสัมพันธ์ (Feeling lonely in the relationship)
12. การไม่มีการสนทนาที่มีmeaningful
13. อารมณ์โกรธเกรี้ยวที่ควบคุมไม่ได้
14. การไม่ขอบคุณหรือเห็นคุณค่ากัน
15. การเปรียบเทียบคู่สมรสกับคนอื่น
16. การไม่ให้อภัยในความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ
17. การยึดติดกับอดีตและไม่ก้าวข้ามปัญหาเก่า
18. การขาดความใกล้ชิดทางอารมณ์ (Emotional Intimacy)
19. การใช้คำพูดบั่นทอนกำลังใจกัน
20. การไม่ให้เกียรติซึ่งกันและกัน

**ด้านความไม่ซื่อสัตย์และ betrayal (21-30)**
21. การนอกใจหรือมีชู้
22. การโกหกเรื่องเล็กเรื่องน้อยเป็นประจำ
23. การปกปิดเรื่องการเงิน หนี้สิน
24. การมีชีวิตคู่ (Secret life)
25. การนอกใจทางอารมณ์ (Emotional affair) กับคนอื่น
26. การใช้โซเชียล有เพื่อปิดบังการนอกใจ
27. การไม่รักษาความลับหรือนำความลับของคู่สมรสไปบอกต่อ
28. การหลอกลวงในเรื่องใหญ่ๆ (เช่น หนี้สินมหาศาล, ประวัติการทำงาน)
29. การนอกใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า
30. การเลือก站在ข้างครอบครัวตัวเองมากกว่าคู่สมรสตลอดเวลา

**ด้านความใกล้ชิดและเพศสัมพันธ์ (31-40)**
31. การขาดความใกล้ชิดทางกาย (Physical Intimacy) เป็นเวลานาน
32. ความต้องการทางเพศที่ไม่ตรงกัน (High vs. Low Libido)
33. การปฏิเสธการมีเพศสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง
34. การนอกใจเพราะต้องการเติมเต็มทางเพศ
35. การไม่สนใจความต้องการทางเพศของอีกฝ่าย
36. ความรู้สึกถูกบังคับหรือทำไปเพื่อหน้าที่
37. การเปลี่ยนแปลงของร่างกายหลังมีลูกที่ส่งผลต่อความมั่นใจและความต้องการ
38. การเป็นโรคที่影响性能力但ไม่寻求解决方法
39. การขาดความโรแมนติกและช่วงเวลาสำหรับกันและกัน
40. การรู้สึกว่าเป็น只是เพื่อนร่วมห้องหรือพี่น้องมากกว่าคู่รัก

**ด้านการเงิน (41-55)**
41. ความเห็นไม่ตรงกันเกี่ยวกับการจัดการการเงิน (เก็บมาก vs ใช้มาก)
42. การมีหนี้สินล้นพ้นตัวและปิดบังไว้
43. การใช้จ่ายฟุ่มเฟือยโดยไม่ปรึกษาหารือ
44. การเป็นคนควบคุมเงินทั้งหมดและไม่ให้อีกฝ่ายมีสิทธิ์ตัดสินใจ
45. ปัญหาการว่างงานและขาดรายได้
46. การไม่ช่วยกันแบ่งเบาภาระทางการเงิน
47. การทะเลาะกันเพราะเรื่องเงินเป็นประจำ
48. ความยากจนและความเครียดจากการ找不到ทางออก
49. การพนันที่ทำลาย家庭
50. การไม่วางแผนทางการเงินร่วมกันสำหรับ未来
51. การคาดหวังให้อีกฝ่ายเป็นผู้หาเงินแต่เพียงผู้เดียว
52. การสนับสนุนครอบครัวเดิมมากเกินไปจนกระทบครอบครัวเล็ก
53. การโกงหรือยักยอกเงินร่วมกัน
54. การไม่จ่ายค่าใช้จ่ายในบ้านตามที่ตกลงกัน
55. การลงทุน失败โดยไม่聽คู่สมรส劝阻

**ด้านการแบ่งหน้าที่และความรับผิดชอบ (56-65)**
56. การไม่ช่วยกันทำงานบ้านเลย
57. การผลักให้อีกฝ่าย (มัก是ผู้หญิง) ทำงานบ้านและเลี้ยงลูกคนเดียว
58. การทะเลาะกันเพราะความไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย
59. การไม่รับผิดชอบในบทบาทของตัวเอง (ทั้งสามีและภรรยา)
60. การตามไม่ทันชีวิตคู่ (เช่น ภรรยาที่พัฒนาตัวเองตลอด time แต่สามียังอยู่ที่เดิม)
61. การเป็นคน selfish คิดแต่เรื่องตัวเอง
62. การไม่ช่วยเหลือกันเมื่ออีกฝ่ายมี workload เยอะ
63. การเลี้ยงดู宠物ที่ตกลงกันไม่ได้
64. การไม่ดูแลบ้านให้ดี (เช่น ซ่อมแซม things broke)
65. การย้ายที่อยู่บ่อยครั้งโดยไม่เห็นด้วยกัน

**ด้านลูกและการเลี้ยงดู (66-75)**
66. ความคิดไม่ตรงกันเกี่ยวกับการ有ลูก (อยาก有 vs ไม่อยาก有)
67. ความคิดไม่ตรงกันเกี่ยวกับวิธีการเลี้ยงลูก
68. การทุ่มเทเวลาให้ลูกจนลืมความสัมพันธ์ของคู่สมรส
69. ปัญหาการมีบุตรยากที่สร้างความเครียดและความกดดัน
70. การเล่นพรรคเล่นพวก (ลูกเข้าข้างพ่อหรือแม่一方)
71. การไม่ช่วยกันเลี้ยงลูก
72. การใช้วินัยกับการเลี้ยงลูกที่แตกต่างกันสุดขั้ว
73. การทะเลาะกันต่อหน้าลูก
74. การที่ลูกกลายเป็นศูนย์กลางของ家庭จนลืมความเป็นคู่รัก
75. การไม่ยอมรับลูก (ในกรณีที่เป็นลูกเลี้ยงหรือ adoption)

**ด้าน干涉จากบุคคลที่สาม (76-85)**
76. ครอบครัวของ either side 干涉ชีวิตคู่มากเกินไป
77. การที่คู่สมรสยอมให้พ่อแม่มาตัดสินใจแทนตัวเอง
78. การที่พ่อแม่或ญาติไม่ยอมรับคู่สมรส
79. การมีเพื่อนที่คอยยุแยง或ให้คำแนะนำที่แย่ๆ
80. การ compare คู่สมรสกับพี่น้อง或คนอื่นในครอบครัว
81. ต้องรับผิดชอบ或ดูแลพ่อแม่ที่ป่วยหรือแก่แล้วจน没有เวลาให้กัน
82. การที่คู่สมรสไป complain ปัญหาในครอบครัวให้外人ฟังบ่อยๆ
83. การ被เพื่อนสนิท或เพื่อนร่วมงาน破坏关系
84. การที่อีกฝ่ายสนใจแต่เพื่อนและ外出เที่ยว夜归โดยไม่สนครอบครัว
85. การมี "ที่ปรึกษา" ที่ไม่合适 (เช่น คุยกับเพื่อน异性เกี่ยวกับปัญหาแฟน)

**ด้าน personal issues และ development (86-100)**
86. การมีนิสัย或พฤติกรรมที่อีกฝ่ายทนไม่ได้ (เช่น ติดบุหรี่จัด, ดื่มหนัก)
87. การมี mental health issues (เช่น โรคซึมเศร้า, โรค Anxiety) ที่ไม่ได้รับการรักษาและส่งผลต่อ関係
88. การเปลี่ยนแปลงของบุคลิกภาพครั้งใหญ่
89. การติดการทำงาน (Workaholic) จนไม่มีเวลาให้ครอบครัว
90. การหยุดพัฒนาตนเองและย่ำอยู่กับที่
91. การมีเป้าหมายในชีวิตที่แตกต่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ
92. การติดเกม或โซเชียล有瘾จนละเลยความสัมพันธ์
93. การใช้ความรุนแรงในครอบครัว (ทั้งทางกายและใจ)
94. การมี controlling behavior หรือหวงห้ามเกินเหตุ
95. การเสพติด (ยาเสพติด, สุรา, การพนัน)
96. การโกหกเกี่ยวกับอดีตของตัวเอง (เช่น มีประวัติอาชญากรรม, เคยเป็นโรค)
97. การไม่尊重ความเป็นส่วนตัวของอีกฝ่าย
98. การไม่ดูแลสุขภาพของตัวเอง
99. การบังคับให้อีกฝ่ายเปลี่ยน宗教信仰或生活方式
100. การตระหนักว่าแต่งงานกันด้วยเหตุผลผิดๆ (เช่น แต่งเพราะถูกบังคับ, แต่งเพราะท้อง, แต่งเพราะอายุมาก)
----------------------------------------------------------
#101
ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นหลักธรรมสำคัญในพุทธศาสนาที่เรียกว่า **"ไตรสิกขา"** (การฝึกอบรมสามประการ) ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติเพื่อพัฒนาตนเองไปสู่ความหลุดพ้นหรือนิพพาน ดังนี้:

1. **ศีล** ( morality, ethics): การรักษาความประพฤติที่ดีทั้งกาย วาจา และใจ เพื่อให้จิตใจบริสุทธิ์และไม่เบียดเบียนผู้อื่น เช่น การงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม โกหก และเสพสิ่งมึนเมา (ศีล 5 สำหรับฆราวาส)

2. **สมาธิ** (concentration, meditation): การฝึกจิตให้สงบและมั่นคง ด้วยการเจริญสติและการทำสมาธิ เช่น การกำหนดลมหายใจ (อานาปานสติ) หรือการเจริญเมตตา เพื่อให้จิตมีพลังและพร้อมสำหรับการพัฒนาปัญญา

3. **ปัญญา** (wisdom, insight): ความรู้แจ้งในความจริงของชีวิต เช่น การเข้าใจ **ไตรลักษณ์** (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) ผ่านการพิจารณาและปฏิบัติธรรม เพื่อนำไปสู่การหลุดพ้นจากกิเลสและทุกข์

ทั้งสามข้อนี้สัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด: ศีลเป็นรากฐานที่ทำให้จิตสงบ, สมาธิเป็นเครื่องมือพัฒนาจิตให้มั่นคง, และปัญญานำไปสู่ความเข้าใจที่แท้จริง หากขาดข้อใดข้อหนึ่ง การปฏิบัติจะไม่สมบูรณ์
------------------------------------------------------------

แน่นอนครับ "ศีล สมาธิ ปัญญา" เป็นหลักพื้นฐานที่สำคัญมากในพระพุทธศาสนา เรียกอีกอย่างว่า **"ไตรสิกขา"** หรือข้อปฏิบัติ 3 ด้าน ที่นำไปสู่การหลุดพ้นจากความทุกข์

สามารถอธิบายโดยย่อและเข้าใจง่ายได้ดังนี้

### ภาพรวมแบบง่ายๆ

ให้นึกภาพการเดินทางไปสู่จุดหมาย:
*   **ศีล** คือ การเตรียมรถและถนนให้สะดวก (กำจัดอุปสรรค)
*   **สมาธิ** คือ การขับรถไปอย่างมั่นคงและไม่หลงทาง (มีสติจดจ่อ)
*   **ปัญญา** คือ การถึงจุดหมายและรู้ว่าถึงแล้ว (ความเข้าใจอันถูกต้อง)

ทั้งสามอย่างนี้ทำงานเชื่อมโยงและส่งเสริมกัน ไม่สามารถแยกจากกันได้อย่างสมบูรณ์

---

### การอธิบายละเอียดของแต่ละข้อ

#### 1. ศีล (Sila) - **ความดีพื้นฐาน / การฝึกฝนทางความประพฤติ**
*   **ความหมาย:** การระวังกายและวาจาให้เรียบร้อย ไม่ให้ทำความเดือดร้อนต่อตนเองและผู้อื่น การรักษากฎเกณฑ์หรือวินัย的基本道德规范
*   **เป้าหมาย:** เพื่อสร้างความสงบภายในและภายนอก เป็นพื้นฐานในการฝึกสมาธิ ถ้าศีลไม่ดี จิตจะฟุ้ง散乱不安稳,ฝึกสมาธิได้ยาก
*   **ตัวอย่างการปฏิบัติ:**
    *   ศีล 5 (สำหรับคฤหัสถ์) : เว้นจากการฆ่า, ลักทรัพย์, ประพฤติผิดในกาม, พูดเท็จ, ดื่มสุรา
    *   การอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสงบสุข
    *   การทำความดี帮助他人, บริจาค, มีเมตตา

#### 2. สมาธิ (Samadhi) - **การฝึกฝนทางจิตใจ**
*   **ความหมาย:** การฝึกให้จิตตั้งมั่น แน่วแน่ จดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ไม่ฟุ้ง散乱 การมีสติกำกับอยู่ตลอดเวลา
*   **เป้าหมาย:** เพื่อทำให้จิตใจสงบ เป็นเครื่องมือที่แข็งแรงและมั่นคง enough เพื่อใช้ในการเจริญปัญญา
*   **ตัวอย่างการปฏิบัติ:**
    *   การนั่งสมาธิ (ภาวนา)
    *   การเดินจงกรม
    *   การฝึกสติใน日常生活 เช่น รู้ตัวขณะล้างจาน, ทำงาน, กินข้าว

#### 3. ปัญญา (Panna) - **การฝึกฝนทางปัญญาและความเข้าใจ**
*   **ความหมาย:** ความรู้เข้าใจตามความเป็นจริงของสิ่งต่างๆ ไม่ใช่เพียงความรู้จากตำรา เป็นความเข้าใจแจ่มแจ้งในสภาวธรรม เช่น เข้าใจกฎแห่งกรรม, ความไม่เที่ยง (อนิจจัง), ความทุกข์ (ทุกขัง), และการไม่มีตัวตนที่แท้จริง (อนัตตา)
*   **เป้าหมาย:** เป็นผลลัพธ์สุดท้ายที่นำไปสู่การหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง (นิพพาน)
*   **ตัวอย่าง:**
    *   การเห็นว่า everything is impermanent, ความโกรธเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
    *   การเข้าใจว่าความทุกข์เกิดจากความอยาก (ตัณหา)
    *   การรู้ว่าไม่มีอะไร是固定不变的"我"或"我的"

---

### ความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกัน

ศีล สมาธิ และปัญญา ไม่ได้แยกจากกัน แต่เป็นกระบวนการที่ส่งเสริมกัน **เหมือนบันได 3 ขั้น** ที่นำไปสู่จุดหมายเดียวกัน

1.  **ศีล -> สมาธิ:** เมื่อมีความประพฤติดี (ศีล) จิตจะไม่ร้อนใจหรือรู้สึกผิด จึงสงบง่าย นิ่งพอที่จะฝึกสมาธิได้
2.  **สมาธิ -> ปัญญา:** เมื่อจิตสงบแน่วแน่ (สมาธิ) เหมือนน้ำที่ใสสะอาดไม่ขุ่นมัว จึงสามารถใช้พิจารณาเห็นความจริงของชีวิต (ปัญญา) ได้ชัดเจน
3.  **ปัญญา -> ศีลและสมาธิที่แท้จริง:** เมื่อมีปัญญาเข้าใจจริงแล้ว เราจะรักษาศีลและฝึกสมาธิได้อย่างมั่นคงโดยอัตโนมัติ เพราะเข้าใจเหตุผล behind itแล้วว่า การทำชั่ว带来苦果, และจิตที่สงบ带来利益 ไม่ใช่只是因为别人บอกให้ทำ

**สรุป:** **ศีล สมาธิ ปัญญา** จึงเป็นเส้นทางที่สมบูรณ์ในการพัฒนาตนเองตามหลักพระพุทธศาสนา 从道德规范开始,通过 mental training,最终达到智慧的觉悟,从而从痛苦中彻底解脱。
---------------------------------------------
#102
junjao.com update Plesk 18.0.72

SSL Free Lets Encrypt ให้ทุกเว็บแล้ว ถ้าซื้อ Wildcard support

ปีละ 150 USD ขึ้นไป
#103
อาการ **พัดลม CPU หมุนไม่แรง** มีหลายสาเหตุได้ครับ ลองตรวจทีละขั้นตอนดังนี้:

---

### 🔎 ขั้นตอนตรวจสอบ

1. **ตรวจฝุ่นและคราบสกปรก**

   * พัดลม CPU มีฝุ่นเกาะจะทำให้หมุนช้าหรือฝืด
   * ใช้ลมเป่าหรือแปรงเล็ก ๆ ทำความสะอาด

2. **ตรวจการเชื่อมต่อสายไฟ**

   * สายพัดลมควรเสียบที่ช่อง **CPU\_FAN** ของเมนบอร์ด
   * ถ้าเสียบผิดช่อง เช่น CHA\_FAN พัดลมอาจไม่ปรับความเร็วตามอุณหภูมิ CPU

3. **ตั้งค่า BIOS/UEFI**

   * เข้า BIOS → เมนู *Hardware Monitor* หรือ *Fan Control*
   * ตรวจดูว่าโหมดการควบคุมพัดลมเป็น **PWM/DC** ตรงกับชนิดพัดลมหรือไม่
   * ปรับค่า Fan Speed ให้สูงขึ้น หรือตั้งเป็น *Full Speed* เพื่อลองทดสอบ

4. **เช็กอุณหภูมิ CPU**

   * ใช้โปรแกรมเช่น HWMonitor, AIDA64, HWiNFO ตรวจว่า CPU ร้อนหรือไม่
   * ถ้า CPU เย็น พัดลมจะหมุนเบาเป็นปกติ (ระบบควบคุมรอบอัตโนมัติ)

5. **ลองเปลี่ยนพัดลม**

   * ถ้าพัดลมเก่า/ลูกปืนเริ่มเสีย จะหมุนช้าแม้ไฟเลี้ยงถูกต้อง
   * ลองเอาพัดลมใหม่มาต่อทดสอบ

6. **ตรวจแหล่งจ่ายไฟ (PSU)**

   * ถ้า PSU มีปัญหา ไฟเลี้ยงอาจไม่เสถียร ทำให้พัดลมหมุนไม่แรง

---

### ✅ วิธีแก้ไขเบื้องต้น

* ทำความสะอาดพัดลมและฮีตซิงค์
* ตรวจสอบการเสียบสายพัดลมให้ถูกที่
* เข้า BIOS ปรับ Fan Control หรือเปิดโหมด Full Speed ชั่วคราว
* ถ้ายังไม่ดีขึ้น → เปลี่ยนพัดลมใหม่

-------------------------------
#104
ประวัติศาสตร์ชาติไทยเป็นเรื่องที่นักวิชาการยังถกเถียงกันอยู่ครับ เพราะคำว่า **"ชาติไทย"** นั้นหมายถึงรัฐชาติในความหมายสมัยใหม่ ซึ่งเพิ่งเกิดขึ้นในช่วง **สมัยรัตนโกสินทร์ตอนปลาย–ต้นศตวรรษที่ 20** (รัชกาลที่ 5–7 เป็นต้นมา) แต่ถ้าพูดถึง **"คนไทย" หรือ "ชนชาติไท"** จะต้องย้อนกลับไปไกลกว่านั้นมาก

---

### 1. จุดเริ่มต้นของชนชาติไทย/ไท

* **ถิ่นกำเนิดดั้งเดิม** : เชื่อว่ากลุ่มคนที่เรียกว่า **"ไท-ไต" (Tai/Thai)** มีถิ่นฐานดั้งเดิมอยู่บริเวณแถบจีนตอนใต้ (กวางสี ยูนนาน กุ้ยโจว) แล้วค่อยๆ เคลื่อนย้ายลงมาทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
* **ช่วงเวลาประมาณ** : หลักฐานทางโบราณคดีและภาษาศาสตร์ชี้ว่า การอพยพเริ่มราว **คริสต์ศตวรรษที่ 7–13**
* **กลุ่มชาติพันธุ์ที่เกี่ยวข้อง** : ไทลื้อ ไทดำ ไทขาว ผู้ไท ไทใหญ่ ลาว สยาม ฯลฯ ล้วนเป็นกลุ่มย่อยของเครือญาติภาษาไท-กะได

---

### 2. การก่อตั้งอาณาจักรของคนไทในสุวรรณภูมิ

* **สุโขทัย (พ.ศ. 1781 / ค.ศ. 1238)** : มักถูกเรียกว่า "ราชธานีแห่งแรกของไทย" เพราะเป็นอาณาจักรที่ปกครองโดยชนชาวไทและมีระบบการเมืองการปกครองที่พัฒนาขึ้นเอง
* **ล้านนา (เชียงใหม่, พ.ศ. 1839 / ค.ศ. 1296)** : อาณาจักรของพญามังราย มีความรุ่งเรืองด้านศาสนา ศิลปวัฒนธรรม
* **อยุธยา (พ.ศ. 1893 / ค.ศ. 1350)** : กลายเป็นรัฐใหญ่และศูนย์กลางอำนาจสำคัญของภูมิภาค มีความสัมพันธ์กับจีน อินเดีย ยุโรป

---

### 3. การสร้างชาติสมัยใหม่

* คำว่า **"ชาติไทย"** ถูกนิยามชัดเจนในสมัยรัชกาลที่ 6–7 และช่วงรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม (พ.ศ. 2470–2480) ที่สร้างอัตลักษณ์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และใช้คำว่า **"ไทย"** อย่างเป็นทางการ
* ก่อนหน้านั้น ชาวต่างชาติเรียกเราว่า **"สยาม" (Siam)**

---

### 4. ชนชาติที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ไทย

ในแผ่นดินไทยไม่ได้มีเพียง "ไท" เท่านั้น แต่ยังมีชนชาติต่างๆ ที่ร่วมสร้างประวัติศาสตร์ เช่น

* **มอญ–เขมร** : มีอิทธิพลด้านศาสนา ศิลปกรรม ตัวอักษร
* **ชาวจีน** : มีบทบาทด้านการค้าและเศรษฐกิจ
* **ชาวมลายู** : มีอิทธิพลทางวัฒนธรรมและศาสนาในภาคใต้
* **ชาวเขาและชนเผ่า** : ลัวะ ขอม ละว้า กะเหรี่ยง ม้ง ฯลฯ ซึ่งอยู่ในดินแดนมาก่อนหรือตามมาในช่วงเวลาต่างๆ

---

👉 ถ้าสรุปสั้น ๆ :

* **ชนชาติไท** เริ่มมีร่องรอยจากจีนตอนใต้ ราวพันปีก่อน
* **ประวัติศาสตร์ไทยในดินแดนสุวรรณภูมิ** เริ่มจากการตั้งอาณาจักรสุโขทัยและล้านนาในคริสต์ศตวรรษที่ 13
* **ชาติไทยในความหมายรัฐชาติสมัยใหม่** เพิ่งเกิดขึ้นจริงในคริสต์ศตวรรษที่ 19–20

-----------------------------------------

ได้เลยครับ 🙌 ผมทำเป็น **ไทม์ไลน์ประวัติศาสตร์ชาติไทยแบบย่อ** ไล่ตามลำดับเวลาให้เข้าใจง่าย

---

## 🕰� ไทม์ไลน์ประวัติศาสตร์ชาติไทย (แบบย่อ)

### ก่อนรัฐชาติไทย

* **ก่อน ค.ศ. 1000** – กลุ่ม **ไท-ไต** อาศัยอยู่บริเวณจีนตอนใต้ (ยูนนาน กวางสี)
* **ค.ศ. 700–1200** – เริ่มอพยพลงสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผสมผสานกับวัฒนธรรม **มอญ–เขมร–ลัวะ**

---

### ยุคอาณาจักรของชนชาติไท

* **พ.ศ. 1781 (ค.ศ. 1238)** – ก่อตั้ง **สุโขทัย** โดยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ → ถูกยกให้เป็นราชธานีแรกของไทย
* **พ.ศ. 1839 (ค.ศ. 1296)** – ก่อตั้ง **ล้านนา** โดยพญามังราย
* **พ.ศ. 1893 (ค.ศ. 1350)** – สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ก่อตั้ง **กรุงศรีอยุธยา** → เป็นศูนย์กลางการค้า-การทูตของภูมิภาค
* **พ.ศ. 2310 (ค.ศ. 1767)** – อยุธยาเสียกรุงแก่พม่า → สมเด็จพระเจ้าตากสินสถาปนา **กรุงธนบุรี**

---

### ยุครัตนโกสินทร์

* **พ.ศ. 2325 (ค.ศ. 1782)** – รัชกาลที่ 1 สถาปนา **กรุงรัตนโกสินทร์ (กรุงเทพฯ)** เป็นราชธานี
* **พ.ศ. 2435 (ค.ศ. 1892)** – รัชกาลที่ 5 ปฏิรูประบบราชการ แก้สนธิสัญญา และเริ่มสร้างรัฐสมัยใหม่
* **พ.ศ. 2475 (ค.ศ. 1932)** – การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง → จากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สู่ **ประชาธิปไตยแบบรัฐธรรมนูญ**
* **พ.ศ. 2482 (ค.ศ. 1939)** – เปลี่ยนชื่อประเทศจาก "สยาม" เป็น **ประเทศไทย**

---

### ชาติไทยสมัยใหม่

* **พ.ศ. 2490–2500** – จอมพล ป. พิบูลสงคราม สร้างอัตลักษณ์ชาติ "ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์"
* **พ.ศ. 2516–2519** – เหตุการณ์การเมืองประชาธิปไตย–เผด็จการสลับกัน
* **พ.ศ. 2540** – รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ก้าวสู่การเมืองยุคใหม่
* **ปัจจุบัน (ศตวรรษที่ 21)** – ประเทศไทยเป็นรัฐชาติที่พัฒนาต่อเนื่องในทุกมิติ ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม

---

👉 จะสรุปได้ว่า:

* **ต้นกำเนิดชนชาติไท** → จีนตอนใต้
* **เริ่มตั้งอาณาจักรไทยจริงจัง** → สุโขทัย (พ.ศ. 1781)
* **รัฐชาติไทยสมัยใหม่** → รัตนโกสินทร์ตอนปลาย – ปัจจุบัน

-------------------------------------------

#105
ถ้าคุณอายุ 46 ปี และตอนเด็ก **ยังไม่เคยฉีดวัคซีนครบ** หรือบางตัวไม่มีในยุคนั้น (เช่นยุค 70–80 ที่ตารางวัคซีนเด็กยังไม่ครอบคลุมเหมือนปัจจุบัน) — ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขและ WHO แนะนำให้ **"เสริม"** หรือ **"ฉีดใหม่"** ตามนี้ เพื่อป้องกันโรคสำคัญในผู้ใหญ่ครับ

---

## 1. วัคซีนพื้นฐานที่ควรตรวจสอบและเสริม

| วัคซีน                                  | จำนวนเข็ม / ระยะเวลา                                        | หมายเหตุ                                                    |
| --------------------------------------- | ----------------------------------------------------------- | ----------------------------------------------------------- |
| **บาดทะยัก-คอตีบ-ไอกรน (Tdap หรือ Td)** | 1 เข็ม (ถ้าไม่เคยฉีดใน 10 ปีที่ผ่านมา) แล้วกระตุ้นทุก 10 ปี | ป้องกันบาดทะยักจากบาดแผล และคอตีบ-ไอกรนที่ยังมีระบาด        |
| **หัด-คางทูม-หัดเยอรมัน (MMR)**         | 2 เข็ม ห่างกันอย่างน้อย 4 สัปดาห์                           | ผู้ที่เกิดก่อนปี 2527 ส่วนใหญ่ไม่ได้ฉีดครบ                  |
| **โปลิโอ**                              | 1 เข็มกระตุ้น (ถ้าไม่เคยครบ 3 เข็ม)                         | ปัจจุบันไทยไม่มีระบาด แต่ WHO แนะนำเสริมถ้าไม่ครบ           |
| **ไวรัสตับอักเสบบี**                    | 3 เข็ม (0-1-6 เดือน)                                        | คนรุ่นก่อนปี 2535 มักไม่เคยฉีด                              |
| **ไวรัสตับอักเสบเอ**                    | 2 เข็ม ห่างกัน 6–12 เดือน                                   | เสี่ยงจากอาหาร/น้ำปนเปื้อน โดยเฉพาะถ้าทำงานอาหาร-ท่องเที่ยว |
| **ไข้หวัดใหญ่**                         | ปีละครั้ง                                                   | แนะนำทุกคน โดยเฉพาะผู้มีโรคประจำตัว                         |
| **โควิด-19**                            | ตามประกาศสาธารณสุข (เข็มกระตุ้นปีละครั้งถ้าเสี่ยงสูง)       |                                                             |

---

## 2. วัคซีนเสริมตามความเสี่ยง / ไลฟ์สไตล์

| วัคซีน                                | เหมาะสำหรับ                                       | หมายเหตุ                                                  |
| ------------------------------------- | ------------------------------------------------- | --------------------------------------------------------- |
| **HPV (มะเร็งปากมดลูก / หูดหงอนไก่)** | เพศชาย-หญิง อายุไม่เกิน 45–50 ปี                  | ยิ่งฉีดก่อนมีเพศสัมพันธ์ยิ่งได้ผล                         |
| **ปอดอักเสบ (Pneumococcal)**          | ผู้มีโรคเรื้อรัง / สูบบุหรี่ / ภูมิคุ้มกันต่ำ     | มีทั้งชนิด 13 สายพันธุ์ (PCV13) และ 23 สายพันธุ์ (PPSV23) |
| **อีสุกอีใส (Varicella)**             | ถ้าไม่เคยเป็นและไม่เคยฉีด                         | 2 เข็มห่าง 4–8 สัปดาห์                                    |
| **งูสวัด (Shingles / Herpes Zoster)** | อายุ 50 ปีขึ้นไป หรือ 45 ปีถ้ามีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ | วัคซีนรุ่นใหม่ Shingrix มี 2 เข็ม                         |

---

💡 **วิธีเช็กว่าตัวเองเคยฉีดหรือไม่**

* ดูจากสมุดวัคซีนเก่าหรือบันทึกการฉีด
* ถ้าไม่มีหลักฐาน ให้สมมติว่า "ยังไม่เคยฉีด" และฉีดเสริมได้เลย (ยกเว้นวัคซีนบางตัวต้องตรวจเลือดก่อน เช่น ไวรัสตับอักเสบบี)

--------------------------------

ได้เลยครับ ผมสรุป **ตารางวัคซีนผู้ใหญ่ อายุ 46 ปี (เวอร์ชันอัปเดตปี 2025)** โดยอ้างอิงจากแนวทางล่าสุดของสถาบันหลัก เช่น CDC (ประเทศสหรัฐ) ซึ่งเป็นแนวทางสาธารณสุขที่ใช้กันโดยทั่วในระดับโลก ส่วนประเทศไทยอาจไม่มีตารางเฉพาะสำหรับผู้ใหญ่ แต่หลักการคล้ายกันครับ โดยคุณสามารถปรึกษาแพทย์เพื่อปรับใช้ให้เหมาะกับสุขภาพและสถานการณ์ตัวเอง

---

## ตารางวัคซีนแนะนำสำหรับผู้ใหญ่ (อายุ 46 ปี) – 2025

| วัคซีน                                  | จำนวนเข็ม/ระยะเวลา                                                 | หมายเหตุ                                                              |
| --------------------------------------- | ------------------------------------------------------------------ | --------------------------------------------------------------------- |
| **COVID-19**                            | 1 หรือมากกว่า (รุ่น 2024–2025)                                     | ฉีดให้ครบซีรีส์ล่าสุด ([CDC][1])                                      |
| **ไข้หวัดใหญ่ (Influenza)**             | ปีละ 1 เข็ม                                                        | แนะนำให้ฉีดทุกปี ([CDC][1])                                           |
| **Tdap หรือ Td (บาดทะยัก-คอตีบ-ไอกรน)** | 1 เข็ม Tdap แล้วกระตุ้น Td/Tdap ทุก 10 ปี                          | หากไม่เคยฉีดในผู้ใหญ่ ([HIV Curriculum][2], [CDC][1])                 |
| **MMR (หัด-คางทูม-หัดเยอรมัน)**         | 1–2 เข็ม ขึ้นอยู่กับการฉีดและภูมิคุ้มกัน                           | ถ้าเกิดปี 1957 ขึ้นไปและไม่มีหลักฐานการฉีดหรือภูมิ ([CDC][1])         |
| **VAR (อีสุกอีใส)**                     | 2 เข็ม (ห่าง \~3 เดือน)                                            | หากไม่เคยฉีดหรือไม่เคยป่วย ([HIV Curriculum][2])                      |
| **Zoster (งูสวัด, วัคซีน Shingrix)**    | 2 เข็ม (ห่าง 2–6 เดือน)                                            | แนะนำแม้ไม่ตั้งโรคเรื้อรัง ([HIV Curriculum][2])                      |
| **HPV (มะเร็งปากมดลูก, หูดหงอนไก่)**    | 2–3 เข็ม (ขึ้นกับอายุตอนฉีด)                                       | สำหรับอายุไม่เกิน 45 ปี แนะนำจนถึง 45 ([CDC][1], [HIV Curriculum][2]) |
| **Pneumococcal (ปอดบวม)**               | หนึ่งในชุด: PCV20 หรือ PCV21 หรือ PCV15 + PPSV23 (ห่าง ≥8 สัปดาห์) | ตามความเสี่ยงหรือคำแนะนำ ([HIV Curriculum][2])                        |
| **Hepatitis A (ไวรัสตับอักเสบเอ)**      | 2–4 เข็ม (ขึ้นกับสูตรวัคซีน)                                       | ถ้ายังไม่เคยฉีดหรือไม่มีภูมิ ([HIV Curriculum][2])                    |
| **Hepatitis B (ไวรัสตับอักเสบบี)**      | 3 เข็ม (0-1-6 เดือน)                                               | หากไม่เคยฉีดมาก่อน ([HIV Curriculum][2])                              |

---

## หมายเหตุเพิ่มเติม

* ตารางนี้สอดคล้องกับแนวทาง CDC (สหรัฐ) ปี 2025 ([CDC][1], [HIV Curriculum][2])
* สำหรับประเทศไทย คุณควรปรึกษาแพทย์หรือโรงพยาบาลใกล้บ้าน (เช่น สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด หรือโรงพยาบาลรัฐ) เพื่อตรวจสอบว่ามีวัคซีนใดที่ภาครัฐสนับสนุน หรือมีโปรแกรมเสริมสำหรับผู้ใหญ่
* หากไม่แน่ใจว่าฉีดอะไรไปแล้วบ้าง เริ่มต้นจากถือว่าร่างกายยังไม่เคยได้รับวัคซีน (โดยเฉพาะ MMR, VAR, HPV, Hep A/B) และฉีดใหม่ได้เลย
* ปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงเฉพาะบุคคล เช่น การทำงาน โรคเรื้อรัง หรือการเดินทางต่างประเทศ อาจมีวัคซีนเสริม เช่น JE, ไทฟอยด์, ฯลฯ

-------------------------------------------

#106
Negative Income Tax คืออะไร? คนไทยต้องยื่นภาษีทุกคน ปี 2570 ส่องผลกระทบ ใครได้ - ใครเสีย

"Negative Income Tax" คนไทยต้องยื่นภาษีทุกคน คืออะไร? กลายคีย์เวิร์ดค้นหาขึ้นมาทันที หลังจากวานนี้ "ลวรณ แสงสนิท" ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวถึงแผนยุทธศาสตร์ของกระทรวงการคลัง ภายใต้การจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ

โดยหนึ่งในใจความสำคัญ คือ การเปิดเผยถึงความคืบหน้าการเชื่อมโยงข้อมูลพัฒนาฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Data Lake) 10 หน่วยงาน เพื่อนำไปสู่การออกแบบนโยบายสวัสดิการในลักษณะ Negative Income Tax ให้กับคนไทย วางเป้าหมายให้สามารถเริ่มใช้ได้ปี 2570  ผ่านหลักการเริ่มต้นสำคัญ โดยทุกคนต้องเข้าสู่ระบบภาษี เพื่อยืนยันรายได้ หากรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ จึงจะได้รับสวัสดิการสำหรับ แนวคิดภาษีเชิงลบ (Negative Income Tax) คือ ระบบที่ให้ ประชาชนทุกคนต้องยื่นแบบภาษี แม้มีรายได้น้อยกว่าค่าลดหย่อน เพื่อให้รัฐใช้ข้อมูลรายได้คัดกรองสิทธิ์สวัสดิการอย่างแม่นยำ

ถ้ารายได้สูงกว่าเกณฑ์ เท่ากับ จ่ายภาษีตามปกติ
ถ้ารายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ เท่ากับ ไม่ต้องเสียภาษี เพราะไม่ต่างจากภาษีติดลบ และจะได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐแทน

โดยกระทรวงการคลังเตรียมใช้ระบบนี้เป็นเครื่องมือปฏิรูประบบภาษีและสวัสดิการ ลดความซ้ำซ้อนของโครงการช่วยเหลือกว่า 20 รายการ เชื่อมฐานข้อมูลรายได้ประชาชนเข้าด้วยกัน

ด้าน ข้อมูลจาก FINNOMENA บริการทางการเงิน เผยเพิ่มเติมว่า แท้จริงแล้ว Negative Income Tax เป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นจากนักเศรษฐศาสตร์ Milton Friedman ในสหรัฐอเมริกา ช่วงทศวรรษ 1960 เพื่อแก้ปัญหาสวัสดิการที่ซ้ำซ้อนและไม่ตรงกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งต่อมาได้พัฒนามาเป็นระบบ Earned Income Tax Credit (EITC) ที่ใช้ในหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ แคนาดา และสหราชอาณาจักร

คนไทยหลายสิบล้านคน ต้องเข้าสู่ระบบภาษี
นั่นเท่ากับว่า ถ้าประเทศไทยมีการนำ นโยบาย Negative Income Tax มาบังคับใช้จริง จะดึงอีกหลายสิบล้านคน เข้าสู่ระบบภาษีครั้งใหญ่ เนื่องจากหากประเมินจากข้อมูลของสภาพัฒน์ฯ จะพบว่า เมื่อปี 2565 จากจำนวนแรงงานในระบบ 19 ล้านคน แต่มีผู้ยื่นแบบภาษี เพียง 10.7 ล้านคน และท้ายสุดเหลือผู้ที่มีรายได้สุทธิที่อยู่ใน เกณฑ์ต้องเสียภาษีเพียง 4.2 ล้านคนเท่านั้น

โดยจุดที่น่าสนใจคือ คนไทยบางส่วนไม่รู้ว่าการยื่นแบบภาษี และเสียภาษีเป็นหน้าที่ตามกฎหมาย อีกทั้งไม่เคยรับรู้ว่าการยื่นแบบฯ ไม่ได้ หมายความว่าจะต้องเสียภาษี หรือหากมีเงินได้สุทธิไม่เกิน 150,000 บาท จะได้รับการยกเว้นการเสียภาษี ซึ่งสัดส่วนผู้ไม่รู้ กระจุกตัวอยู่ในกลุ่มผู้ที่มีรายได้น้อย หรือมีสถานะทางการเงินที่ไม่ดี

ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า นโยบายนี้หากเดินหน้าเต็มรูปแบบ จะเปลี่ยนโฉมระบบภาษีของไทยครั้งใหญ่ เพราะการ "บังคับให้ทุกคนต้องยื่นแบบภาษี" ไม่เพียงแต่ทำให้รัฐมีข้อมูลรายได้ของประชาชนครบถ้วนเป็นครั้งแรก แต่ยังเป็นการขยายฐานผู้เสียภาษีโดยอัตโนมัติ

ในมุมของรัฐ

ข้อได้เปรียบสำคัญคือการได้ฐานข้อมูลรายได้ที่ครอบคลุมทั้งประเทศ ลดปัญหาการกระจายตัวของข้อมูลที่อยู่ตามหน่วยงานต่าง ๆ และสามารถคัดกรองผู้มีสิทธิ์รับสวัสดิการได้ตรงเป้า ลดความซ้ำซ้อนของโครงการช่วยเหลือกว่า 20 รายการ ขณะเดียวกันยังเปิดโอกาสให้รัฐจัดเก็บภาษีจากผู้มีรายได้สูงที่ไม่เคยอยู่ในระบบมาก่อน ทำให้รายได้ภาครัฐเพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องปรับขึ้นอัตราภาษี

ในมุมของประชาชนผลกระทบจะแตกต่างกันไปตามกลุ่มรายได้

กลุ่มที่เสียภาษีอยู่แล้ว แทบไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก เพราะคุ้นชินกับการยื่นแบบอยู่แล้ว แต่อาจเจอกระบวนการตรวจสอบรายได้ที่เข้มงวดขึ้น
กลุ่มที่มีรายได้พอสมควรแต่ไม่เคยยื่นภาษี จะถูกดึงเข้าสู่ระบบ อาจต้องเริ่มเสียภาษีจริงหากรายได้เกินเกณฑ์ ถือเป็นผู้เสียประโยชน์ชัดเจน
กลุ่มรายได้น้อยหรือตกหล่นจากสวัสดิการ จะเป็นผู้ได้ประโยชน์เต็มที่ เพราะเมื่อข้อมูลรายได้เข้าสู่ระบบ รัฐจะมองเห็นปัญหาและจ่ายเงินช่วยเหลือได้แม่นยำมากขึ้น
ในระยะยาว นโยบายนี้ยังช่วยสร้างวินัยการยื่นภาษีให้เป็นเรื่องปกติของคนไทย เพิ่มความโปร่งใสในการจัดสรรสวัสดิการ และทำให้นโยบายช่วยเหลือมีเป้าหมายชัดเจน ลดการใช้เงินผิดกลุ่ม ซึ่งหากบริหารจัดการได้ดี อาจช่วยลดความเหลื่อมล้ำและสร้างระบบสวัสดิการที่ยั่งยืนในระยะยาว

อย่างไรก็ดี ความท้าทายสำคัญคือการทำให้ระบบยื่นภาษีใช้งานง่าย ครอบคลุมถึงพื้นที่ชนบทและกลุ่มนอกระบบ รวมถึงต้องสื่อสารให้ชัดเจนว่า "การยื่นแบบไม่เท่ากับต้องเสียภาษี" เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด และเตรียมรับมือแรงต้านจากกลุ่มที่เคยอยู่นอกระบบ เป็นต้น

ที่มา https://www.thairath.co.th/money/economics/thai_economics/2876734
#107
กสิกร-ไทยพาณิชย์ แจงพบปัญหาเข้าแอพพ์ โอนเงินไม่ได้ เร่งแก้ปัญหา ขออภัยในความไม่สะดวก
วันที่ 15 สิงหาคม 2568 - 12:54 น.

กสิกร-ไทยพาณิชย์ แจงพบปัญหาเข้าแอพพ์ โอนเงินไม่ได้ เร่งแก้ปัญหา ขออภัยในความไม่สะดวก

เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ในโลกออนไลน์ ต่างติดแฮกแท็ก #กสิกรล่ม จนขึ้นเทรนใน (X) โดยผู้ใช้งานส่วนใหญ่ สะท้อนปัญหาว่า กดโอนเงินผ่านแอพพ์ไม่ได้ ซึ่งช่วงนี้ตรงกับ ช่วงพักเที่ยง ทำให้หลายคนประสบปัญหา ไม่สามารถกดโอนเงินจ่ายค่าข้าวได้

นอกจากนี้ ผู้ใช้หลายคนเข้ามาสะท้อนปัญหาว่า แอพพ์ธนาคารที่ไม่สามารถใช้งานได้ มี "ไทยพาณิชย์" หรือ "SCB"  อีกด้วย

หลายคนเข้าไปคอมเมนต์ถามในเพจหลังของธนาคารทั้งสองแห่ง คือ "KBank Live" และ "SCB Thailand"

โดยทางธนาคารกสิกร ออกมาตอบว่า "ขออภัยในความไม่สะดวกค่ะ ธนาคารรับทราบปัญหา และอยู่ระหว่างเร่งดำเนินการแก้ไข แนะนำเว้นช่วงในการทำรายการแล้วทำรายการใหม่อีกครั้งในภายหลังนะคะ"

ขณะที่ ไทยพาณิชย์ ออกมาระบุว่า "สำหรับท่านที่พบปัญหาไม่สามารถเข้าใช้งาน SCB EASY App ได้ ธนาคารรับทราบปัญหาและกำลังเร่งดำเนินการแก้ไขโดยเร็วที่สุด ขออภัยในความไม่สะดวก มา ณ ที่นี้ ค่ะ"...

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.matichon.co.th/economy/news_5324075
#108
ถ้าตอบแบบตรงไปตรงมาแต่มีทั้งวิทยาศาสตร์และมุมมองความคิดสร้างสรรค์มาผสมกัน —

---

## 1. **ในมุมวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน**

* **เดินทางไปอนาคต** → เป็นไปได้ในหลักฟิสิกส์ (ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์)

  * ถ้าเคลื่อนที่ใกล้ความเร็วแสง หรืออยู่ในแรงโน้มถ่วงสูงมาก เวลาในมุมมองเราจะช้าลงเมื่อเทียบกับคนบนโลก (Time Dilation)
  * ตัวอย่าง: นักบินอวกาศบนสถานีอวกาศ กลับมาจะ "อายุน้อย" กว่าคนบนโลกเล็กน้อย (ต่างกันเป็นมิลลิวินาที)
* **ย้อนกลับไปอดีต** → เป็นประเด็นใหญ่และยังไม่มีวิธีที่พิสูจน์ได้จริง

  * ทฤษฎีบางแบบ เช่น **Wormhole** หรือ **Closed Timelike Curve (CTC)** บอกว่าอาจเป็นไปได้ทางคณิตศาสตร์ แต่ติดปัญหาใหญ่เรื่องเสถียรภาพและพลังงานมหาศาล
  * หลักการเหตุและผล (Causality) อาจแตกหัก เช่น "Paradox ยาย" (ย้อนกลับไปฆ่ายายก่อนเราจะเกิด) ซึ่งยังไม่มีวิธีแก้ที่ทุกฝ่ายยอมรับ

---

## 2. **ความเป็นไปได้ในสเกลเปอร์เซ็นต์ (ตามความรู้ปัจจุบัน)**

* เดินทางไปอนาคต (ผ่าน Time Dilation) → **100%** เป็นจริงแล้วในระดับเล็ก
* ย้อนเวลาไปอดีต → อยู่ในระดับ **<1%** (เป็นเพียงสมการและแนวคิด ไม่มีหลักฐานเชิงทดลอง)
* ย้อนเวลาพร้อมรักษาเหตุและผลสมบูรณ์ → ยัง **ไม่ทราบความเป็นไปได้** และบางทฤษฎีบอกว่าอาจเป็นไปไม่ได้เลย

---

## 3. **ถ้าอนาคตเทคโนโลยีก้าวหน้ามาก**

* ถ้าสร้าง **Wormhole เสถียร** และควบคุมได้ อาจทำให้ย้อนเวลาได้ แต่ต้องใช้พลังงานใกล้เคียงกับ "มวลของดวงอาทิตย์" หรือมากกว่า
* ควอนตัมฟิสิกส์บางแนว เช่น **Many Worlds Interpretation** เสนอว่าการย้อนเวลาอาจไม่เปลี่ยนอดีตของ "เรา" แต่ไปสร้างเส้นเวลาใหม่แทน
  → หมายถึงย้อนกลับไปก็ไม่ได้แก้สิ่งที่เกิดขึ้นในจักรวาลเดิม แต่จะสร้าง "จักรวาลคู่ขนาน" ที่มีเหตุการณ์ใหม่

---

ถ้าสรุปสั้น ๆ ตอนนี้ **เดินทางไปอนาคตได้จริง แต่ย้อนอดีตยังเป็นแค่ทฤษฎีที่เสี่ยงต่อความเป็นไปไม่ได้**
แต่ถ้าอีก 200–500 ปีข้างหน้า เทคโนโลยีและความเข้าใจเรื่องจักรวาลก้าวกระโดด อาจมีความเป็นไปได้เพิ่มขึ้นมาก

---------------------------------------------------

นี่คือ **แผนผังเส้นเวลา + ระดับความเป็นไปได้** ของการเดินทางข้ามเวลา (อิงตามวิทยาศาสตร์ปัจจุบันและแนวคิดอนาคต)

---

**แผนผัง: เส้นเวลา & ความเป็นไปได้**

```
[ปัจจุบัน] ────────────────→  [อนาคตไกล]
   |                               ^
   |                               |
   |                               | 100% (เป็นจริงแล้ว)
   |                               | ผ่าน Time Dilation
   |                               | เช่น ยานอวกาศ/แรงโน้มถ่วงสูง
   |
   └───ย้อนกลับไปอดีต (<1%)
        |
        ├── Wormhole เสถียร (ต้องใช้พลังงานระดับดวงอาทิตย์)
        |
        ├── Closed Timelike Curve (CTC) ในทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป
        |
        └── แนวคิดควอนตัม → Many Worlds (ย้อนแล้วสร้างจักรวาลคู่ขนาน)
```

---

**ระดับความเป็นไปได้ (โดยประมาณ)**

| วิธีการ                     | หลักการ                                              | ความเป็นไปได้ตอนนี้ | อุปสรรคใหญ่                              |
| --------------------------- | ---------------------------------------------------- | ------------------- | ---------------------------------------- |
| **Time Dilation** (ไปอนาคต) | เคลื่อนที่ใกล้ความเร็วแสง หรืออยู่ใกล้วัตถุมวลมหาศาล | ✅ 100%              | ทำได้ในระดับเล็กเท่านั้น                 |
| **Wormhole**                | อุโมงค์เชื่อมสองจุดในกาลอวกาศ                        | ⚠ <1%               | ต้องใช้พลังงานและวัสดุลบ (Exotic Matter) |
| **Closed Timelike Curve**   | เส้นทางในกาลอวกาศวนกลับสู่อดีต                       | ⚠ <1%               | อาจทำลายเหตุและผล                        |
| **Many Worlds**             | ย้อนเวลาแต่ไปเส้นเวลาใหม่                            | ⚠ <1%               | ยังเป็นทฤษฎี ไม่มีการพิสูจน์             |

---

**สรุปภาพรวม**

* เดินทางไป **อนาคต** → ทำได้แล้ว แต่ในระดับมิลลิวินาที–ไม่กี่วินาที
* เดินทางไป **อดีต** → ยังเป็นเพียงทฤษฎี และอาจเป็นไปไม่ได้ในจักรวาลเดียว
* อนาคตอาจต้องพึ่งเทคโนโลยีและพลังงานระดับ "เทพเจ้าแห่งฟิสิกส์" ถึงจะทำได้จริง

----------------------------------------
#109
API (Application Programming Interface) คือ **ชุดคำสั่ง กติกา หรือเครื่องมือ** ที่ทำหน้าที่เป็น "ตัวกลาง" ให้โปรแกรมหรือระบบต่าง ๆ สามารถ **สื่อสาร แลกเปลี่ยนข้อมูล หรือทำงานร่วมกันได้** โดยไม่ต้องเปิดเผยโค้ดภายในทั้งหมด

---

## 🔍 อธิบายง่าย ๆ

* **เปรียบเทียบ:** API เหมือน "เมนูอาหารในร้าน"

  * เมนู = รายการสิ่งที่คุณสั่งได้ (ฟังก์ชัน/บริการที่ API มีให้)
  * พนักงานรับออร์เดอร์ = API ที่ส่งคำขอของคุณไปครัว
  * ครัว = ระบบหลังบ้าน (Server/Database) ที่ทำงานจริง
  * คุณไม่ต้องรู้ว่าครัวทำอาหารยังไง แค่สั่งตามเมนูที่กำหนด

---

## 🛠 ส่วนประกอบหลักของ API

1. **Endpoint** – จุดที่ใช้เรียก API (URL เช่น `https://api.example.com/data`)
2. **Method** – วิธีการเรียก (เช่น `GET` เอาข้อมูล, `POST` ส่งข้อมูล, `PUT` แก้ไข, `DELETE` ลบ)
3. **Parameter** – ข้อมูลประกอบการเรียก (เช่น `?id=123`)
4. **Response** – ข้อมูลที่ API ส่งกลับมา (เช่น JSON หรือ XML)
5. **Authentication** – ระบบยืนยันตัวตน เช่น API Key หรือ Token

---

## 🚀 การใช้งาน API

1. **หาข้อมูล API**

   * อ่าน *API Documentation* ของผู้ให้บริการ (เช่น Facebook Graph API, Google Maps API, Line API)
2. **ขอสิทธิ์เข้าถึง**

   * สมัครและรับ **API Key / Token**
3. **เรียกใช้งาน API**

   * ผ่าน **โค้ด** เช่น Python, JavaScript หรือ
   * ผ่านเครื่องมือทดสอบ เช่น [Postman](https://www.postman.com/)
4. **ประมวลผลข้อมูลที่ได้**

   * API จะส่งข้อมูลกลับมา (เช่น JSON) แล้วคุณนำไปแสดงผลหรือใช้ในระบบ

---

## 📌 ตัวอย่างโค้ดเรียก API ด้วย Python

```python
import requests

url = "https://api.exchangerate-api.com/v4/latest/USD"
response = requests.get(url)  # GET request
data = response.json()        # แปลงข้อมูลเป็น dict

print("ค่า USD เป็น THB:", data["rates"]["THB"])
```

**ผลลัพธ์:**

```
ค่า USD เป็น THB: 36.25
```

---

## 🎯 ตัวอย่างการใช้งานจริง

* แอปแผนที่ → เรียก **Google Maps API** เพื่อหาพิกัด
* เว็บ e-commerce → เรียก **Payment API** เพื่อรับชำระเงิน
* เว็บไซต์ข่าว → ดึงข้อมูลจาก **News API** มาแสดงอัตโนมัติ

----------------------------------------------------------
#110
คุณต้องการทราบว่า "ค่าครองชีพรายเดือนสูงสุดและต่ำสุด" ในโลกอยู่ที่ประเทศใด 20 อันดับแรก—เรามีข้อมูลที่น่าเชื่อถือจากหลายแหล่งมานำเสนอ ดังนี้ครับ:

---

## อันดับ 20 ประเทศที่มีค่าครองชีพ **สูงสุด**

ตามเว็บไซต์ Wisevoter (2023) โดยอ้างอิงค่าเฉลี่ยรายเดือน:

1. Monaco — \$3,955
2. Singapore — \$3,408
3. Cayman Islands — \$3,255
4. Switzerland — \$2,850
5. Iceland — \$2,457
6. Ireland — \$2,343
7. Liechtenstein — \$2,326
8. United States — \$2,317
9. Luxembourg — \$2,271
10. Australia — \$2,212
11. United Kingdom — \$2,017
12. Vanuatu — \$2,010
13. Norway — \$1,964
14. Qatar — \$1,939
15. Denmark — \$1,922
16. Canada — \$1,901
17. New Zealand — \$1,876
18. Netherlands — \$1,862
19. Israel — \$1,707
20. United Arab Emirates — \$1,680 ([Wisevoter][1])

นอกจากนี้ WorldPopulationReview (2024) ให้ข้อมูลเฉพาะ 5 ประเทศแพงที่สุด:

* Monaco — \$6,538
* Cayman Islands — \$3,374
* Singapore — \$3,000
* Switzerland — \$2,896
* Iceland — \$2,518 ([World Population Review][2])

และข้อมูลจาก Global-Relocate และ Numbeo ยืนยันว่า ประเทศที่แพงสุด ได้แก่ บมิวดา สวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ และบาร์เบโดส ([World Population Review][3])

---

## อันดับ 20 ประเทศที่มีค่าครองชีพระดับ **ต่ำสุด**

จาก data-pandas (2025) ระบุว่า:

* สูงสุด (แพงสุด): Monaco — \$3,743/เดือน
* ต่ำสุด (ถูกสุด): Afghanistan — \$354/เดือน ([data-pandas.pages.dev][4])

จากรายการ "10 Cheapest Countries to Live In" (2025):

1. Afghanistan — \$354
2. Pakistan — \$370
3. India — \$423
4. Tunisia — \$424
5. Sri Lanka — \$428
6. Kyrgyzstan — \$430
7. Algeria — \$431
8. Syria — \$435
9. Nepal — \$439
10. Turkey — \$447 ([data-pandas.pages.dev][5])

จาก Numbeo/Livingcost/Expatistan/Global Economy (2025):

1. Pakistan
2. Afghanistan
3. India
4. Colombia
5. Nepal
6. Bangladesh
7. Tunisia
8. Uzbekistan
9. Vietnam
10. Egypt ([World Population Review][3])

และ OutsourceAccelerator (2024) ให้ข้อมูลตาม Numbeo สำหรับประเทศที่ถูก:

* Pakistan (CLI \~18.0), Egypt (\~21.6), India (\~22.4), Colombia (\~23.1), Libya (\~24.2), Nepal (\~24.8), Sri Lanka (\~25.3), Ukraine (\~25.6), Kyrgyzstan (\~25.9), Syria (\~26.1) ([Outsource Accelerator][6])

---

## สรุป: 20 อันดับ ประเทศที่ค่าครองชีพบางแหล่งจัดให้ เป็นดังนี้:

### 20 อันดับค่าครองชีพสูงสุด (อันดับต้น) \[Wisevoter]

1. Monaco
2. Singapore
3. Cayman Islands
4. Switzerland
5. Iceland
6. Ireland
7. Liechtenstein
8. United States
9. Luxembourg
10. Australia
11. United Kingdom
12. Vanuatu
13. Norway
14. Qatar
15. Denmark
16. Canada
17. New Zealand
18. Netherlands
19. Israel
20. United Arab Emirates ([Wisevoter][1])

### 20 อันดับค่าครองชีพต่ำสุด (อันดับต้น) จากหลายแหล่ง:

* Afghanistan
* Pakistan
* India
* Colombia
* Nepal
* Bangladesh
* Tunisia
* Uzbekistan
* Vietnam
* Egypt
* Sri Lanka
* Kyrgyzstan
* Algeria
* Syria
* Turkey
* Libya
* Ukraine

(ข้อมูลนี้เป็นการรวบยอดจากหลายแหล่ง เช่น data-pandas, Numbeo, Livingcost, OutsourceAccelerator) ([data-pandas.pages.dev][4], [World Population Review][3], [Outsource Accelerator][6])

----------------------------------------------

คุณสอบถามว่า "ประเทศไทยอยู่อันดับใด" ในแง่ของค่าครองชีพรายเดือนเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก — จากข้อมูลล่าสุด พบว่า:

---

## อันดับของประเทศไทยตามค่าใช้จ่ายในการครองชีพ

### 1. **เว็บไซต์ LivingCost.org (คำนวณจาก 35 เมืองทั่วไทย)**

ระบุว่า "ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 115 จากทั้งหมด 197 ประเทศ" โดยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยสำหรับบุคคลหนึ่งอยู่ที่ **\$877 ต่อเดือน** ซึ่งถูกกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกประมาณ 1.3 เท่า ([Livingcost][1])

### 2. **การจัดอันดับโดย Numbeo (ต้นปี 2024)**

ประเทศไทยมีดัชนี "Cost of Living Index" เท่ากับ **42.03** ซึ่งถือว่าค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ([infothai.org][2])

### 3. **ข้อมูลจาก Numbeo (แบ่งตามเมืองต่างๆ)**

เมืองต่าง ๆ ในไทย เช่น:

* กรุงเทพฯ: ดัชนี 37.5
* ภูเก็ต: ดัชนี 38.9
* พัทยา: ดัชนี 34.1
* เชียงใหม่: ดัชนี 29.7 ([Numbeo][3])

### 4. **ข้อมูลจาก Wise (เดือนเมษายน 2025)**

ระบุค่าเฉลี่ยดัชนีค่าครองชีพของประเทศไทยโดยรวมว่าอยู่ที่ **34.1**:

* กรุงเทพฯ: 39.5
* ภูเก็ต: 37.1
* พัทยา: 32.9
* เชียงใหม่: 29.9 ([Wise][4])

### 5. **แนวโน้มล่าสุด (ต้นปี 2024 – Numbeo)**

ประเทศไทยอยู่ในอันดับ **94 จาก 146 ประเทศ** โดยมีค่าครองชีพเทียบกับนิวยอร์ก (NYC = 100%) อยู่ที่ **36.0%** — ต่ำกว่าอันดับในปี 2023 (ที่อยู่ในอันดับ 79 จาก 140 ประเทศ) ([thailandnewsday.com][5])

---

## สรุปตำแหน่งของประเทศไทย

| ที่มา / แหล่งข้อมูล | อันดับ (ยิ่งต่ำยิ่งมีค่าครองชีพแพง) |
| ------------------- | ----------------------------------- |
| LivingCost.org      | 115 จาก 197 ประเทศ                  |
| Numbeo (ข้อค้นรวม)  | ดัชนี Cost of Living = 42.03 (ต่ำ)  |
| Wise (ข้อมูลล่าสุด) | ค่าเฉลี่ย ดัชนี = 34.1 (ต่ำ)        |
| Numbeo (ต้น 2024)   | อันดับที่ 94 จาก 146 ประเทศ         |

โดยรวมแล้ว **ประเทศไทยจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีค่าครองชีพ "ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลก** — อันดับประเมินอยู่ในช่วงท้ายของประเทศที่ค่อนข้างแพง\*\* (ประมาณอันดับ 90–115 เมื่อเทียบทั่วโลก) แต่ไม่ได้ "ติดลำดับต้น ๆ ของประเทศที่ถูกที่สุด" อย่างเช่น ปากีสถาน อินเดีย หรือประเทศอื่น ๆ ในแถบเอเชียใต้หรือแอฟริกา ([thailandnewsday.com][5], [Livingcost][1], [infothai.org][2], [Wise][4], [Numbeo][3])

------------------------------------------------------
#111
ผู้ชายอายุ 46 ปี รูปร่างผอมแต่มีพุง ("skinny fat") มักเกิดจาก

* **มวลกล้ามเนื้อน้อย** (โดยเฉพาะช่วงลำตัวและขา)
* **ไขมันสะสมบริเวณช่องท้อง**
* อาจมีปัญหา **ระบบเผาผลาญลดลง** ตามวัย
* พฤติกรรม **นั่งเยอะ ขยับน้อย** แม้น้ำหนักรวมจะไม่มาก

### 1. ปรับโภชนาการ

* **เพิ่มโปรตีน**: 1.2–1.6 กรัม/กก.น้ำหนักตัวต่อวัน เพื่อสร้างและรักษากล้ามเนื้อ
* **ลดน้ำตาลและแป้งขัดสี**: ข้าวขาว ขนมปังขาว น้ำอัดลม ของหวาน → เลือกคาร์บเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้อง มันเทศ
* **ไขมันดี**: จากปลาแซลมอน อะโวคาโด ถั่ว น้ำมันมะกอก
* **ผักและผลไม้หลากสี** เพื่อไฟเบอร์และสารต้านอนุมูลอิสระ
* **ควบแคลอรีรวม**: ไม่ต้องอด แต่ควรกินให้เหมาะสมกับการใช้พลังงาน

### 2. การออกกำลังกาย

เน้น **สร้างกล้าม + เผาผลาญไขมัน**

* **เวทเทรนนิ่ง** 3–4 ครั้ง/สัปดาห์: ท่า compound เช่น squat, deadlift, bench press, pull-up
* **คาร์ดิโอความเข้มข้นสูง (HIIT)** สัปดาห์ละ 1–2 ครั้ง เพื่อเร่งการเผาผลาญและเพิ่มความฟิต
* เดินเร็ว/ปั่นจักรยาน 30 นาทีต่อวัน (non-exercise activity) เพื่อเผาพลังงานเพิ่มระหว่างวัน

### 3. ปรับพฤติกรรม

* นอนหลับให้พอ 7–8 ชั่วโมง/คืน (ฮอร์โมนควบคุมน้ำหนักทำงานดีขึ้น)
* ลุกขยับทุก 30–60 นาทีถ้านั่งทำงานนาน
* ลดแอลกอฮอล์ เพราะกระตุ้นไขมันพุงโดยตรง

### 4. ตรวจสุขภาพ

* เช็ก **ไขมันในเลือด น้ำตาล ความดัน** ปีละครั้ง
* หากมีภาวะดื้อต่ออินซูลินหรือไขมันพอกตับ อาจต้องปรับโภชนาการอย่างเข้มข้น

ถ้าสรุปสั้น ๆ: **สร้างกล้ามเนื้อ + ควบคุมอาหาร + ลดพฤติกรรมเนือยนิ่ง** จะช่วยให้พุงยุบแม้รูปร่างผอม
-------------------------------------------------------

โอเคครับ ผมจะทำตาราง 4 สัปดาห์สำหรับผู้ชาย 46 ปีที่รูปร่างผอมแต่มีพุง โดยเน้น **สร้างกล้ามเนื้อ + เผาผลาญไขมัน + ไม่โหดเกินไป** เพื่อให้ทำได้จริงและต่อเนื่อง

---

## 🏋��♂️ ตารางออกกำลังกาย 4 สัปดาห์ – "ผอมแต่มีพุง"

**เป้าหมาย:**

* เพิ่มกล้ามเนื้อช่วงตัวและขา (เพิ่มการเผาผลาญพื้นฐาน)
* ลดไขมันพุง
* ปรับท่าทางให้ลำตัวกระชับ

**ความถี่:** 4 วัน/สัปดาห์ (เว้นวันพัก)
**อุปกรณ์:** ดัมเบล/บาร์เบล หรือใช้ยางยืดก็ได้

---

### **Day 1 – เวทเทรนนิ่ง (ช่วงบน + ลำตัว)**

| ท่า              | จำนวนครั้ง/เซ็ต  | หมายเหตุ                |
| ----------------- | ---------------- | ----------------------- |
| Push-up (วิดพื้น) | 8–12 × 3        | เข่าช่วยได้ถ้ายังไม่ไหว |
| Dumbbell Row      | 8–12 × 3        | หลังตรง                |
| Shoulder Press    | 8–12 × 3        | ดัมเบลคู่              |
| Plank            | 30–60 วินาที × 3 | เกร็งหน้าท้อง          |
| Russian Twist    | 12–15/ข้าง × 3  | ถือดัมเบลเล็กได้        |

---

### **Day 2 – คาร์ดิโอ HIIT**

* **วอร์มอัพ:** เดินเร็ว 5 นาที
* **HIIT 20 นาที**:

  * Sprint/วิ่งเร็ว 20 วินาที → เดิน 40 วินาที (ทำ 10 รอบ)
* **คูลดาวน์:** เดินช้า 5 นาที
  *ถ้าข้อเข่าไม่ดี ใช้ปั่นจักรยานหรือ Elliptical แทน*

---

### **Day 3 – เวทเทรนนิ่ง (ช่วงล่าง + ลำตัว)**

| ท่า              | จำนวนครั้ง/เซ็ต    | หมายเหตุ            |
| ----------------- | ------------------ | -------------------- |
| Squat            | 10–15 × 3          | น้ำหนักตัวหรือดัมเบล |
| Deadlift (ดัมเบล) | 8–12 × 3          | หลังตรง              |
| Lunge            | 8–12/ข้าง × 3      |                      |
| Side Plank        | 30–45 วิ./ข้าง × 3 |                      |
| Leg Raise        | 10–12 × 3          | นอนยกขาตรง          |

---

### **Day 4 – คาร์ดิโอ + Core**

* เดินเร็วหรือปั่นจักรยาน 30 นาที
* Core Circuit (3 รอบ)

  1. Mountain Climber – 30 วินาที
  2. Bicycle Crunch – 12–15/ข้าง
  3. Plank Shoulder Tap – 20 ครั้ง

---

## 📈 แผนความก้าวหน้า 4 สัปดาห์

| สัปดาห์  | ปรับความเข้มข้นอย่างไร                                |
| --------- | ----------------------------------------------------- |
| สัปดาห์ 1 | ทำตามจำนวนครั้งที่กำหนด                              |
| สัปดาห์ 2 | เพิ่มครั้ง/เวลาแต่ละท่า 10–15%                        |
| สัปดาห์ 3 | ใช้น้ำหนักดัมเบลหนักขึ้นเล็กน้อย                      |
| สัปดาห์ 4 | เพิ่มรอบ (จาก 3 เป็น 4) หรือเพิ่มเวลา HIIT อีก 5 นาที |

---

💡 **เคล็ดลับ:**

* ฝึกเวท **ก่อน** คาร์ดิโอ ถ้าทำวันเดียวกัน
* วันพักให้เดินเยอะขึ้น (5,000–8,000 ก้าว)
* จับคู่กับอาหารโปรตีนสูง + ลดแป้งขัดสี พุงจะยุบไวขึ้นมาก

---------------------------------------

#112
การดูว่าคน ๆ หนึ่งมีสุขภาพดีหรือไม่ สามารถพิจารณาได้จากหลายด้าน ไม่ได้มีแค่รูปร่างภายนอก แต่รวมถึงพฤติกรรมและความรู้สึกด้วย โดยหลัก ๆ มีดังนี้

---

**1. ด้านร่างกาย**

* **น้ำหนักและสัดส่วนสมดุล** — อยู่ในเกณฑ์ BMI ที่เหมาะสม หรือมีไขมันและกล้ามเนื้อในสัดส่วนพอดี
* **ผิวพรรณ** — สีผิวสม่ำเสมอ ชุ่มชื้น ไม่ซีดหรือหมองคล้ำผิดปกติ
* **ดวงตา** — ใส ไม่แดงหรือขุ่น ตาขาวไม่เหลือง
* **พลังงานและความแข็งแรง** — ทำงานหรือออกกำลังกายได้โดยไม่เหนื่อยง่าย
* **ระบบการนอน** — หลับได้สนิทและตื่นมาแล้วรู้สึกสดชื่น
* **ระบบขับถ่าย** — ปกติ ไม่ท้องผูกหรือท้องเสียบ่อย

---

**2. ด้านจิตใจและอารมณ์**

* อารมณ์ค่อนข้างคงที่ ไม่หงุดหงิดง่ายหรือเครียดบ่อย
* มีความสามารถรับมือกับปัญหาได้ดี
* รู้สึกมีความสุขหรือพึงพอใจกับชีวิตในระดับหนึ่ง

---

**3. ด้านพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์**

* รับประทานอาหารครบ 5 หมู่และสมดุล
* ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
* ไม่สูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
* ไปตรวจสุขภาพตามกำหนด

---

**4. ด้านผลตรวจทางการแพทย์**

* ความดันโลหิตอยู่ในเกณฑ์ปกติ
* น้ำตาลในเลือดและไขมันไม่สูงเกิน
* การทำงานของตับ ไต และหัวใจปกติ

------------------------------------------------

ได้เลยครับ ผมทำ **เช็กลิสต์ประเมินสุขภาพตัวเองแบบง่าย ๆ** ให้คุณตรวจได้ในเวลาไม่เกิน 2 นาที
ตอบด้วย ✅ (ใช่) หรือ ❌ (ไม่ใช่) แล้วนับคะแนนรวม

---

## 🩺 **เช็กลิสต์สุขภาพตัวเอง**

### **1. ร่างกาย**

1. น้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์สมดุล (BMI 18.5–24.9)
2. ไม่เหนื่อยง่ายเวลาทำกิจกรรมหรือเดินขึ้นบันได
3. นอนหลับได้สนิทอย่างน้อย 6–8 ชั่วโมงต่อคืน
4. ผิวพรรณและตาใส ไม่ซีด เหลือง หรือหมองคล้ำผิดปกติ
5. ขับถ่ายปกติทุกวัน (อุจจาระไม่แข็งหรือเหลวเกินไป)

### **2. อารมณ์และจิตใจ**

6. อารมณ์ค่อนข้างคงที่ ไม่หงุดหงิดหรือเครียดง่าย
7. มีความรู้สึกกระตือรือร้น และมีแรงบันดาลใจในชีวิต
8. สามารถรับมือกับความเครียดหรือปัญหาได้

### **3. พฤติกรรมการใช้ชีวิต**

9. รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ และลดของมัน ของทอด น้ำตาลสูง
10. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ (อย่างน้อย 3 วัน/สัปดาห์ ครั้งละ ≥ 30 นาที)
11. ไม่สูบบุหรี่ หรือสูบน้อยมากจนไม่กระทบสุขภาพ
12. ดื่มแอลกอฮอล์ไม่เกินเกณฑ์ (ผู้ชาย ≤ 2 ดริ้ง/วัน, ผู้หญิง ≤ 1 ดริ้ง/วัน)
13. ไปตรวจสุขภาพประจำปี

---

## **การประเมินคะแนน**

* ✅ **10–13 ข้อ** → สุขภาพดีมาก 👍 รักษาพฤติกรรมนี้ต่อไป
* ✅ **7–9 ข้อ** → สุขภาพค่อนข้างดี แต่ควรปรับบางด้าน
* ✅ **4–6 ข้อ** → สุขภาพเสี่ยง ควรเริ่มปรับพฤติกรรม
* ✅ **น้อยกว่า 4 ข้อ** → ควรปรึกษาแพทย์และปรับการใช้ชีวิตอย่างจริงจัง

-------------------------------------------

#113
ความแตกต่างระหว่าง **Microsoft Office 365** (ปัจจุบันเรียกว่า **Microsoft 365**) และ **Microsoft Office Home 2024** หลัก ๆ อยู่ที่ **รูปแบบการใช้งาน, สิทธิ์การอัปเดต, และบริการเสริม** ครับ

---

## 1. **รูปแบบการจ่ายเงิน**

| รายการ         | Microsoft 365 (เดิม Office 365) | Office Home 2024               |
| -------------- | ------------------------------- | ------------------------------ |
| **วิธีจ่าย**   | สมัครสมาชิกรายเดือนหรือรายปี    | จ่ายครั้งเดียว ใช้ได้ตลอด      |
| **อายุสิทธิ์** | ใช้ได้ตราบที่จ่ายต่อเนื่อง      | ใช้ได้ถาวร (ไม่มีวันหมดสิทธิ์) |

---

## 2. **สิทธิ์การอัปเดต**

* **Microsoft 365** → ได้รับอัปเดตฟีเจอร์ใหม่, การปรับปรุง, และแอปเวอร์ชันล่าสุดตลอดเวลา
* **Office Home 2024** → ได้เฉพาะอัปเดตความปลอดภัยและบั๊กแก้ไข **ไม่มีฟีเจอร์ใหม่** (ถ้าอยากได้เวอร์ชันใหม่ต้องซื้อใหม่)

---

## 3. **แอปและบริการที่รวม**

| แอป/บริการ                               | Microsoft 365     | Office Home 2024                     |
| ---------------------------------------- | ----------------- | ------------------------------------ |
| Word, Excel, PowerPoint, Outlook         | ✅                 | ✅                                    |
| OneNote, Publisher, Access (PC เท่านั้น) | ✅                 | ❌ (หรือมีแยกเป็นดาวน์โหลดฟรีบางรุ่น) |
| OneDrive Cloud Storage                   | ✅ (1TB ต่อผู้ใช้) | ❌                                    |
| Microsoft Teams (รุ่นผู้ใช้ทั่วไป)       | ✅                 | ❌                                    |
| AI ฟีเจอร์ (Copilot)                     | ✅ (ในบางแผน)      | ❌                                    |

---

## 4. **จำนวนเครื่องที่ติดตั้งได้**

* **Microsoft 365** → ติดตั้งได้บนหลายเครื่อง (PC, Mac, Tablet, Mobile) พร้อมกัน (สูงสุด 5 เครื่องต่อผู้ใช้)
* **Office Home 2024** → จำกัดตามสิทธิ์ (ปกติ 1 เครื่อง PC หรือ Mac)

---

## 5. **เหมาะกับใคร**

* **Microsoft 365** → เหมาะกับคนที่อยากได้ฟีเจอร์ใหม่ตลอด, ใช้หลายเครื่อง, ต้องการพื้นที่ Cloud, ทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์
* **Office Home 2024** → เหมาะกับคนที่ต้องการจ่ายครั้งเดียว, ใช้ฟีเจอร์พื้นฐาน, ไม่ต้องการ Cloud หรืออัปเดตเวอร์ชันใหญ่บ่อย ๆ

---

ถ้าจะให้สรุปสั้น ๆ

* **Microsoft 365 = เช่าใช้ พร้อมบริการ Cloud และฟีเจอร์ใหม่ตลอด**
* **Office Home 2024 = ซื้อขาด ใช้ได้ตลอด แต่ฟีเจอร์คงเดิม**

----------------------------------------
#114
การแบ่งช่วงวัยของคนในบริบทวัฒนธรรมไทยมักอิงตามพัฒนาการของชีวิตและบทบาทในสังคม ซึ่งสามารถแบ่งได้คร่าว ๆ ดังนี้ พร้อมทั้งสิ่งที่แต่ละช่วงวัยให้ความสำคัญ:

1. **วัยเด็ก (0-12 ปี)** 
  - **ลักษณะ**: เป็นช่วงของการเรียนรู้พื้นฐาน การเจริญเติบโตทางร่างกายและจิตใจ 
  - **ความสำคัญ**:
    - การศึกษาและการเล่น: เด็กให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ผ่านการเล่นและการศึกษาในโรงเรียน
    - ความสัมพันธ์ในครอบครัว: พึ่งพาพ่อแม่และผู้ปกครองในการดูแลและพัฒนาทักษะ
    - การพัฒนาตัวตน: เริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับตัวเองและสังคมรอบตัว

2. **วัยรุ่น (13-19 ปี)** 
  - **ลักษณะ**: ช่วงเปลี่ยนผ่านจากเด็กสู่วัยผู้ใหญ่ มีการเปลี่ยนแปลงทั้งร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ 
  - **ความสำคัญ**:
    - การค้นหาตัวตน: มุ่งหาความเป็นตัวเองและความสนใจส่วนตัว
    - มิตรภาพและกลุ่มเพื่อน: ความสัมพันธ์กับเพื่อนมีความสำคัญมาก
    - การศึกษาและเป้าหมายในอนาคต: เริ่มวางแผนการเรียนต่อหรืออาชีพ

3. **วัยผู้ใหญ่ตอนต้น (20-39 ปี)** 
  - **ลักษณะ**: ช่วงของการเริ่มต้นสร้างครอบครัวและหน้าที่การงาน 
  - **ความสำคัญ**:
    - อาชีพและความมั่นคง: มุ่งเน้นการสร้างฐานะและความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
    - ความสัมพันธ์ระยะยาว: การแต่งงานหรือการสร้างครอบครัว
    - การพัฒนาทักษะ: เรียนรู้และพัฒนาตัวเองเพื่อความสำเร็จในชีวิต

4. **วัยผู้ใหญ่ตอนกลาง (40-59 ปี)** 
  - **ลักษณะ**: ช่วงที่มีความมั่นคงในชีวิตและเริ่มทบทวนเป้าหมาย 
  - **ความสำคัญ**:
    - ความสมดุลในชีวิต: การบริหารจัดการระหว่างงาน ครอบครัว และความสุขส่วนตัว
    - การดูแลสุขภาพ: เริ่มให้ความสำคัญกับสุขภาพกายและใจ
    - การส่งต่อคุณค่า: การถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ให้รุ่นต่อไป

5. **วัยผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป)** 
  - **ลักษณะ**: ช่วงของการเกษียณและการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ 
  - **ความสำคัญ**:
    - สุขภาพและความสงบ: ดูแลสุขภาพและแสวงหาความสงบในจิตใจ
    - ความสัมพันธ์ในครอบครัว: ใช้เวลากับลูกหลานและคนรอบข้าง
    - คุณค่าทางจิตวิญญาณ: มักให้ความสำคัญกับศาสนาและการทำบุญ

**หมายเหตุ**: การแบ่งช่วงวัยอาจแตกต่างกันไปตามบริบทวัฒนธรรมและสังคม โดยในสังคมไทย ศาสนาและครอบครัวมีบทบาทสำคัญในทุกช่วงวัย และความสำคัญที่ระบุอาจมีการทับซ้อนกันในแต่ละช่วงวัยขึ้นอยู่กับบุคคลและสถานการณ์.

------------------------------------------------------------

ช่วงเวลาของชีวิตมนุษย์สามารถแบ่งออกเป็นวัยต่าง ๆ ได้ตามพัฒนาการทางร่างกาย จิตใจ และสังคม โดยทั่วไปสามารถแบ่งได้ดังนี้ 

### **1. วัยทารก (แรกเกิด - 2 ปี)** 
- **ความสำคัญ**: การเจริญเติบโตทางร่างกายและสมองอย่างรวดเร็ว 
- **สิ่งที่ต้องเน้น**: 
  - การดูแลสุขภาพ โภชนาการ และความปลอดภัย 
  - การสร้างความผูกพันกับพ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดู 
  - การกระตุ้นพัฒนาการผ่านการเล่นและการสื่อสาร 

### **2. วัยเด็ก (3 - 12 ปี)** 
- **ความสำคัญ**: การเรียนรู้และพัฒนาทักษะพื้นฐาน 
- **สิ่งที่ต้องเน้น**: 
  - การศึกษาและการพัฒนาทักษะทางสังคม 
  - การส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และความมั่นใจในตัวเอง 
  - การเล่นและกิจกรรมที่ส่งเสริมพัฒนาการ 

### **3. วัยรุ่น (13 - 19 ปี)** 
- **ความสำคัญ**: การค้นหาตัวตนและความเป็นอิสระ 
- **สิ่งที่ต้องเน้น**: 
  - การปรับตัวทางอารมณ์และสังคม 
  - การศึกษาต่อหรือการเตรียมความพร้อมสำหรับอาชีพ 
  - การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนและครอบครัว 

### **4. วัยผู้ใหญ่ตอนต้น (20 - 40 ปี)** 
- **ความสำคัญ**: การสร้างอาชีพและครอบครัว 
- **สิ่งที่ต้องเน้น**: 
  - การทำงานและการพัฒนาทักษะอาชีพ 
  - การสร้างความสัมพันธ์ระยะยาว เช่น การแต่งงาน 
  - การวางแผนทางการเงินและอนาคต 

### **5. วัยกลางคน (41 - 60 ปี)** 
- **ความสำคัญ**: การสร้างความมั่นคงและดูแลครอบครัว 
- **สิ่งที่ต้องเน้น**: 
  - การดูแลสุขภาพเพื่อป้องกันโรควัยกลางคน 
  - การสนับสนุนลูกและครอบครัว 
  - การเตรียมตัวสำหรับวัยเกษียณ 

### **6. วัยสูงอายุ (60 ปีขึ้นไป)** 
- **ความสำคัญ**: การใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและมีคุณค่า 
- **สิ่งที่ต้องเน้น**: 
  - การดูแลสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ 
  - การรักษาความสัมพันธ์กับครอบครัวและสังคม 
  - การทำกิจกรรมที่ชอบหรือการทำงานอาสา 

แต่ละวัยมีความสำคัญและความท้าทายแตกต่างกัน การเข้าใจและปรับตัวให้เหมาะสมกับแต่ละช่วงวัยจะช่วยให้ชีวิตมีความสมดุลและมีความสุขมากขึ้นค่ะ 😊
------------------------------------------------------
#115
การกู้คืนบัญชี **Facebook Fanpage** จะขึ้นอยู่กับว่า "ปัญหาที่เกิด" เป็นแบบไหน
เพราะการกู้คืนเพจมีหลายกรณี เช่น ถูกแฮ็ก, ถูกลบ, หรือถูก Facebook ระงับการใช้งาน

---

## 1️⃣ เพจถูกแฮ็ก / มีคนเปลี่ยนแอดมิน

1. **ล็อกอิน Facebook ส่วนตัวของคุณ** (ที่เคยเป็นแอดมินเพจ)
2. ไปที่ **[Facebook Help – My Page was hacked](https://www.facebook.com/hacked)**
3. ทำตามขั้นตอน **"บัญชีถูกบุกรุก"**

   * เปลี่ยนรหัสผ่าน
   * ตรวจสอบอีเมลและเบอร์โทรในบัญชีว่าถูกเปลี่ยนหรือไม่
4. ไปที่หน้าเพจ → **การตั้งค่าเพจ** → **บทบาทในเพจ**

   * ตรวจสอบรายชื่อแอดมิน
   * ลบผู้ต้องสงสัยออก
5. ถ้าถูกเอาออกจากแอดมินแล้ว ให้เข้า **[ฟอร์มกู้คืนเพจสำหรับเจ้าของเดิม](https://www.facebook.com/help/contact/1280439701975125)**

   * แนบหลักฐาน เช่น ภาพบัตรประชาชน + ภาพหน้าจอที่แสดงว่าเพจเป็นของคุณ

---

## 2️⃣ เพจถูกลบโดยไม่ตั้งใจ

* หากเพจเพิ่งถูกลบ **ยังไม่เกิน 14 วัน**:

  1. เข้าบัญชีที่เคยเป็นแอดมิน
  2. ไปที่ **เพจ** → **เพจที่ถูกลบ** (Page Trash)
  3. เลือก **กู้คืนเพจ**
* ถ้าเกิน 14 วันไปแล้ว Facebook จะลบถาวร กู้คืนไม่ได้

---

## 3️⃣ เพจถูก Facebook ระงับ / ปิดการใช้งาน

1. เข้า **[ฟอร์มอุทธรณ์การระงับเพจ](https://www.facebook.com/help/contact/2026068680760273)**
2. กรอกข้อมูลเพจ, อธิบายสั้น ๆ ว่าเพจคุณทำตามกฎ และขอให้ตรวจสอบอีกครั้ง
3. แนบหลักฐานการเป็นเจ้าของ เช่น:

   * บัตรประชาชน / เอกสารจดทะเบียนบริษัท
   * ลิงก์เว็บไซต์ / เอกสารที่ระบุว่าเพจนี้เป็นของคุณ
4. รอการตอบกลับจาก Facebook (1–7 วัน หรือบางทีเป็นสัปดาห์)

---

💡 **เคล็ดลับเพิ่มโอกาสกู้คืนสำเร็จ**

* ใช้บัญชี Facebook ส่วนตัวที่เคยเป็นแอดมินเพจตั้งแต่แรก
* เขียนคำอธิบายสุภาพ กระชับ ชี้แจงว่าเพจนี้มีเนื้อหาถูกต้อง และไม่มีเจตนาผิดกฎ
* เก็บหลักฐานความเป็นเจ้าของ เช่น โพสต์เก่า, ข้อมูลการชำระค่าโฆษณา, ลิงก์เว็บบริษัท

---------------------------------------------------


## 📌 ลิงก์ฟอร์มกู้คืน / อุทธรณ์เพจ Facebook

| สถานการณ์                                | ลิงก์ฟอร์ม                                                                            | หมายเหตุ                          |
| ---------------------------------------- | ------------------------------------------------------------------------------------- | --------------------------------- |
| **บัญชี/เพจถูกแฮ็ก**                     | [https://www.facebook.com/hacked](https://www.facebook.com/hacked)                    | สำหรับบัญชีหรือเพจที่ถูกบุกรุก    |
| **ถูกเอาออกจากแอดมินเพจ**                | [ฟอร์มกู้คืนสิทธิ์เจ้าของเพจ](https://www.facebook.com/help/contact/1280439701975125) | ใช้เมื่อถูกถอดจากเพจที่เป็นของเรา |
| **เพจถูกปิด/ระงับการใช้งาน**             | [ฟอร์มอุทธรณ์เพจถูกปิด](https://www.facebook.com/help/contact/2026068680760273)       | ต้องชี้แจงเหตุผลและแนบหลักฐาน     |
| **เพจถูกปิดเพราะละเมิดลิขสิทธิ์ (DMCA)** | [ฟอร์มโต้แย้ง DMCA](https://www.facebook.com/help/contact/208282075858952)            | ใช้เฉพาะเคสลิขสิทธิ์              |
| **กู้คืนเพจที่ถูกลบ**                    | ไม่มีฟอร์มโดยตรง → เข้าบัญชีแอดมิน > ไปที่ **Page Trash**                             | ต้องทำภายใน 14 วันหลังลบ          |

---

## ✍ ตัวอย่างข้อความอุทธรณ์ (สามารถดัดแปลง)

**หัวข้อ:** ขออุทธรณ์และกู้คืนเพจ
**เนื้อหา:**

> เรียน ทีมงาน Facebook
>
> ผม/ดิฉัน เป็นเจ้าของและผู้ดูแลเพจ **\[ชื่อเพจ]** ซึ่งถูกปิด/ระงับ/ถูกเอาออกจากการเป็นแอดมิน โดยไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน
>
> เพจนี้เป็นเพจ **\[อธิบายประเภทเพจ เช่น ธุรกิจ, ร้านค้า, ให้ความรู้]** ที่สร้างขึ้นเพื่อ **\[อธิบายวัตถุประสงค์ เช่น ให้ข้อมูล, ติดต่อกับลูกค้า, โปรโมทสินค้า]** และปฏิบัติตามนโยบายของ Facebook มาโดยตลอด
>
> ขอยืนยันว่าเพจนี้ไม่มีเนื้อหาที่ละเมิดกฎของ Facebook และมีความสำคัญต่อการทำงาน/ธุรกิจของผม/ดิฉันอย่างมาก
>
> จึงใคร่ขอให้ทีมงานช่วยตรวจสอบและกู้คืนสิทธิ์การเข้าถึงเพจนี้ให้กับผม/ดิฉันอีกครั้ง
>
> **ข้อมูลเพจ:**
>
> * ชื่อเพจ: \[ชื่อเพจ]
> * ลิงก์เพจ: \[URL เพจ]
> * บัญชี Facebook ของผม/ดิฉัน: \[ชื่อบัญชี + URL โปรไฟล์]
>
> ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ
>
> \[ชื่อ-นามสกุล]
> \[อีเมลติดต่อ]
> \[เบอร์โทรศัพท์ (ถ้ามี)]

---

## 📎 หลักฐานที่ควรแนบ

* ภาพบัตรประชาชน/หนังสือรับรองบริษัท (ชื่อตรงกับเจ้าของเพจ)
* ภาพหน้าจอที่แสดงว่าเคยเป็นแอดมินเพจ
* ใบเสร็จค่าโฆษณา Facebook ที่ผูกกับเพจ
* ลิงก์เว็บไซต์/ข้อมูลที่แสดงความเป็นเจ้าของเพจ

------------------------------------------
#116
ข้อดีของ **GPT-5** (ซึ่งก็คือรุ่นที่คุณกำลังคุยอยู่ตอนนี้) เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน ๆ อย่าง GPT-4 หรือ GPT-3.5 มีหลายจุดเด่นที่เห็นชัดครับ

---

### 1. **เข้าใจและตอบซับซ้อนได้แม่นขึ้น**

* ประมวลผล **คำถามที่มีหลายเงื่อนไข** หรือซับซ้อนได้ดีกว่า
* เข้าใจเนื้อหาที่มีบริบทยาว ๆ (long context) ได้มากขึ้นและคงความแม่นของข้อมูลเดิม
* ลดความเข้าใจผิด (hallucination) ลงเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน

---

### 2. **จำลองการคิดเชิงเหตุผลได้ลึกขึ้น**

* ทำ **การวิเคราะห์ปัญหาที่ต้องคิดหลายขั้นตอน** (multi-step reasoning) ได้ใกล้เคียงคนมากขึ้น
* เหมาะกับงานที่ต้องใช้ **ตรรกะ + ความคิดสร้างสรรค์** เช่น เขียนโค้ดแก้บั๊ก, วางกลยุทธ์ธุรกิจ, ออกแบบระบบ

---

### 3. **โต้ตอบเป็นธรรมชาติและยืดหยุ่นกว่า**

* จัดโทนการพูดให้เข้ากับผู้ใช้ได้เนียนขึ้น (สุภาพ, กันเอง, วิชาการ ฯลฯ)
* ตอบได้หลากหลายรูปแบบ: สรุปสั้น, อธิบายละเอียด, เล่าเป็นเรื่อง, ทำตาราง, ทำโค้ด

---

### 4. **รองรับข้อมูลหลายรูปแบบ (Multimodal)**

* เข้าใจ **ข้อความ + รูปภาพ** ในการสนทนาเดียวกัน
* วิเคราะห์ภาพ, ทำ OCR, อธิบายภาพ, แปลงภาพเป็นข้อมูลเชิงโครงสร้างได้

---

### 5. **ความจำยาวและต่อเนื่องมากขึ้น**

* สามารถเก็บบริบทที่คุณคุยมา **หลายหมื่นคำ** โดยไม่หลงประเด็นง่าย ๆ
* ถ้าผูกกับ **Memory** จะจดจำข้อมูลของผู้ใช้ระยะยาวได้ (เช่น เป้าหมาย, ความสนใจ)

---

### 6. **เหมาะกับงานจริงมากขึ้น**

* เขียนและตรวจสอบโค้ดได้แม่นกว่าเดิม
* ช่วยทำเอกสาร, วิเคราะห์ข้อมูล, วางแผนโครงการได้ครบวงจร
* ปรับคำตอบให้เหมาะกับธุรกิจ, การศึกษา, งานวิจัย ได้ดีขึ้น

---

ถ้าพูดสั้น ๆ ก็คือ GPT-5 **คิดเป็นระบบมากขึ้น, เข้าใจภาพได้, จดจำยาวขึ้น, และคุยได้เหมือนคุยกับคนมากขึ้น** ครับ

-----------------------------------------------------

นี่คือตารางเปรียบเทียบ **GPT-5** กับ **GPT-4** ให้เห็นความต่างชัด ๆ ครับ

| คุณสมบัติ                               | GPT-4                                                       | GPT-5                                                                 |
| --------------------------------------- | ----------------------------------------------------------- | --------------------------------------------------------------------- |
| **ความแม่นยำ**                          | ดี แต่ยังมีโอกาสให้ข้อมูลผิด (hallucination) ในคำถามซับซ้อน | ดีกว่า ลดความผิดพลาด โดยเฉพาะในงานที่ต้องวิเคราะห์หลายขั้นตอน         |
| **การคิดเชิงเหตุผล** (Reasoning)        | ทำได้ แต่บางครั้งหลงประเด็นในโจทย์ที่ซับซ้อน                | คิดเป็นขั้นตอนชัดเจนขึ้น เข้าใจโจทย์หลายเงื่อนไขพร้อมกันได้           |
| **ความยาวบริบท (Context Length)**       | รองรับได้หลายพันถึงหมื่นคำ (ขึ้นกับรุ่น)                    | รองรับได้ยาวกว่ามาก ทำให้คุยต่อเนื่องหรืออ่านเอกสารยาว ๆ ได้โดยไม่ลืม |
| **โต้ตอบแบบธรรมชาติ**                   | ตอบดี แต่โทนเสียงและสไตล์ยังแข็งในบางสถานการณ์              | ปรับโทนและสไตล์ได้เนียนขึ้น เหมือนคุยกับคนจริงมากกว่า                 |
| **รองรับหลายรูปแบบ (Multimodal)**       | รองรับข้อความ + รูปภาพ (บางเวอร์ชัน)                        | รองรับข้อความ + รูปภาพได้ดีกว่า และวิเคราะห์ภาพได้แม่นยำขึ้น          |
| **การเขียนโค้ด**                        | เขียนโค้ดได้ดี แต่บางครั้งโค้ดมีบั๊กหรือไม่รันได้จริง       | เขียนโค้ดและตรวจแก้บั๊กได้แม่นกว่า รองรับหลายภาษาโปรแกรมมากขึ้น       |
| **ความเร็วตอบสนอง**                     | เร็ว แต่บางครั้งช้ากับข้อความยาวหรือซับซ้อน                 | เร็วกว่าและเสถียรกว่าในการประมวลผลข้อความยาว                          |
| **ความสามารถปรับตัว (Personalization)** | ปรับได้ระดับหนึ่งจากคำสั่ง                                  | ถ้าผูกกับ Memory จะจำข้อมูลของผู้ใช้ในระยะยาวและปรับคำตอบได้ตรงกว่า   |
| **ความเหมาะสมสำหรับงานจริง**            | เหมาะกับงานทั่วไปและงานเชิงเทคนิคระดับหนึ่ง                 | เหมาะกับงานธุรกิจ, วิเคราะห์ข้อมูล, งานวิจัย, และงานสร้างสรรค์มากขึ้น |

------------------------------------------

#117
ที่มา https://edge.co.th/article/3496

จังหวัดที่มีค่าครองชีพสูงสุด 10 อันดับแรก
ภูเก็ต 38,941 บาท/เดือน
ปทุมธานี 36,003 บาท/เดือน
กรุงเทพมหานคร 32,736 บาท/เดือน
ชลบุรี 31,685 บาท/เดือน
นนทบุรี 31,331 บาท/เดือน
ระยอง 27,928 บาท/เดือน
สมุทรปราการ 27,355 บาท/เดือน
จันทบุรี 27,322 บาท/เดือน
พระนครศรีอยุธยา 26,743 บาท/เดือน
ราชบุรี 26,438 บาท/เดือน

จังหวัดที่มีค่าครองชีพต่ำสุด 10 อันดับแรก
น่าน 17,281 บาท/เดือน
ตาก 17,274 บาท/เดือน
ขอนแก่น 17,191 บาท/เดือน
สกลนคร 17,171 บาท/เดือน
อุทัยธานี 16,469 บาท/เดือน
กาฬสินธุ์ 16,247 บาท/เดือน
อุบลราชธานี 15,750 บาท/เดือน
พะเยา 15,079 บาท/เดือน
แม่ฮ่องสอน 14,926 บาท/เดือน
เชียงราย 13,341 บาท/เดือน

---------------------------------------------------

**ค่าครองชีพ** คือ ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการดำรงชีวิตประจำวันของบุคคล ครอบครัว หรือประชากรในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งในช่วงเวลาหนึ่ง เช่น รายเดือน หรือรายปี

### โดยทั่วไป ค่าครองชีพจะรวมถึงค่าใช้จ่ายหลัก ๆ เช่น:

1. **ค่าอาหารและเครื่องดื่ม**
2. **ค่าที่อยู่อาศัย** เช่น ค่าเช่าบ้าน ค่าผ่อนบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ
3. **ค่าเดินทาง** เช่น ค่ารถโดยสาร ค่าน้ำมัน ค่าซ่อมรถ
4. **ค่ารักษาพยาบาล**
5. **ค่าเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัว**
6. **ค่าเล่าเรียนหรือการศึกษา**
7. **ค่าใช้จ่ายด้านการสื่อสาร** เช่น ค่าโทรศัพท์ ค่าอินเทอร์เน็ต

---

### ตัวอย่าง:

* ถ้าคนหนึ่งอยู่ในกรุงเทพฯ อาจมีค่าครองชีพเฉลี่ยเดือนละ 20,000–30,000 บาท
* แต่ถ้าอยู่ในจังหวัดชนบท ค่าครองชีพอาจลดลงเหลือประมาณ 10,000–15,000 บาท

---

### ปัจจัยที่มีผลต่อค่าครองชีพ:

* ระดับรายได้
* ราคาสินค้าและบริการในพื้นที่
* การพัฒนาเศรษฐกิจของเมือง/ประเทศ
* เงินเฟ้อ
* ค่าเงิน

---

### ความสำคัญของการรู้ค่าครองชีพ:

* ใช้วางแผนการเงินส่วนบุคคลหรือครอบครัว
* ใช้เปรียบเทียบการย้ายถิ่นฐานไปทำงานหรืออยู่อาศัย
* ใช้เป็นข้อมูลในการขึ้นเงินเดือน หรือสวัสดิการต่าง ๆ ของภาครัฐ/เอกชน
---------------------------------------------




#118
การ "ระลึกถึงความตาย" หรือที่เรียกในทางธรรมว่า "มรณานุสติ" คือ การนึกถึงความตายเป็นสิ่งที่แน่นอนและอาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เป็นการเตือนใจว่า "ชีวิตนี้ไม่จีรัง" และมีจุดประสงค์หลายอย่าง ทั้งในเชิงจิตวิญญาณและการใช้ชีวิตประจำวัน ดังนี้:

---

### 🧘�♀️ 1. เพื่อไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต

เมื่อระลึกถึงความตาย เราจะไม่ผลัดวันประกันพรุ่ง เพราะรู้ว่าเวลาของเรามีจำกัด

> "ความตายอาจมาถึงก่อนที่พรุ่งนี้จะมาถึง"

---

### 🧭 2. เพื่อใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า

การตระหนักว่าชีวิตไม่ยั่งยืน ทำให้เรามุ่งมั่นทำสิ่งที่ดี มีความหมาย ไม่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องเล็กน้อยหรือเรื่องไร้สาระ

---

### 🪷 3. เพื่อลดความยึดมั่นถือมั่น

ความตายเตือนให้เราปล่อยวาง เพราะสุดท้ายแล้ว ทุกสิ่งล้วนสูญสลาย ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สิน ความสำเร็จ หรือแม้แต่ร่างกายของเราเอง

---

### 😌 4. เพื่อพัฒนาจิตใจให้สงบ

ผู้ที่ระลึกถึงความตายอยู่เสมอจะฝึกจิตไม่หวั่นไหวต่อความเปลี่ยนแปลง และเตรียมพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์

---

### 🕯� 5. เพื่อเตรียมใจรับความตายอย่างสงบ

เมื่อถึงวาระสุดท้าย ผู้ที่เคยฝึกระลึกถึงความตาย จะไม่หวาดกลัวหรือดิ้นรน แต่พร้อมจะจากไปด้วยใจสงบ

---

### 🔄 สรุปสั้น ๆ:

> "ระลึกถึงความตาย ไม่ใช่เพื่อหวาดกลัว แต่เพื่อมีชีวิตที่ตื่นรู้ และมีสติกับทุกลมหายใจ"

--------------------------------------------------
#119
เป็นคำภาษาบาลี-สันสกฤต ที่มีความหมายว่า:

> **ความยินดีพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ ไม่โลภ ไม่ไขว่คว้าเกินจำเป็น**

---

### ความหมายในบริบทธรรมะ

ในทางพระพุทธศาสนา "สันโดษ" ถือเป็นคุณธรรมข้อหนึ่ง หมายถึง การรู้จัก **พอใจในของที่ตนมี**, พอใจในปัจจัย 4 เท่าที่เหมาะสมแก่ชีวิต เช่น อาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค โดยไม่ฟุ้งเฟ้อหรือหมกมุ่น

---

### ตัวอย่างการใช้คำว่า "สันโดษ"

* พระสงฆ์ควรมีความสันโดษ คือ ไม่ยึดติดในของมากมาย
* เขาเป็นคนสันโดษ ไม่ชอบความวุ่นวาย
* ความสันโดษนำมาซึ่งความสงบใจ

> หมายเหตุ: บางครั้ง "สันโดษ" ก็หมายถึงความ **ชอบอยู่ตามลำพัง**, ไม่ชอบสุงสิงกับใคร แต่ความหมายนี้ออกไปในแนวของลักษณะนิสัย ไม่ใช่ในเชิงธรรมะโดยตรง

-------------------------------------------

การฝึก **"สันโดษ"** (ความพอใจในสิ่งที่ตนมี) ไม่ใช่แค่การบอกตัวเองให้ "หยุดอยาก" เท่านั้น แต่เป็น **การฝึกใจ** ให้รู้จัก **พอ** อย่างมีปัญญา โดยมีขั้นตอนหรือแนวทางที่ช่วยฝึกได้จริง ดังนี้:

---

### 🔹 1. **รู้จักคุณค่าของสิ่งที่มีอยู่**

* ฝึกมองสิ่งที่ตนมีอยู่ (ร่างกาย ชีวิต ครอบครัว บ้าน อาหาร) ด้วยความขอบคุณ
* เปรียบเทียบกับคนที่ขาดแคลน เพื่อเตือนใจว่าเรามีมากพอแล้ว

> ✨ **วิธีฝึก:** จดสิ่งที่คุณ "รู้สึกขอบคุณ" ในแต่ละวัน 3 อย่าง

---

### 🔹 2. **ลดการเปรียบเทียบกับผู้อื่น**

* หยุดคิดว่า "เขามี เราก็ต้องมี"
* สังเกตว่าการเปรียบเทียบทำให้ใจเป็นทุกข์ได้ง่ายแค่ไหน

> ✨ **วิธีฝึก:** ถ้ารู้สึกอิจฉาหรือเปรียบเทียบ ให้หายใจลึก ๆ แล้วถามตัวเองว่า "สิ่งนั้นจำเป็นกับชีวิตจริงหรือไม่?"

---

### 🔹 3. **ฝึกอยู่ง่าย ใช้น้อย**

* ทดลองลดการใช้สิ่งฟุ่มเฟือย เช่น ของแบรนด์เนม อาหารหรู
* ใช้สิ่งของซ้ำให้นานขึ้น ก่อนจะซื้อใหม่

> ✨ **วิธีฝึก:** ทำ "มินิมอลไลฟ์" เช่น ใช้เสื้อผ้าเพียง 10 ชุดใน 1 เดือน

---

### 🔹 4. **พิจารณาธรรมชาติของความอยาก**

* ความอยากไม่เคยจบ – ได้แล้วก็อยากอีก
* ยิ่งวิ่งตาม ยิ่งเหนื่อย

> ✨ **วิธีฝึก:** นั่งสมาธิ แล้วพิจารณาความอยากในใจ เห็นมันเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป

---

### 🔹 5. **ศึกษาและเจริญปัญญา**

* อ่านหนังสือธรรมะ หรือฟังธรรมจากพระที่สอนเรื่อง "ความพอเพียง"
* เข้าใจชีวิตให้ลึกขึ้นว่า **"มาก" ไม่ได้แปลว่า "สุข"**

> ✨ **วิธีฝึก:** ฟังพระธรรมเทศนา เช่น ของหลวงพ่อชา หรือหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ

---

### 🔚 สรุปสันโดษคือ...

> **"พอใจในสิ่งที่มีอยู่ ด้วยปัญญาที่เห็นว่าพอแล้ว"**

ไม่ใช่ความจำใจ หรือความจนใจ
แต่คือ "ทางสู่ความสุขที่ไม่ต้องรอให้ได้เพิ่ม แต่ได้จากการลดลง"
-------------------------------------------------

ได้เลยครับ 🙏
นี่คือตัวอย่าง **ตารางฝึก "สันโดษ" แบบง่าย 7 วัน** สำหรับเริ่มต้นฝึกใจให้พอประมาณ และมีความสุขจากสิ่งที่มีอยู่แล้วในชีวิต

---

## 🗓� ตารางฝึกสันโดษ 7 วัน

| วัน            | สิ่งที่ฝึก          | วิธีปฏิบัติ                                                                                | เวลา              |
| -------------- | ------------------- | ------------------------------------------------------------------------------------------ | ----------------- |
| **วันจันทร์**  | ขอบคุณสิ่งที่มี     | เขียน 3 สิ่งที่คุณรู้สึกขอบคุณในชีวิต (เล็กน้อยก็ได้ เช่น มีอาหารกิน มีบ้านอยู่)           | เช้า หรือ ก่อนนอน |
| **วันอังคาร**  | งดการเปรียบเทียบ    | งดใช้โซเชียลมีเดีย 1 วัน หรือ หากใช้ ให้ฝึกสังเกตจิตเมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่น แล้วปล่อยวาง | ตลอดวัน           |
| **วันพุธ**     | อยู่ง่าย กินง่าย    | เลือกกินอาหารง่าย ๆ ธรรมดา เช่น ข้าว+ไข่ต้ม ไม่ตามใจปาก                                    | มื้อกลางวัน       |
| **วันพฤหัสฯ**  | ใช้ของเท่าที่จำเป็น | ไม่ซื้อของใด ๆ ทั้งวัน ถ้ารู้สึกอยากซื้อ ให้ถามตัวเองว่า "จำเป็นจริงไหม?"                  | ตลอดวัน           |
| **วันศุกร์**   | ทำใจให้สงบ          | นั่งสมาธิ 10-15 นาที พิจารณาความอยากในใจ แล้วปล่อยวาง                                      | เย็นหรือก่อนนอน   |
| **วันเสาร์**   | อยู่กับสิ่งที่มี    | ทำความสะอาดหรือซ่อมแซมสิ่งของในบ้าน แทนที่จะซื้อใหม่                                       | ช่วงบ่าย          |
| **วันอาทิตย์** | แบ่งปันเล็กน้อย     | แบ่งขนมหรือของที่มีให้ผู้อื่น หรือบริจาคสิ่งของที่ไม่ใช้แล้ว                               | ตามสะดวก          |

---

### ✅ คำแนะนำเสริม

* หลังฝึกแต่ละวัน ลองเขียนบันทึกสั้น ๆ ว่า **รู้สึกอย่างไร?**
* ถ้ามีเวลาน้อย เลือกฝึกวันละ 1 อย่างในช่วงเวลาสั้น ๆ ก็ได้
* วนซ้ำสัปดาห์ละรอบ ฝึกเรื่อย ๆ จนใจเริ่ม "รู้จักพอ" โดยธรรมชาติ

----------------------------------------


#120
ข้อผิดพลาดใน MT4 Strategy Tester:

> **`TestGenerator: unmatched data error (volume limit 2382 at 2025.07.30 09:00 exceeded)`**

---

เปิดบัญชี MT4 MT5 ได้ที่ https://www.exness.com/a/73208

### 🧨 สาเหตุของ Error นี้:

เกิดจาก **ข้อมูลราคาที่ใช้ในการทดสอบ (Historical Data)** มีปัญหา เช่น:

1. **ข้อมูลไม่ครบ** หรือไม่ตรงกันระหว่าง `M1`, `M5`, `H1` และ timeframe ที่ใช้ backtest
2. ข้อมูล M1 **มีความคลาดเคลื่อนในช่วงเวลานั้น** เช่น volume สูงผิดปกติ, ขาดแท่งเทียน, หรือไฟล์ corrupt
3. การใช้ **"Every tick"** (ความแม่นยำสูงสุด) ทำให้ EA ต้องการข้อมูลแบบละเอียด แต่ Strategy Tester ไม่สามารถสร้าง tick ได้ครบ

---

### ✅ วิธีแก้ไข:

#### 🔁 1. ลบและโหลด Historical Data ใหม่:

**ขั้นตอน:**

1. เปิด MT4
2. ไปที่เมนู `Tools` → `History Center` หรือกด `F2`
3. เลือกคู่เงินที่คุณ backtest เช่น `EURUSD`
4. เลือก timeframe: M1, M5, M15, ... กดปุ่ม `Delete` ลบให้หมด
5. จากนั้นกด `Download` อีกครั้ง เพื่อโหลดข้อมูลใหม่จาก server
6. ปิดและเปิด MT4 ใหม่ แล้วลอง backtest ซ้ำ

---

#### 🧪 2. เปลี่ยนวิธีการทดสอบ:

หากคุณใช้ **"Every tick"** แล้วเกิดปัญหา ลองเปลี่ยนเป็น:

* `Open prices only` (ความเร็วเร็วกว่า แม่นน้อยกว่า แต่ลด error)
* หรือใช้ timeframe ที่มีข้อมูลมาก เช่น H1 หรือ M30

---

#### ⚙️ 3. ใช้ Script โหลด M1 เต็ม (กรณีใช้ Tick Story หรือโหลด M1 ผ่าน script)

หากต้องการ backtest แบบแม่นยำสูงสุดใน Every tick mode ควรโหลดข้อมูลแบบละเอียดจาก:

* **Tickstory** (สำหรับ backtest แบบ 99.9% quality)
* หรือใช้ script M1 data loader เช่นจาก \[Dukascopy] และ import เข้า MT4

---

#### 🧹 4. เคลียร์ Cache Tester

1. ไปที่โฟลเดอร์:

   ```text
   C:\Users\<ชื่อผู้ใช้>\AppData\Roaming\MetaQuotes\Terminal\<รหัส>\tester\history\
   ```
2. ลบไฟล์ทั้งหมดในโฟลเดอร์นี้ (เฉพาะสำหรับ backtest)
3. แล้วเริ่ม backtest ใหม่

---

### 📌 สรุป:

| ปัญหา                     | วิธีแก้                        |
| ------------------------- | ------------------------------ |
| ข้อมูลไม่ตรง / ขาด        | ลบ + โหลดใหม่ใน History Center |
| ใช้ Every tick แล้ว error | เปลี่ยนเป็น Open price only    |
| cache tester เก่า         | ลบ tester\history ออก          |
| ต้องการความแม่นยำสูง      | ใช้ Tickstory หรือโหลด M1 เต็ม |

----------------------------------------
#121
โลกเมื่อล้านกว่าปีก่อนไม่ได้มี "1 วัน = 24 ชั่วโมง" เหมือนในปัจจุบันครับ

### 🌍 สรุปง่าย ๆ:

* **ในอดีต โลกหมุนเร็วกว่าปัจจุบัน**
* ผลคือ **1 วันในอดีตสั้นกว่าวันในปัจจุบัน**

---

### ⏳ ตัวอย่างโดยประมาณ:

| ยุค (ปีที่ผ่านมา) | ระยะเวลาหนึ่งวันโดยประมาณ |
| ----------------- | ------------------------- |
| ปัจจุบัน          | 24 ชั่วโมง                |
| 100 ล้านปีก่อน    | \~23 ชั่วโมง              |
| 600 ล้านปีก่อน    | \~21 ชั่วโมง              |
| 1,400 ล้านปีก่อน  | \~18 ชั่วโมง              |

---

### 📉 ทำไมวันถึงยาวขึ้น?

เป็นผลจากสิ่งที่เรียกว่า **แรงโน้มถ่วงจากดวงจันทร์** (tidal friction)

* ดวงจันทร์ทำให้เกิด **แรงเสียดทานกับน้ำทะเล** (เช่น น้ำขึ้นน้ำลง)
* แรงนี้ค่อย ๆ **ดึงให้การหมุนของโลกช้าลงทีละน้อย**
* ทุก 100 ปี วันยาวขึ้นประมาณ **1.7 มิลลิวินาที**

---

### 🧬 นักวิทยาศาสตร์รู้ได้อย่างไร?

* จาก **ชั้นหินและฟอสซิลของปะการังโบราณ** ซึ่งสะสมเป็นชั้น ๆ ตามรอบวันและฤดูกาล
* ตัวอย่างเช่น ปะการังเมื่อ 400 ล้านปีก่อน บันทึกไว้ว่า **1 ปีมีประมาณ 400 วัน** → แสดงว่า **แต่ละวันสั้นลง (หมุนเร็วขึ้น)**

---------------------------

ไดโนเสาร์  มีอายุขัยเฉลี่ยเท่าไร

อายุขัยเฉลี่ยของไดโนเสาร์ **แตกต่างกันมาก** ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ขนาด และการดำรงชีวิตครับ
โดยทั่วไปแล้ว อายุขัยของไดโนเสาร์มีตั้งแต่ **10 ปี ไปจนถึงมากกว่า 100 ปี** ในบางชนิด

---

### 🦖 ตัวอย่างอายุขัยของไดโนเสาร์บางชนิด:

| สายพันธุ์             | ประเภท                        | อายุขัยโดยประมาณ |
| --------------------- | ----------------------------- | ---------------- |
| **Tyrannosaurus rex** | สัตว์กินเนื้อ                 | 25–30 ปี         |
| **Velociraptor**      | สัตว์กินเนื้อขนาดเล็ก         | \~15–20 ปี       |
| **Triceratops**       | สัตว์กินพืช                   | 30–40 ปี         |
| **Apatosaurus**       | สัตว์กินพืชขนาดใหญ่ (ซอโรพอด) | 70–100 ปี        |
| **Brachiosaurus**     | สัตว์กินพืชขนาดยักษ์          | \~100 ปี         |

---

### 📌 ปัจจัยที่มีผลต่ออายุขัย:

1. **ขนาดตัว** – ไดโนเสาร์ขนาดใหญ่ (เช่น ซอโรพอด) มักมีอายุขัยนานกว่าพวกขนาดเล็ก
2. **การเติบโต** – นักวิทยาศาสตร์ศึกษาวงเติบโตในกระดูก (เหมือนวงปีของต้นไม้) เพื่อประเมินอายุ
3. **วิถีชีวิต** – นักล่าอาจมีอายุขัยสั้นกว่าเพราะเสี่ยงตายสูง
4. **วิวัฒนาการ** – ไดโนเสาร์บางชนิดคล้ายสัตว์เลื้อยคลานยุคใหม่ บางชนิดคล้ายนก ทำให้พฤติกรรมและอายุขัยต่างกัน

------------------------------------
#122
การแยกแยะว่า **คลิปวิดีโอหนึ่งเป็นของจริงหรือถูกสร้างด้วย AI (เช่น deepfake หรือวิดีโอจาก AI generator)** มีหลายวิธีทั้งทางเทคนิคและการสังเกตด้วยสายตา โดยทั่วไปสามารถตรวจสอบได้ตามนี้:

---

### 🔍 **1. สังเกตด้วยตาเปล่า**

หลายคลิป AI ยังมีข้อบกพร่องเล็ก ๆ ที่สามารถจับผิดได้ เช่น:

* **การเคลื่อนไหวปากกับเสียงไม่ตรงกัน**
* **การกระพริบตาผิดธรรมชาติ** หรือกระพริบถี่เกินไป / แทบไม่กระพริบเลย
* **พื้นหลังหรือมือผิดปกติ** เช่น นิ้วมือผิดรูป, พื้นหลังละลาย
* **สีผิวไม่สม่ำเสมอ**, เงาแปลก ๆ หรือแสงไม่สัมพันธ์กัน
* **คำพูดไม่ตรงเนื้อหา** เช่น พูดคำแปลก ๆ หรือไม่ต่อเนื่อง

---

### 🧠 **2. ใช้เครื่องมือ AI ตรวจสอบ (Deepfake / AI detection tools)**

มีหลายเว็บไซต์หรือโปรแกรมที่สามารถวิเคราะห์ได้ว่าคลิปนั้นน่าจะเป็นของปลอมหรือไม่ เช่น:

* **Deepware Scanner**: ตรวจสอบ deepfake จาก URL หรือไฟล์
* **Hive Moderation**: ตรวจสอบภาพและวิดีโอที่สร้างด้วย AI
* **InVID Toolkit (ของ EU)**: สำหรับนักข่าว ใช้ตรวจวิดีโอว่าเคยปรากฏที่ไหนบ้าง

---

### 🗓� **3. ตรวจสอบแหล่งที่มาของคลิป**

* ค้นหาคลิปต้นฉบับบน Google หรือ YouTube ด้วยการใช้ภาพนิ่ง (reverse image search)
* หากไม่พบแหล่งที่มา หรือมีแค่แหล่งเดียวที่ไม่น่าเชื่อถือ ก็มีโอกาสสูงว่าอาจเป็นคลิป AI

---

### 📉 **4. ตรวจ metadata ของไฟล์ (ขั้นสูง)**

วิดีโอจริงจากกล้องมักจะมี **metadata** เช่น ยี่ห้อกล้อง, เวลา, พิกัด GPS ฯลฯ
หากคลิปถูกสร้างด้วย AI หรือตัดต่อมักจะไม่มีข้อมูลพวกนี้ หรือข้อมูลจะไม่สมเหตุผล

---

### 🚨 **5. สังเกตเจตนาคลิป**

* คลิปพยายามกระตุ้นอารมณ์ เช่น ความโกรธ, ความกลัว หรือการหลอกให้แชร์
* มีข้อความชวนเชื่อ ชี้นำ หรือนำเสนอข้อมูลที่ไม่น่าจะจริง เช่น ดารา พูดเรื่องการเมืองที่ไม่เคยพูด

---

### 🧪 ตัวอย่าง AI คลิปปลอมที่พบในปัจจุบัน

* ดาราหรือคนดังพูดบางอย่างที่ไม่เคยพูด
* ผู้นำประเทศให้สัมภาษณ์หรือแถลงการณ์ปลอม
* คลิปโฆษณาที่มีคนดังโปรโมตสินค้าที่ไม่เกี่ยวข้องจริง

--------------------------------------
#123
ในพุทธศาสนา โดยเฉพาะในประเทศไทย การทำบุญให้ผู้เสียชีวิตมีลำดับขั้นตอนและระยะเวลาที่นิยมปฏิบัติต่อเนื่องกันหลายครั้ง เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับ ซึ่งมีความเชื่อว่า การทำบุญจะช่วยให้ดวงวิญญาณไปสู่สุขคติหรือภพภูมิที่ดี โดยทั่วไปจะมีการทำบุญตามวันสำคัญดังนี้:

---

### 🕯 **การทำบุญตามวันหลังเสียชีวิต**

| วันหลังเสียชีวิต                            | ความหมาย                                   | แนวทางการทำบุญ                                                         |
| ------------------------------------------- | ------------------------------------------ | ---------------------------------------------------------------------- |
| **วันเผา (ฌาปนกิจ)**                        | ส่งดวงวิญญาณกลับสู่ภพภูมิ                  | ทำบุญถวายภัตตาหารเพล สังฆทาน ให้แก่พระภิกษุ, เชิญพระสวดมาติกา บังสุกุล |
| **วันทำบุญ 7 วัน**                          | เชื่อว่าวิญญาณยังวนเวียนอยู่               | ถวายภัตตาหารเพล สังฆทาน, สวดพระอภิธรรม                                 |
| **ทำบุญ 15 วัน** *(บางพื้นที่)*             | นิยมในบางท้องถิ่น                          | เช่นเดียวกับการทำบุญ 7 วัน                                             |
| **ทำบุญ 50 วัน**                            | ครบกำหนดกึ่งกลางระหว่าง 7 วันกับ 100 วัน   | ถวายสังฆทาน อาหาร บังสุกุล                                             |
| **ทำบุญ 100 วัน**                           | สิ้นสุดระยะของ "สัตตมวาร" (7 x 7 = 49 วัน) | นิยมทำบุญใหญ่ เช่น เลี้ยงพระ, บังสุกุล, แจกทาน                         |
| **ทำบุญปี** *(ครบรอบ 1 ปี, 3 ปี, 5 ปี ฯลฯ)* | ระลึกถึงผู้ตายเป็นรายปี                    | ทำบุญถวายอาหารพระ, สังฆทาน, บังสุกุล                                   |

---

### 🪔 **วิธีการทำบุญให้ผู้ล่วงลับ**

1. **ถวายภัตตาหารพระ**

   * เลี้ยงพระเช้า/เพล
   * นิยมจัดที่วัดหรือที่บ้าน
2. **ถวายสังฆทาน**

   * สิ่งของที่จำเป็นแก่พระภิกษุ
3. **ฟังพระสวดบังสุกุล**

   * เพื่ออุทิศส่วนกุศลแก่ผู้เสียชีวิต
4. **กรวดน้ำ**

   * เพื่อส่งบุญกุศลให้ดวงวิญญาณ
5. **ปล่อยสัตว์/บริจาคทาน**

   * เพิ่มบุญกุศลให้ผู้ตาย
6. **ทำบุญสร้างถาวรวัตถุ**

   * เช่น สร้างศาลา, บริจาคโลงศพ ฯลฯ

---

### 📿 คำกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล (ตัวอย่าง)

> "อิทัง เม ญาตีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโยฯ"
> แปลว่า "ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า ขอญาติทั้งหลายจงมีความสุข"

------------------------------------------------
#124
เวลาในการชาร์จ iPad ให้ใช้งานได้นั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น รุ่นของ iPad, ที่ชาร์จที่ใช้ (วัตต์เท่าไหร่), สภาพแบตเตอรี่ และระดับแบตเตอรี่เริ่มต้น

แต่โดยทั่วไป ถ้าคุณต้องการ "ใช้งานได้บ้าง" ไม่จำเป็นต้องชาร์จจนเต็ม:

---

### 🔋**โดยประมาณ:**

* **ถ้าแบตหมดเกลี้ยง (0%) แล้วเริ่มชาร์จ**

  * **5–10 นาที**: เครื่องจะเริ่มเปิดได้
  * **15–20 นาที**: พอใช้งานเบาๆ ได้ (เช่น เปิดโน้ตหรือดูไฟล์บางอย่าง)
  * **30 นาที–1 ชั่วโมง**: ใช้งานทั่วไปได้ดีขึ้น เช่น เล่นเน็ตหรือดูวิดีโอสั้นๆ

---

### ⚡**สิ่งที่ส่งผลต่อเวลาในการชาร์จ:**

1. **ที่ชาร์จ**

   * ที่ชาร์จ 20W (แถมมากับ iPad รุ่นใหม่) ชาร์จเร็วกว่า 10W หรือ 12W แบบเก่า
2. **รุ่นของ iPad**

   * iPad Pro แบตใหญ่กว่า iPad Mini ใช้เวลาชาร์จนานกว่า
3. **ขณะชาร์จ คุณใช้งานอยู่ไหม**

   * ถ้าใช้งานขณะชาร์จ จะช้ากว่าชาร์จทิ้งไว้เฉยๆ
4. **สายชาร์จคุณภาพดีไหม**

   * สายที่เสื่อมจะชาร์จช้าหรือไม่เข้าเลย

---

### ✅**คำแนะนำ:**

* ถ้าต้องการใช้งานด่วน: เสียบชาร์จทิ้งไว้ **10–15 นาที** แล้วลองเปิดเครื่อง
* ถ้าชาร์จไม่เข้าเลย: ตรวจสอบสาย, ที่ชาร์จ, หรือพอร์ตที่ iPad

------------------

ขอบคุณที่แจ้งข้อมูลครับ 😊
iPad Pro 12.9 นิ้ว รุ่นแรก (ปี 2015) ใช้พอร์ต **Lightning** และแบตเตอรี่ความจุประมาณ **10,307 mAh** ถือว่าใหญ่มากเมื่อเทียบกับ iPad รุ่นอื่น

---

## 🔌 **ระยะเวลาชาร์จโดยประมาณ (เมื่อแบตหมดเกลี้ยง)**

### หากใช้ **ที่ชาร์จ 12W (ของเดิมที่แถมมา)**

* ✅ **15 นาที**: เปิดเครื่องได้แล้ว (ถ้าไม่มีปัญหาด้านแบต)
* ✅ **30 นาที**: ใช้งานเบาๆ ได้ (เช่น อ่านเอกสาร, เช็คเมล)
* ✅ **1 ชั่วโมง**: แบตประมาณ 25–30% ใช้งานทั่วไปได้
* ⏳ **ชาร์จเต็ม**: ใช้เวลาประมาณ **4.5–5 ชั่วโมง**

---

### หากใช้ **ที่ชาร์จเร็ว 20W ของ iPad รุ่นใหม่กว่า (หรือของ iPhone รุ่นใหม่)**

* ✅ **15 นาที**: เปิดเครื่องได้เหมือนกัน
* ✅ **30 นาที**: ได้แบตประมาณ 15–20%
* ✅ **1 ชั่วโมง**: ได้แบตประมาณ 35–40%
* ⏳ **ชาร์จเต็ม**: เร็วขึ้นเหลือประมาณ **3–3.5 ชั่วโมง**

> **หมายเหตุ:** iPad Pro 12.9" รุ่นแรกแม้จะรองรับการชาร์จเร็วพอสมควร แต่จะได้ประสิทธิภาพชาร์จสูงสุดถ้าใช้ **สาย Lightning to USB-C** + **หัวชาร์จ USB-C 29W ขึ้นไป** ซึ่ง Apple เคยแนะนำไว้

---

## 🔧 **เคล็ดลับ**

* อย่าใช้งานหนักขณะชาร์จ เช่น ดูวิดีโอ HD หรือเล่นเกม เพราะเครื่องจะร้อนและชาร์จช้าลง
* ถ้าเสียบชาร์จแล้วขึ้นสัญลักษณ์แบตสีแดงค้างนานกว่า 10 นาที อาจมีปัญหาเรื่องแบตเตอรี่เสื่อมหรือสายชาร์จมีปัญหา

---

ถ้าคุณใช้งานตอนฉุกเฉิน เช่น ต้องเปิดใช้ด่วน

> ชาร์จไว้ **อย่างน้อย 10–15 นาที** แล้วเปิดใช้งาน จะพอใช้ต่อได้ชั่วคราวครับ ✅

-----------------------------------------------------------------

#125
ไวรัสหลายชนิดสามารถแพร่ผ่าน **น้ำลาย** ได้ เนื่องจากน้ำลายเป็นของเหลวในร่างกายที่มีไวรัสปะปนอยู่ได้เมื่อติดเชื้อ โดยไวรัสที่แพร่ผ่านน้ำลายที่พบบ่อย ได้แก่:

---

### 🦠 **ไวรัสที่แพร่ทางน้ำลาย**

1. **ไวรัสเริม (Herpes Simplex Virus - HSV)**

   * ประเภท HSV-1 (มักเกิดแผลร้อนในบริเวณปาก)
   * ติดต่อโดยการจูบ การใช้ของร่วมกัน เช่น แก้วน้ำ ลิปสติก
   * เป็นไวรัสที่พบได้บ่อยในน้ำลาย

2. **ไวรัสไข้หวัดใหญ่ (Influenza virus)**

   * ติดต่อผ่านละอองน้ำลายขนาดเล็กเวลาจาม ไอ หรือพูดใกล้กัน
   * อยู่ในน้ำลายและสารคัดหลั่งทางจมูก

3. **ไวรัสโควิด-19 (SARS-CoV-2)**

   * แพร่ผ่านละอองฝอยจากน้ำลายของผู้ติดเชื้อ
   * สัมผัสใกล้ชิด หรือใช้ของร่วมกัน เช่น ช้อน แก้ว

4. **ไวรัส Epstein-Barr (EBV)**

   * สาเหตุของโรค mononucleosis หรือ "โรคจูบ"
   * ติดต่อทางน้ำลายโดยตรง เช่น การจูบ หรือใช้ของร่วมกัน

5. **ไวรัส Cytomegalovirus (CMV)**

   * แพร่ได้ทางน้ำลาย ปัสสาวะ เลือด และน้ำนมแม่
   * ติดต่อได้แม้ผู้ติดเชื้อจะไม่มีอาการ

6. **ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B Virus - HBV)**

   * พบได้ในน้ำลาย แต่มีโอกาสแพร่ได้น้อยกว่าทางเลือด
   * ต้องมีบาดแผลหรือเยื่อบุฉีกขาดจึงจะติด

7. **ไวรัสตับอักเสบซี (HCV)**

   * ไม่ค่อยแพร่ทางน้ำลาย
   * มีโอกาสน้อยมาก ยกเว้นในกรณีที่มีเลือดปน

8. **ไวรัสหัด (Measles virus)**

   * แพร่ทางละอองฝอยจากน้ำลายขณะไอหรือจาม

---

### 💡ข้อควรระวังในการป้องกันการติดเชื้อจากน้ำลาย:

* หลีกเลี่ยงการใช้ของร่วมกับผู้อื่น (แก้วน้ำ ช้อน แปรงสีฟัน)
* ไม่จูบหรือใกล้ชิดกับผู้มีอาการของโรคติดต่อ
* ล้างมือเป็นประจำ
* สวมหน้ากากเมื่อมีอาการป่วย หรืออยู่ในที่แออัด
---------------------------------------------
#126
**สิ้นเดือนเหมือนสิ้นใจ ใจจะขาด**
เงินก็พลาด หนี้ก็พุ่ง จนงงหัว
ค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำไฟ ไล่มาทั่ว
ข้าวในหม้อก็ร้างรัว...เหมือนกลัวเรา

เงยหน้ามองกระเป๋าตังค์ ยังว่างเปล่า
หยิบทีไร ใจร้าวแทบล้มเข่า
อยู่รอดได้ด้วยบะหมี่ กับไข่ดาว
สู้ต่อไปเดือนหน้า...อย่าเพิ่งวาง


-------------------------------

**สิ้นเดือนเหมือนสิ้นใจจะวายวอด**
เงินตลอดเดือนหดหมดทางหวัง
ค่าข้าวของพุ่งพรวดไม่หยุดยั้ง
น้ำไฟยังเรียกเร่งไม่เกรงใจ

กระเป๋าเบาเหมือนลอยคอยเศษเหรียญ
กินก็เพียงมาม่าพาใจไหว
ตู้เย็นโล่งโบ๋บ้างแทบร้องไห้
นั่งถอนใจคิดเงียบเหน็บอารมณ์

แต่อดทนไว้ก่อนอย่าท้อแท้
ชีวิตแท้ย่อมผ่านกาลขื่นขม
ถึงบางวันฝันไกลจะไร้ลม
แต่ยังสมใจอยู่ที่สู้มา

---------------------------

#127
รถเก๋ง (Sedan) ในประเทศไทยมีหลายขนาด ตั้งแต่เล็ก (Eco Car) ไปจนถึงใหญ่ (Executive Sedan) ซึ่งมิติตัวถังจะแตกต่างกันไป โดยสามารถแบ่งได้เป็น 4 กลุ่มหลัก ๆ ดังนี้:

---

## 🔹 ขนาดรถเก๋งโดยประมาณ (ตามประเภท)

| ประเภท                                 | ตัวอย่างรุ่น                        | ความยาว         | ความกว้าง       | ความสูง         |
| -------------------------------------- | ----------------------------------- | --------------- | --------------- | --------------- |
| **1. Subcompact (Eco Car/B-Segment)**  | Toyota Yaris Ativ, Honda City       | 4,300–4,500 มม. | 1,700–1,750 มม. | 1,460–1,500 มม. |
| **2. Compact (C-Segment)**             | Toyota Corolla Altis, Mazda 3       | 4,600–4,700 มม. | 1,780–1,825 มม. | 1,430–1,455 มม. |
| **3. Mid-size (D-Segment)**            | Toyota Camry, Honda Accord          | 4,850–4,900 มม. | 1,820–1,860 มม. | 1,445–1,480 มม. |
| **4. Full-size (E-Segment/Executive)** | Mercedes-Benz E-Class, BMW 5 Series | 4,920–5,000 มม. | 1,850–1,900 มม. | 1,460–1,490 มม. |

---

## 📌 ตัวอย่างจริง:

### ✅ **Toyota Yaris Ativ (B-Segment)**

* ความยาว: 4,425 มม.
* ความกว้าง: 1,740 มม.
* ความสูง: 1,480 มม.

### ✅ **Honda Civic (C-Segment)**

* ความยาว: 4,678 มม.
* ความกว้าง: 1,802 มม.
* ความสูง: 1,415 มม.

### ✅ **Toyota Camry (D-Segment)**

* ความยาว: 4,885 มม.
* ความกว้าง: 1,840 มม.
* ความสูง: 1,445 มม.

### ✅ **Mercedes-Benz E-Class (E-Segment)**

* ความยาว: 4,950 มม.
* ความกว้าง: 1,880 มม.
* ความสูง: 1,470 มม.

---------------------------------------
รถ SUV (Sport Utility Vehicle) มีหลายขนาด ตั้งแต่ขนาดเล็ก (Subcompact SUV) ไปจนถึงขนาดใหญ่ (Full-size SUV) ซึ่งขนาด **ความยาว x ความกว้าง x ความสูง** จะต่างกันตามกลุ่มรถ

---

## 🔹 ขนาดโดยประมาณของ SUV แต่ละกลุ่ม:

### ✅ 1. **Subcompact SUV (SUV ขนาดเล็ก)**

ตัวอย่าง: Toyota Yaris Cross, Honda WR-V, Nissan Kicks

* **ความยาว:** 4,100 – 4,300 มม.
* **ความกว้าง:** 1,760 – 1,800 มม.
* **ความสูง:** 1,550 – 1,620 มม.

---

### ✅ 2. **Compact SUV (SUV ขนาดกลาง)**

ตัวอย่าง: Honda CR-V, Toyota Corolla Cross, Mazda CX-5

* **ความยาว:** 4,500 – 4,700 มม.
* **ความกว้าง:** 1,800 – 1,850 มม.
* **ความสูง:** 1,650 – 1,700 มม.

---

### ✅ 3. **Mid-size SUV (SUV ขนาดกลางค่อนไปทางใหญ่)**

ตัวอย่าง: Fortuner, MU-X, Pajero Sport

* **ความยาว:** 4,750 – 4,900 มม.
* **ความกว้าง:** 1,850 – 1,900 มม.
* **ความสูง:** 1,800 – 1,835 มม.

---

### ✅ 4. **Full-size SUV (SUV ขนาดใหญ่)**

ตัวอย่าง: Toyota Land Cruiser, BMW X7, Ford Everest

* **ความยาว:** 5,000 – 5,200 มม.
* **ความกว้าง:** 1,930 – 2,000 มม.
* **ความสูง:** 1,850 – 1,930 มม.

---

## 📌 สรุปโดยรวม (SUV ทั่วไป):

| ขนาดรถ | ความยาว (มม.) | ความกว้าง (มม.) | ความสูง (มม.) |
| ------ | ------------- | --------------- | ------------- |
| เล็ก   | 4,100 – 4,300 | 1,760 – 1,800   | 1,550 – 1,620 |
| กลาง   | 4,500 – 4,700 | 1,800 – 1,850   | 1,650 – 1,700 |
| ใหญ่   | 4,750 – 5,200 | 1,850 – 2,000   | 1,800 – 1,930 |

--------------------------------------

รถกระบะในตลาดประเทศไทยมีหลายยี่ห้อและรุ่น เช่น Toyota Hilux Revo, Isuzu D-Max, Ford Ranger, Mitsubishi Triton ฯลฯ โดยมิติตัวถังจะแตกต่างกันเล็กน้อยตามรุ่นย่อย (เช่น ตอนเดียว, ตอนครึ่ง, 4 ประตู) แต่สามารถสรุปขนาดโดยประมาณของ **รถกระบะทั่วไป** ได้ดังนี้:

---

### ✅ **รถกระบะขนาดกลาง (Double Cab 4 ประตู – รุ่นยอดนิยม)**

* **ความยาว:** ประมาณ **5,200 – 5,400 มม.**
* **ความกว้าง:** ประมาณ **1,800 – 1,900 มม.**
* **ความสูง:** ประมาณ **1,790 – 1,850 มม.**
* **ระยะฐานล้อ:** ประมาณ **3,100 – 3,200 มม.**

---

### 📌 ตัวอย่างจริง:

#### **Toyota Hilux Revo Double Cab 4x4**

* ความยาว: 5,325 มม.
* ความกว้าง: 1,900 มม.
* ความสูง: 1,815 มม.

#### **Isuzu D-Max V-Cross 4 ประตู**

* ความยาว: 5,265 มม.
* ความกว้าง: 1,870 มม.
* ความสูง: 1,830 มม.

#### **Ford Ranger 4 ประตู Wildtrak**

* ความยาว: 5,370 มม.
* ความกว้าง: 1,918 มม.
* ความสูง: 1,884 มม.

---------------------------------------------

รถ **Mercedes-Benz S300 รุ่น W222** (ซึ่งเป็นเจเนอเรชัน S-Class ที่ผลิตตั้งแต่ปี 2013–2020) มีขนาดมิติตัวถังโดยประมาณดังนี้:

### ✅ **Mercedes-Benz S300 BlueTEC HYBRID (W222)**

(รุ่นที่จำหน่ายในไทยโดย Mercedes-Benz Thailand)

* **ความยาว:** ประมาณ **5,246 มม.** (5.25 เมตร)
* **ความกว้าง:** ประมาณ **1,899 มม.** (1.90 เมตร)
* **ความสูง:** ประมาณ **1,496 มม.** (1.50 เมตร)
* **ระยะฐานล้อ:** ประมาณ **3,165 มม.**

> รุ่น S300 W222 ที่ขายในไทยมักเป็นรุ่น **Long Wheelbase (LWB)** ซึ่งมีความยาวมากกว่ารุ่นมาตรฐาน (Standard Wheelbase)
-------------------------------------------------

รถ **Tank 300** ซึ่งเป็นรถ SUV แบบออฟโรดจากค่าย **Great Wall Motor (GWM)** มีขนาดตัวถังโดยประมาณ (ขึ้นอยู่กับรุ่นย่อย) ดังนี้:

* **ความยาว:** ประมาณ **4,760 มม.** (4.76 เมตร)
* **ความกว้าง:** ประมาณ **1,930 มม.** (1.93 เมตร)
* **ความสูง:** ประมาณ **1,903 มม.** (1.90 เมตร)

นอกจากนี้ยังมี:

* **ระยะฐานล้อ (Wheelbase):** ประมาณ **2,750 มม.**
* **ระยะความสูงจากพื้นถึงใต้ท้องรถ (Ground Clearance):** ประมาณ **224 มม.**
---------------------------------------------------




#128
EA MT5 ตัวใหม่ Trend Following MA RSI ATR SL เทรด EU XAUUSD BTCUSD 28JUL2025

backtest 1-6 เดือนก่อนใช้งานจริง ปรับค่าต่างๆได้ ทุน 100 USD เปิด 0.01 Lot ไม่เพิ่มไม้ ,ไม่ซื้อซ้ำ , SL ทุกไม้

กำไรสูง Drawdown สูง , กำไรน้อย Drawdown ต่ำ

ลูกค้าสมัครผ่านลิงค์ตัวแทนใช้งานฟรี (สนใจ inbox มา line : junjaocom)

https://www.exness.com/a/73208
#129
ในตลาด Forex ตัวเลข **มาร์จิ้น (Margin)** อย่างเช่น **0.05%**, **0.25%**, หรือ **0.5%** หมายถึง **อัตราเงินประกัน** หรือ **จำนวนเงินที่คุณต้องวางไว้ในบัญชีเพื่อเปิดสถานะ (order)** ในขนาดที่คุณต้องการ

เปิดบัญชี Standard ได้ที่ https://www.exness.com/a/73208

---

## 🔍 คำอธิบายง่าย ๆ:

### ✅ มาร์จิ้น (Margin) คืออะไร?

มาร์จิ้นคือเงินประกันที่โบรกเกอร์เก็บไว้จากคุณเพื่อเปิดการซื้อขายขนาดใหญ่ได้ แม้คุณจะมีเงินทุนไม่มาก โดยโบรกเกอร์จะให้ **"เลเวอเรจ (Leverage)"** เพื่อขยายอำนาจซื้อของคุณ

---

## 📊 ตัวอย่างแต่ละระดับ:

| มาร์จิ้น (%) | เลเวอเรจ (Leverage) | ความหมาย                        |
| ------------ | ------------------- | ------------------------------- |
| **0.05%**    | 1:2000              | คุณใช้เงินแค่ 0.05% ของขนาดล็อต |
| **0.25%**    | 1:400               | ใช้เงิน 0.25% ของล็อต           |
| **0.5%**     | 1:200               | ใช้เงิน 0.5% ของล็อต            |

---

## 🔢 ตัวอย่างคำนวณ:

### หากคุณต้องการเปิดออร์เดอร์ขนาด 1 ล็อตมาตรฐาน (100,000 USD):

| มาร์จิ้น (%) | เงินประกันที่ต้องใช้           |
| ------------ | ------------------------------ |
| **0.05%**    | 100,000 x 0.0005 = **50 USD**  |
| **0.25%**    | 100,000 x 0.0025 = **250 USD** |
| **0.5%**     | 100,000 x 0.005 = **500 USD**  |

---

## 💡 สรุป:

* **มาร์จิ้นต่ำ → ใช้เงินน้อย → ความเสี่ยงสูง** เพราะคุณสามารถเปิดออร์เดอร์ใหญ่ได้ง่าย
* **มาร์จิ้นสูง → ใช้เงินมาก → ความเสี่ยงต่ำลง** เพราะมีความคุมความเสี่ยงที่มากขึ้น
------------------------------------------------

ถ้าคุณมีทุน **\$100** และต้องการเทรด **EURUSD** ด้วย **มาร์จิ้น 0.05%**, เราสามารถคำนวณได้ดังนี้:

---

## 📌 ข้อมูลเบื้องต้น:

* **มาร์จิ้น 0.05%** = ใช้เงินประกันแค่ **0.0005** ของขนาดล็อต
* **1 ล็อตมาตรฐาน = 100,000 หน่วย**
* ดังนั้น มาร์จิ้นที่ใช้ต่อ 1 ล็อต =

  $$
  100,000 \times 0.0005 = \textbf{50 USD}
  $$

---

## ✅ คุณมีทุน 100 USD จะเปิดได้กี่ล็อต?

$$
\text{จำนวนล็อตที่เปิดได้} = \frac{100}{50} = \textbf{2 ล็อตมาตรฐาน}
$$

---

## ⚠️ หมายเหตุ:

* นี่เป็น **ค่าสูงสุดทางทฤษฎี** (ไม่รวมค่าความผันผวน, margin buffer, spread ฯลฯ)
* ในการใช้งานจริง โบรกเกอร์อาจกัน **Margin Buffer** 20-50% สำหรับความปลอดภัย
* ดังนั้น **แนะนำเปิดไม่เกิน 1.5 ล็อต** หรือ **ใช้ล็อตเล็กลง** เช่น 0.5–1.0 ล็อต เพื่อให้มี Free Margin เผื่อ

---

## 📌 สรุป:

| รายการ             | ค่าคำนวณ                                                   |
| ------------------ | ---------------------------------------------------------- |
| ทุน                | 100 USD                                                    |
| มาร์จิ้นต่อ 1 ล็อต | 50 USD                                                     |
| ล็อตที่เปิดได้     | สูงสุด ≈ **2 ล็อต** (แต่ควรใช้น้อยกว่านี้เพื่อความปลอดภัย) |

------------------------------------

ในการเทรด **BTCUSD** ด้วยทุน **100 USD** และมาร์จิ้น **0.25%** เรามาคำนวณจำนวนล็อตที่สามารถเปิดได้กันครับ:

---

## 📌 ข้อมูลพื้นฐาน:

* **1 ล็อตมาตรฐาน BTCUSD = 1 Bitcoin**
* สมมุติราคา **BTC = 60,000 USD** *(ราคาประมาณ ณ ปัจจุบัน)*
* **มาร์จิ้น 0.25%** = ต้องวางเงินประกัน 0.0025 ของขนาดสัญญา

---

## 🔢 คำนวณมาร์จิ้นที่ต้องใช้ต่อ 1 ล็อต:

$$
\text{Margin ต่อ 1 ล็อต} = 60,000 \times 0.0025 = \textbf{150 USD}
$$

---

## ✅ คุณมีทุน 100 USD จะเปิดได้กี่ล็อต?

$$
\frac{100}{150} = \textbf{0.666 ล็อต} → เปิดได้ไม่ถึง 1 ล็อต
$$

---

## 🟢 ดังนั้น:

| รายการ               | ค่าคำนวณ                                                                   |
| -------------------- | -------------------------------------------------------------------------- |
| ทุน                  | 100 USD                                                                    |
| มาร์จิ้นต่อ 1 ล็อต   | 150 USD                                                                    |
| ล็อตที่เปิดได้สูงสุด | **≈ 0.66 ล็อต** (แต่ไม่พอเปิด 1 ล็อตเต็ม)                                  |
| ล็อตที่เปิดได้จริง   | **0.6 ล็อต** หรือน้อยกว่า (ขึ้นอยู่กับโบรกเกอร์และราคา BTC จริง ณ ตอนนั้น) |

---

## ✅ แนะนำ:

* เปิด **0.01–0.05 ล็อต** ก็พอสำหรับทุน 100 USD เพื่อเผื่อ **Floating loss + Spread**
* ควรตรวจสอบว่าโบรกเกอร์ให้เทรด BTCUSD แบบ **mini/micro lot** ได้ไหม (เช่น 0.01 ล็อต = 0.01 BTC)

-----------------------------------------


#130
แน่นอน! ด้านล่างนี้คือตัวอย่าง **แอปลงทะเบียนสมาชิกเว็บ** ด้วยภาษา **PHP** พร้อมการเชื่อมต่อกับ **ฐานข้อมูล MySQL** อย่างง่าย เหมาะสำหรับการเริ่มต้นเรียนรู้

---

### 🧱 โครงสร้างไฟล์:

```
/register-app/

├── db.php
├── register.php
└── success.php
```

---

## 1. `db.php` – เชื่อมต่อฐานข้อมูล

```php
<?php
$host = 'localhost';
$db = 'your_database';
$user = 'your_username';
$pass = 'your_password';

$conn = new mysqli($host, $user, $pass, $db);

if ($conn->connect_error) {
    die("Connection failed: " . $conn->connect_error);
}
?>
```

---

## 2. `register.php` – ฟอร์มและจัดการการลงทะเบียน

```php
<?php
require 'db.php';

if ($_SERVER["REQUEST_METHOD"] == "POST") {
    $username = trim($_POST['username']);
    $email = trim($_POST['email']);
    $password = password_hash($_POST['password'], PASSWORD_DEFAULT);

    // ตรวจสอบซ้ำ
    $check = $conn->prepare("SELECT id FROM users WHERE email = ?");
    $check->bind_param("s", $email);
    $check->execute();
    $check->store_result();

    if ($check->num_rows > 0) {
        echo "อีเมลนี้มีอยู่แล้ว!";
    } else {
        $stmt = $conn->prepare("INSERT INTO users (username, email, password) VALUES (?, ?, ?)");
        $stmt->bind_param("sss", $username, $email, $password);
       
        if ($stmt->execute()) {
            header("Location: success.php");
            exit();
        } else {
            echo "เกิดข้อผิดพลาดในการลงทะเบียน";
        }
    }
}
?>

<!-- ฟอร์มลงทะเบียน -->
<form method="POST" action="register.php">
    <label>ชื่อผู้ใช้:</label>

    <input type="text" name="username" required>


    <label>อีเมล:</label>

    <input type="email" name="email" required>


    <label>รหัสผ่าน:</label>

    <input type="password" name="password" required>



    <input type="submit" value="ลงทะเบียน">
</form>
```

---

## 3. `success.php` – หน้ายืนยันความสำเร็จ

```php
<!DOCTYPE html>
<html>
<head>
    <title>ลงทะเบียนสำเร็จ</title>
</head>
<body>
    <h2>สมัครสมาชิกเรียบร้อยแล้ว!</h2>
    <a href="register.php">กลับไปหน้าสมัคร</a>
</body>
</html>
```

---

## 4. 🗃� SQL สำหรับสร้างตาราง `users`

```sql
CREATE TABLE users (
    id INT AUTO_INCREMENT PRIMARY KEY,
    username VARCHAR(100) NOT NULL,
    email VARCHAR(100) NOT NULL UNIQUE,
    password VARCHAR(255) NOT NULL,
    created_at TIMESTAMP DEFAULT CURRENT_TIMESTAMP
);
```

------------------------------------------------
#131
เมนบอร์ด (Mainboard หรือ Motherboard) ที่ใช้กับ **ซีพียู Intel** มีหลายรุ่นและหลากหลายชิปเซ็ตมาก โดยสามารถแบ่งออกได้ตาม **รุ่นของซีพียู (Generation)** และ **ชิปเซ็ต (Chipset)** ที่รองรับ ซึ่งมีทั้งในฝั่ง **Consumer**, **Workstation**, และ **Server** โดยทั่วไปที่นิยมใช้กันคือฝั่ง Consumer เช่น LGA1200, LGA1700 เป็นต้น

---

### ✅ สรุปรุ่นของเมนบอร์ด Intel ที่นิยมตาม Gen

#### 🔹 1. เมนบอร์ดสำหรับ Intel Gen 10, 11 (Socket LGA1200)

* **Chipset**:

  * H410, B460, H470, Z490 → สำหรับ Gen 10
  * B560, H510, H570, Z590 → สำหรับ Gen 11 (และรองรับบางรุ่นของ Gen 10)

#### 🔹 2. เมนบอร์ดสำหรับ Intel Gen 12, 13, 14 (Socket LGA1700)

* **Chipset**:

  * H610, B660, H670, Z690 → Gen 12
  * B760, H770, Z790 → Gen 13, 14 (แต่ก็รองรับ Gen 12 ด้วย)

#### 🔹 3. เมนบอร์ด Intel สำหรับ Workstation/Server

* **Chipset**:

  * W480, W580 → สำหรับ Xeon W ซีรีส์
  * C620, C740 → สำหรับ Server-grade

---

### ✅ ตัวอย่างซีรีส์เมนบอร์ดยอดนิยม

(จากแบรนด์เช่น ASUS, MSI, GIGABYTE, ASRock)

* **ASUS Prime / TUF / ROG Strix / ROG Maximus**
* **MSI Pro / MAG / MPG / MEG**
* **Gigabyte UD / AORUS**
* **ASRock Steel Legend / Phantom Gaming**

---

### ✅ วิธีดูว่ารุ่นไหนเหมาะกับคุณ

1. ดูว่าใช้ **ซีพียู Intel รุ่นไหน (เช่น i5-12400F = Gen 12)**
2. ดูว่าอยากใช้เพื่ออะไร เช่นใช้งานทั่วไป / เล่นเกม / ทำงานตัดต่อ
3. เลือกชิปเซ็ตที่เหมาะ:

   * **B Series** = คุ้มค่า
   * **H Series** = ใช้งานทั่วไป
   * **Z Series** = สาย Overclock / เล่นเกมแรง ๆ

----------------------------------------
#132
CPU Intel แบ่งออกได้หลายรุ่นตาม "ตระกูล (Series)" และ "เจเนอเรชัน (Generation)" โดยปัจจุบันในปี 2025 Intel มี CPU หลายกลุ่มหลัก ๆ ดังนี้:

---

### 🔹 **1. Intel Core Series (สำหรับผู้ใช้ทั่วไปถึงระดับสูง)**

| ตระกูลย่อย  | เหมาะกับ                 | รุ่นย่อย                            |
| ----------- | ------------------------ | ----------------------------------- |
| **Core i3** | ใช้งานทั่วไป             | i3-12100, i3-13100 ฯลฯ              |
| **Core i5** | เล่นเกม ทำงานระดับกลาง   | i5-12400, i5-13400, i5-14600K ฯลฯ   |
| **Core i7** | ทำงานหนัก เล่นเกมขั้นสูง | i7-12700K, i7-13700K ฯลฯ            |
| **Core i9** | ทำงานหนักระดับมืออาชีพ   | i9-12900K, i9-13900K, i9-14900K ฯลฯ |

> ปัจจุบันถึง **Gen 14 (Raptor Lake Refresh)** และเริ่มมี **Core Ultra (Meteor Lake)** แล้ว

---

### 🔹 **2. Intel Core Ultra Series (ใหม่ล่าสุด ปี 2024–2025)**

* ใช้ชื่อเช่น: **Intel Core Ultra 5, 7, 9** (ไม่มี i)
* เน้นประหยัดพลังงาน + มี AI Engine (NPU) ในตัว
* ใช้ในโน้ตบุ๊กใหม่ ๆ และ Desktop รุ่นบางรุ่น (Socket LGA 1851)

---

### 🔹 **3. Intel Pentium & Celeron (เลิกผลิตในปี 2023)**

* เดิมใช้ในเครื่องราคาถูก
* ปัจจุบันเปลี่ยนไปใช้ชื่อ **Intel Processor** แทน เช่น "Intel N100"

---

### 🔹 **4. Intel Xeon (สำหรับเซิร์ฟเวอร์และเวิร์กสเตชัน)**

* มีหลายรุ่นย่อย เช่น Xeon Silver, Gold, Platinum
* ใช้ในงาน Server, AI, Big Data, Workstation

---

### 🔹 **5. Intel Atom (เน้นพลังงานต่ำ)**

* ใช้ใน IoT, Embedded Systems, แท็บเล็ตบางรุ่น

---

### 🔹 **6. Intel N-Series (ใหม่แทน Celeron/Pentium ในโน้ตบุ๊ก/Chromebook)**

* เช่น **Intel Processor N100, N200**
* สำหรับโน้ตบุ๊กราคาประหยัด

---

### สรุป Intel มี CPU กี่รุ่น?

ขึ้นอยู่กับการนับ:

* ถ้านับ "กลุ่มใหญ่" → มีประมาณ **6 ตระกูลหลัก** (Core, Ultra, Xeon, Atom, N, Arc)
* ถ้านับ "เฉพาะ Core" → มี **Core i3 / i5 / i7 / i9** และ Ultra 5 / 7 / 9
* ถ้านับ "ตาม Gen" → ถึง **Gen 14**, และเริ่มใช้ **Core Ultra Gen 1** (Meteor Lake)

--------------------------------------------------
#133
**Mainboard Intel 1851** หมายถึงเมนบอร์ดที่ใช้ซ็อกเก็ต **LGA 1851** ซึ่งเป็นซ็อกเก็ตใหม่จาก Intel ที่จะมาแทนซ็อกเก็ตเดิม **LGA 1700** ที่ใช้กับซีพียู Intel Gen 12, 13 และ 14 (เช่น Alder Lake, Raptor Lake)

---

### 🔧 รายละเอียดเบื้องต้นเกี่ยวกับ **Socket LGA 1851**

* **จำนวนขา (pins)**: 1851 ขา (มากกว่า LGA 1700 ซึ่งมี 1700 ขา)
* **เปิดตัวพร้อมซีพียู**: Intel **Arrow Lake** (Gen 15) – คาดว่าจะเปิดตัวประมาณปลายปี 2024 ถึงต้นปี 2025
* **แพลตฟอร์มใหม่**: จะมาพร้อมกับ **ชิปเซ็ตใหม่** เช่น **Intel 800 Series** (เช่น Z890, B860)
* **รองรับ DDR5 เท่านั้น** (ไม่มี DDR4 แล้ว)
* **อัปเกรดพลังงานและระบบไฟฟ้า** เพื่อรองรับ CPU รุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพและการใช้พลังงานสูงขึ้น

---

### 💡 เหมาะกับใคร?

* คนที่ต้องการประกอบคอมพิวเตอร์ใหม่ และรอใช้ Intel Gen 15 หรือ Arrow Lake
* เหมาะกับการใช้งานที่ต้องการประสิทธิภาพสูง เช่น งานเรนเดอร์, ตัดต่อวิดีโอ, เล่นเกม 4K, AI/ML ฯลฯ
* สำหรับคนที่ต้องการใช้เทคโนโลยีล่าสุด เช่น PCIe 5.0, DDR5 ความเร็วสูง, ระบบระบายความร้อนแบบใหม่

---

### ⚠️ ข้อควรระวัง

* ไม่สามารถใช้ร่วมกับซีพียู Gen 12–14 ได้ (ต่างซ็อกเก็ตกัน)
* ต้องใช้ RAM DDR5 เท่านั้น
* ราคาน่าจะค่อนข้างสูงในช่วงแรกที่เปิดตัว

---

หากคุณกำลังวางแผนจะอัปเกรดเครื่อง คำแนะนำคือ:

* ถ้าต้องการเทคโนโลยีล่าสุดจริง ๆ: รอเมนบอร์ด LGA 1851 และ Arrow Lake
* ถ้าต้องการความคุ้มค่า: LGA 1700 (Gen 13/14) ยังดีมากและราคาถูกลง
-----------------------------------------------------------

การจัดสเปคคอมพิวเตอร์ในงบ 40,000 บาท สำหรับเล่นเกมและทำงานด้าน AI โดยใช้ซ็อกเก็ต Intel LGA 1851 (รองรับ Intel Core Ultra 200 series เช่น Core Ultra 5/7/9) ต้องพิจารณาความสมดุลระหว่างประสิทธิภาพสำหรับเล่นเกมและการประมวลผล AI ซึ่งมักต้องการ CPU และ GPU ที่แรงพอสมควร รวมถึงแรมและที่เก็บข้อมูลที่เพียงพอ ด้านล่างนี้คือสเปคที่แนะนำ โดยอ้างอิงจากข้อมูลทั่วไปและความเหมาะสมในปี 2025:

### สเปคคอมพิวเตอร์ (เฉพาะเคส ไม่รวมจอ, คีย์บอร์ด, เมาส์)
1. **CPU**: Intel Core Ultra 5 245K (LGA 1851) 
   - ราคาประมาณ: 10,500 บาท 
   - เหตุผล: Core Ultra 5 245K เป็น CPU รุ่นใหม่ในตระกูล Arrow Lake (LGA 1851) ที่ออกแบบมาเพื่อประสิทธิภาพสูง รองรับทั้งการเล่นเกมและงาน AI มีคอร์/เธรดเพียงพอสำหรับงาน multithreaded และการประมวลผล ML (machine learning) เบื้องต้น[](https://notebookspec.com/web/644845-5-pc-15000-commart-2022)

2. **เมนบอร์ด**: MSI PRO Z890-P WIFI 
   - ราคาประมาณ: 7,000 บาท 
   - เหตุผล: รองรับซ็อกเก็ต LGA 1851, ชิปเซ็ต Z890, มีฟีเจอร์ครบ เช่น PCIe 5.0, รองรับ DDR5, และ Wi-Fi ในตัว เหมาะสำหรับการอัพเกรดในอนาคตและงานที่ต้องการการเชื่อมต่อที่เสถียร

3. **GPU**: NVIDIA GeForce RTX 3050 6GB 
   - ราคาประมาณ: 8,000 บาท 
   - เหตุผล: RTX 3050 เหมาะกับงบจำกัด รองรับการเล่นเกมระดับ Full HD (1080p) ลื่นไหลในเกมยอดนิยม เช่น Valorant, DOTA 2, หรือ GTA V และมี CUDA cores สำหรับงาน AI/ML ที่ใช้ CUDA-based frameworks เช่น TensorFlow หรือ PyTorch[](https://notebookspec.com/web/644845-5-pc-15000-commart-2022)

4. **RAM**: DDR5 16GB (8GBx2) 5200MHz 
   - ราคาประมาณ: 4,000 บาท 
   - เหตุผล: DDR5 ให้แบนด์วิดท์สูง เหมาะกับงาน AI และการเล่นเกมที่ต้องการแรมเร็ว การใช้ 2 แถว (Dual-channel) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ 16GB เพียงพอสำหรับงาน AI เบื้องต้นและการเล่นเกม[](https://notebookspec.com/web/644845-5-pc-15000-commart-2022)

5. **Storage**: Kingston NV2 500GB NVMe M.2 SSD 
   - ราคาประมาณ: 2,500 บาท 
   - เหตุผล: SSD NVMe ให้ความเร็วในการโหลดเกมและระบบปฏิบัติการ 500GB เพียงพอสำหรับติดตั้งเกมและซอฟต์แวร์ AI เบื้องต้น[](https://notebookspec.com/web/644845-5-pc-15000-commart-2022)

6. **Power Supply**: 650W 80+ Bronze (เช่น Gigabyte หรือ Cooler Master) 
   - ราคาประมาณ: 2,500 บาท 
   - เหตุผล: 650W รองรับการ์ดจอและ CPU ในสเปคนี้ และเผื่อสำหรับการอัพเกรดในอนาคต 80+ Bronze ช่วยประหยัดไฟและมีความน่าเชื่อถือ

7. **เคส**: Montech AIR 100 ARGB (หรือเคสข้างใสราคาประหยัด) 
   - ราคาประมาณ: 2,000 บาท 
   - เหตุผล: เคสคุณภาพดี มีระบบระบายอากาศเพียงพอ มาพร้อมพัดลมและไฟ RGB ช่วยให้ดูสวยงามและระบายความร้อนได้ดี[](https://notebookspec.com/web/644845-5-pc-15000-commart-2022)

### ราคารวม
- CPU: 10,500 บาท
- เมนบอร์ด: 7,000 บาท
- GPU: 8,000 บาท
- RAM: 4,000 บาท
- Storage: 2,500 บาท
- Power Supply: 2,500 บาท
- เคส: 2,000 บาท
- **รวมทั้งสิ้น**: 36,500 บาท (เหลือเงินประมาณ 3,500 บาท)

### คำแนะนำเพิ่มเติม
- **สำหรับการเล่นเกม**: สเปคนี้สามารถเล่นเกมในระดับ Full HD (1080p) ได้ลื่นไหลในเกมส่วนใหญ่ เช่น Valorant, DOTA 2, หรือ PUBG และบางเกมหนักๆ เช่น GTA V หรือ Cyberpunk 2077 ที่การตั้งค่าปานกลาง  [](https://notebookspec.com/web/644845-5-pc-15000-commart-2022)
- **สำหรับงาน AI**: RTX 3050 รองรับงาน AI/ML เบื้องต้นได้ดี โดยเฉพาะกับ frameworks ที่ใช้ CUDA เช่น TensorFlow หรือ PyTorch หากต้องการงาน AI ที่หนักกว่านี้ (เช่น training โมเดลขนาดใหญ่) อาจต้องเพิ่มงบสำหรับ GPU ที่แรงขึ้น (เช่น RTX 3060) 
- **เงินที่เหลือ (3,500 บาท)**: สามารถใช้เพิ่ม SSD ขนาด 1TB หรือพัดลมระบายความร้อนเพิ่มเติมเพื่อให้ระบบเย็นและเงียบขึ้น 
- **ประกอบเอง vs ร้านประกอบ**: หากไม่มั่นใจในการประกอบเอง แนะนำให้ใช้บริการร้าน เช่น JIB หรือ Advice ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเล็กน้อย แต่สะดวกและมั่นใจในคุณภาพ  [](https://www.jib.co.th/web/pcsetspec/main)

### หมายเหตุ
- ราคาอาจแตกต่างกันเล็กน้อยขึ้นอยู่กับร้านและโปรโมชั่นในปี 2025 (เช่น ที่ JIB, Advice หรือ Shopee) ควรเช็คราคาจากร้านค้าออนไลน์ก่อนซื้อ  [](https://notebookspec.com/web/627617-pc-spec-40000-dec-2021)[](https://www.jib.co.th/web/pcsetspec/main)
- หากต้องการเน้นงาน AI มากขึ้น (เช่น training โมเดล ML ขนาดใหญ่) แนะนำให้เพิ่มงบสำหรับ GPU ที่แรงกว่านี้ หรือพิจารณา AMD Ryzen 7000 series ซึ่งอาจถูกลงในบางร้าน
-------------------------------------------------


#134
เพลง **"เต้ยสาวจันทร์กั้งโกบ"** หรือชื่อสั้นว่า **"สาวจันทร์กั้งโกบ"** เป็นเพลงแนว **หมอลำเต้ย** ซึ่งเปิดตัวในปี พ.ศ. 2529 ร้องโดยศิลปินลูกทุ่งหมอลำชื่อดัง **พรศักดิ์ ส่องแสง** หรือที่รู้จักในฉายา *ไอ้หนุ่มแขนซ้ายลายมังกร* โดยคำร้องและทำนองประพันธ์โดย ครูสุมทุม ไผ่ริมบึง ([Mgr Online][1])

เนื้อหาเพลงนี้สื่อถึงเรื่องราวของ "สาวจันทร์" ที่คอยมองหาแฟนเก่าด้วยท่าทางที่เรียกว่า "กั้งโกบ" (ยกมือบังตาเพื่อมองหาโดยไม่ให้แสงข้างบนรบกวน) ซึ่งถูกแฟนเชยชมแล้วทอดทิ้ง สาวจันทร์จึงเสียใจ เศร้าทรมาน และในที่สุดต้องคอยรอใครสักคนที่จะช่วยดูแล ([https://www.tnnthailand.com/][2], [Pantip][3], [Mgr Online][1])

เพลงนี้ถูกยกให้เป็น **เพลงอมตะของเพลงเต้ย** และถือเป็นผลงานที่สร้างชื่อเสียงให้พรศักดิ์ ส่องแสง ปรากฏตัวบนเวทีทั่วประเทศ และยังเป็นต้นตำรับของแนวลำเต้ยที่ผสมลูกทุ่งได้อย่างลงตัว



#135
Exness มีบัญชีผู้ให้บริการกลยุทธ์ (Strategy Provider) MT5 แล้ว

หลังจาก MT4 เปิดมาหลายปีแล้ว มี Standard , Pro ให้ลูกค้าสามารถคัดลอกได้ เริ่มต้น 10 USD

เปิดบัญชี Copy Trading ได้ที่ https://exness.com/intl/th/a/73208

มือถือ สมัครได้ที่ https://social-trading.exness.com/a/k95ja6lc/?platform=mobile
#136
Backtest ใน MT4 กับ MT5 ไม่เท่ากัน เกิดจากหลายสาเหตุหลัก ๆ ดังนี้ครับ:

1. **โครงสร้างข้อมูลราคาที่ต่างกัน**

   * MT4 ใช้ข้อมูลราคาแบบ 1 นาที (M1) เป็นหลัก และจะสร้างแท่งเทียนจากข้อมูล M1
   * MT5 รองรับข้อมูลราคาที่ละเอียดกว่ามาก เช่น Tick by Tick (ราคาทุกการเคลื่อนไหว) ทำให้การคำนวณบางอย่างละเอียดกว่า MT4

2. **วิธีการจำลองคำสั่งและกลไกการเทรดต่างกัน**

   * MT5 รองรับคำสั่งที่ซับซ้อนกว่า เช่น การเปิดคำสั่งแบบ partial fills, pending orders หลายแบบ และรองรับระบบ order matching แบบ FIFO (First In First Out)
   * MT4 ใช้ระบบคำสั่งง่ายกว่า และไม่มี FIFO ทำให้บางครั้งผลลัพธ์การเทรดอาจต่างกัน

3. **ความแม่นยำของข้อมูล Tick**

   * MT5 สามารถใช้ข้อมูล tick ที่แม่นยำกว่าและสมบูรณ์กว่า MT4 ทำให้ backtest มีความละเอียดและใกล้เคียงกับการเทรดจริงมากกว่า
   * MT4 บางครั้งจะประมาณ tick จากราคานาที ทำให้เกิดความคลาดเคลื่อน

4. **กลไกการคำนวณคอมมิชชั่นและสเปรด**

   * MT5 อาจมีการคำนวณคอมมิชชั่นหรือค่าสเปรดที่ละเอียดกว่า หรือแตกต่างกับ MT4
   * หากตั้งค่าไม่เหมือนกัน เช่น สเปรด, คอมมิชชั่น, slippage ก็ส่งผลต่อผล backtest

5. **ความแตกต่างของโค้ด EA หรือ Indicator**

   * บางครั้งโค้ดที่เขียนสำหรับ MT4 และ MT5 มีการทำงานต่างกัน เพราะภาษาที่ใช้ (MQL4 กับ MQL5) และฟังก์ชันในตัวต่างกัน
   * ส่งผลให้ logic การเข้าออกออร์เดอร์อาจต่างกัน

6. **ข้อมูลเริ่มต้น (History Data) ที่ใช้ไม่เหมือนกัน**

   * หากข้อมูลราคาใน MT4 กับ MT5 ไม่เหมือนกัน (เวลาเริ่มต้น, ความสมบูรณ์ของข้อมูล) จะทำให้ผลลัพธ์ต่างกัน

---

**สรุป**
การ backtest ใน MT5 มักจะแม่นยำกว่าเพราะใช้ข้อมูล tick ที่ละเอียดกว่าและระบบเทรดที่สมจริงกว่า แต่ก็ต้องตั้งค่าและตรวจสอบข้อมูลให้เหมือนกันในทั้งสองแพลตฟอร์ม หากต้องการผลที่ใกล้เคียงกันมาก ๆ ควรใช้ข้อมูลและตั้งค่าที่เหมือนกัน และเขียน EA ให้ทำงานเหมือนกันทั้งสองแพลตฟอร์มครับ

#137
แผนจักรพงษ์ภูวนาถ เป็นชื่อรหัสของ **แผนปฏิบัติการทางทหาร** ของกองทัพบกไทยที่ออกแบบมาเพื่อรับมือสถานการณ์บริเวณชายแดน โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา มุ่งเน้นการปกป้องอธิปไตยและความมั่นคงของชาติ รวมถึงความปลอดภัยของกำลังพลและประชาชน แผนนี้ไม่ใช่แผนเชิงรุกเพื่อยึดครองดินแดน แต่เป็นการตั้งรับและตอบโต้เพื่อป้องกันตนเองในกรณีที่เผชิญภัยคุกคาม เช่น การโจมตีหรือเหตุการณ์เช่นการวางทุ่นระเบิด

ชื่อแผนมาจาก **สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ** พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ผู้ทรงมีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานยุทธศาสตร์ทหารสมัยใหม่ของไทย และเป็นพระบิดาแห่งกองทัพอากาศไทย แผนนี้เคยถูกนำมาใช้ในเหตุการณ์ปะทะบริเวณเขาพระวิหารในปี พ.ศ. 2554 ซึ่งสามารถจัดการสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หลักการสำคัญของแผน:
- **ปกป้องอธิปไตยและความมั่นคง**: รักษาผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ
- **ปกป้องกำลังพลและประชาชน**: เน้นความปลอดภัยในพื้นที่ชายแดน
- **แก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ**: ดำเนินการตามขั้นตอนที่มีแบบแผนและประสิทธิภาพ

แผนนี้ครอบคลุมการเตรียมความพร้อมของกำลังพลและยุทโธปกรณ์ การประสานงานด้านข่าวกรอง และการตอบโต้อย่างเหมาะสมตามระดับภัยคุกคาม โดยไม่นำไปสู่การประกาศสงครามหรือระดมพลทั่วประเทศ.
#138
**ขี้ตาแข็ง** หรือ **ขี้ตาแห้งกรัง** มักเป็นอาการที่พบได้บ่อยในตอนเช้า ซึ่งอาจเกิดจากหลายสาเหตุ ทั้งปกติและผิดปกติของดวงตา โดยสรุปดังนี้:

---

### ✅ **สาเหตุของขี้ตาแข็ง**

1. **กระบวนการทำความสะอาดดวงตาตามธรรมชาติ**

   * ขี้ตาเป็นสารที่เกิดจากน้ำตา, น้ำมันจากต่อมในเปลือกตา, เซลล์ผิวหนังที่ตาย และฝุ่นละออง
   * ขี้ตาอาจแห้งและแข็งได้ตอนตื่นเช้า เพราะขณะนอนหลับไม่มีการกระพริบตาไล่สิ่งสกปรก

2. **การอักเสบของเปลือกตา (Blepharitis)**

   * ต่อมไขมันที่ขอบเปลือกตาอุดตัน ทำให้ขี้ตามาก แข็ง แห้ง และมีกลิ่นเหม็น
   * มักมีอาการร่วม เช่น แสบตา แดง คัน ขนตาร่วง

3. **ตาแห้ง (Dry Eye Syndrome)**

   * ดวงตาผลิตน้ำตาน้อยหรือคุณภาพน้ำตาไม่ดี ทำให้มีขี้ตาแข็งหรือเหนียวขาว

4. **ติดเชื้อที่ตา เช่น เยื่อบุตาอักเสบ (Conjunctivitis)**

   * ขี้ตามาก เหนียว หนา อาจมีสีเขียวหรือเหลือง
   * ตาแดง แสบ คัน บวม เจ็บ หรือเปลือกตาติดกันตอนตื่น

5. **ภูมิแพ้ (Allergic Conjunctivitis)**

   * มีขี้ตาใสปนเหนียว คันตามาก น้ำตาไหล และจาม

---

### 🛠� **แนวทางการรักษาและป้องกัน**

1. **ล้างตาอย่างสม่ำเสมอ**

   * ใช้สำลีชุบน้ำอุ่นเช็ดเบาๆ ที่เปลือกตาและขอบตา โดยเฉพาะหลังตื่นนอน

2. **ประคบอุ่นที่เปลือกตา**

   * ช่วยเปิดรูขุมขน ลดการอุดตันของต่อมไขมัน

3. **พักสายตาและหลีกเลี่ยงหน้าจอนานเกินไป**

   * ลดภาวะตาแห้ง ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดขี้ตาแข็ง

4. **ใช้ยาหยอดตา**

   * ถ้าตาแห้ง: ใช้น้ำตาเทียม
   * ถ้าสงสัยติดเชื้อ: ควรพบจักษุแพทย์เพื่อรับยาปฏิชีวนะ

5. **รักษาความสะอาดรอบดวงตา**

   * ล้างหน้าให้สะอาดทุกเช้า-เย็น ไม่ใช้เครื่องสำอางที่หมดอายุ

6. **พบแพทย์**

   * หากมีอาการผิดปกติ เช่น ขี้ตามาก ตาแดง ตาบวม หรือเจ็บตา ควรไปพบจักษุแพทย์

---

### 📌 สรุป

ขี้ตาแข็งอาจเป็นเพียงเรื่องธรรมชาติ แต่ถ้าเกิดบ่อย มีปริมาณมาก หรือมีอาการร่วมผิดปกติ เช่น ตาแดง แสบ ควรรีบตรวจเช็ก เพราะอาจเป็นสัญญาณของโรคตา เช่น การอักเสบหรือการติดเชื้อ

-------------------------------------------------
#139
ในบริบทของ **ChatGPT** และ **OpenAI**
คำว่า **"API Platform"** หมายถึง:

---

## 🔧 **OpenAI API Platform คืออะไร?**

คือ **แพลตฟอร์มที่ให้บริการ API** สำหรับนักพัฒนา, ธุรกิจ, หรือแอปต่าง ๆ เพื่อนำความสามารถของ AI (เช่น GPT, DALL·E, Whisper, และ Sora) ไปใช้ในระบบของตัวเอง

> 📌 **API = Application Programming Interface**
> เป็น "สะพานเชื่อม" ให้ระบบภายนอก (แอป, เว็บไซต์, ซอฟต์แวร์) สามารถสื่อสารกับโมเดล AI ของ OpenAI ได้

---

## ✅ **บริการหลักใน OpenAI API Platform**

| โมเดล                          | ความสามารถ              | ตัวอย่าง                        |
| ------------------------------ | ----------------------- | ------------------------------- |
| `GPT`                          | ประมวลผลภาษา            | แชตบอต, สรุปข้อความ, เขียนอีเมล |
| `DALL·E`                       | สร้างภาพจากข้อความ      | ออกแบบภาพ, ปกหนังสือ            |
| `Whisper`                      | แปลงเสียงพูดเป็นข้อความ | ถอดเสียง, สร้างคำบรรยาย         |
| `Sora` *(ยังไม่เปิดให้ทั่วไป)* | สร้างวิดีโอจากข้อความ   | สร้างคลิปโปรโมต, วิดีโอสั้น     |

---

## 💡 ตัวอย่างการใช้ API

```python
import openai

openai.api_key = "your-api-key"

response = openai.ChatCompletion.create(
  model="gpt-4",
  messages=[{"role": "user", "content": "แปลประโยคนี้เป็นอังกฤษ: ฉันชอบเที่ยวภูเขา"}]
)

print(response["choices"][0]["message"]["content"])
```

---

## 🌐 ที่เข้าใช้งานได้

* เว็บไซต์หลัก: [https://platform.openai.com](https://platform.openai.com)
* ใช้สมัคร API Key และจัดการ Billing, Usage
* มีเอกสารและตัวอย่าง: [https://platform.openai.com/docs](https://platform.openai.com/docs)

---

## 🧠 ใช้ในกรณีไหน?

* บริษัทสร้างแชตบอทลูกค้า
* แอปมือถือที่ต้องการแปลภาษา
* เว็บไซต์ที่ต้องการสรุปบทความ
* โปรแกรมตัดต่อเสียง/วิดีโอที่ใช้ AI

---

## 💲 ค่าใช้จ่าย

* คิดตามปริมาณการใช้งาน (token/ภาพ/นาทีเสียง)
* แต่ละโมเดลมีราคาต่างกัน
* ต้อง **สมัครบัตรเครดิต** เพื่อเริ่มต้นใช้งาน

-------------------------------------------
#140
**Sora** ในบริบทของ ChatGPT คือเทคโนโลยี **สร้างวิดีโอจากข้อความ (text-to-video)** ที่พัฒนาโดย **OpenAI** ซึ่งเป็นระบบ AI ขั้นสูงที่สามารถสร้างวิดีโอคุณภาพสูงจากคำบรรยายธรรมดาได้ภายในไม่กี่วินาที

### จุดเด่นของ Sora:

* ✅ **ป้อนข้อความ (prompt)** เช่น "เด็กผู้หญิงวิ่งเล่นในทุ่งดอกไม้ตอนพระอาทิตย์ตก" → ได้วิดีโอจริงตามนั้น
* ✅ ความยาววิดีโอสูงสุดถึง **1 นาที**
* ✅ เข้าใจ **การเคลื่อนไหว 3 มิติ**, พื้นผิว, แสงเงา, และ **ฟิสิกส์ของโลกจริง**
* ✅ รองรับ **การใส่ภาพประกอบ** เพื่อช่วยให้ผลลัพธ์แม่นยำขึ้น (image + prompt)

---

### แล้ว ChatGPT ใช้ Sora ได้หรือไม่?

**ตอนนี้ (กรกฎาคม 2025):**

* Sora **ยังไม่เปิดให้ใช้งานกับผู้ใช้ทั่วไป** หรือใน ChatGPT แบบปกติ
* **ผู้ใช้บางกลุ่ม** เช่นนักพัฒนา, นักวิจัย หรือทีมงานพิเศษของ OpenAI เท่านั้นที่สามารถเข้าถึง
* แต่ **ChatGPT Pro/Plus** จะมีสิทธิ์เข้าถึงก่อนเมื่อเปิดใช้งานสาธารณะ

---

### เปรียบเทียบความสามารถ:

| เทคโนโลยี | ความสามารถ                               |
| --------- | ---------------------------------------- |
| DALL·E    | สร้างภาพนิ่งจากข้อความ                   |
| Sora      | สร้างวิดีโอจากข้อความ                    |
| Whisper   | แปลงเสียงพูดเป็นข้อความ (speech-to-text) |
| GPT       | ประมวลผลและสร้างข้อความอัจฉริยะ          |

-------------------------------------
#141
ในปี **2025** การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด (จนถึงกลางปี) ขึ้นอยู่กับประเภทของสินทรัพย์และระดับความเสี่ยงที่นักลงทุนยอมรับได้ โดยสามารถแบ่งออกได้เป็นกลุ่มหลัก ๆ ดังนี้:

---

### 🔥 **Top 5 การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดในปี 2025 (จนถึงไตรมาส 2)**

| ประเภทการลงทุน                     | ตัวอย่าง                           | ผลตอบแทนโดยประมาณ (YTD) | หมายเหตุ                                                |
| ---------------------------------- | ---------------------------------- | ----------------------- | ------------------------------------------------------- |
| **หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ**            | Nvidia, Super Micro Computer, Meta | +50% ถึง +90%           | ได้แรงหนุนจาก AI และ Data Center                        |
| **คริปโตเคอร์เรนซี**               | Bitcoin, Ethereum, Solana          | +60% ถึง +100%          | ราคาพุ่งจาก ETF Bitcoin และความหวังต่อ Ethereum ETF     |
| **ทองคำ**                          | Gold Spot, กองทุนทองคำ             | +10% ถึง +15%           | ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง & ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ |
| **หุ้นเวียดนาม/อินเดีย**           | VNI, Nifty50                       | +15% ถึง +25%           | เศรษฐกิจเติบโตสูง และต่างชาติไหลเข้า                    |
| **กองทุนหุ้น AI/กองทุน Megatrend** | ARK, TISCO AI, SCBSEMI             | +20% ถึง +35%           | นักลงทุนหวังในอนาคตของ AI และ Automation                |

---

### 📌 ปัจจัยที่มีผลต่อผลตอบแทนในปี 2025

1. **ดอกเบี้ยสหรัฐฯ**: คาดว่าจะเริ่มลดปลายปี → หนุนหุ้นและทองคำ
2. **สงคราม & ความตึงเครียดโลก**: ทำให้ทองคำและ Bitcoin เป็นที่พักเงิน
3. **AI & เทคโนโลยี**: กลายเป็นเมกะเทรนด์ต่อเนื่อง
4. **เศรษฐกิจประเทศกำลังพัฒนา**: เช่น อินเดีย เวียดนาม มีแรงเติบโตสูง

---

### ✅ สรุป: หากคุณรับความเสี่ยงได้สูง

* **Bitcoin / หุ้น AI / หุ้นเทคโนโลยี** → ให้ผลตอบแทนสูงสุด
* หากรับความเสี่ยงกลาง ๆ → **ทองคำ / หุ้นเวียดนาม / กองทุนเมกะเทรนด์**
* หากเน้นความปลอดภัย → **เงินฝาก, ตราสารหนี้ระยะสั้น** จะให้ผลตอบแทนราว 2.5–4.0% ต่อปี
---------------------------------------------------------
#142
ถ้าคุณต้องการเขียนแอปมือถือแบบง่ายที่สุด เหมาะกับผู้เริ่มต้น หรือคนที่ไม่มีพื้นฐานการเขียนโค้ดมากนัก ตัวเลือกที่ดีที่สุดมีอยู่หลายตัว ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยากทำแอปแบบไหน และต้องการให้รันได้ทั้ง iOS และ Android หรือไม่

## ✅ ตัวเลือกง่ายที่สุด (ไม่ต้องเขียนโค้ด หรือเขียนน้อยมาก)

### 1. **FlutterFlow**

* ✅ พัฒนาแอปได้ทั้ง Android และ iOS
* ✅ ใช้ระบบลากวาง (Drag-and-drop)
* ✅ มีระบบเชื่อมต่อ Firebase ง่าย
* ❗ พื้นฐานควรเข้าใจ logic หรือโครงสร้างแอปเบื้องต้น
* ✅ มีตัวสร้างโค้ด Flutter ให้อัตโนมัติ
* [https://flutterflow.io](https://flutterflow.io)

### 2. **Thunkable**

* ✅ พัฒนาแอปแบบ No-code
* ✅ รันได้ทั้ง Android และ iOS
* ✅ ลากวางและเขียน logic แบบ block (คล้าย Scratch)
* ❗ เหมาะกับแอปง่าย-ปานกลาง
* [https://thunkable.com](https://thunkable.com)

### 3. **Adalo**

* ✅ No-code ใช้ง่าย
* ✅ สร้างแอปแบบธุรกิจ, บริการ, ระบบสมาชิก
* ❗ ความสามารถจำกัดกว่าบางตัว
* [https://www.adalo.com](https://www.adalo.com)

---

## ✅ ตัวเลือกที่ง่าย แต่ใช้โค้ดบ้าง (เรียนรู้ได้เร็ว)

### 4. **Flutter (ใช้ Dart)**

* ✅ พัฒนาแอป Android/iOS จากโค้ดชุดเดียว
* ✅ มี Widget ให้ใช้งานมาก
* ❗ ต้องเขียนโค้ด แต่เอกสารดีมาก เหมาะกับคนเรียนรู้จริงจัง
* ✅ มีคอร์ส/วิดีโอสอนเยอะมาก (ภาษาไทยก็มี)

### 5. **React Native (ใช้ JavaScript)**

* ✅ พัฒนา Android/iOS ด้วยภาษาเดียวกัน
* ✅ เหมาะกับคนที่เคยเขียนเว็บ (React)
* ❗ ต้องติดตั้ง Node.js, IDE ต่าง ๆ เอง

---

## ✅ แนะนำสำหรับผู้เริ่มต้นจริง ๆ:

| ประสบการณ์               | แนะนำให้ใช้                        |
| ------------------------ | ---------------------------------- |
| ไม่มีพื้นฐานเลย          | **Thunkable** หรือ **FlutterFlow** |
| เคยเขียนเว็บมาบ้าง       | **React Native** หรือ **Flutter**  |
| อยากทำแบบมืออาชีพในอนาคต | เริ่มเรียน **Flutter**             |

-------------------------------------------------
#143
ความสุขสูงสุดของชีวิตสำหรับ **คนทั่วไป** (ที่ไม่จำเป็นต้องยึดตามศาสนาใดโดยเฉพาะ) มักจะแตกต่างกันไปตามประสบการณ์ ความเชื่อ และคุณค่าชีวิตที่แต่ละคนยึดถือ แต่สามารถสรุปแนวโน้มหลัก ๆ ได้ดังนี้:

---

### ✅ **1. ความรักและความสัมพันธ์ที่ดี**

* การมีครอบครัวที่อบอุ่น คนรักที่เข้าใจ และเพื่อนที่จริงใจ
* เป็นแหล่งพลังใจหลักของหลายคน
* งานวิจัยมากมายชี้ว่า *ความสัมพันธ์ที่มีคุณภาพ* คือปัจจัยสำคัญของความสุขระยะยาว

---

### ✅ **2. สุขภาพกายและใจที่ดี**

* การมีร่างกายแข็งแรง ปราศจากโรค และจิตใจที่สงบ ไม่เครียด
* สุขภาพดีทำให้ใช้ชีวิตได้เต็มที่ และเพลิดเพลินกับสิ่งรอบตัว

---

### ✅ **3. การมีเป้าหมายและความหมายในชีวิต**

* การได้ทำสิ่งที่รัก มีเป้าหมายชัดเจน รู้สึกว่าชีวิตตนเอง "มีคุณค่า"
* ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การเลี้ยงลูก การช่วยเหลือสังคม ฯลฯ

---

### ✅ **4. อิสรภาพและความมั่นคง**

* การมีเสรีภาพในการเลือกชีวิตของตนเอง
* มีความมั่นคงด้านการเงิน พอเพียง และไม่เป็นหนี้

---

### ✅ **5. ความสงบภายใน (Peace of Mind)**

* การมีความสุขจากภายใน ไม่ขึ้นกับสิ่งภายนอก
* ปล่อยวางอดีต ไม่กังวลอนาคต ยอมรับตัวเองในปัจจุบัน

---

### ✅ **6. การได้เรียนรู้และเติบโต**

* ความสุขจากการพัฒนาตัวเอง การประสบความสำเร็จในสิ่งที่พยายาม
* ความภาคภูมิใจในสิ่งที่ตนทำได้และเป็นอยู่

---

### 📌 สรุปสั้น ๆ:

> **"ความสุขสูงสุดของชีวิตคนทั่วไป คือการมีความสงบสุขภายใน ท่ามกลางความรัก ความมั่นคง และความหมายในสิ่งที่ทำ"**

-------------------------------------------

ความสุขสูงสุดของชีวิต แบ่งตามศาสนา คืออะไร

ความสุขสูงสุดของชีวิต ตามแต่ละศาสนาแตกต่างกันไปตามหลักคำสอนและมุมมองเกี่ยวกับชีวิต จิตวิญญาณ และเป้าหมายสูงสุดของมนุษย์ โดยสรุปหลักๆ ได้ดังนี้:

---

### 1. **ศาสนาพุทธ**

* **ความสุขสูงสุด:** *นิพพาน*
* **คำอธิบาย:** เป็นการดับกิเลส ตัณหา และความทุกข์ทั้งปวง ไม่เวียนว่ายตายเกิดอีก อยู่เหนือความสุขแบบโลกีย์ (ทางโลก) ถือเป็นความสงบเย็นอย่างแท้จริง

---

### 2. **ศาสนาคริสต์**

* **ความสุขสูงสุด:** *การได้อยู่ร่วมกับพระเจ้าในสวรรค์ชั่วนิรันดร์*
* **คำอธิบาย:** ชีวิตนิรันดร์ในพระหัตถ์ของพระเจ้า โดยยึดตามความเชื่อ ความรัก และการกระทำที่ดีบนพื้นฐานของคำสอนของพระเยซู

---

### 3. **ศาสนาอิสลาม**

* **ความสุขสูงสุด:** *การเข้าสวรรค์ (Jannah) และอยู่ใกล้ชิดพระเจ้า (อัลลอฮ์)*
* **คำอธิบาย:** ผลแห่งศรัทธาในพระเจ้าและการทำความดีตามคัมภีร์กุรอานและฮะดิษ โดยการดำเนินชีวิตตามหลักศาสนาอิสลาม

---

### 4. **ศาสนาฮินดู**

* **ความสุขสูงสุด:** *โมกษะ (Moksha)*
* **คำอธิบาย:** การหลุดพ้นจากวัฏสงสาร (สังสารวัฏ) และรวมเป็นหนึ่งกับพรหมัน (Brahman) ซึ่งเป็นจิตวิญญาณสูงสุด

---

### 5. **ศาสนาเชน**

* **ความสุขสูงสุด:** *โมกษะ (เหมือนฮินดู)*
* **คำอธิบาย:** การหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด โดยการละเว้นบาป ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ และดำเนินชีวิตด้วยอหิงสา (ไม่เบียดเบียน)

---

### 6. **ศาสนาเต๋า (Daoism)**

* **ความสุขสูงสุด:** *การดำเนินชีวิตอย่างกลมกลืนกับ "เต๋า"*
* **คำอธิบาย:** การเป็นอิสระจากความปรุงแต่งของโลก วางจิตใจให้สงบ และอยู่กับธรรมชาติอย่างสมดุล

---

### 7. **ศาสนาซิกข์**

* **ความสุขสูงสุด:** *การหลอมรวมกับพระเจ้า (Waheguru)*
* **คำอธิบาย:** การละอัตตา ดำเนินชีวิตด้วยความรัก เมตตา และการรับใช้ผู้อื่น

-------------------------------------
#144
นี่เป็นภาพรวมของ **รถยนต์ใหม่มือหนึ่งในไทย ปี 2568 (2025)** ที่เปิดตัวหรือวางจำหน่ายแล้ว รวมถึงราคารุ่นต่าง ๆ โดยแบ่งเป็นกลุ่มหลักเพื่อความเข้าใจง่ายครับ:

---

## 🚗 กลุ่มเฉพาะเลือกคุ้ม – รุ่นราคาประหยัด

* **Suzuki Celerio**
  • เปิดตัวด้วยรุ่น GL CVT ราคา 379,900 บาท ([CAR250][1], [kapook.com][2])

* **MG EP Plus (EV แวกอน)**
  • รุ่นเดียว ราคา 469,900 บาท ([kapook.com][2])

* **BYD Dolphin (EV แฮตช์แบ็ก)**
  • Standard Range ราคา 499,900 บาท ([kapook.com][2])

* **Aion UT (EV แฮตช์แบ็ก)**
  • เปิดราคาประมาณ 500,000 บาท (โปรโมชั่น) – คาดราคา 510,000+ บาท ([kapook.com][2])

* **Suzuki Swift GL**
  • ราคา 567,000 บาท ([kapook.com][2], [CAR250][1])

* **MG4 Electric**
  • Standard Range D ราคา 569,900 บาท ([kapook.com][2])

* **MG3 Hybrid+ D**
  • ราคา 579,900 บาท ([kapook.com][2])

* **MG5 (ซีดาน)**
  • รุ่น 10TH SE ราคา 589,900 บาท และรุ่นเบนซินรวม 559,000–689,000 บาท ([kapook.com][2])

---

## 🔋 กลุ่ม Hybrid / ไฟฟ้า อีกระดับ (ราคาเกิน 6 แสนถึง 1 ล้าน)

* **Honda City e:HEV**
  • รุ่น Hatchback e:HEV SV 729,000 บาท, RS 799,000 บาท
  • รุ่น Sedan e:HEV SV 769,000 บาท, RS 839,000 บาท ([ประกันติดโล่][3])

* **Mitsubishi Xpander HEV**
  • ราคา 933,000 บาท ([ประกันติดโล่][3])

* **Toyota Yaris Cross HEV**
  • รุ่น Smart 789,000 บาท, Premium 849,000 บาท, Premium Luxury 899,000 บาท ([ประกันติดโล่][3])

* **MG VS HEV**
  • กำลัง 177 แรงม้า อัตราสิ้นเปลือง \~24.4 กม./ล. ราคาประมาณไม่เกินล้าน ([ประกันติดโล่][3])

* **BYD Sealion 6 DM‑i PHEV**
  • ราคา 939,000–1,039,000 บาท ([CAR250][1])

---

## ⚡ กลุ่ม EV เน้นแรง & ยอดนิยม (1–2 ล้าน+)

* **OMODA C5 EV**
  • ราคา 899,000–949,000 บาท, วิ่งได้ \~505 กม./ชาร์จ NEDC ([CAR250][1])

* **XPENG G6 (EV)**
  • ราคา 1.43–1.59 ล้านบาท ([CAR250][1])

* **Zeekr X**
  • ราคา 1.1–1.3 ล้านบาท (คาด) วิ่ง \~445 กม./ชาร์จ WLTP ([CAR250][1])

* **KIA EV5**
  • ราคา 1.29–1.79 ล้านบาท ([CAR250][1])

* **BYD Dolphin บางข้อมูลระบุ 569,000–709,900 บาท** ([CAR250][1])

---

## 🚙 กลุ่ม SUV / PPV / ซีดาน ขนาดกลาง–ใหญ่ (1–4 ล้าน+)

* **Isuzu MU‑X Minorchange**
  • ราคา 1.184–1.759 ล้านบาท ([Wikipedia][4])

* **Toyota Corolla Altis (เซกเมนต์ C)**
  • รุ่น 1.6 G 894,000 บาท, 1.8 Sport 979,000, HEV Premium 1.009 ล้าน, HEV GR Sport 1.129 ล้านบาท ([Autospinn.com][5])

* **Toyota Camry (D-segment)**
  • Sport 1.475 ล้าน, HEV Premium 1.659 ล้าน, HEV Premium Luxury 1.809 ล้านบาท ([Autospinn.com][5])

* **Hyundai Santa Fe 2025**
  • Exclusive 1.599 ล้าน, Premium 1.699 ล้าน, Prestige 1.749 ล้านบาท ([เช็คราคา.คอม][6])

* **MG Maxus 9 Plus**
  • ราคา 1.799 ล้านบาท ([เช็คราคา.คอม][6])

* **BMW ซีรีส์ 4 Coupe**
  • 420i M Sport 3.599 ล้าน, 430i M Sport 4.099 ล้าน, 430i Convertible 4.499 ล้านบาท ([Car Reviews 2025-2026][7], [autoinfo.co.th][8])

* **MG Cyberster (EV สปอร์ต)**
  • ราคา 2.499 ล้านบาท ([TQM Insurance Broker][9])

* **Mercedes‑Benz EQE & EQS SUV**
  • EQE 300 ≈3.97 ล้าน, EQS SUV ≈5.99 ล้านบาท ([CAR250][1])

* **Tesla Model Y (ไมเนอร์เชนจ์)**
  • ราคา 981,000–2.01 ล้านบาท ([CAR250][10])

* **Ford Ranger Raptor**
  • ราคา 1.699–1.954 ล้านบาท ([CAR250][10])

* **Ford Everest V6**
  • Platinum V6 3.0T ราคา 2.284 ล้านบาท ([CAR250][10])

---

### 📌 สรุปแนวราคา

| ช่วงราคา (บาท) | แนวรุ่นที่น่าสนใจ                                              |
| -------------- | -------------------------------------------------------------- |
| 3–6 แสน        | Suzuki Celerio, MG3 Hybrid+, MG EP, BYD Dolphin                |
| 6–9 แสน        | Honda City e\:HEV, Yaris Cross HEV, MG VS, Aion, OMODA C5 EV   |
| 9 แสน–1.3 ล้าน | Mitsubishi Xpander HEV, BYD Sealion PHEV, XPENG G6             |
| 1.3–2 ล้าน     | Hyundai Santa Fe, MG Maxus9, Tesla Model Y, Ford Ranger Raptor |
| > 2 ล้าน       | BMW ซีรีส์ 4, Mercedes EQE/EQS, MG Cyberster                   |

-------------------------------------------------------
#145
การมีอายุยืนอย่างมีคุณภาพ (อายุยืนและสุขภาพดี) ไม่ใช่เรื่องของโชคเพียงอย่างเดียว แต่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ดีต่อสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ โดยเคล็ดลับสำคัญมีดังนี้:

---

### ✅ 1. **กินอาหารให้เหมาะสม**

* **เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช ถั่ว เมล็ดพืช** — เต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ
* **ลดน้ำตาล แป้งขัดสี อาหารแปรรูป** — เพื่อลดความเสี่ยงของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง
* **ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์เหมาะสม** (BMI 18.5-24.9)

---

### ✅ 2. **ออกกำลังกายสม่ำเสมอ**

* เดินเร็ว, วิ่ง, ว่ายน้ำ, ปั่นจักรยาน หรือโยคะ อย่างน้อย **วันละ 30 นาที สัปดาห์ละ 5 วัน**
* เพิ่มกิจกรรมกล้ามเนื้อ เช่น ยกน้ำหนัก หรือฝึกแรงต้าน **สัปดาห์ละ 2 ครั้ง**

---

### ✅ 3. **นอนหลับให้เพียงพอ**

* ผู้ใหญ่ควรนอน **วันละ 7–8 ชั่วโมง**
* สร้างนิสัยนอนเป็นเวลา งดดูจอมือถือก่อนนอน

---

### ✅ 4. **ลดความเครียด และดูแลสุขภาพจิต**

* ฝึกสมาธิ หายใจลึก ๆ หรือทำกิจกรรมที่ชอบ
* พูดคุยกับครอบครัว เพื่อน หรือเข้าร่วมกลุ่มสังคม

---

### ✅ 5. **ตรวจสุขภาพประจำปี**

* ตรวจเลือด, ความดัน, เบาหวาน, ไขมัน, ตับ, ไต ฯลฯ
* ตรวจคัดกรองมะเร็งตามวัย เช่น มะเร็งเต้านม ปากมดลูก ลำไส้

---

### ✅ 6. **งดสูบบุหรี่ และไม่ดื่มแอลกอฮอล์เกินขนาด**

* บุหรี่ทำให้อายุสั้นลง 10-15 ปีโดยเฉลี่ย
* แอลกอฮอล์ควรดื่มในปริมาณที่เหมาะสม เช่น ไม่เกินวันละ 1 แก้วสำหรับผู้หญิง 2 แก้วสำหรับผู้ชาย

---

### ✅ 7. **ฝึกสมองและเรียนรู้สิ่งใหม่**

* อ่านหนังสือ หัดภาษาใหม่ เล่นดนตรี เล่นเกมฝึกสมอง เช่น Sudoku, หมากรุก

---

### ✅ 8. **ใช้ชีวิตแบบมีเป้าหมาย (Ikigai แบบญี่ปุ่น)**

* ทำสิ่งที่รัก สิ่งที่ถนัด และเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ช่วยสร้างความสุขและคุณค่าในชีวิต

---

### ✅ 9. **ใกล้ชิดธรรมชาติ**

* เดินเล่นในสวน ออกต่างจังหวัด สูดอากาศบริสุทธิ์ ลดการสัมผัสฝุ่นและมลพิษ

---

### ✅ 10. **รักษาสุขภาพช่องปาก**

* โรคเหงือกและฟันผุเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและสมองในระยะยาว

-----------------------------------------------

ได้เลยครับ! สำหรับผู้ชายอายุ 46 ปี น้ำหนัก 87 กิโลกรัม (หากสูงประมาณ 173 ซม.) น้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ **"เกือบเกินมาตรฐาน" (BMI ประมาณ 29)** เป้าหมายที่ดีคือ:

* **ลดไขมัน (โดยเฉพาะหน้าท้อง)**
* **เพิ่มกล้ามเนื้อ**
* **ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ประมาณ 75–78 กก.**
* **มีพลังงาน สุขภาพดี อายุยืน**

---

## 🗓 **แผนการดูแลสุขภาพรายวัน (ปรับได้ตามวิถีชีวิต)**

### ☀️ **เช้า (06:00 – 09:00)**

✅ **ตื่นนอน – ดื่มน้ำเปล่า 1 แก้ว (300–500 ml)**
✅ **เดินเบา ๆ / ยืดเหยียด / ฝึกหายใจลึก ๆ 5–10 นาที**
✅ **อาหารเช้า (พลังงานดี โปรตีนสูง ไขมันต่ำ)**

* ข้าวกล้อง + ไข่ต้ม 2 ฟอง + ผักสด
* หรือ ข้าวโอ๊ต + ถั่ว + กล้วยหอม
* ☕ ชากาแฟไม่หวาน หรือใส่น้ำตาลน้อย

---

### 🕙 **สาย–กลางวัน (10:00 – 13:00)**

✅ ถ้ามีเวลาว่าง: เดิน/ขึ้นลงบันได/ขยับตัวทุก 30–60 นาที
✅ อาหารกลางวัน (ลดแป้งขาว / เพิ่มโปรตีน / ลดน้ำมัน)

* อกไก่ย่าง + ผักลวก + ข้าวไม่ขัดสี
* หรือ ข้าวยำ/สลัด + ปลานึ่ง
* ดื่มน้ำเปล่า ไม่ดื่มน้ำหวาน

---

### 🌤 **บ่าย (14:00 – 17:00)**

✅ เดินเบา ๆ หลังอาหาร หรือยืดเส้นเล็กน้อย
✅ ของว่างสุขภาพ (เลือก 1 อย่าง)

* ถั่วอัลมอนด์ไม่เกิน 10 เม็ด
* ผลไม้ไม่หวานจัด เช่น แอปเปิล ฝรั่ง

---

### 🌇 **เย็น (17:30 – 19:00)**

✅ **ออกกำลังกาย (อย่างน้อย 30–45 นาที)**

* วันจันทร์/พุธ/ศุกร์: เวทเทรนนิ่ง (เน้นกล้ามเนื้อ)
* วันอังคาร/พฤหัส/เสาร์: เดินเร็ว วิ่ง ปั่นจักรยาน
* วันอาทิตย์: ยืดเหยียด/โยคะ/พักฟื้น

✅ **อาหารเย็น** (เบา ไขมันต่ำ คาร์บน้อย)

* ต้มจืด + เต้าหู้ + ผัก
* หรือ ปลานึ่ง + ข้าวกล้องน้อย ๆ
* งดของทอด งดแอลกอฮอล์

---

### 🌙 **ก่อนนอน (20:00 – 22:00)**

✅ ปิดจอมือถือก่อนนอน 30 นาที
✅ อ่านหนังสือ/ฟังเพลงเบา ๆ/ฝึกสมาธิ
✅ นอนให้ได้ **อย่างน้อย 7 ชั่วโมง**

---

## 📌 เสริมพิเศษ (ทุกวัน)

* วิตามินเสริม: B-complex, D3, Omega-3 (ปรึกษาเภสัชก่อน)
* ตรวจสุขภาพปีละ 1 ครั้ง (หรือ 6 เดือนถ้ามีโรคประจำตัว)
* งดบุหรี่-แอลกอฮอล์
* มีเวลาอยู่กับครอบครัว หรือกิจกรรมผ่อนคลายจิตใจ

----------------------------------------------

#146
วิตามิน B12 (โคบาลามิน) เป็นวิตามินที่จำเป็นต่อระบบประสาท การสร้างเม็ดเลือดแดง และการสังเคราะห์ DNA หากร่างกายขาดวิตามิน B12 อาจทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย ชา เหน็บ และโลหิตจางได้

### อาหารที่มีวิตามิน B12 สูง

วิตามิน B12 พบมากในอาหารจาก **สัตว์** เช่น:

#### 1. เนื้อสัตว์

* ตับวัว (แหล่งที่ดีที่สุด)
* เนื้อวัว
* เนื้อหมู
* ไก่

#### 2. อาหารทะเล

* หอยนางรม
* หอยแมลงภู่
* ปลาซาร์ดีน
* ปลาแซลมอน
* ปลาทูน่า

#### 3. ผลิตภัณฑ์จากนม

* นมวัว
* โยเกิร์ต
* ชีส (เช่น เชดดาร์)

#### 4. ไข่

* โดยเฉพาะไข่แดง

---

### สำหรับผู้ทานมังสวิรัติหรือวีแกน

วิตามิน B12 มีน้อยมากในพืช ดังนั้นควร:

* ทานอาหารเสริมวิตามิน B12
* เลือกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีการเติม B12 เช่น:

  * นมถั่วเหลืองที่เสริม B12
  * ซีเรียลหรือขนมปังที่เติมวิตามิน B12

---

### ปริมาณที่แนะนำต่อวัน

* ผู้ใหญ่: **2.4 ไมโครกรัม/วัน**
* หญิงตั้งครรภ์: 2.6 ไมโครกรัม
* หญิงให้นมบุตร: 2.8 ไมโครกรัม

-------------------------------
#147
แน่นอน! นี่คือรายชื่อ **60 แหล่งท่องเที่ยวในประเทศไทย** ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและต่างชาติ แบ่งตามภูมิภาคเพื่อความสะดวก:

---

### 🏙� **ภาคกลาง**

1. พระบรมมหาราชวัง – กรุงเทพฯ
2. วัดพระแก้ว – กรุงเทพฯ
3. วัดอรุณฯ – กรุงเทพฯ
4. ถนนข้าวสาร – กรุงเทพฯ
5. ตลาดน้ำอัมพวา – สมุทรสงคราม
6. ตลาดน้ำดำเนินสะดวก – ราชบุรี
7. พระนครศรีอยุธยา – อยุธยา
8. วัดไชยวัฒนาราม – อยุธยา
9. ตลาดร่มหุบ – สมุทรสงคราม
10. น้ำตกเอราวัณ – กาญจนบุรี

---

### 🏝� **ภาคใต้**

11. หาดป่าตอง – ภูเก็ต
12. หาดกะตะ – ภูเก็ต
13. อ่าวมาหยา – กระบี่
14. ทะเลแหวก – กระบี่
15. เกาะพีพี – กระบี่
16. เกาะสมุย – สุราษฎร์ธานี
17. เกาะเต่า – สุราษฎร์ธานี
18. เกาะนางยวน – สุราษฎร์ธานี
19. เขื่อนรัชชประภา (เชี่ยวหลาน) – สุราษฎร์ธานี
20. เขาสก – สุราษฎร์ธานี

---

### 🏔� **ภาคเหนือ**

21. ดอยสุเทพ – เชียงใหม่
22. ดอยอินทนนท์ – เชียงใหม่
23. ดอยอ่างขาง – เชียงใหม่
24. ถนนนิมมานฯ – เชียงใหม่
25. ประตูท่าแพ – เชียงใหม่
26. ดอยแม่สลอง – เชียงราย
27. พระธาตุดอยตุง – เชียงราย
28. วัดร่องขุ่น – เชียงราย
29. วัดร่องเสือเต้น – เชียงราย
30. ดอยผ้าห่มปก – เชียงใหม่

---

### 🏞� **ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน)**

31. ผามออีแดง – ศรีสะเกษ
32. ปราสาทหินพนมรุ้ง – บุรีรัมย์
33. สามพันโบก – อุบลราชธานี
34. ผาแต้ม – อุบลราชธานี
35. เขาใหญ่ (ฝั่งนครราชสีมา) – นครราชสีมา
36. วัดป่าภูก้อน – อุดรธานี
37. วัดผาตากเสื้อ + Skywalk – หนองคาย
38. แก่งคุดคู้ – เลย
39. เชียงคาน – เลย
40. ภูเรือ – เลย

---

### 🏖� **ภาคตะวันออก**

41. พัทยา – ชลบุรี
42. เกาะล้าน – ชลบุรี
43. เขาสามมุก – ชลบุรี
44. สวนนงนุช – ชลบุรี
45. หาดเจ้าหลาว – จันทบุรี
46. อ่าวคุ้งกระเบน – จันทบุรี
47. เกาะช้าง – ตราด
48. เกาะกูด – ตราด
49. เกาะหมาก – ตราด
50. น้ำตกพลิ้ว – จันทบุรี

---

### 🏜� **ภาคตะวันตก**

51. สะพานมอญ – สังขละบุรี กาญจนบุรี
52. น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น – กาญจนบุรี
53. อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน – เพชรบุรี
54. พระนครคีรี (เขาวัง) – เพชรบุรี
55. หัวหิน – ประจวบคีรีขันธ์
56. เขาตะเกียบ – ประจวบคีรีขันธ์
57. อ่าวมะนาว – ประจวบคีรีขันธ์
58. หาดทรายรี – ชุมพร
59. คลองวาฬ – ประจวบคีรีขันธ์
60. ทะเลหมอกอัยเยอร์เวง – ยะลา

---------------------------------
#148
แน่นอน! ด้านล่างนี้คือ **30 วิธีในการประหยัดรายจ่ายและเพิ่มรายได้** แบ่งออกเป็น 2 หมวดชัดเจน:

---

## 🟢 **15 วิธีประหยัดรายจ่าย**

1. **ทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายทุกเดือน**
  เพื่อเห็นภาพรวมการเงินและควบคุมการใช้เงิน

2. **ซื้อของใช้เท่าที่จำเป็น**
  หลีกเลี่ยงการซื้อของตามอารมณ์

3. **ทำอาหารกินเองแทนการกินข้าวนอกบ้าน**
  ประหยัดได้มากกว่าครึ่ง

4. **ใช้บัตรส่วนลด หรือคูปอง**
  จากร้านค้าหรือแอปพลิเคชันต่างๆ

5. **ลดค่าไฟโดยปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าเมื่อไม่ใช้งาน**
  เช่น ถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้า

6. **ลดค่าโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ต**
  เลือกแพ็กเกจที่เหมาะสมกับการใช้งานจริง

7. **ไม่ผ่อนของฟุ่มเฟือย**
  เช่น มือถือหรือกระเป๋าแบรนด์เนม

8. **ซื้อของมือสองในบางกรณี**
  เช่น เฟอร์นิเจอร์ หรืออุปกรณ์ออกกำลังกาย

9. **หันมาใช้ขนส่งสาธารณะหรือรถร่วมมากขึ้น**
  แทนการขับรถทุกวัน

10. **ใช้ระบบผ่อน 0% อย่างระมัดระวัง**
    เฉพาะของจำเป็นที่มีแผนผ่อนชัดเจน

11. **งดดื่มเครื่องดื่มราคาแพงบ่อยๆ**
    เช่น กาแฟร้านหรู หรือชาไข่มุกบ่อยๆ

12. **ยกเลิกสมาชิกที่ไม่คุ้มค่า**
    เช่น ฟิตเนสที่ไม่ได้ไป หรือแอป subscription

13. **วางแผนก่อนช้อปปิ้งเสมอ**
    ทำลิสต์ก่อนเข้าห้างหรือซูเปอร์มาร์เก็ต

14. **ซื้อของช่วงลดราคา (อย่างมีสติ)**
    ไม่ซื้อเพราะลด แต่ซื้อเพราะต้องใช้

15. **ใช้ของเดิมให้คุ้มก่อนซื้อใหม่**
    เช่น เสื้อผ้า รองเท้า หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

---

## 🔵 **15 วิธีเพิ่มรายได้**

1. **ขายของออนไลน์**
  เช่น เสื้อผ้า อาหาร ขนม ของทำมือ

2. **รับจ้างทำงานฟรีแลนซ์**
  เช่น กราฟิกดีไซน์, เขียนบทความ, แปลภาษา

3. **เปิดคอร์สสอนพิเศษออนไลน์**
  เช่น สอนภาษา, คณิตศาสตร์ หรือทักษะเฉพาะ

4. **ลงทุนในหุ้น/กองทุนรวม (แบบมีความรู้)**
  ศึกษาก่อนและเริ่มจากจำนวนน้อย

5. **ปล่อยเช่าทรัพย์สินที่ไม่ได้ใช้**
  เช่น ห้องว่าง, รถยนต์, จักรยานยนต์

6. **รับรีวิวสินค้า หรือทำคอนเทนต์บนโซเชียล**
  เช่น YouTube, TikTok, Facebook Page

7. **เขียน E-book ขาย**
  ถ้ามีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง

8. **ทำขนม หรืออาหารขาย**
  เริ่มจากขายให้เพื่อนหรือออฟฟิศ

9. **หางานพาร์ทไทม์นอกเวลางาน**
  เช่น เสาร์-อาทิตย์

10. **ขายของไม่ใช้แล้วในบ้าน**
    ผ่านแอปฯ เช่น Kaidee, Shopee, Facebook Marketplace

11. **รับจ้างพิมพ์งาน / ทำรายงาน**
    สำหรับนักเรียนหรือนักศึกษา

12. **ปลูกต้นไม้ หรือเลี้ยงต้นไม้มงคลขาย**

13. **เข้าร่วมแบบสอบถามออนไลน์**
    บางเว็บไซต์ให้รางวัลเป็นเงินหรือแต้ม

14. **เป็นแอดมินเพจ หรือช่วยบริหารเพจให้ร้านค้า**
    ทำงานจากที่บ้านได้

15. **ทำ Dropshipping หรือ Affiliate Marketing**
    ขายสินค้าโดยไม่ต้องสต๊อกของ

--------------------------------------------------

เพื่อให้ **แผนประหยัดรายจ่ายและเพิ่มรายได้** ใช้ได้จริง ผมขอปรับให้ตรงกับ **ไลฟ์สไตล์คนวัยทำงาน** (เช่นคุณ อายุ 46 ปี สุขภาพดี ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ต้องการลดพุงและเพิ่มกล้ามเนื้อ) และอาจมีรายได้หลักจากงานประจำหรืออาชีพออนไลน์ เช่น IB Forex

---

## 🔧 **แผนการประหยัดรายจ่าย (ใช้จริงรายเดือน)**

| หมวด                          | รายละเอียด                                                        | ผลลัพธ์โดยประมาณ                          |
| ----------------------------- | ----------------------------------------------------------------- | ------------------------------------------ |
| 🛒 **อาหาร**                  | ทำอาหารเอง 70% (เช่น มื้อเช้า/เย็น), ซื้อของสดตามตลาด หรือแม็คโคร | ลดรายจ่ายจาก \~6,000 เหลือ \~3,500 บาท    |
| ☕ **เครื่องดื่ม**            | ลดกาแฟนอกบ้านเหลือ 1-2 ครั้ง/สัปดาห์, ชงเองที่บ้าน                | ลดจาก 2,000 เหลือ \~500 บาท                |
| 🚗 **การเดินทาง**            | จัดตารางใช้รถส่วนตัวเฉพาะจำเป็น / แชร์รถ / ใช้ขนส่งสาธารณะบ้าง    | ลดค่าน้ำมันลง \~1,000-1,500 บาท            |
| 📱 **โทรศัพท์-เน็ต**          | ตรวจสอบและลดแพ็กเกจมือถือ/อินเทอร์เน็ตให้ตรงกับการใช้งานจริง      | ลดรายเดือนจาก 1,200 เหลือ \~700 บาท        |
| 🛍� **ของใช้**                | ตั้งงบรายเดือนล่วงหน้า เช่น 1,000 บาท ต่อเดือน / ซื้อของช่วงโปร  | ลดการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยได้ \~1,000-1,500 บาท |
| 🎬 **บันเทิง / Subscription** | ยกเลิกแอปไม่จำเป็น เช่น Netflix, iQIYI, ฟิตเนสที่ไม่ได้ใช้        | ลดรายจ่าย \~300-500 บาทต่อเดือน            |

📌 **รวมลดรายจ่ายได้ราว 4,000 – 7,000 บาท/เดือน**

---

## 💼 **แผนการเพิ่มรายได้ (แบบทำควบคู่กับงานประจำ)**

| ช่องทาง                                | แผนปฏิบัติ                                                                                            | รายได้ประมาณต่อเดือน              |
| -------------------------------------- | ----------------------------------------------------------------------------------------------------- | --------------------------------- |
| 🟢 **รับลูกค้า IB Forex เพิ่ม**        | ใช้ Facebook, TikTok ทำคอนเทนต์วันละ 1 โพสต์ เช่น "วิธีเริ่มเทรด", "ทุน 100\$ ทำอย่างไร" + แจกไฟล์ EA | +5,000 – 20,000 บาท/เดือน        |
| 🛒 **ขายของออนไลน์เล็กๆ น้อยๆ**        | ขายของไม่ใช้แล้วบน Facebook Marketplace / Shopee                                                      | +1,000 – 3,000 บาท/เดือน          |
| 📱 **รับทำ Content ให้เพจ/รีวิวเล็กๆ** | หากถนัดตัดคลิป ทำ YouTube Shorts สายลงทุน/สุขภาพ                                                      | +500 – 5,000 บาท (แล้วแต่ช่องทาง) |
| 📝 **เขียนบทความหรือ eBook**          | เช่น "เทคนิคเลือก EA Forex", "สร้างรายได้เสริมหลัง 40" ขายบน Mebmarket หรือ Kindle                    | +1,000 – 3,000 บาท/เดือน          |
| 🧑�🏫 **เปิดสอนออนไลน์/แนะนำเทรด**    | ใช้ Zoom หรือ Google Meet ให้ความรู้เทรดพื้นฐาน 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์                                  | +3,000 – 10,000 บาท              |

📌 **รวมเพิ่มรายได้ราว 10,000 – 40,000 บาท/เดือน** (ขึ้นอยู่กับความขยันและกลยุทธ์การตลาด)

---

## ✅ **ตัวอย่างแผนรายเดือนรวม (จริงจัง)**

| รายการ                    | เป้าหมาย              |
| ------------------------- | ---------------------- |
| รายจ่ายปัจจุบัน          | \~30,000 บาท          |
| รายจ่ายหลังปรับ          | \~22,000 – 25,000 บาท  |
| รายได้เพิ่ม              | +10,000 – 30,000 บาท  |
| **เงินออม/ลงทุนต่อเดือน** | **8,000 – 20,000 บาท** |

---

## 💡 **แนวทางเพิ่มเติม**

* เปิดบัญชีออมเงินแยกเฉพาะ "รายได้เสริม"
* ลองใช้แอปจัดการรายจ่าย เช่น Spendee / Money Lover
* สร้าง Content ที่เกี่ยวกับ "ชีวิตจริงของคนวัย 40+ สู้เพื่อสุขภาพและเงินในบัญชี" น่าสนใจมากบน TikTok/YT Shorts

------------------------------------------------

ต่อไปนี้คือ **30 วิธีประหยัดรายจ่ายและเพิ่มรายได้** พร้อมตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมและสามารถนำไปใช้ได้จริงในบริบทของประเทศไทย:

---

### **วิธีประหยัดรายจ่าย (15 วิธี)**

1. **จัดทำงบประมาณรายเดือน** 
   ตัวอย่าง: ใช้แอปอย่าง Money Lover หรือ Excel เพื่อติดตามรายรับ-รายจ่าย แบ่งเงินเป็นหมวดหมู่ เช่น ค่าเช่า อาหาร ความบันเทิง เพื่อควบคุมการใช้จ่าย.

2. **ลดค่าใช้จ่ายด้านอาหาร** 
   ตัวอย่าง: ทำอาหารกินเองแทนการซื้ออาหารเดลิเวอรี เช่น ซื้อวัตถุดิบทำข้าวผัดหมูสัปดาห์ละ 200 บาท แทนการสั่งอาหาร 100 บาท/มื้อ.

3. **ลดการกินกาแฟหรือเครื่องดื่มราคาแพง** 
   ตัวอย่าง: ชงกาแฟดื่มเองที่บ้านด้วยกาแฟสำเร็จรูปหรือเครื่องชงราคาประหยัด แทนการซื้อกาแฟร้านวันละ 80-150 บาท.

4. **ใช้โปรโมชันและส่วนลด** 
   ตัวอย่าง: ซื้อของใน Shopee หรือ Lazada ช่วงแคมเปญ 11.11 หรือ 12.12 เพื่อรับส่วนลดและคูปองส่งฟรี.

5. **ลดค่าเดินทาง** 
   ตัวอย่าง: ใช้รถสาธารณะ เช่น BTS, MRT หรือรถเมล์ แทนการขับรถยนต์ส่วนตัวเพื่อประหยัดค่าน้ำมันและค่าจอดรถ.

6. **ยกเลิกสมัครสมาชิกที่ไม่จำเป็น** 
   ตัวอย่าง: ยกเลิก Netflix หรือ Spotify ถ้าไม่ได้ใช้บ่อย หรือเปลี่ยนไปใช้แพ็กเกจครอบครัวเพื่อแชร์ค่าใช้จ่ายกับเพื่อน.

7. **ซื้อของมือสอง** 
   ตัวอย่าง: ซื้อเสื้อผ้า เฟอร์นิเจอร์ หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าจากร้านมือสอง เช่น ตลาดนัดจตุจักร หรือกลุ่ม Facebook Marketplace.

8. **ลดค่าไฟฟ้า** 
   ตัวอย่าง: ปิดไฟเมื่อไม่ใช้ ใช้หลอด LED และถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ได้ใช้งานเพื่อลดค่าไฟรายเดือน.

9. **ลดค่าน้ำ** 
   ตัวอย่าง: ใช้ฝักบัวประหยัดน้ำ หรือปิดน้ำขณะแปรงฟันเพื่อลดปริมาณน้ำที่ใช้.

10. **ซื้อของจำนวนมากในราคาส่ง** 
    ตัวอย่าง: ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น น้ำยาซักผ้า หรือกระดาษทิชชู จาก Makro หรือ Big C ในปริมาณมากเพื่อได้ราคาถูกกว่า.

11. **หลีกเลี่ยงการซื้อของตามอารมณ์** 
    ตัวอย่าง: ตั้งกฎรอ 24 ชั่วโมงก่อนซื้อของที่อยากได้ เช่น เสื้อผ้าใหม่ เพื่อพิจารณาว่าจำเป็นจริงหรือไม่.

12. **ใช้บัตรเครดิตอย่างฉลาด** 
    ตัวอย่าง: ใช้บterms of serviceัตรเครดิตที่มีเงินคืน (cashback) สำหรับซื้อของในหมวดที่ใช้บ่อย เช่น ค่าน้ำมันหรือซูเปอร์มาร์เก็ต และชำระยอดเต็มเพื่อหลีกเลี่ยงดอกเบี้ย.

13. **ลดการกินข้าวนอกบ้าน** 
    ตัวอย่าง: จำกัดการกินข้าวนอกบ้านเหลือสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง และเลือกซื้ออาหารจากร้านข้างทางราคาประหยัดแทนร้านอาหารหรู.

14. **ซ่อมแซมแทนซื้อใหม่** 
    ตัวอย่าง: ซ่อมรองเท้าที่ชำรุดหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าเก่า เช่น พัดลม แทนการซื้อใหม่เพื่อประหยัดเงิน.

15. **ประหยัดค่าอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์** 
    ตัวอย่าง: เปลี่ยนไปใช้แพ็กเกจเน็ตและโทรราคาถูกลง เช่น แพ็กเกจ AIS หรือ True รายเดือน 200-300 บาท แทนแพ็กเกจแพง.

---

### **วิธีเพิ่มรายได้ (15 วิธี)**

16. **ขายของออนไลน์** 
    ตัวอย่าง: ขายเสื้อผ้ามือสองผ่าน Shopee หรือ Lazada หรือเริ่มขายของกิน เช่น ขนม homemade ในกลุ่ม LINE หรือ Facebook.

17. **ทำงานฟรีแลนซ์** 
    ตัวอย่าง: รับงานเขียนบทความ ออกแบบกราฟิก หรือตัดต่อวิดีโอผ่านแพลตฟอร์มอย่าง Fastwork หรือ Upwork.

18. **สอนพิเศษ** 
    ตัวอย่าง: สอนวิชาคณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ หรือดนตรีให้เด็กในชุมชน หรือผ่านออนไลน์ในราคา 200-500 บาท/ชั่วโมง.

19. **ให้เช่าสินทรัพย์** 
    ตัวอย่าง: ให้เช่ารถยนต์ส่วนตัวผ่านแพลตฟอร์มอย่าง DriveMate หรือให้เช่าห้องว่างในบ้านผ่าน Airbnb.

20. **ลงทุนในหุ้นหรือกองทุนรวม** 
    ตัวอย่าง: เริ่มลงทุนในกองทุนรวม SET50 ผ่านแอป SCB Easy หรือ KBank ด้วยเงินเริ่มต้น 1,000 บาท เพื่อรับผลตอบแทนระยะยาว.

21. **ทำคอนเทนต์ออนไลน์** 
    ตัวอย่าง: สร้างช่อง YouTube หรือ TikTok เกี่ยวกับการทำอาหารหรือรีวิวสินค้า เพื่อหารายได้จากโฆษณาหรือสปอนเซอร์.

22. **ขับรถส่งอาหารหรือพัสดุ** 
    ตัวอย่าง: สมัครเป็นพนักงานขับรถให้ GrabFood, Foodpanda หรือ Kerry Express เพื่อหารายได้เสริมช่วงเย็นหรือวันหยุด.

23. **ขายภาพถ่ายหรือกราฟิก** 
    ตัวอย่าง: อัปโหลดภาพถ่ายหรืองานออกแบบไปยัง Shutterstock หรือ Canva เพื่อรับรายได้เมื่อมีคนซื้อ.

24. **รับงานแปลภาษา** 
    ตัวอย่าง: รับแปลเอกสารภาษาอังกฤษเป็นไทย หรือไทยเป็นอังกฤษ ผ่านแพลตฟอร์มฟรีแลนซ์ คิดค่าบริการหน้าละ 300-500 บาท.

25. **ทำธุรกิจขนาดเล็ก** 
    ตัวอย่าง: เริ่มต้นขายน้ำผลไม้ปั่นหรือชานมไข่มุกหน้าบ้าน หรือที่ตลาดนัดในราคาเริ่มต้น 20-40 บาท/แก้ว.

26. **ลงทุนในทักษะใหม่** 
    ตัวอย่าง: เรียนคอร์สออนไลน์ เช่น การตลาดดิจิทัลผ่าน SkillLane เพื่อพัฒนาทักษะและรับงานที่ได้ค่าตอบแทนสูงขึ้น.

27. **เข้าร่วมโปรแกรมแนะนำเพื่อน** 
    ตัวอย่าง: ชวนเพื่อนสมัครใช้แอปธนาคารหรือแพลตฟอร์มลงทุน เช่น KBank หรือ Binance เพื่อรับโบนัสเงินสด.

28. **ขายของเก่าที่ไม่ใช้** 
    ตัวอย่าง: ขายเครื่องใช้ไฟฟ้าเก่า เช่น ทีวีหรือเครื่องเล่นเกม ผ่าน Kaidee หรือกลุ่มซื้อขายในท้องถิ่น.

29. **รับจ้างทำงานบ้านหรือดูแลสัตว์เลี้ยง** 
    ตัวอย่าง: รับจ้างพาสุนัขเดินเล่นหรือดูแลสัตว์เลี้ยงในช่วงที่เจ้าของไม่อยู่ คิดค่าบริการวันละ 200-500 บาท.

30. **ลงทุนในคริปโตหรือ NFT (ด้วยความระมัดระวัง)** 
    ตัวอย่าง: ศึกษาและลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซี เช่น Bitcoin หรือ Ethereum ด้วยเงินจำนวนน้อยผ่าน Binance หรือ Bitkub โดยยอมรับความเสี่ยง.

---

### **คำแนะนำเพิ่มเติม**
- **ประหยัดรายจ่าย**: เริ่มจากลดค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน และตั้งเป้าหมายการออม เช่น ออม 10% ของรายได้ทุกเดือน.
- **เพิ่มรายได้**: เลือกวิธีที่เหมาะกับทักษะและเวลาว่างของคุณ เช่น หากมีเวลาน้อย อาจเลือกงานฟรีแลนซ์ที่ทำจากบ้านได้.
- **วินัยและการวางแผน**: การประหยัดและเพิ่มรายได้ต้องทำอย่างสม่ำเสมอและมีวินัย เช่น ตั้งเป้าหมายออมเงิน 5,000 บาท/เดือน หรือหารายได้เสริม 2,000 บาท/สัปดาห์.

--------------------------------------------------------------

---
## 30 วิธีประหยัดรายจ่าย และเพิ่มรายได้

การจัดการการเงินให้มีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น หรือการเพิ่มช่องทางสร้างรายได้ ต่อไปนี้คือ 30 วิธีที่คุณสามารถนำไปปรับใช้ได้จริง

### วิธีประหยัดรายจ่าย (15 วิธี)

1.  **ทำงบประมาณรายรับ-รายจ่าย:** บันทึกรายรับและรายจ่ายทั้งหมด เพื่อให้เห็นภาพรวมว่าเงินไปไหนบ้าง และสามารถหาส่วนที่ลดได้
2.  **ลดการกินข้าวนอกบ้าน:** ลองทำอาหารทานเองที่บ้าน ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากเมื่อเทียบกับการซื้ออาหารนอกบ้าน
3.  **พกน้ำดื่มจากบ้าน:** ลดการซื้อน้ำดื่มจากร้านสะดวกซื้อ
4.  **ใช้ระบบขนส่งสาธารณะ:** หากเป็นไปได้ ให้เลือกใช้รถเมล์ รถไฟฟ้า หรือรถไฟใต้ดิน แทนการขับรถส่วนตัว เพื่อประหยัดค่าน้ำมันและค่าที่จอดรถ
5.  **ประหยัดพลังงานในบ้าน:** ปิดไฟ ถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าเมื่อไม่ใช้งาน และใช้เครื่องปรับอากาศอย่างเหมาะสม
6.  **ยกเลิกบริการที่ไม่ได้ใช้:** ตรวจสอบและยกเลิกสมาชิกฟิตเนส บริการสตรีมมิ่ง หรือแอปพลิเคชันที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว
7.  **ซื้อของใช้ที่จำเป็นเมื่อมีโปรโมชั่น:** วางแผนการซื้อของใช้ล่วงหน้า และซื้อเมื่อมีส่วนลดหรือโปรโมชั่น
8.  **ลดการซื้อกาแฟแพงๆ:** ลองชงกาแฟเองที่บ้าน หรือลดความถี่ในการซื้อกาแฟจากร้านดัง
9.  **ซ่อมแซมสิ่งของแทนการซื้อใหม่:** หากของใช้บางอย่างชำรุด ลองพิจารณาซ่อมแซมก่อนตัดสินใจซื้อใหม่
10. **หลีกเลี่ยงการใช้บัตรเครดิตเกินตัว:** ใช้บัตรเครดิตอย่างระมัดระวัง และชำระเต็มจำนวนเพื่อหลีกเลี่ยงดอกเบี้ย
11. **ซื้อเสื้อผ้าน้อยลง:** พิจารณาความจำเป็นในการซื้อเสื้อผ้าใหม่ และเลือกซื้อเสื้อผ้าที่สามารถมิกซ์แอนด์แมทช์ได้หลากหลาย
12. **ใช้ของมือสอง:** สำหรับของบางอย่าง เช่น หนังสือ เฟอร์นิเจอร์ หรือของตกแต่งบ้าน ลองพิจารณาซื้อของมือสองที่มีคุณภาพดี
13. **วางแผนการเดินทาง:** วางแผนเส้นทางและวิธีการเดินทางเพื่อประหยัดค่าน้ำมันหรือค่าเดินทาง
14. **เปรียบเทียบราคา:** ก่อนซื้อสินค้าหรือบริการใดๆ ลองเปรียบเทียบราคาจากหลายๆ ร้านค้า
15. **ลดค่าใช้จ่ายด้านความบันเทิง:** เช่น ลดการไปเที่ยวผับบาร์ หรือลดการดูหนังในโรงภาพยนตร์บ่อยๆ

---

### วิธีเพิ่มรายได้ (15 วิธี)

1.  **ทำงานเสริม/รับจ๊อบ:** หางานพิเศษที่สามารถทำได้นอกเวลางานประจำ เช่น เป็นติวเตอร์ เขียนบทความ หรือรับงานฟรีแลนซ์
2.  **ขายของออนไลน์:** นำสินค้าที่คุณมีอยู่แล้วแต่ไม่ได้ใช้ หรือผลิตสินค้าแฮนด์เมดไปขายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ
3.  **ลงทุนในหุ้นหรือกองทุนรวม:** ศึกษาข้อมูลและเริ่มต้นลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนในระยะยาว (ต้องพิจารณาความเสี่ยง)
4.  **ให้เช่าทรัพย์สิน:** หากมีห้องว่าง คอนโด หรือรถยนต์ที่ไม่ได้ใช้ สามารถนำไปปล่อยเช่าได้
5.  **สอนพิเศษ/เปิดคอร์สออนไลน์:** หากคุณมีความเชี่ยวชาญในด้านใดด้านหนึ่ง สามารถเปิดคอร์สสอนพิเศษ หรือสร้างคอร์สออนไลน์เพื่อสร้างรายได้
6.  **เป็นบล็อกเกอร์/ยูทูบเบอร์:** สร้างคอนเทนต์ที่น่าสนใจและสร้างรายได้จากค่าโฆษณา สปอนเซอร์ หรือการบริจาค
7.  **รับจ้างดูแลสัตว์เลี้ยง/เด็ก:** หากคุณรักสัตว์หรือเด็ก สามารถรับจ้างดูแลในช่วงเวลาที่คุณว่าง
8.  **เข้าร่วมโครงการสำรวจความคิดเห็น (Survey):** บางบริษัทจ่ายเงินสำหรับการตอบแบบสอบถามออนไลน์
9.  **ขายภาพถ่ายออนไลน์:** หากคุณเป็นคนชอบถ่ายภาพ สามารถนำภาพไปขายในเว็บไซต์ขายภาพสต็อก
10. **ทำ Affiliate Marketing:** โปรโมทสินค้าหรือบริการของผู้อื่น และรับค่าคอมมิชชั่นเมื่อมีคนซื้อผ่านลิงก์ของคุณ
11. **เป็นตัวแทนประกัน/นายหน้าอสังหาริมทรัพย์:** หากมีความสนใจในด้านการขาย สามารถพิจารณาอาชีพเหล่านี้ได้
12. **รับจ้างทำความสะอาด/ทำสวน:** เสนอบริการทำความสะอาดบ้าน หรือดูแลสวนให้ผู้อื่น
13. **ขายงานฝีมือ:** หากคุณมีทักษะในการประดิษฐ์งานฝีมือ เช่น ถักไหมพรม งานปั้น หรือทำเครื่องประดับ สามารถนำไปขายได้
14. **เป็นพนักงานพาร์ทไทม์:** หางานพาร์ทไทม์ในช่วงวันหยุดหรือหลังเลิกงาน
15. **พัฒนาทักษะใหม่ๆ:** การเรียนรู้ทักษะที่เป็นที่ต้องการในตลาดแรงงาน จะช่วยเพิ่มโอกาสในการหารายได้ที่สูงขึ้นในอนาคต

---

การประหยัดรายจ่ายและการเพิ่มรายได้เป็นสองด้านของเหรียญเดียวกันที่ช่วยให้สถานะทางการเงินของคุณดีขึ้น การผสมผสานหลายๆ วิธีเข้าด้วยกันจะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้เร็วขึ้น
-------------------------------------------------------------
#149
ในการใช้ RSI (Relative Strength Index) กับ EA บน MT5 ค่า RSI และกรอบเวลา (Timeframe) ที่ "ดี" **ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์การเทรดของคุณ** ว่าเป็นแบบไหน (Scalping, Day Trade, Swing Trade ฯลฯ) แต่โดยทั่วไปมีแนวทางแนะนำดังนี้:

---

## 🎯 ค่ามาตรฐาน RSI ที่นิยมใช้

| ค่า RSI | ความหมาย           | ใช้งานอย่างไร                                     |
| ------- | ------------------ | ------------------------------------------------- |
| `14`    | ค่ามาตรฐานทั่วไป   | เหมาะกับการเทรดทั่วไป ใช้ทั้งใน TF เล็กและใหญ่    |
| `9`     | ไวต่อราคามากขึ้น   | สำหรับการเข้าออกเร็ว เช่น scalping                |
| `21`    | ช้ากว่า มั่นคงกว่า | สำหรับการเทรดระยะยาวขึ้น เช่น swing หรือ position |

> ✅ แนะนำเริ่มจาก `RSI(14)` แล้วค่อยปรับตามลักษณะการเทรดของคุณ

---

## 🕐 กรอบเวลา (Timeframe) ที่แนะนำ

ขึ้นอยู่กับสไตล์การเทรด:

| สไตล์เทรด   | Timeframe | หมายเหตุ                               |
| ----------- | --------- | -------------------------------------- |
| Scalping    | M1 – M5   | RSI ควรเร็ว (เช่น RSI 9 หรือ 7)        |
| Day Trade   | M15 – H1  | RSI 14 มาตรฐาน กำลังดี                 |
| Swing Trade | H4 – D1   | RSI 14–21 ให้สัญญาณช้ากว่า แต่แม่นกว่า |

---

## 📌 แนวคิดการใช้งาน RSI กับ EA

1. **เข้าเมื่อ RSI ต่ำกว่า 30 (Oversold)** → เปิด Buy
2. **เข้าเมื่อ RSI สูงกว่า 70 (Overbought)** → เปิด Sell
3. **หรือรอให้ RSI ตัดกลับจากโซน** เช่น ขึ้นจากต่ำกว่า 30 → เข้าซื้อ

---

## 🧠 ตัวอย่างโค้ดเช็ค RSI (MQL5)

```mql5
double rsi = iRSI(_Symbol, PERIOD_M15, 14, PRICE_CLOSE, 0); // RSI(14) TF 15 นาที
if (rsi < 30)
{
   // ส่งคำสั่ง Buy
}
else if (rsi > 70)
{
   // ส่งคำสั่ง Sell
}
```

---

## ✅ สรุปคำแนะนำเริ่มต้น

* RSI ใช้ `14` เป็นค่าเริ่มต้น
* กรอบเวลาแนะนำ: `M15` หรือ `H1` (เหมาะกับ Day Trade)
* ค่า RSI ต่ำกว่า 30 = สัญญาณซื้อ (Buy)
  ค่า RSI สูงกว่า 70 = สัญญาณขาย (Sell)

---------------------------------------------
#150
การทำ Optimization สำหรับ EA (Expert Advisor) ใน MetaTrader 5 (MT5) คือการค้นหาค่าพารามิเตอร์ที่เหมาะสมที่สุด เพื่อให้ EA ทำงานได้ดีและมีกำไรมากที่สุดบนข้อมูลราคาที่ผ่านมา (Backtest) ซึ่งขั้นตอนการทำ Optimization ใน MT5 มีดังนี้ครับ:

---

### วิธีทำ Optimization EA ใน MT5

1. **เปิดโปรแกรม MT5**
   เข้าไปที่ MT5 ของคุณ

2. **เปิดหน้าต่าง Strategy Tester**
   กด `Ctrl+R` หรือคลิกที่เมนู `View` > `Strategy Tester`

3. **เลือก EA ที่ต้องการทำ Optimization**
   ในหน้าต่าง Strategy Tester ตรงช่อง "Expert Advisor" ให้เลือก EA ที่คุณต้องการทดสอบ

4. **ตั้งค่า Symbol และ Timeframe**
   เลือกคู่เงิน (Symbol) และกรอบเวลา (Timeframe) ที่จะใช้ทดสอบ

5. **เลือก Period และ Date Range**
   ตั้งช่วงเวลาที่จะทำการทดสอบ เช่น ปี 2023 หรือ 1 ม.ค. 2023 - 31 ธ.ค. 2023

6. **ตั้งค่า Parameters สำหรับ Optimization**

   * คลิกที่ปุ่ม `Expert properties`
   * ไปที่แท็บ `Inputs`
   * ที่ตรงนี้จะมีรายการพารามิเตอร์ของ EA ที่สามารถปรับได้
   * สำหรับพารามิเตอร์ที่ต้องการให้ MT5 ค้นหาค่าที่ดีที่สุด ให้ติ๊กเครื่องหมายถูกที่ช่อง `Optimization` ข้างๆ
   * กำหนดช่วงค่าต่ำสุด (Start), ค่าสูงสุด (Stop) และ Step (จำนวนค่าที่จะขยับในช่วงนั้น)

7. **เลือกโหมด Optimization**
   ที่มุมขวาล่างของหน้าต่าง Strategy Tester จะมีตัวเลือก "Optimization"

   * เลือกเป็น `Fast Genetic Based Optimization` เพื่อให้การค้นหาค่าพารามิเตอร์เร็วขึ้น (เหมาะกับข้อมูลใหญ่)
   * หรือเลือก `Every tick` เพื่อทดสอบละเอียดที่สุด (แต่ใช้เวลานาน)

8. **กดปุ่ม Start**
   โปรแกรมจะเริ่มทำการค้นหาค่าพารามิเตอร์ที่ดีที่สุดตามช่วงที่กำหนดไว้

9. **ดูผลลัพธ์**

   * หลังจากเสร็จสิ้น จะมีรายงานการทดสอบและตาราง Optimization Results
   * ตารางนี้จะโชว์ค่าพารามิเตอร์แต่ละชุด พร้อมผลลัพธ์การทดสอบ (กำไร, Drawdown, Sharpe Ratio ฯลฯ)
   * เลือกชุดพารามิเตอร์ที่คุณพอใจมากที่สุดแล้วนำไปใช้จริง

---------------------------------------------
#151
`request.type_filling = ORDER_FILLING_IOC;` ใน MQL5 หมายถึง การตั้งค่า **โหมดการเติมคำสั่งซื้อขาย (Order Filling Mode)** เป็นแบบ **IOC (Immediate Or Cancel)**

---

### ความหมายของ `ORDER_FILLING_IOC` (Immediate Or Cancel)

* คำสั่งจะพยายาม **ส่งและเติมทันที (immediate fill)** ให้ได้ในปริมาณที่ขอ
* ถ้าไม่สามารถเติมได้เต็มจำนวนทันที จะ **เติมเท่าที่ทำได้ทันที แล้วส่วนที่เหลือจะถูกยกเลิก (cancel) ทันที**
* ไม่มีการรอคิวหรือเติมทีหลัง (no partial fill later)
* เหมาะกับตลาดที่ต้องการการเทรดทันที ไม่รอคำสั่งค้าง

---

### โหมดการเติมคำสั่งอื่น ๆ ใน MQL5

* `ORDER_FILLING_FOK` (Fill Or Kill)
  ต้องเติมทั้งหมดในคำสั่งทันทีถ้าไม่เต็มจะยกเลิกทั้งคำสั่งเลย ไม่มี partial fill

* `ORDER_FILLING_RETURN` (Return)
  เติมเท่าที่ทำได้ทันที แล้วส่งกลับผลลัพธ์ หากไม่เต็มก็รับ partial fill โดยไม่ยกเลิกส่วนที่เหลือ (บางโบรกเกอร์ไม่รองรับโหมดนี้)

---

### สรุป

* การใช้ `request.type_filling = ORDER_FILLING_IOC;` จะบอกโบรกเกอร์ว่า "เติมออร์เดอร์นี้ทันทีเท่าที่ทำได้ แล้วยกเลิกส่วนที่เหลือถ้าไม่เต็มทันที"
* โบรกเกอร์บางแห่งไม่รองรับโหมดนี้ จึงอาจเกิดข้อผิดพลาด "Unsupported filling mode" ขึ้นได้
* คุณควรตรวจสอบกับโบรกเกอร์ว่า **รองรับโหมดการเติมแบบใด** แล้วตั้งค่าตามนั้น

-----------------------------------------
#152
คำถามยอดฮิต!
**EA ประเภทใดที่ Drawdown ต่ำ และทำกำไรสูง?**
✅ คำตอบสั้น ๆ คือ: **ไม่มี EA ตัวใดที่ได้ทั้ง "กำไรสูงมาก" และ "Drawdown ต่ำมาก" อย่างถาวร**
แต่...มีบางประเภทที่ "บาลานซ์ได้ดี" ระหว่าง **ความเสี่ยงต่ำ** กับ **ผลตอบแทนสม่ำเสมอ**

---

## 🔍 ประเภท EA ที่ "Drawdown ต่ำ + กำไรดี + เสี่ยงน้อย"

### 1. **Trend Following EA**

* ทำกำไรจากการ "เกาะเทรนด์" ของตลาดระยะกลาง–ยาว
* เข้าออเดอร์เมื่อแนวโน้มชัด เช่นตาม EMA / MACD / Breakout
* อัตราการเทรดไม่ถี่มาก
  ✅ ข้อดี: Drawdown ต่ำมากเมื่อตลาดมีเทรนด์
  ✅ กำไรดีถ้าเข้าเทรนด์ถูกทาง
  ❌ ข้อเสีย: อาจขาดทุนเมื่อ "ตลาด Sideway"

**เหมาะกับผู้เริ่มต้น** ที่ไม่ต้องการเสี่ยงสูง

---

### 2. **EA แบบ Reversion to Mean (ค่าเฉลี่ยกลับตัว)**

* เทรดสวนทิศทางเมื่อราคาเบี่ยงเบนจากค่าเฉลี่ยมากเกินไป
* ใช้ตัวชี้วัดเช่น Bollinger Bands, RSI, Stochastic
  ✅ ข้อดี: DD ต่ำถ้าใช้ lot เล็กและ Cut loss ดี
  ✅ กำไรสม่ำเสมอในตลาด sideway
  ❌ ข้อเสีย: ถ้าเทรนด์แรงและไม่ตัดขาดทุน อาจ DD สูงได้

---

### 3. **Multi-symbol Low Risk EA**

* เทรดหลายคู่เงินพร้อมกันแบบกระจายความเสี่ยง (portfolio)
* เปิดออเดอร์น้อย ๆ แต่หลายคู่
  ✅ ข้อดี: Drawdown เฉลี่ยต่ำ กระจายความเสี่ยง
  ✅ ทำกำไรเฉลี่ยดีเมื่อรันระยะยาว
  ❌ ข้อเสีย: กำไรต่อเดือนอาจไม่สูงมาก (5–10% ต่อเดือน)

---

## 🚫 EA ที่ "กำไรสูง แต่ Drawdown สูง" (ควรระวัง)

* **Martingale / Grid EA**: เสี่ยงลากพอร์ตแตก
* **Scalping EA ที่เทรดถี่มาก**: โดน slippage, spread, news ได้ง่าย
* **Over-optimized EA**: ใช้ backtest โกง curve สวย แต่รันจริงไม่รอด

---

## 🎯 สรุป

| ประเภท EA         | Drawdown           | กำไร        | ความเสี่ยง  | เหมาะกับใคร              |
| ----------------- | ------------------ | ----------- | ----------- | ------------------------ |
| Trend Following   | ต่ำ (ถ้าเทรนด์ชัด) | ปานกลาง–สูง | ต่ำ–ปานกลาง | มือใหม่–กลาง             |
| Mean Reversion    | ปานกลาง            | ปานกลาง     | ปานกลาง     | เทรดเดอร์ที่มีวินัย      |
| Multi-symbol EA   | ต่ำ                | ปานกลาง     | ต่ำ         | นักลงทุนสายระยะยาว       |
| Martingale / Grid | สูง                | สูง         | สูงมาก      | คนรับความเสี่ยงได้สูงมาก |


-------------------------------------------------------------
#153
การเทรด Forex ด้วย EA (Expert Advisor) สามารถเริ่มต้นได้ตั้งแต่ทุนไม่มาก เช่น **\$100 – \$500** ก็ได้ แต่ "ทุนเริ่มต้นที่เหมาะสม" ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น:

---

### ✅ **1. ประเภทของ EA ที่ใช้**

* **Scalping EA**: มักต้องใช้ทุนมากขึ้น และ VPS ที่เสถียร เพราะต้องเทรดถี่และเร็ว
  ▶️ ทุนเริ่มต้นที่ปลอดภัย: **\$500 ขึ้นไป**

* **Martingale / Grid EA**: เสี่ยงสูง ต้องใช้ทุนมากพอรองรับการลาก (drawdown)
  ▶️ ทุนเริ่มต้นที่ปลอดภัย: **\$1,000 – \$5,000**

* **Trend Following / Swing Trading EA**: เทรดน้อย ใช้ทุนไม่เยอะ
  ▶️ ทุนเริ่มต้น: **\$100 – \$500**

---

### ✅ **2. ขนาด Lot ที่ใช้**

* หากใช้ **lot ขนาดเล็ก เช่น 0.01** คุณสามารถเริ่มด้วย **\$100 – \$200** ได้
* แต่หากต้องการผลตอบแทนเร็ว และรับความเสี่ยงได้สูง อาจต้องเริ่ม **\$500 – \$1,000+**

---

### ✅ **3. ความคาดหวังผลตอบแทน**

* หากหวังผลตอบแทน **5-10% ต่อเดือน** ควรเริ่มต้นอย่างน้อย **\$1,000**
* หากทุนต่ำ เช่น \$100 จะได้เพียง \$5–10/เดือน ซึ่งอาจไม่คุ้มค่าความเสี่ยง

---

### ✅ **4. Broker และ Leverage**

* ใช้ Leverage **1:500 หรือ 1:1000** ช่วยให้เริ่มต้นได้ด้วยทุนต่ำ
* แต่ Leverage สูงก็มีความเสี่ยงสูง ต้องบริหารความเสี่ยงให้ดี

---

### 🎯 **คำแนะนำสำหรับมือใหม่**

* เริ่มจากบัญชี **Demo** ทดสอบ EA ให้แน่ใจก่อน
* จากนั้นเปิดบัญชีจริงด้วยทุนขั้นต่ำ **\$100–\$200**
* ถ้า EA มีผลลัพธ์ดี ค่อยเพิ่มทุนในภายหลัง

----------------------------------------------------
#154
การเริ่มต้นทำ **YouTube Shorts** ไม่ยากเลย และเป็นวิธีที่ดีในการสร้างคอนเทนต์สั้น ๆ เพื่อดึงดูดผู้ชมจำนวนมาก โดยเฉพาะบนมือถือ ต่อไปนี้คือขั้นตอนง่าย ๆ ที่จะพาคุณเริ่มต้น:

---

### ✅ **YouTube Shorts คืออะไร?**

* วิดีโอสั้นแนวตั้ง (9:16)
* ความยาวไม่เกิน 60 วินาที
* แสดงในแท็บ "Shorts" บนแอป YouTube
* เหมาะสำหรับคอนเทนต์ไวรัล เช่น: ตลก, ให้ความรู้, เบื้องหลัง, รีวิว, Vlog ฯลฯ

---

## 🛠� ขั้นตอนการเริ่มทำ YouTube Shorts

### 1. **เตรียมไอเดีย/หัวข้อ**

เลือกประเภทเนื้อหาที่คุณถนัด เช่น:

* สาระสั้น ๆ (เช่น ทิปภาษา, ทริคชีวิต)
* ความบันเทิง (เช่น มุกตลก, Reaction)
* ไลฟ์สไตล์ (กิน, เที่ยว, แต่งหน้า)
* แรงบันดาลใจ/ข้อคิด

---

### 2. **ถ่ายวิดีโอแนวตั้ง**

* ใช้กล้องมือถือหรือกล้องอะไรก็ได้
* ถ่ายในอัตราส่วน 9:16 (แนวตั้ง)
* ความยาว **ไม่เกิน 60 วินาที**

> 🎯 **Tip:** ถ่ายวิดีโอให้ "ดึงดูดตั้งแต่ 3 วินาทีแรก"

---

### 3. **ตัดต่อวิดีโอ**

ใช้แอปใดก็ได้ เช่น:

* CapCut (ฟรี ใช้ง่าย)
* VN
* InShot
* Adobe Premiere Rush

> ใส่ซับไตเติล, เพลง, เอฟเฟกต์ เพื่อให้ดูน่าสนใจ

---

### 4. **อัปโหลดลง YouTube**

**ผ่านมือถือหรือคอมพิวเตอร์ก็ได้:**

**สิ่งที่ต้องใส่:**

* หัวข้อวิดีโอให้น่าสนใจ
* ใส่คำว่า **#Shorts** ในคำอธิบาย (description) เพื่อให้ระบบรู้ว่านี่คือ Shorts
* เลือกหมวดหมู่, ปรับการมองเห็น (สาธารณะ/ส่วนตัว)

---

### 5. **โปรโมตและเรียนรู้**

* แชร์ผ่านช่องทางอื่น ๆ เช่น TikTok, Facebook, Instagram
* เช็ก YouTube Analytics ว่าวิดีโอไหนคนดูเยอะ
* ลองโพสต์บ่อย ๆ เช่น วันละ 1 คลิป (เวลาที่ดี: เช้า/เย็น)

---

## 📌 เคล็ดลับทำ Shorts ให้ปัง

* วิดีโอสั้นต้องดึงดูด "ตั้งแต่ต้น"
* ใช้ซับไทย (ช่วยให้คนดูไม่เปิดเสียงก็เข้าใจ)
* ทำต่อเนื่อง เช่น ลงทุกวัน
* ติดเทรนด์ เช่น ใช้เสียง/แฮชแท็กที่กำลังฮิต

-------------------------------------------------
#155
Slippage ใน EA (Expert Advisor) บน MT4 และ MT5 หมายถึง **ความแตกต่างระหว่างราคาที่ส่งคำสั่งซื้อขายกับราคาที่ระบบได้รับการยืนยันจริงในตลาด** ซึ่งเกิดขึ้นได้เมื่อราคาตลาดเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วหรือมีความผันผวนสูง ส่งผลให้ราคาที่เปิดออเดอร์จริงไม่ตรงกับราคาที่ EA ต้องการเปิด

---

### อธิบายง่าย ๆ

* สมมติ EA ต้องการเปิดออเดอร์ที่ราคา 1.2000
* แต่เมื่อส่งคำสั่งไปถึงโบรกเกอร์ ราคาตลาดเปลี่ยนเป็น 1.2005
* EA จะเปิดออเดอร์ที่ราคา 1.2005 แทน ซึ่งราคานี้เรียกว่า **เกิด slippage 5 pip**

---

### สาเหตุของ Slippage

* ตลาดมีความผันผวนสูง (เช่นข่าวเศรษฐกิจ)
* สภาพคล่องของตลาดต่ำ (ปริมาณซื้อขายน้อย)
* ความล่าช้าในการส่งคำสั่งซื้อขาย

---

### ตัวอย่างโค้ด EA ใน MT4 ที่ใช้กำหนด Slippage

```mql4
double price = Ask;
int slippage = 3;  // กำหนด Slippage สูงสุด 3 pips

int ticket = OrderSend(Symbol(), OP_BUY, 0.1, price, slippage, 0, 0, "Buy Order", 12345, 0, clrGreen);

if(ticket < 0)
{
    Print("OrderSend failed with error #", GetLastError());
}
else
{
    Print("Order opened with ticket #", ticket);
}
```

* ในโค้ดนี้ `slippage` คือจำนวน pip ที่ยอมให้ราคาผิดเพี้ยนจากที่ตั้งไว้ได้ (เช่น 3 pips)
* ถ้าตลาดเปลี่ยนราคามากกว่า 3 pip คำสั่งจะไม่ถูกเปิด

---

### สรุป

* Slippage คือความแตกต่างระหว่างราคาที่ส่งคำสั่งกับราคาที่เปิดจริง
* มีผลต่อการเข้า-ออกออเดอร์ใน EA
* ควรกำหนดค่า slippage ในคำสั่งเปิดออเดอร์เพื่อควบคุมความเสี่ยง

----------------------------------------------

ได้เลยครับ! นี่คือตัวอย่างโค้ด EA แบบง่าย ๆ ทั้งใน **MT4** และ **MT5** ที่ใช้กำหนดค่า Slippage เวลาเปิดคำสั่งซื้อ (Buy Order) พร้อมอธิบายประกอบโค้ดให้ครับ

---

## ตัวอย่างโค้ด MT4 (MQL4)

```mql4
//+------------------------------------------------------------------+
//| Expert initialization function                                   |
//+------------------------------------------------------------------+
int OnInit()
{
    Print("EA เริ่มทำงาน");
    return(INIT_SUCCEEDED);
}

//+------------------------------------------------------------------+
//| Expert tick function                                             |
//+------------------------------------------------------------------+
void OnTick()
{
    double lotSize = 0.1;        // ขนาดล็อต
    double price = Ask;          // ราคาซื้อปัจจุบัน
    int slippage = 3;            // กำหนด Slippage 3 pips

    // ตรวจสอบว่าไม่มีออเดอร์เปิดอยู่แล้ว
    if(OrdersTotal() == 0)
    {
        int ticket = OrderSend(Symbol(), OP_BUY, lotSize, price, slippage, 0, 0, "Buy Order", 12345, 0, clrGreen);

        if(ticket < 0)
        {
            Print("เปิดออเดอร์ล้มเหลว! Error: ", GetLastError());
        }
        else
        {
            Print("เปิดออเดอร์สำเร็จ! Ticket: ", ticket);
        }
    }
}
```

---

## ตัวอย่างโค้ด MT5 (MQL5)

```mql5
//+------------------------------------------------------------------+
//| Expert initialization function                                   |
//+------------------------------------------------------------------+
int OnInit()
{
    Print("EA เริ่มทำงาน");
    return(INIT_SUCCEEDED);
}

//+------------------------------------------------------------------+
//| Expert tick function                                             |
//+------------------------------------------------------------------+
void OnTick()
{
    double lotSize = 0.1;        // ขนาดล็อต
    double price = SymbolInfoDouble(_Symbol, SYMBOL_ASK); // ราคาซื้อปัจจุบัน
    int slippage = 3;            // กำหนด Slippage 3 points (ใน MT5 เป็น points ไม่ใช่ pips)

    MqlTradeRequest request;
    MqlTradeResult result;
    ZeroMemory(request);
    ZeroMemory(result);

    request.action = TRADE_ACTION_DEAL;      // เปิดคำสั่งตลาด
    request.symbol = _Symbol;
    request.volume = lotSize;
    request.type = ORDER_TYPE_BUY;
    request.price = price;
    request.deviation = slippage;             // กำหนด Slippage
    request.magic = 12345;
    request.comment = "Buy Order";

    if(!OrderSend(request, result))
    {
        Print("OrderSend ล้มเหลว! Error: ", GetLastError());
    }
    else
    {
        if(result.retcode == TRADE_RETCODE_DONE)
            Print("เปิดออเดอร์สำเร็จ! Ticket: ", result.order);
        else
            Print("เปิดออเดอร์ไม่สำเร็จ! รหัส: ", result.retcode);
    }
}
```

---

### **ข้อสังเกต**

* MT4 ใช้หน่วยเป็น **pip** ในการกำหนด slippage
* MT5 ใช้หน่วยเป็น **point** (1 pip = 10 points ในคู่เงินที่มีทศนิยม 5 ตำแหน่ง เช่น EURUSD 1.23456)

-----------------------------------------------------

#156
**Arbitrage ในตลาด Forex** (Foreign Exchange Arbitrage) คือ การทำกำไรจากความแตกต่างของราคา (Price Discrepancy) ของคู่เงินเดียวกันในตลาดต่าง ๆ หรือโบรกเกอร์ต่าง ๆ โดยไม่ต้องรับความเสี่ยงจากการเคลื่อนไหวของตลาด (เพราะเป็นการซื้อขายพร้อมกันในเวลาเดียวกัน)

---

### ✅ วิธีการทำ Arbitrage ในตลาด Forex

1. **Spatial Arbitrage (Triangular Arbitrage):**

   * อาศัยความต่างของราคา *คู่เงินเดียวกัน* จาก *โบรกเกอร์ต่างกัน* หรือ *แพลตฟอร์มต่างกัน* แล้วทำการ *ซื้อจากที่ถูก* และ *ขายที่แพงกว่า* ทันที

2. **Triangular Arbitrage (อาร์บิทราจสามเหลี่ยม):**

   * ใช้ความไม่สมดุลของอัตราแลกเปลี่ยนระหว่าง 3 สกุลเงิน เช่น USD, EUR, JPY
   * ซื้อและขายในลูป เช่น USD → EUR → JPY → USD หากคำนวณแล้วได้เงิน USD มากกว่าตอนเริ่มต้น ก็ถือว่าได้กำไรแบบไม่มีความเสี่ยง

3. **Latency Arbitrage:**

   * ใช้ "ความหน่วง" (Latency) ของข้อมูลราคาแบบเรียลไทม์ในโบรกเกอร์ A กับ B เช่น โบรกเกอร์ A อัปเดตราคาเร็วกว่าบี ผู้เทรดสามารถส่งคำสั่งไปยังโบรกเกอร์ที่ล่าช้าก่อนที่ราคาจะปรับทัน

---

### 🔍 ตัวอย่าง Arbitrage แบบ Triangular (อาร์บิทราจสามเหลี่ยม)

สมมติในตลาดมีอัตราแลกเปลี่ยนดังนี้:

* EUR/USD = 1.2000
* USD/JPY = 110.00
* EUR/JPY = 132.50

เราจะเริ่มด้วย **100,000 USD** แล้วลองหมุนเงิน:

1. **USD → EUR:**

   $$
   100,000 \div 1.2000 = 83,333.33 EUR
   $$

2. **EUR → JPY:**

   $$
   83,333.33 \times 132.50 = 11,041,666.25 JPY
   $$

3. **JPY → USD:**

   $$
   11,041,666.25 \div 110.00 = 100,378.78 USD
   $$

➡️ ได้กำไร **378.78 USD** โดยไม่มีความเสี่ยง (หากสามารถทำได้ทันทีและไม่มีค่าธรรมเนียม)

---

### 📌 ข้อจำกัดและความท้าทาย

* ต้องมี **ระบบอัตโนมัติ (Algo/Robot)** ทำคำสั่งอย่างรวดเร็วในระดับมิลลิวินาที
* ค่าธรรมเนียมและสเปรด (Spread) อาจทำให้กำไรหาย
* ต้องใช้เงินทุนสูง
* โบรกเกอร์อาจห้ามการทำ Arbitrage หรือระงับบัญชี

---

### สรุป

Arbitrage ใน Forex เป็นกลยุทธ์ที่ "ไร้ความเสี่ยง" ทางทฤษฎี และใช้ช่องว่างของราคาเพื่อทำกำไรทันที แต่ในทางปฏิบัติต้องใช้เทคโนโลยีและความเร็วสูง และอาจไม่เหมาะกับเทรดเดอร์ทั่วไปโดยไม่มีเครื่องมือหรือการเข้าถึงข้อมูลความเร็วสูง

--------------------------------------------------------------------
#157
ในร่างกายมนุษย์ อวัยวะต่างๆ มีอัตราการเสื่อมที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น พันธุกรรม การใช้งาน ไลฟ์สไตล์ และสิ่งแวดล้อม โดยทั่วไป:

---

### ✅ **อวัยวะที่เสื่อมเร็วที่สุด**

**สมอง (Brain)** และ **ดวงตา (Eyes)** มักเป็นอวัยวะที่แสดงความเสื่อมเร็ว โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่วัยกลางคน

1. **สมอง**

   * สมองเริ่มเสื่อมตั้งแต่อายุ 30 ปีขึ้นไป
   * การเสื่อมของสมองจะเห็นชัดจากการลดลงของความจำ สมาธิ และความสามารถในการเรียนรู้
   * ปัจจัยเสี่ยง: ความเครียดเรื้อรัง, ขาดการกระตุ้นทางปัญญา, โรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดัน

2. **ดวงตา**

   * การเสื่อมของสายตา เช่น สายตายาวตามวัย (presbyopia) เริ่มตั้งแต่อายุประมาณ 40 ปี
   * จอตา (retina) และเลนส์ตา (lens) จะเริ่มขุ่นมัวหรือบางลง (เสี่ยงต้อกระจก ต้อหิน)

---

### 🐢 **อวัยวะที่เสื่อมช้าที่สุด**

**กระดูก (Bone)** และ **หัวใจ (Heart)** อาจดูเหมือนเสื่อมช้าในแง่การแสดงอาการ

1. **กระดูก**

   * มวลกระดูกเริ่มลดลงอย่างช้าๆ หลังอายุ 30-35 ปี
   * แต่กว่าจะเกิดภาวะกระดูกพรุนหรือกระดูกหัก อาจใช้เวลาหลายสิบปี

2. **หัวใจ**

   * ถึงแม้หัวใจจะทำงานตลอดเวลา แต่กล้ามเนื้อหัวใจเสื่อมช้า หากไม่มีปัจจัยเสี่ยง (ไขมัน, ความดัน, สูบบุหรี่)
   * บางคนอาจไม่มีอาการโรคหัวใจจนถึงอายุ 60–70 ปี

---

### ปัจจัยที่ทำให้อวัยวะเสื่อมเร็วขึ้น:

* อาหารไม่ดี
* ขาดการนอน
* ไม่ออกกำลังกาย
* ดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่
* ความเครียดเรื้อรัง

---

### สรุป

| ลำดับ | อวัยวะ | เสื่อมเร็ว / ช้า | หมายเหตุ                                         |
| ----- | ------ | ---------------- | ------------------------------------------------ |
| 1     | สมอง   | เสื่อมเร็ว       | เริ่มเห็นผลตั้งแต่อายุ 30+ ปี                    |
| 2     | ดวงตา  | เสื่อมเร็ว       | ปัญหาสายตาเริ่มวัย 40+ ปี                        |
| 3     | กระดูก | เสื่อมช้า        | มักแสดงอาการช้า แต่เริ่มเสื่อมตั้งแต่อายุ 30+ ปี |
| 4     | หัวใจ  | เสื่อมช้า        | เสื่อมช้าหากดูแลดี                               |

------------------------------------------------------

อวัยวะในร่างกายมนุษย์ที่ **เสื่อมเร็วที่สุด** และ **เสื่อมช้าที่สุด** ขึ้นอยู่กับอัตราการเสื่อมสภาพของเซลล์และการใช้งานของอวัยวะนั้น ๆ ดังนี้:

- **เสื่อมเร็วที่สุด**: **ผิวหนัง** (โดยเฉพาะชั้นหนังกำพร้า) 
  ผิวหนังชั้นนอกสุด (epidermis) มีการผลัดเซลล์อย่างต่อเนื่องทุก 10-30 วัน เซลล์ผิวหนังจะตายและหลุดลอกออก แล้วถูกแทนที่ด้วยเซลล์ใหม่ ทำให้ผิวหนังมีการเปลี่ยนแปลงและเสื่อมสภาพเร็วที่สุดเมื่อเทียบกับอวัยวะอื่น นอกจากนี้ ปัจจัยภายนอก เช่น แสงแดด ความแห้ง และมลภาวะ ยังเร่งการเสื่อมของผิวหนังด้วย

- **เสื่อมช้าที่สุด**: **สมอง** (โดยเฉพาะเซลล์ประสาทหรือนิวรอน) 
  เซลล์ประสาทในสมองส่วนใหญ่ไม่มีการแบ่งตัวหรือสร้างใหม่หลังวัยเด็ก (neurogenesis มีจำกัดในบางพื้นที่ เช่น hippocampus) ทำให้เซลล์เหล่านี้มีอายุยืนยาวตลอดชีวิตมนุษย์ อย่างไรก็ตาม การทำงานของสมองอาจลดลงจากปัจจัยอื่น เช่น ความเสื่อมของการเชื่อมต่อระหว่างเซลล์ (synapses) หรือโรคต่าง ๆ แต่ตัวเซลล์ประสาทเองเสื่อมช้าที่สุดเพราะไม่ค่อยถูกแทนที่

**หมายเหตุ**: การเสื่อมของอวัยวะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น อายุ พันธุกรรม วิถีชีวิต และโรคประจำตัว อวัยวะอื่น เช่น ตับ มีการฟื้นฟูตัวเองได้ดี ในขณะที่กระดูกหรือกล้ามเนื้ออาจเสื่อมตามวัยและการใช้งาน.
----------------------------------------------------------------------

โดยทั่วไปแล้ว การเสื่อมของอวัยวะในร่างกายมนุษย์นั้นมีความซับซ้อนและแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น พันธุกรรม การใช้ชีวิต พฤติกรรมการกิน การออกกำลังกาย และการดูแลสุขภาพโดยรวม

แต่ถ้าจะพิจารณาในภาพรวมจากงานวิจัยและข้อมูลทางวิทยาศาสตร์:

**อวัยวะที่เสื่อมเร็วที่สุด:**

* **สมอง:** มักถูกกล่าวถึงว่าเป็นหนึ่งในอวัยวะที่แก่เร็วที่สุด แม้ว่าบางส่วนของสมองจะยังคงพัฒนาได้ แต่เซลล์สมองส่วนใหญ่ไม่ได้สร้างใหม่เหมือนเซลล์อื่นๆ เมื่อสมองได้รับการบาดเจ็บหรือเสื่อมสภาพ อาจนำไปสู่ความเสียหายถาวร นอกจากนี้ การทำงานของสมองที่หนักตลอดเวลา และการสะสมของความเสียหายระดับเซลล์ทำให้สมองเสื่อมสภาพเร็ว
* **รังไข่ (ในผู้หญิง):** รังไข่มีอายุการใช้งานที่ค่อนข้างสั้นเมื่อเทียบกับอวัยวะอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงอายุ 30 ปีเป็นต้นไป การทำงานของรังไข่จะลดลงอย่างเห็นได้ชัดนำไปสู่การหมดประจำเดือน (Menopause)
* **ดวงตา:** โดยเฉพาะเลนส์ตาที่เริ่มแข็งตัว ทำให้เกิดภาวะสายตายาวตามอายุ (Presbyopia) ซึ่งมักจะเริ่มเห็นได้ชัดเจนในวัย 40-50 ปี
* **ปอด:** เริ่มเสื่อมสภาพลงเรื่อยๆ ตั้งแต่อายุ 30 ปีเป็นต้นไป ความสามารถในการแลกเปลี่ยนออกซิเจนลดลง

**อวัยวะที่เสื่อมช้าที่สุด:**

* **ระบบทางเดินอาหาร (โดยรวม):** โดยรวมแล้ว ระบบทางเดินอาหารได้รับผลกระทบจากการเสื่อมตามวัยน้อยกว่าอวัยวะอื่นๆ การเคลื่อนไหวของอาหารในหลอดอาหารอาจลดลงเล็กน้อย และกระเพาะอาหารอาจย่อยอาหารช้าลงเล็กน้อย แต่การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มักไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญในคนส่วนใหญ่
* **ตับ:** แม้ว่าตับจะเป็นอวัยวะที่ทำงานหนักมากและเกี่ยวข้องกับการกำจัดสารพิษ แต่ตับมีความสามารถในการฟื้นฟูตัวเองได้ดีเยี่ยม สามารถสร้างเซลล์ใหม่เพื่อทดแทนเซลล์ที่เสียหายได้ หากไม่ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงอย่างต่อเนื่อง
* **หัวใจ (ในบางแง่มุม):** แม้ว่าหัวใจจะทำงานตลอดเวลาและมีการเปลี่ยนแปลงตามวัย แต่ในผู้ที่ดูแลสุขภาพดี หัวใจก็ยังคงสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพไปได้นาน อย่างไรก็ตาม "การสำรอง" ของหัวใจ (ความสามารถในการทำงานเพิ่มขึ้นเมื่อต้องการ) จะลดลงตามอายุ
* **กระดูก:** ในแง่ของโครงสร้าง กระดูกเป็นอวัยวะที่มีความแข็งแรงและทนทาน อย่างไรก็ตาม กระบวนการสร้างและสลายกระดูกจะเปลี่ยนแปลงไปตามอายุ ทำให้มวลกระดูกลดลงและเกิดภาวะกระดูกพรุนได้ในวัยสูงอายุ

**ข้อสังเกตสำคัญ:**

* **อายุทางชีวภาพ (Biological Age) vs. อายุตามปฏิทิน (Chronological Age):** การศึกษาล่าสุดพบว่าอวัยวะแต่ละส่วนในร่างกายมี "อายุทางชีวภาพ" ที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจแก่กว่าหรืออ่อนกว่าอายุตามปฏิทินของบุคคลนั้นๆ ได้ การที่อวัยวะใดอวัยวะหนึ่งมีอายุทางชีวภาพที่แก่กว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด อาจเป็นสัญญาณของความเสี่ยงต่อโรคในอนาคตได้
* **การดูแลสุขภาพ:** การดูแลสุขภาพที่ดี การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การจัดการความเครียด และการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ล้วนมีบทบาทสำคัญในการชะลอความเสื่อมของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย
-----------------------------------------------------

คำถามนี้น่าสนใจมากเลยครับ เพราะการเสื่อมของอวัยวะในร่างกายขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น พันธุกรรม การใช้ชีวิต อาหาร การออกกำลังกาย และสิ่งแวดล้อม แต่ถ้าเราพูดโดยทั่วไปจากงานวิจัยและข้อมูลทางการแพทย์ อวัยวะที่เสื่อมเร็วที่สุดและช้าที่สุดสามารถสรุปได้ดังนี้:

---

### 🧠 อวัยวะที่เสื่อมเร็วที่สุด

**1. สมอง (Brain)**
- เริ่มเสื่อมตั้งแต่อายุประมาณ 30 ปี
- เซลล์สมองไม่สามารถแบ่งตัวใหม่ได้ และจำนวนเซลล์จะลดลงเรื่อย ๆ
- ความจำ การคิดวิเคราะห์ และการตอบสนองจะช้าลงตามอายุ

**2. ผิวหนัง (Skin)**
- เสื่อมเร็วเพราะสัมผัสกับแสงแดด มลภาวะ และสารเคมี
- เริ่มมีริ้วรอย ความยืดหยุ่นลดลงตั้งแต่อายุ 25-30 ปี

**3. ดวงตา (Eyes)**
- การมองเห็นเริ่มเสื่อมตั้งแต่ช่วงอายุ 40 ปี เช่น สายตายาวตามวัย
- เลนส์ตาแข็งขึ้น ทำให้โฟกัสภาพได้ยากขึ้น

**4. ระบบสืบพันธุ์ (Reproductive System)**
- สำหรับผู้หญิง ระบบนี้เสื่อมเร็ว โดยเฉพาะรังไข่ที่หยุดทำงานเมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน (ประมาณอายุ 45-55 ปี)

---

### 💪 อวัยวะที่เสื่อมช้าที่สุด

**1. หัวใจ (Heart)**
- แม้จะทำงานหนักตลอดชีวิต แต่หัวใจสามารถทำงานได้ดีจนถึงวัยชรา หากไม่มีโรคแทรกซ้อน
- การออกกำลังกายช่วยให้หัวใจแข็งแรงนานขึ้น

**2. กระดูก (Bones)**
- กระดูกจะเริ่มบางลงเมื่ออายุ 30 ปีขึ้นไป แต่กระบวนการเสื่อมช้าหากได้รับแคลเซียมและวิตามินดีเพียงพอ

**3. ตับ (Liver)**
- ตับมีความสามารถในการฟื้นฟูตัวเองสูงมาก
- แม้จะถูกทำลายบางส่วน ก็สามารถงอกใหม่ได้ หากไม่ถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง

**4. ไต (Kidneys)**
- ไตสามารถทำงานได้แม้เหลือเพียง 20-30% ของความสามารถเดิม
- เสื่อมช้า หากไม่มีโรคเบาหวานหรือความดันสูง

---------------------------------------
#158
**การรักษาประคับประคอง** (Palliative Care) คือแนวทางการดูแลรักษาผู้ป่วยแบบองค์รวม โดยมุ่งเน้นไปที่ **การบรรเทาความทุกข์ทรมานทั้งทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และจิตวิญญาณ** ของผู้ป่วยที่มีโรคร้ายแรง หรือโรคเรื้อรังที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เช่น โรคมะเร็งระยะท้าย โรคหัวใจล้มเหลวเรื้อรัง โรคปอดเรื้อรัง หรือโรคสมองเสื่อม

---

### จุดมุ่งหมายของการรักษาประคับประคอง:

* **บรรเทาอาการ** เช่น ปวด หายใจลำบาก คลื่นไส้ อ่อนเพลีย
* **สนับสนุนด้านจิตใจและอารมณ์** เช่น ความวิตกกังวล ซึมเศร้า กลัวตาย
* **ส่งเสริมคุณภาพชีวิต** ให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าและสม dignity เท่าที่สามารถทำได้
* **ดูแลครอบครัวผู้ป่วย** ให้เข้าใจโรค บทบาทของตนเอง และเตรียมใจในการดูแลผู้ป่วยระยะท้าย
* **ไม่มุ่งยืดชีวิตโดยไม่จำเป็น** และไม่เร่งให้ชีวิตสิ้นสุด แต่เน้นความสบายของผู้ป่วย

---

### ใครควรได้รับการรักษาประคับประคอง?

* ผู้ป่วยโรคร้ายแรงระยะลุกลาม หรือระยะท้าย
* ผู้ที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบหายขาด
* ผู้ที่มีอาการเรื้อรังซับซ้อน ส่งผลต่อคุณภาพชีวิต

---

### ตัวอย่างของการรักษาประคับประคอง:

* ให้ยาแก้ปวดเมื่อมะเร็งลุกลาม
* ให้ออกซิเจนหรือยาขยายหลอดลมในผู้ป่วย COPD
* พูดคุยเรื่องการวางแผนล่วงหน้า (advance care planning) เช่น ไม่ปั๊มหัวใจ ไม่ใส่ท่อช่วยหายใจในระยะท้าย
* ดูแลด้านจิตใจและให้คำปรึกษาครอบครัว

-------------------------------------

แบบฟอร์ม "แสดงความประสงค์การรักษาประคับประคอง" หรือที่เรียกว่า **Advance Care Plan (ACP)** หรือ **แบบฟอร์มแสดงเจตนาการดูแลรักษาระยะท้าย** เป็นเอกสารที่ใช้ให้ผู้ป่วยหรือญาติแสดงความต้องการเกี่ยวกับการรักษาในช่วงท้ายของชีวิต โดยเฉพาะเมื่อผู้ป่วยไม่สามารถสื่อสารเองได้

ด้านล่างคือตัวอย่างโครงสร้างของ **แบบฟอร์มแสดงความประสงค์การรักษาประคับประคอง** ซึ่งมักใช้ในโรงพยาบาลหรือหน่วยบริการสุขภาพในไทย

---

### 📝 **แบบฟอร์มแสดงความประสงค์การรักษาระยะท้าย (Palliative Care / ACP Form)**

#### 1. ข้อมูลผู้ป่วย

* ชื่อ - สกุล: ............................................
* เลขประจำตัวประชาชน: ............................................
* อายุ: ........ ปี
* ที่อยู่: ............................................
* วัน/เวลา ที่จัดทำแบบฟอร์ม: ...............

#### 2. การรับรู้ของผู้ป่วย

* ผู้ป่วยทราบว่าตนเองเป็นโรคอะไร: □ ทราบ □ ไม่ทราบ
* ผู้ป่วยทราบว่าโรคอยู่ในระยะใด: □ ระยะเริ่มต้น □ ระยะท้าย
* การพยากรณ์โรค: □ มีโอกาสฟื้นตัว □ โรครักษาไม่หาย

#### 3. ความประสงค์ในการรักษาเมื่อถึงระยะท้าย

* □ ไม่ต้องการให้ใส่ท่อช่วยหายใจ
* □ ไม่ต้องการให้ปั๊มหัวใจ (CPR)
* □ ต้องการให้บรรเทาอาการ เช่น ปวด หายใจลำบาก
* □ ยินยอมให้ใส่สายให้อาหาร/น้ำทางหลอดเลือดหรือสายยาง □ ไม่ยินยอม
* □ ขอให้ได้รับการดูแลตามแนวทางการรักษาประคับประคองเท่านั้น

#### 4. ความประสงค์เพิ่มเติม (ถ้ามี)

........................................................................
........................................................................

#### 5. ผู้แสดงความประสงค์

* □ ผู้ป่วยเป็นผู้กรอกเอง
* □ ญาติเป็นผู้กรอกแทน (เนื่องจากผู้ป่วยไม่สามารถตัดสินใจได้)

ชื่อผู้แสดงความประสงค์: ........................................
ความสัมพันธ์กับผู้ป่วย: .........................................

ลายเซ็น: .................................... วันที่: ...............

#### 6. พยานหรือบุคลากรทางการแพทย์ที่ร่วมรับทราบ

ชื่อ: .........................................................
ตำแหน่ง: ...............................................
ลายเซ็น: .................................... วันที่: ...............

---

### หมายเหตุ:

* แบบฟอร์มนี้สามารถแนบไว้ในประวัติผู้ป่วย เพื่อให้ทีมรักษาดำเนินการตามความต้องการ
* บางโรงพยาบาลอาจมีแบบฟอร์มเฉพาะของตน (ควรสอบถามจากสถานพยาบาลนั้นโดยตรง)

----------------------------------------------------------------

#159
**Podcasts** คือ รายการเสียงหรือวิดีโอที่เผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต โดยผู้ฟังสามารถฟังเมื่อไหร่ก็ได้ (On-demand) คล้ายรายการวิทยุแต่เปิดฟังได้ตามสะดวก มักมีรูปแบบเป็นตอน ๆ (Episode) และจัดอยู่ในหมวดหมู่ เช่น ข่าว, สาระ, บันเทิง, สัมภาษณ์, ธุรกิจ ฯลฯ

---

### 🎧 Podcast คืออะไร แบบเข้าใจง่าย

* คล้ายรายการวิทยุ แต่เผยแพร่ผ่านอินเทอร์เน็ต
* มีผู้จัด (Host) ที่พูดคุยในหัวข้อต่าง ๆ
* ผู้ฟังสามารถกดติดตาม (Subscribe) ได้ เพื่อไม่พลาดตอนใหม่
* ฟังผ่านแพลตฟอร์ม เช่น Spotify, Apple Podcasts, YouTube, Google Podcasts ฯลฯ

---

### ✅ อยากเริ่มทำ Podcast ต้องทำอย่างไร?

#### 1. **กำหนดหัวข้อรายการ**

* หาคอนเซปต์ที่คุณสนใจ เช่น "เล่าเรื่องธุรกิจ", "หนังที่เพิ่งดู", "ชีวิตในต่างแดน", "พัฒนาตัวเอง"
* ตั้งชื่อรายการให้จำง่ายและตรงกลุ่มเป้าหมาย

#### 2. **เตรียมอุปกรณ์**

* เริ่มง่าย ๆ ได้แค่มี:

  * ไมโครโฟนคุณภาพดี (เช่น USB Mic: Samson Q2U, Blue Yeti)
  * คอมพิวเตอร์หรือมือถือ
  * ซอฟต์แวร์อัดเสียง (เช่น Audacity, GarageBand, หรือ Anchor)

#### 3. **วางโครงสร้างเนื้อหาแต่ละตอน**

* เปิดรายการ (Intro)
* เนื้อหาหลัก (Main Content)
* ปิดรายการ (Outro) พร้อมชวนติดตามตอนต่อไป

#### 4. **อัดเสียงและตัดต่อ**

* ใช้โปรแกรมเช่น:

  * **Audacity** (ฟรี)
  * **GarageBand** (ฟรีบน Mac)
  * **Adobe Audition** (สำหรับมืออาชีพ)
  * หรือแอปมือถือเช่น **Anchor** (ง่ายและครบวงจร)

#### 5. **เผยแพร่รายการ**

* สมัครบัญชีบนแพลตฟอร์มเช่น:

  * **Spotify for Podcasters**
  * **Anchor.fm** (แนะนำสำหรับมือใหม่)
  * **Podbean**
* แพลตฟอร์มเหล่านี้จะช่วยกระจายรายการไปยัง Spotify, Apple Podcasts ฯลฯ

#### 6. **โปรโมตรายการ**

* แชร์ผ่านโซเชียลมีเดีย (Facebook, IG, TikTok)
* ทำภาพปกสวย ๆ และชื่อ EP ให้น่าสนใจ
* สร้างเพจ/เพื่อนำเสนอเนื้อหาเบื้องหลังหรือพูดคุยกับผู้ฟัง

---

### 🎙� เคล็ดลับสำหรับมือใหม่

* เริ่มจากสิ่งที่คุณ "อยากพูด" และ "พูดได้เรื่อย ๆ"
* ซ้อมพูดหน้ากระจก / อัดเสียงแล้วฟังตัวเอง
* รักษาคุณภาพเสียงให้ชัดเจน
* ความสม่ำเสมอสำคัญ เช่น อัปโหลดทุกสัปดาห์

----------------------------------------------
#160
ข้อผิดพลาด **"Too Many Requests"** ที่เกิดขึ้นกับ **Hotmail.com** (หรือ Outlook.com ซึ่งเป็นบริการเดียวกันของ Microsoft) หมายความว่าคุณได้ทำการร้องขอ (request) ไปยังเซิร์ฟเวอร์มากเกินไปในช่วงเวลาสั้น ๆ ซึ่งระบบมองว่าเป็นพฤติกรรมผิดปกติ อาจคล้ายกับการโจมตีแบบ spam หรือ bot ทำให้ระบบบล็อกชั่วคราว

## วิธีแก้ไขเบื้องต้น:

### ✅ 1. **รอสักพัก**

* บ่อยครั้ง Microsoft จะปลดบล็อกอัตโนมัติหลังผ่านไป 15 นาที – 1 ชั่วโมง
* หลีกเลี่ยงการรีเฟรชหรือพยายามล็อกอินซ้ำ ๆ ระหว่างรอ เพราะจะยิ่งต่อเวลาบล็อก

---

### ✅ 2. **เปลี่ยนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต / IP Address**

* ถ้าใช้ Wi-Fi หรือเน็ตบ้าน ลองสลับไปใช้ 4G/5G บนมือถือ หรือ hotspot จากเครื่องอื่น
* IP Address ใหม่จะช่วยเลี่ยงการบล็อกจาก IP เดิม

---

### ✅ 3. **เคลียร์ Cookies & Cache ในเบราว์เซอร์**

* บางครั้ง session ที่ค้างในเบราว์เซอร์อาจทำให้เกิดปัญหาเดิมซ้ำ
* ลองล้าง cookies + cache แล้วเปิดหน้าเว็บใหม่

---

### ✅ 4. **ใช้เบราว์เซอร์อื่น หรือโหมดไม่ระบุตัวตน (Incognito/Private mode)**

* เปิดเว็บ Hotmail.com ผ่าน Chrome, Firefox, Safari หรือเบราว์เซอร์อื่น
* หรือกด Ctrl+Shift+N (Windows) / ⌘+Shift+N (Mac) เพื่อเปิดโหมดไม่ระบุตัวตน

---

### ✅ 5. **ตรวจสอบว่าไม่ได้ใช้โปรแกรมอีเมลหรืออุปกรณ์หลายเครื่องพร้อมกัน**

* เช่น Outlook บนมือถือ + แอปในคอม + Web browser หากเชื่อมพร้อมกันอาจส่ง request จำนวนมากโดยไม่รู้ตัว

---

### ✅ 6. **ตรวจสอบว่าไม่มี VPN/Proxy ที่อาจใช้ IP ร่วมกับผู้ใช้อื่น**

* บางครั้ง VPN ทำให้คุณแชร์ IP กับคนอื่นที่อาจเคยถูกบล็อก

---

### ✅ 7. **ถ้ายังใช้งานไม่ได้แม้รอหลายชั่วโมง: ติดต่อฝ่ายสนับสนุนของ Microsoft**

* ไปที่: [https://support.microsoft.com/contactus](https://support.microsoft.com/contactus)
* หรือเข้าสู่ระบบ Microsoft ที่นี่: [https://account.microsoft.com/](https://account.microsoft.com/)
* แล้วดูเมนู **ความปลอดภัย** เพื่อดูว่าบัญชีมีปัญหาหรือถูกจำกัดหรือไม่

--------------------------------------------
#161
การพัฒนากลยุทธ์การเทรด (Trading Strategy Development) เป็นกระบวนการที่ต้องใช้ทั้งความรู้ ความเข้าใจ และการทดสอบอย่างเป็นระบบ เพื่อให้สามารถตัดสินใจซื้อขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดอารมณ์ และเพิ่มความสามารถในการทำกำไรในระยะยาว โดยสามารถสรุปเป็นขั้นตอนหลัก ๆ ได้ดังนี้:

เปิดบัญชี Standard ได้ที่ https://exness.com/intl/th/a/73208

---

## ✅ 1. **กำหนดเป้าหมายและข้อจำกัดส่วนตัว**

* เป้าหมาย: ต้องการกำไรเท่าไรต่อเดือน/ปี? รับความเสี่ยงได้แค่ไหน?
* ทุนเริ่มต้น: มีทุนเท่าไหร่? ควรใช้ leverage หรือไม่?
* เวลา: เทรดเต็มเวลา หรือพาร์ทไทม์?
* สไตล์การเทรด: Day trading, Swing, Scalping, Position, Algorithmic?

---

## ✅ 2. **เลือกตลาดและสินทรัพย์ที่จะเทรด**

* ตลาด: หุ้น, ฟอเร็กซ์, คริปโต, ฟิวเจอร์ส ฯลฯ
* สินทรัพย์: คู่สกุลเงินหลัก, หุ้น blue-chip, เหรียญใหญ่ในคริปโต ฯลฯ

---

## ✅ 3. **วิเคราะห์และเลือกแนวทางวิเคราะห์**

### 🔹 การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis)

* ใช้กราฟ, แนวรับ-แนวต้าน, trend line, รูปแบบแท่งเทียน
* ตัวชี้วัด: RSI, MACD, Moving Averages, Bollinger Bands ฯลฯ

### 🔹 การวิเคราะห์พื้นฐาน (Fundamental Analysis)

* รายงานการเงิน, ข่าวเศรษฐกิจ, ตัวเลข GDP, อัตราดอกเบี้ย

### 🔹 การวิเคราะห์เชิงสถิติหรือเชิงปริมาณ (Quantitative/Statistical)

* สร้างโมเดลจากข้อมูลย้อนหลัง เช่น backtesting, mean reversion

---

## ✅ 4. **กำหนดกฎของกลยุทธ์**

ต้องกำหนดให้ชัดเจน เช่น:

* จุดเข้า (Entry): ตัวชี้วัดใดให้สัญญาณซื้อ?
* จุดออก (Exit): จะขายเมื่อกำไรถึงกี่ % หรือเมื่อสัญญาณกลับทิศ?
* การจัดการความเสี่ยง (Risk Management): จะตั้ง stop loss เท่าไหร่? ต่อครั้งเสี่ยงไม่เกินกี่ % ของพอร์ต?

---

## ✅ 5. **Backtesting (ทดสอบกับข้อมูลย้อนหลัง)**

* ใช้โปรแกรม เช่น TradingView, MetaTrader, Python/Pandas เพื่อทดสอบว่า ถ้าใช้กลยุทธ์นี้กับข้อมูลในอดีต ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร
* พิจารณา:

  * Win rate
  * Risk-Reward Ratio
  * Maximum drawdown
  * Expectancy (ค่าคาดหวังต่อการเทรด)

---

## ✅ 6. **ปรับปรุงและ Optimize**

* แก้ไขจุดอ่อนจากการ backtest
* อย่าปรับมากเกินไปจนเกิด "overfitting" (ปรับจนใช้ได้เฉพาะข้อมูลในอดีต)

---

## ✅ 7. **ทดลองใช้งานจริงแบบจำลอง (Paper Trading / Demo)**

* ใช้กลยุทธ์กับบัญชีทดลอง
* ดูว่าการตัดสินใจในสภาพตลาดจริงยังได้ผลหรือไม่

---

## ✅ 8. **นำไปใช้จริงด้วยขนาดเล็ก (Live Trading)**

* เริ่มจาก position size เล็ก ๆ
* บันทึกการเทรดทุกครั้ง วิเคราะห์ว่าอะไรได้ผล อะไรไม่

---

## ✅ 9. **วิเคราะห์ผลลัพธ์และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง**

* บันทึกผลลัพธ์
* ประเมินกลยุทธ์ทุกเดือน/ไตรมาส
* ปรับปรุงกลยุทธ์ตามการเปลี่ยนแปลงของตลาด

---

## 🛠 ตัวอย่างเครื่องมือที่ช่วยในการพัฒนากลยุทธ์:

* **TradingView** – วิเคราะห์กราฟและเขียน Pine Script
* **MetaTrader 4/5** – เทรดอัตโนมัติผ่าน Expert Advisor (EA)
* **Excel/Google Sheets** – สำหรับคำนวณทางสถิติ
* **Python (Pandas, Backtrader, Zipline)** – สำหรับกลยุทธ์อัตโนมัติ

------------------------------------------------------
#162
เงินเดือนเริ่มต้นในไทยจะแตกต่างกันตามวุฒิการศึกษาและสายอาชีพ ดังนี้ครับ:

---

### 🎓 วุฒิขั้นพื้นฐาน

* **จบ ป.6 – ม.3 – ม.6**
  โดยทั่วไป กลุ่มนี้ถือเป็นแรงงานทั่วไป (first jobber) เช่น พนักงานขาย พนักงานโรงงาน หรือช่างเทคนิคเบื้องต้น เงินเดือนเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ **10,000 – 15,000 บาท** ต่อเดือน ([www.thairath.co.th][1])

---

### 🛠 ปวช. – ปวส. (สายอาชีวศึกษา)

* เด็กจบอาชีวะเริ่มต้นที่ประมาณ **11,000 – 15,000 บาท** ([www.thairath.co.th][1])
* หากเป็นงานที่ต้องใช้ทักษะเฉพาะ เช่น ช่าง หรือ IT Support อาจเริ่มที่ **15,000 – 22,000 บาท** ([kapook.com][2])

---

### 🎓 ป.ตรี (Bachelor's Degree)

* วุฒิปริญญาตรีทั่วๆ ไป (บริหาร, สังคมศาสตร์): **15,000 – 25,000 บาท** ([Jobcadu][3])
* อาชีพเฉพาะทาง (วิศวกรรม, IT, วิทยาศาสตร์สุขภาพ):

  * วิศวกรเริ่มที่ **20,000 – 30,000 บาท** ([Jobcadu][3])
  * สาย IT เช่น Software Engineer หรือพัฒนาเว็บไซต์ **25,000 – 30,000 บาท** ([thansettakij][4])
  * สาธารณสุข พยาบาล เทคนิครังสี: **16,000 – 20,000 บาท**&#x20;

สายพิเศษเช่น วิศวกรรมการบิน ค่าเฉลี่ยเริ่มต้นประมาณ **20,000 บาท** ([trueplookpanya.com][5])

---

### 🎓 ป.โท – ป.เอก (Master's / PhD Degree)

* ปริญญาโทมักจะได้ค่าตอบแทนเพิ่มขึ้นจาก ป.ตรี ประมาณ **3,000 บาท** และ ป.เอกอาจได้เพิ่มอีก **2,000–5,000 บาท** จากฐานทั่วไปของป.ตรี ([th.jobsdb.com][6])

---

### 💡 ตัวอย่างภาพรวมปีล่าสุด

| วุฒิการศึกษา | เงินเดือนเริ่มต้นโดยทั่วไป                            |
| ------------ | ------------------------------------------------------ |
| ป.6 – ม.6    | 10,000 – 15,000 บาท                                    |
| ปวช. – ปวส.  | 11,000 – 15,000 บาท (ถึง \~22,000 บาทถ้าใช้ทักษะเฉพาะ) |
| ป.ตรี        | 15,000 – 25,000 บาท; สาขาที่เฉพาะทางถึง 30,000 บาท    |
| ป.โท – ป.เอก | เพิ่มจาก ป.ตรีประมาณ 3,000–5,000 บาท                  |

---

### 🏢 ปัจจัยที่มีผลกับเงินเดือน

1. **สายอาชีพ** – สาขาเทคโนโลยี วิศวกรรม สุขภาพ มักมีเงินเดือนสูงกว่า
2. **ขนาดและประเภทขององค์กร** – Multinational หรือบริษัทใหญ่จะจ่ายสูงกว่า SME หรือหน่วยงานรัฐบาล
3. **ทักษะและความเชี่ยวชาญเพิ่มเติม** – เช่น ภาษา, โปรแกรมเฉพาะทาง, ประสบการณ์ฝึกงาน
4. **สภาวะตลาดแรงงาน** – เช่นภาวะเศรษฐกิจ ตลาด IT ยังเติบโตแม้ช่วงโควิด ([Jobcadu][3])

---

### ✅ เคล็ดลับสำหรับผู้หางาน

* ศึกษาเงินเดือนในอุตสาหกรรมที่สนใจ
* หากจบ ป.โท หรือ ป.เอก ควรขอเพิ่มจากฐาน ป.ตรี 3,000–5,000 บาท
* เพิ่มจุดแข็ง เช่น ภาษา ทักษะวิเคราะห์ โปรแกรม ทำให้เรียกเงินเดือนได้สูงขึ้น
* ต่อรองอย่างมีเหตุผล โดยยึดต้นทุนชีวิตและเป้าหมายการออมเป็นหลัก

---

**สรุป:**

* ป.6 – ป.ม.6: \~10,000 – 15,000 บาท
* ปวช./ปวส.: \~11,000 – 15,000 บาท (อาจถึง 22,000 ขึ้นกับทักษะ)
* ป.ตรี: \~15,000 – 25,000 บาท (สายเฉพาะทางสูงถึง 30,000)
* ป.โท: ป.ตรี + \~3,000 บาท
* ป.เอก: ป.ตรี + \~3,000–5,000 บาท

----------------------------------------------------

เงินเดือนเริ่มต้นสำหรับผู้จบการศึกษาในระดับต่างๆ ในประเทศไทยขึ้นอยู่กับภาคส่วน (ราชการหรือเอกชน) และประเภทของงาน ซึ่งอาจแตกต่างกันตามสายงานและประสบการณ์ ด้านล่างนี้คือข้อมูลคร่าวๆ เกี่ยวกับเงินเดือนเริ่มต้นสำหรับแต่ละระดับการศึกษา โดยอิงจากข้อมูลที่มีในผลการค้นหาและแนวโน้มทั่วไปในปี 2568 (2025) โดยเฉพาะในส่วนของข้าราชการที่มีการปรับเงินเดือนใหม่ และข้อมูลจากภาคเอกชนบางส่วน:

### 1. **ประถมศึกษา (ป.6)** 
- **เงินเดือนเริ่มต้น**: โดยทั่วไป ผู้จบ ป.6 มักทำงานในตำแหน่งที่ไม่ต้องการวุฒิการศึกษาสูง เช่น งานทั่วไป, งานในโรงงาน, หรืองานบริการ เงินเดือนเริ่มต้นในภาคเอกชนมักอยู่ที่ **8,000-12,000 บาทต่อเดือน** (ใกล้เคียงกับค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งในปี 2568 อาจอยู่ที่ประมาณ 400-450 บาทต่อวัน หรือประมาณ 10,000-12,750 บาทต่อเดือน ขึ้นอยู่กับจังหวัด) 
- **หมายเหตุ**: ผู้จบ ป.6 มีโอกาสจำกัดในงานที่ต้องการวุฒิสูง และมักไม่มีเงินเดือนเริ่มต้นที่กำหนดชัดเจนในระบบราชการ เนื่องจากงานราชการส่วนใหญ่กำหนดวุฒิขั้นต่ำที่สูงกว่านี้

### 2. **มัธยมศึกษาตอนต้น (ม.3)** 
- **เงินเดือนเริ่มต้น**: คล้ายกับผู้จบ ป.6 เงินเดือนในภาคเอกชนสำหรับงานทั่วไป เช่น งานโรงงาน, งานก่อสร้าง, หรืองานบริการ อยู่ที่ประมาณ **9,000-13,000 บาทต่อเดือน** 
- **หมายเหตุ**: ผู้จบ ม.3 อาจมีโอกาสในงานที่ต้องการทักษะพื้นฐาน เช่น ช่างฝึกหัด หรือพนักงานทั่วไป แต่ในระบบราชการมักไม่เข้าเกณฑ์วุฒิขั้นต่ำ

### 3. **มัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.6)** 
- **เงินเดือนเริ่มต้น**: 
  - **ภาคเอกชน**: อยู่ที่ประมาณ **10,000-15,000 บาทต่อเดือน** ขึ้นอยู่กับสายงาน เช่น พนักงานขาย, งานบริการ, หรืองานธุรการพื้นฐาน 
  - **หมายเหตุ**: ผู้จบ ม.6 อาจได้รับเงินเดือนสูงกว่าผู้จบ ป.6 หรือ ม.3 เล็กน้อย เนื่องจากมีทักษะพื้นฐานที่มากกว่า แต่โอกาสในงานราชการยังจำกัด เนื่องจากส่วนใหญ่ต้องการวุฒิ ปวช. ขึ้นไป

### 4. **ประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.)** 
- **เงินเดือนเริ่มต้น**: 
  - **ภาคราชการ**: ตามมติ ครม. ปี 2566 ปรับเงินเดือนข้าราชการใหม่ มีผลตั้งแต่ 1 พ.ค. 2567 
    - **ปีที่ 1 (2567)**: 10,340-11,380 บาทต่อเดือน 
    - **ปีที่ 2 (2568)**: 11,380-12,520 บาทต่อเดือน  [](https://www.moneybuffalo.in.th/economy/update-government-officer-salary-rates)
  - **ภาคเอกชน**: จากการสำรวจของ ส.อ.ท. ในปี 2558/2559 เงินเดือนเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ **10,120 บาท** และในปี 2568 คาดว่าอาจเพิ่มขึ้นตามค่าครองชีพเป็น **12,000-15,000 บาท** ขึ้นอยู่กับสายงาน เช่น ช่างเทคนิค, งานบัญชี, หรืองานธุรการ  [](http://thaimoneyadvice.com/%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25B7%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2599-%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%258A-%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25AA-%25E0%25B9%2581%25E0%25B8%258B%25E0%25B8%2587-%25E0%25B8%259B-%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25A3/)
- **หมายเหตุ**: งานในสายอาชีพ (เช่น ช่างยนต์, ช่างไฟ) มีความต้องการสูงในภาคเอกชน ทำให้เงินเดือนอาจสูงกว่าค่าเฉลี่ยในบางกรณี

### 5. **ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.)** 
- **เงินเดือนเริ่มต้น**: 
  - **ภาคราชการ**: 
    - **ปีที่ 1 (2567)**: 12,650-13,920 บาทต่อเดือน 
    - **ปีที่ 2 (2568)**: 13,920-15,320 บาทต่อเดือน  [](https://www.moneybuffalo.in.th/economy/update-government-officer-salary-rates)
  - **ภาคเอกชน**: จากการสำรวจในปี 2558/2559 เงินเดือนเริ่มต้นอยู่ที่ **11,383 บาท** และในปี 2568 คาดว่าอยู่ที่ **15,000-18,000 บาท** หรือมากกว่าในงานที่มีความต้องการสูง เช่น ช่างเทคนิคขั้นสูง หรืองานด้านเทคโนโลยี  [](http://thaimoneyadvice.com/%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25B7%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2599-%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%258A-%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25AA-%25E0%25B9%2581%25E0%25B8%258B%25E0%25B8%2587-%25E0%25B8%259B-%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25A3/)
- **หมายเหตุ**: ผู้จบ ปวส. มีโอกาสในงานที่ต้องการทักษะเฉพาะทาง และบางครั้งอาจได้เงินเดือนใกล้เคียงหรือสูงกว่าผู้จบปริญญาตรีในบางสายงาน เนื่องจากความต้องการในตลาดแรงงาน[](https://www.admissionpremium.com/content/756)

### 6. **ปริญญาตรี (ป.ตรี)** 
- **เงินเดือนเริ่มต้น**: 
  - **ภาคราชการ**: 
    - **ปีที่ 1 (2567)**: 16,500-18,150 บาทต่อเดือน 
    - **ปีที่ 2 (2568)**: 18,150-19,970 บาทต่อเดือน (ขั้นต่ำ 18,000 บาทสำหรับตำแหน่งที่ใช้คุณวุฒิปริญญาตรี)  [](https://www.moneybuffalo.in.th/economy/update-government-officer-salary-rates)
  - **ภาคเอกชน**: จากการสำรวจในปี 2558/2559 เงินเดือนเริ่มต้นอยู่ที่ **15,491 บาท** และในปี 2568 คาดว่าเฉลี่ยอยู่ที่ **18,000-25,000 บาท** ขึ้นอยู่กับสาขา เช่น วิศวกรรม, IT, หรือการเงินอาจได้สูงถึง **25,000-35,000 บาท**  [](http://thaimoneyadvice.com/%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25B7%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2599-%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%258A-%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25AA-%25E0%25B9%2581%25E0%25B8%258B%25E0%25B8%2587-%25E0%25B8%259B-%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25A3/)
- **หมายเหตุ**: เงินเดือนในภาคเอกชนขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรมและทักษะเฉพาะ เช่น วิศวกรหรือโปรแกรมเมอร์มักได้เงินเดือนสูงกว่าสายงานทั่วไป

### 7. **ปริญญาโท (ป.โท)** 
- **เงินเดือนเริ่มต้น**: 
  - **ภาคราชการ**: 
    - **ปีที่ 1 (2567)**: 19,250-21,180 บาทต่อเดือน 
    - **ปีที่ 2 (2568)**: 21,180-23,300 บาทต่อเดือน  [](https://www.moneybuffalo.in.th/economy/update-government-officer-salary-rates)
  - **ภาคเอกชน**: จากการสำรวจในปี 2558/2559 เงินเดือนเริ่มต้นอยู่ที่ **21,047 บาท** และในปี 2568 คาดว่าเฉลี่ยอยู่ที่ **25,000-40,000 บาท** ขึ้นอยู่กับสาขาและประสบการณ์ เช่น งานบริหาร, การเงิน, หรือสายวิชาการ  [](http://thaimoneyadvice.com/%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25B7%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2599-%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%258A-%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25AA-%25E0%25B9%2581%25E0%25B8%258B%25E0%25B8%2587-%25E0%25B8%259B-%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25A3/)
- **หมายเหตุ**: ผู้จบ ป.โท มักได้เปรียบในตำแหน่งที่ต้องการความเชี่ยวชาญ เช่น งานวิจัยหรือบริหารจัดการ

### 8. **ปริญญาเอก (ป.เอก)** 
- **เงินเดือนเริ่มต้น**: 
  - **ภาคราชการ**: 
    - **ปีที่ 1 (2567)**: 23,100-25,410 บาทต่อเดือน 
    - **ปีที่ 2 (2568)**: 25,410-27,960 บาทต่อเดือน  [](https://www.moneybuffalo.in.th/economy/update-government-officer-salary-rates)
  - **ภาคเอกชน**: จากการสำรวจในปี 2558/2559 เงินเดือนเริ่มต้นอยู่ที่ **35,985 บาท** และในปี 2568 คาดว่าเฉลี่ยอยู่ที่ **40,000-60,000 บาท** หรือมากกว่าในสาขาที่มีความต้องการสูง เช่น วิศวกรรม, เทคโนโลยี, หรือการแพทย์  [](http://thaimoneyadvice.com/%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2599%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25B7%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2599-%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%258A-%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25AA-%25E0%25B9%2581%25E0%25B8%258B%25E0%25B8%2587-%25E0%25B8%259B-%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25A3/)
- **หมายเหตุ**: ผู้จบ ป.เอก มักทำงานในสายวิชาการ, วิจัย, หรือตำแหน่งบริหารระดับสูง ทำให้เงินเดือนสูงกว่าวุฒิอื่นๆ
---------------------------------------------------------
#163
**Babinski reflex** (หรือ **Babinski sign**) คือ ปฏิกิริยารีเฟล็กซ์ของเท้าที่สามารถใช้ในการประเมินการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง โดยเฉพาะ **เส้นประสาทไขสันหลังและสมองส่วนเปลือกสมอง (corticospinal tract)**

---

### วิธีตรวจ Babinski reflex:

* แพทย์จะใช้วัตถุทื่อๆ (เช่น ด้ามค้อนตรวจ reflex) ขูดเบาๆ ที่ฝ่าเท้า เริ่มจากส้นเท้า แล้วลากขึ้นไปทางนิ้วหัวแม่เท้า (แนวด้านนอกของฝ่าเท้า)

---

### ผลการตรวจ:

#### 🔹 **ปกติในผู้ใหญ่และเด็กโต** (ระบบประสาทพัฒนาเต็มที่):

* นิ้วหัวแม่เท้างอ **ลง** (flexion) หรือไม่มีการตอบสนองใด ๆ
  → **ถือว่าปกติ**

#### 🔹 **Babinski positive** (ผิดปกติในผู้ใหญ่):

* นิ้วหัวแม่เท้า **กระดกขึ้น** (extension)
* นิ้วเท้าอื่น ๆ **กางออก** (fan out)
  → บ่งชี้ว่าอาจมี **ความเสียหายของระบบประสาทส่วนกลาง** เช่น:

  * โรคหลอดเลือดสมอง (stroke)
  * ปลอกประสาทเสื่อม (multiple sclerosis)
  * บาดเจ็บไขสันหลัง

#### 🔹 **ปกติในทารกอายุ < 1 ปี**:

* ทารกมักแสดง **Babinski positive** ได้ตามปกติ
  เนื่องจากระบบประสาทยังไม่พัฒนาเต็มที่

---

### สรุป:

* **Babinski reflex เป็นเครื่องมือคัดกรองการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง**
* **พบว่าเป็นบวกในทารกเล็กเป็นเรื่องปกติ**
* **หากพบในผู้ใหญ่ → อาจบ่งชี้ความผิดปกติของสมองหรือไขสันหลัง**

----------------------------------------------------------

[Babinski Reflex Examination | Neurological Clinical Skills Tutorial](https://www.youtube.com/watch?v=y8p2Pi426Xg&utm_source=chatgpt.com)

นี่คือวิดีโอสาธิต "Babinski reflex" อย่างชัดเจนและเป็นระบบ:

* แสดงการจัดท่านอนของผู้ป่วย
* การใช้ปลายทื่อ ๆ ขูดฝ่าเท้าอย่างถูกวิธี
* การสังเกตนิ้วหัวแม่เท้าว่าดึงขึ้นหรือไม่ (ตอบสนองแบบ **positive**) และวิเคราะห์ความหมายทางคลินิก
* เหมาะสำหรับนักศึกษาแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ฝึกฝนทักษะ OSCE

---

### ทำความเข้าใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Babinski reflex

* เรียกอีกชื่อว่า **plantar reflex**
* ในผู้ใหญ่ถือว่า "ปกติ" เมื่อ **นิ้วหัวแม่เท้างอลง (flexion)** หากนิ้วหัวแม่เท้ากระดกขึ้น (extension) และนิ้วอื่นกางออก (fan out) → **เป็นผลบวก (positive Babinski)** ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงการบาดเจ็บบริเวณ **corticospinal tract** ของระบบประสาทส่วนกลาง เช่น เส้นประสาทไขสันหลังหรือสมอง ([en.wikipedia.org][1], [youtube.com][2], [youtube.com][3])
* สำหรับ **ทารกอายุน้อยกว่า 1 ปี** การตอบสนองแบบ extension ถือว่า **ปกติ** เพราะ corticospinal tract ยังเจริญไม่สมบูรณ์&#x20;

---

### สรุปขั้นตอนสำคัญจากวิดีโอ

1. ให้ผู้ป่วยนอนราบ (หงายเท้าชี้ตรง)
2. ใช้วัตถุ เช่น ด้ามค้อนตรวจ reflex ขูดจากส้นเท้าถึงนิ้วหัวแม่เท้า
3. สังเกตลักษณะการเคลื่อนไหวของนิ้วเท้า

* **นิ้วดึงลง** → ผลลบ (negative/not present) = ปกติในผู้ใหญ่
* **นิ้วกระดกขึ้น + นิ้วอื่นกาง** → ผลบวก (positive) = ตรวจเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุ

---------------------------------------------------


#164
โดยทั่วไป **MT5 (MetaTrader 5)** จะแสดงผลราคาคู่สกุลเงินได้ **รวดเร็วและแม่นยำกว่า MT4 (MetaTrader 4)** ด้วยเหตุผลดังนี้:


เปิดบัญชี Standard ได้ที่ https://exness.com/intl/th/a/73208

---

### 🔍 เปรียบเทียบด้านความเร็วในการแสดงผลราคา

| รายการเปรียบเทียบ        | **MT4**                           | **MT5**                             |
| ------------------------ | --------------------------------- | ----------------------------------- |
| สถาปัตยกรรมระบบ          | 32-bit, รองรับ 1 เธรดหลัก         | 64-bit, multi-threaded (หลายเธรด)   |
| ความเร็วประมวลผล         | ช้ากว่าเมื่อมีหลายหน้าต่างหรือ EA | เร็วกว่าเมื่อเปิดหลายกราฟหรือ EA    |
| ความเร็วการรับข้อมูลราคา | ขึ้นกับโบรกเกอร์                  | ขึ้นกับโบรกเกอร์ แต่ระบบทันสมัยกว่า |
| ความถี่ในการอัปเดตราคา   | ต่ำกว่าเล็กน้อยในบางโบรก          | สูงกว่า / เร็วกว่าในหลายกรณี        |

---

### 💡 หมายเหตุสำคัญ:

* **ความเร็วในการแสดงผลราคาจริง** **ขึ้นอยู่กับโบรกเกอร์** เป็นหลัก เช่น เซิร์ฟเวอร์ที่ใช้, liquidity provider, และการตั้งค่า feed ของโบรก
* หากใช้ **โบรกเดียวกัน** (เช่น Exness, IC Markets ฯลฯ) แล้วเปิดบัญชีประเภทเดียวกัน (เช่น Raw Spread) เปรียบเทียบ MT4 กับ MT5 บนเครื่องเดียวกัน — MT5 มักจะ **responsive กว่าเล็กน้อย**
* หากคุณใช้งาน **EA (Expert Advisor)** หรือเปิดหลายคู่เงินพร้อมกัน — MT5 จะประมวลผลได้ **มีประสิทธิภาพกว่า** อย่างชัดเจน

---

### ✅ สรุป:

* หากคุณต้องการ **ความเร็วและประสิทธิภาพสูงสุด** โดยเฉพาะเมื่อเทรดหลายคู่เงินพร้อมกันหรือใช้ EA — แนะนำให้ใช้ **MT5**
* หากคุณยังยึดติดกับเครื่องมือหรือ EA ที่เขียนใน MQL4 และยังไม่พร้อมย้าย — MT4 ยังใช้งานได้ดี แต่ประสิทธิภาพโดยรวมจะด้อยกว่า

----------------------------------------------------
#165
คุณสามารถตรวจสอบ **ราคาทองคำวันนี้** ได้จากหลายช่องทางหลัก ดังนี้:

---

## 🏅 เว็บไซต์สมาคมค้าทองคำแห่งประเทศไทย (GTA)

* ถือเป็นแหล่งข้อมูลหลักและเชื่อถือได้
* แสดงราคาทองแท่งและทองรูปพรรณ อัปเดตตามประกาศอย่างเป็นทางการทุกวัน ([ราคาทองคําวันนี้][1])

---

## 📝 สื่อออนไลน์และเว็บไซต์ข่าว

* **Money & Banking** รายงานว่าราคาทองรูปพรรณล่าสุด (15 ก.ค. 2568) ขายออกบาทละ **52,250 บาท** ([Money and Banking][2])
* **TNN Thailand** ระบุราคาทองแท่งและรูปพรรณ จากประกาศของสมาคมค้าทองคำ เวลา 09:05 น. ([https://www.tnnthailand.com/][3])
* มีการวิเคราะห์แนวโน้มจากนักวิเคราะห์ เช่นรายงานจาก **Post Today** เกี่ยวกับปัจจัยราคาทอง ([posttoday][4])

---

## 📱 แอปและเว็บไซต์เช็กราคาทองแบบเรียลไทม์

* **CheckGolds.com** อัปเดตราคาทองแท่ง/รูปพรรณ นาทีต่อนาที พร้อมประวัติการเคลื่อนไหว เสมือนสมาคมฯ ([checkgolds.com][5])
* **InterGOLD** ให้ข้อมูลราคาหลายเกรดทั้ง 96.5% และ 99.99% พร้อมกราฟย้อนหลัง ([InterGold][6])

---

## 💱 ห้างทองและร้านทองชื่อดัง

* **A A Gold (เอ เอ เยาวราช)** แจ้งราคาจริงแบบเรียลไทม์ และแบ่งตามเปอร์เซ็นต์ความบริสุทธิ์ (96.5%, 90%, 99.99%) ([aagold-th.com][7])
* **Bangkok Golds (บางกอกโกลด์ส)** อ้างอิงราคาจากสมาคมฯ พร้อมข้อมูลฝาก‑ถอนและราคาซื้อคืน ([bangkokgolds.com][8])

---

### 📊 สรุปช่องทางตรวจสอบ

| ช่องทาง              | ประเภท      | ข้อดี                    |
| --------------------- | ----------- | ------------------------ |
| เว็บไซต์สมาคมค้าทองฯ  | เว็บหลัก    | เชื่อถือสูง, ราคาทางการ  |
| สื่อข่าวออนไลน์      | ข่าวอัพเดต  | มีบริบทและความเคลื่อนไหว |
| แอป/เว็บเรียลไทม์    | ออนไลน์    | เคลื่อนไหวทุกนาที        |
| ร้านทอง (ร้านชื่อดัง) | สถานที่จริง | ตรวจสอบราคาซื้อขายล่าสุด |

---

✅ **แนะนำให้ใช้เว็บไซต์สมาคมค้าทองคำฯ เป็นหลัก** เพราะเป็นราคาทางการ จากนั้นสามารถเช็กราคาจากแอปหรือร้านทอง เพื่อเปรียบเทียบ และติดตามข่าววิเคราะห์ประกอบเพิ่มเติม

----------------------------------------------------
#166
"ความฝัน" กับ "จินตนาการ" แม้จะเกี่ยวข้องกับโลกในใจและสิ่งที่ไม่เป็นจริงในปัจจุบัน แต่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนทั้งในด้านนิยาม ลักษณะการเกิดขึ้น และจุดมุ่งหมาย ดังนี้:

---

### 🔹 **ความฝัน (Dream)**

**นิยาม:**
– ความฝันคือสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะที่เรานอนหลับ (ฝันกลางคืน) หรืออาจหมายถึงความใฝ่ฝัน ความหวัง หรือเป้าหมายในชีวิต (ฝันกลางวัน)

**ลักษณะเด่น:**
– มักเกิดขึ้นเองโดยไม่ควบคุม
– มีลักษณะคลุมเครือ ไม่เป็นเหตุเป็นผลเสมอ
– อาจสะท้อนอารมณ์ ความกังวล หรือความปรารถนาในจิตใต้สำนึก
– บางครั้งจำไม่ได้เมื่อเราตื่น

**ตัวอย่าง:**
– ฝันว่าได้บินขึ้นไปบนฟ้า
– ฝันอยากเป็นนักเขียนชื่อดัง

---

### 🔹 **จินตนาการ (Imagination)**

**นิยาม:**
– การใช้ความคิดสร้างภาพหรือแนวคิดในหัว โดยไม่ได้เกิดจากสิ่งที่รับรู้จริงในขณะนั้น

**ลักษณะเด่น:**
– เกิดขึ้นขณะตื่นและสามารถควบคุมได้
– ใช้ในการวางแผน สร้างสรรค์ หรือแก้ปัญหา
– มีความชัดเจน เป็นเหตุเป็นผล และสามารถพัฒนาไปสู่ความจริงได้

**ตัวอย่าง:**
– จินตนาการว่าถ้าโลกไม่มีแรงโน้มถ่วงจะเกิดอะไรขึ้น
– จินตนาการเนื้อเรื่องนิยายก่อนเขียน

---

### 🔻 สรุปความต่างแบบกระชับ:

| แง่มุม         | ความฝัน (Dream)               | จินตนาการ (Imagination)                 |
| -------------- | ----------------------------- | --------------------------------------- |
| ช่วงเวลา       | ขณะหลับ (หรือฝันกลางวัน)      | ขณะตื่น                                 |
| การควบคุม      | ควบคุมไม่ได้ (โดยมาก)         | ควบคุมได้                               |
| จุดมุ่งหมาย    | ไม่จำเป็นต้องมีจุดมุ่งหมาย    | มีเป้าหมายหรือทิศทางที่ชัดเจน           |
| ความเป็นเหตุผล | บางครั้งไร้เหตุผล             | มีเหตุผล รองรับแนวคิดใหม่หรือสร้างสรรค์ |
| ตัวอย่าง       | ฝันว่าได้บิน, ฝันอยากเป็นดารา | คิดเรื่องโลกอนาคต, สร้างฉากในนิยาย      |

--------------------------------------------------
#167
โบรกเกอร์ Forex ที่คนไทยนิยมใช้ในปี 2025 มีหลายรายเด่น ๆ โดยพิจารณาจากการค้นหาบน Google, รีวิวในไทย และเสียงตอบรับจากผู้ใช้งานจริง:

---

ลูกค้าใหม่ สมัครได้ที่ https://www.exness.com/a/73208

## 🇹🇭 1. **Exness**

* อันดับ 1 จากการค้นหาในประเทศไทย (\~90,500 ครั้ง/เดือน) ([SAKA invest][1])
* จุดเด่น: ฝาก-ถอนผ่านธนาคารไทยทันที, เลเวอเรจสูง, สเปรดต่ำ, บัญชี Cent สำหรับมือใหม่ ([Trading.in.th][2])

## 2. **XM**

* อันดับ 2 จากการค้นหา (\~74,000 ครั้ง/เดือน) ([SAKA invest][1])
* มีโบนัส, บัญชีหลายประเภท, รองรับ MT4/MT5 ([ThaiForexSchool][3])

## 3. **IC Markets**

* อยู่ในท็อป 5 โบรกเกอร์ไทย; เป็นโบรก ECN สเปรดต่ำ ([Thai Broker Forex][4])

## 4. **FBS**

* ติดอันดับโบรกเกอร์ยอดนิยมไทยจากหลายแหล่ง ([ThaiForexSchool][3])
* จุดเด่น: เลเวอเรจสูงถึง 1:3000, โปรโมชั่นดี, บัญชี Cent, ฝาก-ถอนผ่านธนาคารไทยเร็ว ([ThaiForexSchool][3])

## 5. **Pepperstone**

* โบรกเกอร์ออสซี่ชื่อดัง ได้รับความนิยมในไทยในกลุ่มสายเทรดระดับสูง ([EasyCashbackFX][5])

## 6. **Markets4you**

* ได้รับการกล่าวถึงเป็นโบรกดาวรุ่งในไทย รองรับภาษาไทย, ฝาก-ถอนรวดเร็ว, มี copy-trading ([Trust Finance][6])

## 7. **Swissquote**

* มาจากสวิตเซอร์แลนด์ มีความมั่นคงทางการเงินสูง ได้รับความสนใจในไทยระดับมืออาชีพ&#x20;

## 8. **IUX Markets**

* โบรกสายใหม่มาแรงในไทย, อินเทอร์เฟซใช้ง่าย, ฝากถอนผ่าน QR & ธนาคาร, ได้รับใบอนุญาต FSA ([ThaiForexSchool][3])

---

### 💬 ความเห็นจากผู้ใช้จริง (Reddit)

> "Exness" ใช้งานง่าย ถอนเงินได้จริง แล้ว "trusted broker on withdraw" ใช้มาประมาณ 5 ปีแล้ว ([Reddit][7])

---

### 🧭 สรุปภาพรวม

| อันดับ | โบรกเกอร์                                | เหตุผลโดดเด่น                               |
| ------ | ---------------------------------------- | ------------------------------------------- |
| 1      | **Exness**                               | ยอดนิยมสูงสุดในไทย, ฝากถอนเร็ว, เลเวอเรจสูง |
| 2      | **XM**                                   | โปรโมชั่นดี, เหมาะมือใหม่                   |
| 3      | **IC Markets**                           | สเปรดต่ำ, ECN, เหมาะ EA/scalping            |
| 4      | **FBS**                                  | เลเวอเรจสูงสุด, โปรโมชั่นเยอะ               |
| 5      | **Pepperstone**                          | มาตรฐานสูง, เน้นมืออาชีพ                    |
| –      | **Markets4you**, **Swissquote**, **IUX** | ทางเลือกสายรอง/มืออาชีพ/น้องใหม่            |

---

### ✅ ถ้าคุณคือ...

* **มือใหม่** → เลือก **Exness** หรือ **XM** (ฝาก-ถอนง่าย, มีบัญชีทดลอง)
* **สายกลาง‑มืออาชีพ** → พิจารณา **IC Markets**, **Pepperstone**
* **ต้องการเลเวอเรจจัดเต็ม** → **FBS**
* **สาย copy-trading, fintech รุ่นใหม่** → ลอง **Markets4you**, **IUX**
* **สายศรัทธาความมั่นคงสูง** → **Swissquote**

------------------------------------------------------

#168
ข้อมูลเกี่ยวกับแอปที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในปี 2025 ยังไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจน เนื่องจากข้อมูลในช่วงเวลานั้นอาจมีการเปลี่ยนแปลงและขึ้นอยู่กับแหล่งที่มา อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลที่มีอยู่ถึงต้นปี 2025 สามารถสรุปแอปที่ได้รับความนิยมสูงในประเทศไทยและทั่วโลกได้ดังนี้:

### แอปโซเชียลมีเดียและการสื่อสาร
- **LINE** และ **Facebook** ยังคงครองแชมป์ในประเทศไทย โดย LINE เป็นแพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานมากที่สุด รองลงมาคือ Facebook ซึ่งมีความยืดหยุ่นในการใช้งานทั้งด้านธุรกิจและการสื่อสารในชุมชน[](https://www.inspiradigitalagency.com/th/most-popular-social-media-platforms-thailand-2025/)
- **TikTok** และ **YouTube** มีแนวโน้มเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและคนทำงาน เนื่องจากคอนเทนต์วิดีโอสั้นและความบันเทิงที่หลากหลาย[](https://www.inspiradigitalagency.com/th/most-popular-social-media-platforms-thailand-2025/)[](https://www.popticles.com/trends/most-usage-social-platform-2025/)
- **Threads** (จาก Meta) มีการเติบโตโดดเด่น โดยมีผู้ใช้งานรายเดือนถึง 320 ล้านคนในช่วงต้นปี 2025 และมียอดดาวน์โหลดสูงเป็นอันดับสอง รองจาก ChatGPT[](https://www.popticles.com/trends/most-usage-social-platform-2025/)

### แอปด้านการเงินและการธนาคาร
- แอปธนาคารและกระเป๋าเงินดิจิทัล เช่น แอปจากธนาคาร 7 แห่งในประเทศไทย และแอปอย่าง **Thai ID** และแอปประกันสังคม ติดอันดับการดาวน์โหลดสูงในปี 2024 และคาดว่ายังคงได้รับความนิยมในปี 2025[](https://thereporter.asia/2024/01/appsynth-20/)[](https://www.pptvhd36.com/news/%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B5/244646)

### แอป AI และนวัตกรรม
- **ChatGPT** เป็นแอป AI ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในแง่ของยอดดาวน์โหลดในช่วงปลายปี 2024 และคาดว่าจะยังคงเป็นผู้นำในปี 2025 ด้วยความสามารถในการตอบคำถามและสร้างเนื้อหา[](https://www.getguru.com/th/reference/best-ai-apps)[](https://www.getguru.com/reference/best-ai-apps)[](https://www.popticles.com/trends/most-usage-social-platform-2025/)
- แอป AI อื่นๆ เช่น **Claude**, **Microsoft Copilot**, **Cleo**, และ **Perplexity** ก็ได้รับความนิยมจากความสามารถในการแชทที่เป็นธรรมชาติและการให้ข้อมูลเรียลไทม์[](https://www.getguru.com/th/reference/best-ai-apps)[](https://www.getguru.com/reference/best-ai-apps)

### แอปซื้อของออนไลน์
- **TEMU** ครองแชมป์แอปที่มีการดาวน์โหลดมากที่สุดในประเทศไทยทั้งบน iOS และ Android ในปี 2024 และคาดว่าจะยังคงได้รับความนิยมในปี 2025 เนื่องจากกระแสการช้อปปิ้งออนไลน์[](https://www.pptvhd36.com/news/%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B5/244646)

### ข้อมูลเชิงลึก
- จากรายงาน **Digital 2025** โดย DataReportal, YouTube เป็นแพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในโลก โดยเข้าถึงกว่า 30% ของประชากรโลก และเป็นแหล่งข้อมูลข่าวสารและความบันเทิงหลัก[](https://www.popticles.com/trends/most-usage-social-platform-2025/)
- ผู้ใช้งานในประเทศไทยใช้เวลาเฉลี่ย 4 ชั่วโมง 39 นาทีต่อวันบนอุปกรณ์มือถือ โดยส่วนใหญ่ใช้แอปโซเชียลมีเดียเพื่อติดต่อสื่อสารและค้นหาข้อมูล[](https://sigosoft.com/blog/most-popular-and-trending-mobile-apps-to-look-for-in-2025/)[](https://www.popticles.com/trends/thailand-digital-and-social-media-2025/)
- แอปที่เน้นสุขภาพ เช่น แอป telemedicine และแอปติดตามสุขภาพ มีแนวโน้มเติบโตสูงในปี 2025 เนื่องจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยี AI และความต้องการด้านสุขภาพ[](https://sigosoft.com/blog/most-popular-and-trending-mobile-apps-to-look-for-in-2025/)[](https://bizidea.co.th/article-detail?id=77)

### สรุป
แอปที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในประเทศไทยในปี 2025 น่าจะยังคงเป็น **LINE**, **Facebook**, **TikTok**, **YouTube**, และ **TEMU** ในหมวดโซเชียลมีเดียและช้อปปิ้ง ส่วนแอป AI อย่าง **ChatGPT** และแอปการเงินจากธนาคารต่างๆ จะยังคงครองความนิยมในด้านนวัตกรรมและการใช้งานประจำวัน อย่างไรก็ตาม ข้อมูลอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามเทรนด์และความต้องการของผู้ใช้ในช่วงเวลานั้น

----------------------------------------------------

ในปี 2025 แอปที่ได้รับความนิยมสูงสุดและมีผู้ใช้งานมากที่สุดคือ:

---

## 📊 แอปยอดนิยม – จำนวนดาวน์โหลด

จากรายงานล่าสุดในเดือนเมษายน 2025:

* **ChatGPT** ขึ้นแท่นแอปที่ดาวน์โหลดมากที่สุดโลก (52 ล้านครั้งในเดือนเม.ย.) ([Backlinko][1])
* **TikTok** และ **Instagram** ตามมาเป็นอันดับสองและสาม (39 ล้านครั้ง) ([Backlinko][1])

นั่นหมายความว่าในเชิงดาวน์โหลดประจำเดือน ChatGPT ก้าวนำโดดเด่นมาก โดยเฉพาะในกลุ่ม AI-powdered Tools & Productivity

---

## 🌐 ยอดดาวน์โหลดรวมรายปี (นักวิเคราะห์ต่างประเทศ)

* รายงานโดย Backlinko, BestAppsToday, และ Cybrain แสดงให้เห็นว่า TikTok ยังมีดาวน์โหลดระดับ **หลักร้อยล้านต่อปี** (\~825 ล้านครั้งในปี 2024; 817 ล้านสำหรับ Instagram) ([Cybrain][2])
* BestAppsToday ระบุว่าแอปอย่าง Facebook, WhatsApp, Telegram, CapCut ก็เป็นหนึ่งในแอปยอดนิยมทั่วโลก ([bestappstoday.com][3])

---

## 📌 แอปที่ใช้งานมากที่สุด (MAU / DAU)

* **Telegram** ประกาศทะลุ 1 พันล้านผู้ใช้งานต่อเดือน (Mar 2025)&#x20;
* **Threads** ของ Meta มีผู้ใช้ 115 ล้านคนต่อวันในเดือนมิ.ย. 2025 ใกล้จะแซง **X** (132 ล้านคน) ([The Daily Beast][4])

---

## 🔎 สรุปภาพรวม

| ด้าน                                   | แอปที่โดดเด่น                                    |
| -------------------------------------- | ------------------------------------------------ |
| **ดาวน์โหลดสูงสุดประจำเดือน**          | ChatGPT                                          |
| **แอปยอดนิยมรายปี (รายงานต่างประเทศ)** | TikTok, Instagram, Facebook, WhatsApp            |
| **ผู้ใช้ต่อเดือน/วันสูงสุด**           | Telegram (1 พันล้าน MAU), Threads (115 ล้าน DAU) |

* **ChatGPT** มีความโดดเด่นในด้านความต้องการ AI tools เช่นกัน (ดาวน์โหลดเดือนเม.ย. 52 ล้านครั้ง)
* แอปโซเชียลช่วงสั้นอย่าง **TikTok**, **Instagram** ยังคงครองใจผู้ใช้ด้วยยอดโหลดระดับร้อยล้านต่อเดือน
* ด้านการใช้งานอย่างต่อเนื่อง **Telegram** เป็นแอปที่มีผู้เข้าถึงมากที่สุดในแง่ MAU

---

## ✅ สรุปสั้น

ถามว่า "แอปไหนคนใช้งานมากที่สุด" ในปี 2025:

* **ดาวน์โหลดสูงสุด**: **ChatGPT**
* **ใช้งานต่อเนื่องมากที่สุด**: **Telegram** (MAU) และ **Threads** (DAU ใกล้แซง X)
* **แอปโซเชียลยอดนิยม**: **TikTok**, **Instagram**, **Facebook**, **WhatsApp**

---------------------------------------

#169
ความเครียดส่งผลต่อร่างกายได้มากกว่าที่หลายคนคิด โดยเฉพาะ "อาการปวด" ในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุทางกายชัดเจน ต่อไปนี้คืออวัยวะหรือส่วนของร่างกายที่มักมีอาการปวดจากความเครียด พร้อมแนวทางการรักษา:

---

### 🔎 อาการปวดจากความเครียดเกิดได้ที่ส่วนใดบ้าง?

1. **ศีรษะ**

   * **ลักษณะอาการ:** ปวดตื้อ ปวดรัดรอบศีรษะ หรือปวดแบบไมเกรน
   * **สาเหตุ:** ความตึงของกล้ามเนื้อศีรษะและคอจากความเครียด

2. **คอและไหล่**

   * **ลักษณะอาการ:** ปวดตึง คอแข็ง ยกแขนหรือหันคอยาก
   * **สาเหตุ:** กล้ามเนื้อหดเกร็งโดยไม่รู้ตัวเมื่อเครียด

3. **หลังส่วนบนและล่าง**

   * **ลักษณะอาการ:** ปวดล้าหรือปวดเสียวบริเวณหลัง โดยเฉพาะหลังส่วนล่าง
   * **สาเหตุ:** ความเครียดทำให้ท่าทางไม่สมดุล กล้ามเนื้อทำงานหนักขึ้น

4. **ขากรรไกรและฟัน**

   * **ลักษณะอาการ:** ปวดขากรรไกร เจ็บฟัน หรือกัดฟันตอนนอน
   * **สาเหตุ:** การกัดฟัน/เค้นกรามโดยไม่รู้ตัวเมื่อเครียด

5. **กระเพาะอาหาร**

   * **ลักษณะอาการ:** จุกเสียด แสบร้อนกลางอก หรือปวดท้องบ่อย
   * **สาเหตุ:** ความเครียดรบกวนระบบย่อยอาหาร กระตุ้นกรดในกระเพาะ

6. **กล้ามเนื้อทั่วร่างกาย**

   * **ลักษณะอาการ:** ปวดเมื่อยหรืออ่อนล้า แม้ไม่ได้ออกแรง
   * **สาเหตุ:** ความเครียดทำให้ระบบประสาทกระตุ้นกล้ามเนื้อเกร็งตลอดเวลา

---

### 💡 วิธีดูแลและรักษาอาการปวดจากความเครียด

1. **จัดการต้นเหตุของความเครียด**

   * ฝึก mindfulness / ทำสมาธิ
   * หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นความเครียด เช่น ข่าวร้าย การทำงานหนักเกินไป

2. **ออกกำลังกายเป็นประจำ**

   * เดิน โยคะ ว่ายน้ำ หรือยืดกล้ามเนื้อเพื่อคลายความตึงเครียด

3. **ปรับท่าทางระหว่างวัน**

   * หลีกเลี่ยงการนั่งนาน/ก้มหน้าจอนาน ๆ
   * ใช้เก้าอี้ ergonomic และพักทุก 1-2 ชั่วโมง

4. **นวดหรือทำกายภาพบำบัด**

   * ช่วยคลายกล้ามเนื้อและลดอาการปวด

5. **นอนหลับให้เพียงพอ**

   * นอนหลับคุณภาพดีจะช่วยฟื้นฟูร่างกายและลดระดับความเครียด

6. **หากอาการรุนแรงหรือเรื้อรัง**

   * ควรปรึกษาแพทย์ แพทย์อาจแนะนำการใช้ยา หรือส่งต่อให้จิตแพทย์

-----------------------------------------
#170
แอปสำหรับเช็คข้อมูลรถเมล์ในกรุงเทพฯ ที่เป็นที่นิยมมากและเริ่มพัฒนามาตั้งแต่ปี **2561 (2018)** คือ **ViaBus** ซึ่งต่อมาก็ขยายเป็นแอปเดินทางมัลติโหมดที่ครอบคลุมเส้นทางหลายรูปแบบ เช่น รถเมล์, รถตู้, เรือ ฯลฯ ([The Urbanis by UDDC][1])

---

## 🚍 วิธีใช้งาน ViaBus

1. **ติดตั้งแอป**
  ดาวน์โหลดได้ทั้ง iOS และ Android&#x20;

2. **ค้นหาป้ายหรือเส้นทาง**
  กรอกจุดเริ่มต้น – จุดหมาย แอปจะแสดงเส้นทาง ตำแหน่งรถแบบเรียลไทม์ พร้อมเวลาเข้าถึง ([tripgether.com][2], [แหม่มรีวิว][3])

3. **ติดตามตำแหน่งรถ**
  รถเมล์ที่ติด GPS จะแสดงไอคอนบนแผนที่ ใกล้ถึงป้ายไหนก็รู้ทันที ([tkpark.or.th][4], [review.thaiware.com][5])

4. **วางแผนเดินทางล่วงหน้า**
  เช็คเวลารถแต่ละสาย ตารางเวลารถผ่านป้ายต่าง ๆ เพื่อวางแผนก่อนออกเดินทาง ([Lemon8][6])

5. **ใช้งานฟรี**
  ไม่มีค่าใช้จ่าย เพียงเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต&#x20;

---

## 📱 แอปอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

| แอป                            | ความสามารถเด่น ๆ                                                                                                                  |
| ------------------------------- | ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- |
| **Moovit**                      | วางแผนเส้นทางขนส่งสาธารณะ (รถเมล์, รถไฟฟ้า, เรือ) แจ้งเตือนเมื่อใกล้ถึงจุดหมาย ([tripgether.com][2])                              |
| **Bangkok MRT**                | เฉพาะเส้นทางรถไฟใต้ดิน MRT แสดงแผนที่ คำนวณค่าโดยสารและเวลาเดินทาง                                                                |
| **BTS Skytrain**                | สำหรับสาย BTS ตรวจสอบเวลา รถขบวนแรก–สุดท้าย สถานี และสิ่งอำนวยความสะดวก                                                            |
| **TSB Go Plus+** (ไทยสมายล์บัส) | เปิดช่วงปลายปี 2024 มาพร้อม GPS รถเมล์ \~2,350 คัน, ฟีเจอร์แตะจ่ายผ่านมือถือ, ตรวจสอบยอดเงิน, ประวัติการเดินทางย้อนหลังได้ 15 วัน  |

---

## 🗓 ประวัติการเริ่มต้นใช้งาน

* **ViaBus**
  เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในปี 2561 (2018) โดยในช่วงแรกรองรับเฉพาะรถเมล์ และหลังจากได้รับเสียงตอบรับดี จึงขยายไปยังระบบเดินทางมัลติโหมดของไทย&#x20;

* **TSB Go Plus+**
  แอปใหม่จากไทยสมายล์บัส เพิ่มฟีเจอร์เก๋ๆ เช่น แตะบัตรผ่านมือถือ, ติด GPS รถ, ประวัติเดินทาง เปิดตัวช่วงปลายปี 2567 (ประมาณ 2024) ([thansettakij][7])

---

## ✅ สรุป

* ถ้าคุณอยาก **ดูตำแหน่งรถเมล์ย้อนหลังแบบเวลาเรียลไทม์** และวางแผนเส้นทางเดินรถล่วงหน้า — **ใช้ ViaBus** (เปิดบริการตั้งแต่ 2018)
* ถ้าต้องการ **แอปครบวงจร** ที่ครอบคลุมโดยสารทุกแบบ — ภายในแอปเดียวลอง **Moovit**
* สำหรับผู้ใช้ **BTS หรือ MRT** — ใช้แอปเฉพาะสายอย่าง **BTS Skytrain** หรือ **Bangkok MRT**
* และถ้าต้องการฟีเจอร์แตะจ่าย NFC และประวัติเดินทางจากแอปบริษัทขนส่ง — ลอง **TSB Go Plus+** ที่เริ่มใช้งานจริงในปลาย 2024

-------------------------------------------------
#171
อายุความของคดีอาญาในประเทศไทยขึ้นอยู่กับ "โทษสูงสุดที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ" โดยกำหนดไว้ใน **ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95** และ **มาตรา 96** ดังนี้:

---

### 🔸 **มาตรา 95 — อายุความการฟ้องคดีอาญา**

**ถ้าผู้กระทำความผิดยังไม่ถูกฟ้องคดีในศาล** อายุความมีระยะเวลาตามนี้:

| โทษสูงสุดของความผิด                              | อายุความ |
| ------------------------------------------------ | -------- |
| ประหารชีวิต                                      | 20 ปี    |
| จำคุกตลอดชีวิต                                   | 20 ปี    |
| จำคุกเกิน 20 ปี                                  | 15 ปี    |
| จำคุกเกิน 7 ปี แต่ไม่เกิน 20 ปี                  | 10 ปี    |
| จำคุกเกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 7 ปี                   | 5 ปี     |
| จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือโทษเบากว่านั้น (เช่น ปรับ) | 1 ปี     |

---

### 🔸 **มาตรา 96 — อายุความการลงโทษ**

**กรณีศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว แต่ยังไม่ได้ลงโทษผู้กระทำผิด**:

| โทษที่ต้องรับโทษ                     | อายุความ (นับตั้งแต่วันที่คดีถึงที่สุด) |
| ------------------------------------ | --------------------------------------- |
| ประหารชีวิต                          | 20 ปี                                   |
| จำคุกตลอดชีวิต                       | 20 ปี                                   |
| จำคุกเกิน 20 ปี                      | 15 ปี                                   |
| จำคุกเกิน 7 ปีแต่ไม่เกิน 20 ปี       | 10 ปี                                   |
| จำคุกเกิน 1 ปีแต่ไม่เกิน 7 ปี        | 5 ปี                                    |
| จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือโทษเบากว่านั้น | 1 ปี                                    |

-------------------------------------------------

อายุความของ **คดีแพ่ง** ขึ้นอยู่กับประเภทของสิทธิเรียกร้อง (เช่น ทวงหนี้, ฟ้องละเมิด, เรียกค่าจ้าง ฯลฯ) โดยกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กำหนดไว้แตกต่างกันในแต่ละกรณี

---

## ✅ **อายุความคดีแพ่ง (ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30 - 193/39)**

| ประเภทคดีแพ่ง                                     | อายุความ                                                                     |
| ------------------------------------------------- | ---------------------------------------------------------------------------- |
| ฟ้องละเมิด (เช่น ทำร้ายร่างกาย, ทรัพย์สินเสียหาย) | 1 ปี นับแต่รู้เรื่องและรู้ตัวผู้ทำละเมิด (แต่ไม่เกิน 10 ปีนับแต่วันทำละเมิด) |
| ฟ้องผิดสัญญาเช่าทรัพย์, เช่าซื้อ                  | 5 ปี                                                                         |
| ฟ้องเรียกค่าจ้าง ทนายความ, วิศวกร, สถาปนิก ฯลฯ    | 2 ปี                                                                         |
| ฟ้องเรียกเงินกู้ที่ไม่มีกำหนดเวลาใช้คืน           | 10 ปี (นับแต่วันเรียกให้ใช้)                                                 |
| ฟ้องเรียกเงินกู้ที่มีกำหนดเวลาใช้คืน              | 10 ปี (นับแต่ครบกำหนด)                                                       |
| ฟ้องค่าสินค้า ค่าขนส่ง ค่าจ้างแรงงานทั่วไป        | 2 ปี                                                                         |
| ฟ้องหนี้บัตรเครดิต/หนี้เงินผ่อนสินค้า (แบบรายงวด) | ส่วนใหญ่ตีความเป็น **10 ปี** แต่บางกรณีอาจเป็น **5 ปี** ขึ้นกับลักษณะสัญญา   |
| ฟ้องผิดสัญญาทั่วไป                                | 10 ปี                                                                        |
| ฟ้องเรียกส่วนแบ่งมรดก                             | ไม่มีอายุความ (ฟ้องได้ตลอด ถ้ายังไม่แบ่งมรดก)                                |

---

### 🟨 หมายเหตุ:

* อายุความ = ระยะเวลาที่เจ้าหนี้สามารถฟ้องร้องได้ตามกฎหมาย หากพ้นอายุความแล้ว **ฟ้องไม่ได้**
* ถ้ามีการเจรจา, ยอมรับหนี้, หรือชำระหนี้บางส่วน → อายุความจะ **เริ่มนับใหม่**
* หากไม่แน่ใจว่าคดีของคุณเข้าข่ายใด → บอกประเภทปัญหา ผมจะช่วยวิเคราะห์ให้ครับ

----------------------------------------------


#172
**E-learning** (อีเลิร์นนิง) ย่อมาจาก **Electronic Learning** คือ **การเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์** โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่าน **อินเทอร์เน็ต** หรือ **เทคโนโลยีดิจิทัล** ต่างๆ เช่น คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต สมาร์ตโฟน และแพลตฟอร์มออนไลน์

---

### 🔍 ลักษณะของ E-learning

* เรียนได้ทุกที่ทุกเวลา (Anywhere, Anytime)
* ใช้สื่อมัลติมีเดีย เช่น วิดีโอ เสียง ภาพเคลื่อนไหว
* มีแบบฝึกหัดหรือข้อสอบออนไลน์
* บางระบบมีการโต้ตอบกับผู้สอนหรือเพื่อนร่วมชั้น

---

### 📚 ตัวอย่างของ E-learning

* คอร์สเรียนออนไลน์ (เช่น Coursera, Udemy, ThaiMOOC)
* ระบบ LMS (Learning Management System) เช่น Moodle, Google Classroom
* แอปพลิเคชันเรียนภาษา เช่น Duolingo, Memrise

---

### ✅ ข้อดีของ E-learning

* ยืดหยุ่นต่อเวลาและสถานที่
* เรียนซ้ำได้
* ประหยัดค่าเดินทาง
* เหมาะกับการเรียนรู้แบบส่วนตัว

---

### ⚠️ ข้อจำกัดของ E-learning

* ต้องมีอุปกรณ์และอินเทอร์เน็ต
* ขาดการปฏิสัมพันธ์แบบเผชิญหน้า
* ผู้เรียนต้องมีวินัยสูงในการเรียนด้วยตัวเอง

--------------------------------------------
#173
การแบ่งประเภท "มือ" ในการเล่นแบดมินตันด้วยตัวย่ออย่าง **BG, N-, N, NS, S, P-, P** นั้น มักจะใช้ในวงการสมัครเล่น โดยเฉพาะในกลุ่มตีแบดทั่วไปเพื่อจัดแมตช์ให้เหมาะสมกับระดับฝีมือของผู้เล่นแต่ละคน

### ความหมายของแต่ละระดับ:

| ตัวย่อ | ระดับฝีมือ         | คำอธิบาย                                                         |
| ------ | ------------------ | ---------------------------------------------------------------- |
| **BG** | Beginner           | มือใหม่เพิ่งเริ่มตี ยังไม่คล่อง อาจตีลูกไม่ข้ามเน็ตหรือตีไม่แม่น |
| **N-** | Novice-            | มือใหม่พัฒนาขึ้นมาหน่อย ตีโต้ได้บ้างแต่ยังไม่แม่นมาก             |
| **N**  | Novice             | ตีโต้ได้พอสมควร รับเสิร์ฟ รับลูกตบเบื้องต้นได้                   |
| **NS** | Novice-Standard    | ระดับกลางของ N กับ S เริ่มเข้าเกมได้ดีขึ้น เข้าใจตำแหน่งในคอร์ท  |
| **S**  | Standard           | เล่นเป็นเกมได้ดี ตีโต้ได้ทุกลูกพื้นฐาน ตำแหน่งดี พอสมควร         |
| **P-** | Pre-Pro            | ใกล้ระดับแข่งจริงแล้ว ฟอร์มดี ลูกแม่น ตำแหน่งแม่นยำ มีแผนการเล่น |
| **P**  | Pro / Professional | มือแข่ง เล่นในระดับสโมสร มีความฟิต เทคนิค และแท็กติกครบ          |

---

### หมายเหตุ:

* ระบบระดับนี้ไม่เป็นทางการ แต่ใช้กันแพร่หลายในวงการแบดสมัครเล่น โดยเฉพาะในกลุ่ม Facebook หรือชมรมต่างๆ
* บางที่อาจมีระดับย่อยเพิ่ม เช่น **A, B, C, D**, หรือ **N+, S+, P++** เพื่อแบ่งแยกยิ่งขึ้น
* การจัดระดับขึ้นกับการประเมินโดยเพื่อนร่วมสนาม หรือจัดโดยผู้ดูแลสนาม

ถ้าคุณจะเข้าร่วมกลุ่มตีแบด อาจลองสอบถามกลุ่มว่าพวกเขานิยามระดับอย่างไร หรือให้ผู้มีประสบการณ์ช่วยประเมินให้ครับ 😊
----------------------------------------------
#174
เมล็ดแมงลัก (Basil Seeds) และเมล็ดเจีย (Chia Seeds) ต่างก็มีคุณค่าทางโภชนาการและประโยชน์ต่อสุขภาพที่น่าสนใจ แต่ก็มีความแตกต่างกันในด้านสารอาหารและกลไกการทำงานในร่างกาย ต่อไปนี้คือการเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นภาพชัดเจน:

---

## 🔍 เปรียบเทียบเมล็ดแมงลัก vs เมล็ดเจีย

| คุณสมบัติ              | **เมล็ดแมงลัก**        | **เมล็ดเจีย**                |
| ----------------------- | ---------------------- | ----------------------------- |
| **ชื่อภาษาอังกฤษ**      | Basil Seeds            | Chia Seeds                    |
| **ลักษณะเมื่อแช่น้ำ**  | พองตัวเร็ว มีเมือกลื่น | พองตัวช้า แต่ดูดน้ำได้มาก    |
| **เส้นใยอาหาร (Fiber)** | สูง                    | สูงมาก (โดยเฉพาะชนิดละลายน้ำ) |
| **โปรตีน**              | ต่ำถึงปานกลาง          | สูงกว่าชัดเจน                |
| **โอเมก้า-3**          | แทบไม่มี              | สูงมาก                        |
| **แคลเซียม**            | มีบ้าง                | สูงมาก (ดีกว่านมในบางกรณี)    |
| **แคลอรี่**            | ค่อนข้างต่ำ            | สูงกว่าเมล็ดแมงลัก            |
| **น้ำตาล/คาร์โบ**      | ต่ำ                    | ปานกลาง                      |
| **พลังงาน**            | ต่ำ                    | สูงกว่าเมล็ดแมงลัก            |
| **เวลาในการพองตัว**    | 5–10 นาที              | 30–60 นาที                    |

---

## ✅ ประโยชน์ของแต่ละชนิด

### 🌿 เมล็ดแมงลัก

* ช่วยในเรื่อง **การขับถ่าย** และ **ดีท็อกซ์ลำไส้**
* ให้ความรู้สึกอิ่มเร็วเพราะพองตัวและมีเมือก
* แคลอรี่ต่ำ เหมาะกับคน **ควบคุมน้ำหนัก**
* ช่วยลดความร้อนในร่างกาย (ตามแพทย์แผนไทย)

### 🌱 เมล็ดเจีย

* อุดมไปด้วย **โอเมก้า-3**, แคลเซียม, แมกนีเซียม และโปรตีน
* เหมาะสำหรับ **คนออกกำลังกาย**, ต้องการเสริมพลังงาน
* ให้ความอิ่มนาน เนื่องจากดูดน้ำและพองตัวช้า
* มีไฟเบอร์สูง ช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือดและลดคอเลสเตอรอล

---

## 🔥 ด้านการลดน้ำหนัก — ตัวไหนดีกว่า?

### ✅ เมล็ดแมงลัก:

* ดีกว่าสำหรับคนที่ต้องการ **ลดน้ำหนักแบบคุมแคลอรี่**
* ช่วยให้อิ่มเร็ว ไม่เพิ่มพลังงานมาก
* เหมาะทานก่อนอาหารหรือใส่ในน้ำดื่ม

### ✅ เมล็ดเจีย:

* ดีกว่าสำหรับคนที่ต้องการ **ลดน้ำหนักแบบออกกำลังกายร่วมด้วย**
* ให้พลังงานและสารอาหารครบ
* เหมาะเป็นส่วนผสมในสมูทตี้หรือโยเกิร์ต

---

## ✅ สรุปแนะนำ:

| วัตถุประสงค์                            | แนะนำใช้    |
| ---------------------------------------- | ----------- |
| **ลดน้ำหนักอย่างเข้มงวด/คุมแคลอรี่**    | เมล็ดแมงลัก |
| **ลดน้ำหนัก+เสริมพลังงาน/สุขภาพองค์รวม** | เมล็ดเจีย  |
| **บำรุงร่างกายระยะยาว**                  | เมล็ดเจีย  |
| **ล้างลำไส้ ช่วยระบบขับถ่าย**            | เมล็ดแมงลัก |

----------------------------------------------------

การบริโภค **เมล็ดเจีย (Chia Seeds)** ในแต่ละวันควรอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพโดยไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น อาการท้องอืดหรือท้องผูก

### ปริมาณที่แนะนำ:

* **ผู้ใหญ่ทั่วไป:**
  👉 วันละประมาณ **1–2 ช้อนโต๊ะ** (ประมาณ **15–30 กรัม**)

* **เริ่มต้นทานครั้งแรก:**
  👉 ควรเริ่มที่ **1 ช้อนชา–1 ช้อนโต๊ะ** ต่อวัน เพื่อให้ร่างกายปรับตัวก่อน แล้วจึงค่อยๆ เพิ่มปริมาณ

---

### คำแนะนำในการรับประทาน:

1. **ควรแช่น้ำก่อนรับประทาน** (อย่างน้อย 10–15 นาที) เพื่อให้เมล็ดพองตัว และป้องกันการดูดน้ำจากร่างกายมากเกินไป
2. **ดื่มน้ำตามมากๆ** เพื่อช่วยในระบบขับถ่ายและป้องกันการอุดตันในลำไส้
3. สามารถใส่ในอาหารต่างๆ เช่น สมูทตี้, โยเกิร์ต, ข้าวโอ๊ต, น้ำผลไม้, หรือโรยในสลัด

---

### หมายเหตุ:

* หากคุณมีปัญหาเกี่ยวกับ **ระบบทางเดินอาหาร**, **การกลืน**, หรือ **ทานยาละลายลิ่มเลือด** ควรปรึกษาแพทย์ก่อน
* เด็กเล็กและหญิงตั้งครรภ์ควรบริโภคในปริมาณน้อย และภายใต้คำแนะนำของแพทย์

--------------------------------------------------------------

**1 ช้อนชา (teaspoon)** ของ **เมล็ดเจีย** จะมีน้ำหนักประมาณ **4–5 กรัม** ครับ โดยประมาณนี้:

* ✅ **1 ช้อนชา = 4–5 กรัม**
* ✅ **1 ช้อนโต๊ะ = 3 ช้อนชา = 12–15 กรัม**

หากคุณเริ่มทานเมล็ดเจีย ควรเริ่มที่ **1 ช้อนชา (4–5 กรัม)** ต่อวัน แล้วค่อยๆ เพิ่มจนถึง **1–2 ช้อนโต๊ะ (12–30 กรัม)** ตามความเหมาะสมกับร่างกายครับ
-----------------------------------------------------


#175
ความรักกับความชอบต่างกันที่ "ระดับของความรู้สึก" และ "ความลึกซึ้งของความผูกพัน"
ต่อไปนี้คือข้อเปรียบเทียบที่ช่วยให้เห็นความต่างได้ชัดเจนขึ้น:

---

### 1. **ความรู้สึกที่เกิดขึ้น**

* **ความชอบ**: เป็นความรู้สึกเบื้องต้น เกิดขึ้นได้ง่าย เช่น รู้สึกดี ถูกใจ ประทับใจ อาจเกิดจากรูปลักษณ์ นิสัย หรือความสามารถบางอย่างของอีกฝ่าย
* **ความรัก**: ลึกซึ้งกว่า เป็นความผูกพันที่ยั่งยืน พร้อมจะยอมรับทั้งข้อดีข้อเสีย และอยู่เคียงข้างแม้ในยามยากลำบาก

---

### 2. **ระยะเวลา**

* **ความชอบ**: อาจเกิดขึ้นเร็ว และหมดไปเร็วเมื่อเจอสิ่งใหม่หรือมีสิ่งที่ไม่ตรงใจ
* **ความรัก**: ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ เข้าใจ และพัฒนา อาจเริ่มจากความชอบ แต่เติบโตกลายเป็นความรัก

---

### 3. **ระดับของการเสียสละ**

* **ความชอบ**: คิดถึงตัวเองเป็นหลัก ถ้าสิ่งนั้นไม่ตอบสนองเรา ก็พร้อมจะถอย
* **ความรัก**: คิดถึงอีกฝ่ายมากขึ้น พร้อมเสียสละและทำเพื่อเขา แม้บางครั้งจะลำบาก

---

### 4. **ความคาดหวัง**

* **ความชอบ**: คาดหวังผลตอบแทน เช่น อยากให้เขาชอบกลับ หรือทำให้เรามีความสุข
* **ความรัก**: ยินดีที่จะให้ แม้ไม่หวังว่าจะได้กลับมาเสมอ

---

### ตัวอย่างง่าย ๆ:

* คุณอาจ **ชอบ**ใครสักคนเพราะเขาน่ารัก หรือตลก แต่คุณจะ **รัก**ใครบางคนเมื่อคุณรู้จักเขาทุกด้าน แม้ในสิ่งที่ไม่สมบูรณ์ และยังอยากอยู่กับเขา

---

ถ้าคุณอยากรู้ว่าตัวเอง "รัก" หรือแค่ "ชอบ" ใครบางคน ลองถามตัวเองว่า

> "ถ้าเขาไม่ได้ดีเท่าที่ฉันคิด ฉันยังอยากอยู่ข้างเขาไหม?"

คำตอบของคุณจะชัดเจนที่สุดครับ 😊
---------------------------------------------------
#176
ทำงานเทรดหุ้น จำเป็นต้องสอบ    Accredited Investment and
Securities Analyst และ Certified� Investment
and Securities Analyst หรือไม่

ถ้าคุณ **ทำงานเทรดหุ้น (Trader / นักลงทุน / พนักงานใน บล.)** คำถามว่า
**จำเป็นต้องสอบ AISA และ CISA หรือไม่?**
(ในที่นี้ หมายถึง:

* **AISA = Accredited Investment and Securities Analyst**
* **CISA = Certified Investment and Securities Analyst**)

## 📌 สรุปสั้น ๆ:

> ❗ **ไม่จำเป็น 100%** สำหรับการ "เทรดหุ้นส่วนตัว" หรือ "เทรดในนามตัวเอง"
> ✅ **แต่จำเป็น / ได้เปรียบมาก** ถ้า:
>
> * จะทำงาน **ในบริษัทหลักทรัพย์ (บล.)**
> * อยากเป็น **นักวิเคราะห์** หรือ **ผู้แนะนำการลงทุนอย่างเป็นทางการ**
> * ต้องการ **ขอ License จาก ก.ล.ต.** เช่น Investment Analyst License หรือ Investment Consultant License

---

## 📘 รายละเอียดแต่ละวุฒิ

| วุฒิ     | ย่อมาจาก                                     | เนื้อหาโดยรวม                                                                 | เหมาะกับใคร                                                  |
| -------- | -------------------------------------------- | ----------------------------------------------------------------------------- | ------------------------------------------------------------ |
| **AISA** | Accredited Investment and Securities Analyst | ความรู้พื้นฐานด้านการเงิน การลงทุน หุ้น ตราสารหนี้                            | ผู้เริ่มต้นสายงานวิเคราะห์การลงทุน ต้องการสอบ License ก.ล.ต. |
| **CISA** | Certified Investment and Securities Analyst  | ระดับสูงขึ้น ครอบคลุมการวิเคราะห์เชิงลึก, Macro, Equity/Derivatives Valuation | ผู้มีประสบการณ์ และจะเป็นนักวิเคราะห์, Portfolio Manager     |

---

## 🧠 คำแนะนำเฉพาะกลุ่ม

| คุณทำอะไรอยู่?                 | จำเป็นไหมสอบ AISA / CISA                      |
| ------------------------------ | --------------------------------------------- |
| เทรดหุ้นส่วนตัว ไม่มีใบอนุญาต  | ❌ ไม่จำเป็น                                   |
| เป็น IB / แนะนำลูกค้าแบบทั่วไป | ❗ ไม่จำเป็น แต่ควรรู้เรื่อง AISA              |
| ทำงานในบริษัทหลักทรัพย์        | ✅ ต้องมี AISA ขั้นต่ำ เพื่อสอบใบอนุญาต ก.ล.ต. |
| อยากเป็นนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ | ✅ AISA แล้วต่อ CISA                           |
| อยากสอบ CFA หรือ FRM ต่อ       | ✅ AISA/CISA เป็นพื้นฐานดีมาก                  |

---

## 🎓 ทางลัดสายงานวิเคราะห์ในไทย

1. เริ่มจาก **AISA** → สอบผ่านแล้วสามารถขอใบอนุญาต Investment Analyst License กับ ก.ล.ต.
2. มีประสบการณ์ → สอบ **CISA** เพื่อยกระดับเป็น "นักวิเคราะห์ระดับกลางถึงสูง"
3. อยากเป็น **Portfolio Manager / Fund Manager** → ต่อยอดด้วย CISA + CFA

---

## ✳️ สรุปสุดท้าย

| วัตถุประสงค์ของคุณ                     | คำแนะนำ                    |
| -------------------------------------- | -------------------------- |
| เทรดหุ้นเพื่อกำไรส่วนตัว               | ไม่จำเป็นต้องสอบ           |
| อยากเป็นผู้แนะนำการลงทุน / ทำงานใน บล. | เริ่มจากสอบ AISA           |
| อยากเป็นนักวิเคราะห์จริงจัง            | ควรสอบ AISA แล้วต่อ CISA   |
| วางเป้า CFA ระยะยาว                    | AISA/CISA เป็นพื้นฐานที่ดี |

-------------------------------------------
#177
เครื่องมือการทำสมาธิ มีหลากหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับแนวทางหรือเทคนิคที่ใช้ นี่คือรายการของ **เครื่องมือและอุปกรณ์** ที่นิยมใช้เพื่อช่วยในการฝึกสมาธิ:

---

### 🧘�♂️ **เครื่องมือพื้นฐาน**

1. **เบาะรองนั่งสมาธิ (Zafu / Zabuton)**

   * ช่วยให้นั่งสบาย ลดอาการปวดหลัง ปวดขา

2. **อาสนะหรือเสื่อโยคะ**

   * รองพื้นสำหรับนั่งสมาธิหรือฝึกโยคะ ช่วยให้ไม่ลื่น

3. **เทียนหอม หรือธูป**

   * ใช้สร้างบรรยากาศผ่อนคลาย กระตุ้นสมาธิด้วยกลิ่นอโรม่า

4. **ผ้าคลุมไหล่ / ผ้าห่ม**

   * ช่วยให้อบอุ่นขณะนั่งนาน ๆ ลดการฟุ้งซ่านจากความไม่สบายตัว

---

### 🎧 **เครื่องมือช่วยผ่อนคลาย**

5. **เสียงธรรมชาติ / เพลงสมาธิ / binaural beats**

   * ช่วยให้จิตสงบและมีสมาธิได้ง่ายขึ้น

6. **หูฟังแบบตัดเสียงรบกวน (Noise-cancelling Headphones)**

   * เหมาะสำหรับคนที่ทำสมาธิในพื้นที่ที่มีเสียงรบกวน

---

### ⏱️ **เครื่องมือควบคุมเวลา**

7. **นาฬิกาจับเวลา / แอปนาฬิกาสมาธิ**

   * เช่น Insight Timer, Calm, Headspace – ใช้ตั้งเวลาและบันทึกการฝึกสมาธิ

---

### 📱 **แอปมือถือสำหรับการทำสมาธิ**

8. **Insight Timer**

   * แอปฟรี มีไกด์เสียงทำสมาธิ, เสียงธรรมชาติ และกลุ่มชุมชน

9. **Headspace**

   * เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น มีโปรแกรมฝึกเป็นขั้นตอน

10. **Calm**

* โดดเด่นด้านเสียงผ่อนคลายและการนอนหลับร่วมด้วย

---

### 🧿 **เครื่องมือเสริมสมาธิจากแนวตะวันออก**

11. **ลูกประคำ / มาลัย (Mala Beads)**

* ใช้นับจังหวะลมหายใจ หรือนับบทสวด

12. **ภาพยันต์ / มัณฑละ (Mandala)**

* ใช้จ้องเพื่อฝึกจิตให้จดจ่อ

13. **ลูกดิ่ง / ไม้ตีเสียงกริ่ง (Tingsha / Singing Bowl)**

* ใช้เสียงกระตุ้นสติในการเริ่มและจบการทำสมาธิ

---

หากคุณสนใจแนวทางเฉพาะ เช่น **สมาธิแบบพุทธ, วิปัสสนา, สมาธิแบบโยคะ, หรือสมาธิแบบตะวันตก**, ก็สามารถเลือกเครื่องมือให้เหมาะกับแนวนั้นได้ครับ

-----------------------------------------------
#178
U.S. หน่วยงาน BLS (Bureau of Labor Statistics) ประกาศ **Nonfarm Payrolls (NFP)** ในวันที่ **พฤหัสบดีที่ 3 กรกฎาคม 2568** แทนวันศุกร์ตามปกติ เนื่องจาก **วันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคม** ตรงกับ **วันหยุด Independence Day** ของสหรัฐฯ จึงเลื่อนไปประกาศล่วงหน้า 1 วัน&#x20;

---

เปิดบัญชี Standard ได้ที่ https://www.exness.com/a/73208

### 🔍 รายละเอียดเพิ่มเติม

* ปกติ **NFP จะประกาศในวันศุกร์แรกของเดือน เวลา 8:30 น. ET**
* แต่หากวันศุกร์ตรงกับ **วันหยุดสำคัญ** ของสหรัฐฯ (เช่น Independence Day) จะมีการเลื่อนไปเป็นวันก่อนหน้า เช่น พฤหัสบดีนั้นเอง ([forex.in.rs][1])
* สำหรับปี 2025 เดือนกรกฎาคม จึงเลื่อนจาก **วันศุกร์ที่ 4 เป็นวันพฤหัสบดีที่ 3 กรกฎาคม เวลา 8:30 น. ET**&#x20;

---

### 🗓� วันที่สำคัญ สรุปแบบชัดๆ

| รายการ                  | วันที่                | หมายเหตุ         |
| ----------------------- | --------------------- | ---------------- |
| ปกติ NFP                | ศุกร์แรกของเดือน      | เวลา 8:30 น. ET  |
| กรณีวันศุกร์เป็นวันหยุด | เลื่อนเป็นวันก่อนหน้า | เช่น 3 ก.ค. 2025 |

---

### ✅ สรุปสั้นๆ

"ประกาศวันพฤหัสบดีที่ 3 ก.ค. 2568" เพราะวันศุกร์ (4 ก.ค.) เป็นวันหยุด Independence Day ของสหรัฐฯ จึงเลื่อนไปก่อน 1 วัน เพื่อไม่ให้ชนกับวันหยุดราชการและตลาดปิดครับ 😊

----------------------------------------------
#179
ปัจจุบันอายุขัยเฉลี่ยของคนไทยอยู่ที่ประมาณ **77.9–78.2 ปี** (ข้อมูลปี 2024–2025) ([globaldata.com][1]) นี่เป็นค่าเฉลี่ยของเพศชายและหญิงรวมกัน (ค่าเฉลี่ยแยกเพศคือ ชายประมาณ 72.3 ปี และหญิงประมาณ 81 ปี)&#x20;

---

## 🌍 อัตราอายุขัยเทียบกับประเทศอื่น

* **โลกโดยเฉลี่ย (ปี 2023)** อายุขัยรวมอยู่ที่ประมาณ 73.4 ปี (ชาย 70.8 ปี, หญิง 76.0 ปี)&#x20;
* **ประเทศไทย** อายุขัยเฉลี่ยสูงกว่าโลกประมาณ 4–5 ปี

จากข้อมูลของ Worldometer (ปี 2025) ไทยอยู่ที่ **อันดับ 78** (ในรายการ 202 ประเทศ/ดินแดน) โดยมีค่าเฉลี่ยอายุขัยรวมราว **76.83 ปี** (โลก 73.5 ปี) ([theaustralian.com.au][2], [worldometers.info][3])
อันดับต้นๆ ได้แก่

1. ฮ่องกง (\~85.8 ปี)
2. ญี่ปุ่น (\~85.0 ปี)
3. เกาหลีใต้ (\~84.5 ปี) ...
   และประเทศร่ำรวยในยุโรปอย่าง สวิตเซอร์แลนด์ อิตาลี สิงคโปร์ สเปน ฯลฯ มีค่าเฉลี่ยมากกว่า 84 ปี ([statisticstimes.com][4], [worldometers.info][3])

แนวล่างสุด 5 อันดับ ได้แก่ ประเทศในแอฟริกา เช่น ไนจีเรีย ชาด เป็นต้น (อายุขัยเฉลี่ย \~55–60 ปี)&#x20;

---

## 📊 สรุปเปรียบเทียบ

| รายการ                        | ค่าเฉลี่ย (ปี) | หมายเหตุ                     |
| ----------------------------- | -------------- | ---------------------------- |
| ประเทศไทย (2024–2025)         | 77.9–78.2 ปี   | สูงกว่าโลกโดยเฉลี่ย          |
| ค่าเฉลี่ยโลก (ปี 2023)        | 73.4 ปี        | อ้างอิงโดยองค์การสหประชาชาติ |
| อันดับโดย Worldometer (2025)  | อันดับ 78/202  | อายุขัยรวมของไทย \~76.8 ปี   |
| กลุ่มประเทศที่มีอายุยืนสูงสุด | \~84–86 ปี     | เช่น ฮ่องกง ญี่ปุ่น ยุโรป    |

---

### 🔍 สรุปข้อเท็จจริง

* ไทยมีอายุขัยเฉลี่ยราว **78 ปี** ซึ่งถือว่าสูงกว่าเกณฑ์เฉลี่ยของโลกประมาณ 4–5 ปี
* หากจัดอันดับไทยอยู่ที่ประมาณ **อันดับ 70–80 ของโลก**
* กลุ่มที่มีค่าอายุขัยสูงสุดในโลกคือ "ประเทศหรือพื้นที่ร่ำรวยสุขภาพดี" เช่น ฮ่องกง ญี่ปุ่น สวิตเซอร์แลนด์ แอสสัมและประเทศยุโรปตะวันตก
* ด้านล่างสุดคือหลายประเทศในแอฟริกาที่ยังเผชิญปัญหาสุขภาพ สาธารณสุข และความยากจนอย่างหนัก

-------------------------------------------------------------

#180
การเริ่มใช้ **MobilePay** (หรือแอปพลิเคชันจ่ายเงินผ่านมือถือ เช่น MobilePay ของเดนมาร์ก, หรือแอปธนาคารในไทย เช่น เป๋าตัง, TrueMoney Wallet, PromptPay) ขึ้นอยู่กับประเทศและบริการที่คุณหมายถึงค่ะ แต่ถ้าคุณหมายถึง **MobilePay ของเดนมาร์ก** (หรือของประเทศที่รองรับ MobilePay โดยเฉพาะ) นี่คือขั้นตอนเริ่มต้นอย่างคร่าว ๆ:

---

## ✅ วิธีเริ่มต้นใช้งาน MobilePay (เวอร์ชันเดนมาร์ก):

### 1. **เตรียมข้อมูลที่จำเป็น**

* หมายเลขโทรศัพท์มือถือ (เบอร์ต้องลงทะเบียนกับธนาคาร)
* บัญชีธนาคารในประเทศเดนมาร์ก
* บัตรประชาชนหรือ NemID/MitID
* สมาร์ตโฟน (iPhone หรือ Android)

---

### 2. **ดาวน์โหลดแอป MobilePay**

* เข้าไปที่ App Store (iPhone) หรือ Google Play (Android)
* ค้นหาคำว่า "**MobilePay**"
* ดาวน์โหลดและติดตั้ง

---

### 3. **ลงทะเบียน**

* เปิดแอปและกด "Get started" หรือ "Start"
* ยืนยันเบอร์โทรศัพท์ของคุณผ่าน SMS
* ป้อนข้อมูลบัญชีธนาคาร
* เชื่อมต่อกับบัตรเดบิต/เครดิต (หรือบัญชีธนาคารโดยตรง)
* ยืนยันตัวตนด้วย NemID หรือ MitID

---

### 4. **ตั้งรหัสผ่านหรือ FaceID**

* ตั้ง PIN 4 หลัก หรือเปิดใช้งานการยืนยันตัวตนด้วยลายนิ้วมือ/ใบหน้า
* เสร็จสิ้นการตั้งค่า

---

## ✅ MobilePay ใช้ทำอะไรได้บ้าง?

* โอนเงินให้เพื่อนโดยใช้แค่เบอร์โทร
* จ่ายเงินในร้านค้าด้วยการสแกน QR Code
* ซื้อของออนไลน์แบบง่ายและปลอดภัย
* เชื่อมต่อกับร้านค้าและธุรกิจสำหรับรับชำระเงิน

---

## 🔒 ปลอดภัยไหม?

MobilePay มีมาตรการรักษาความปลอดภัย เช่น:

* การยืนยันตัวตนด้วย PIN / FaceID / NemID
* มีระบบตรวจจับธุรกรรมที่ผิดปกติ

---------------------------------------------

ในประเทศไทย **MobilePay** ไม่มีในชื่อแบบนั้นโดยตรง แต่ถ้าหมายถึง **การจ่ายเงินผ่านมือถือ (Mobile Payment)** หรือระบบที่คล้ายกับ MobilePay ในเดนมาร์ก — ที่นิยมและใช้งานได้จริงในไทยจะมีดังนี้:

---

## ✅ 1. ระบบ Mobile Payment ที่ใช้กันในไทย

### 🔹 **PromptPay (พร้อมเพย์)**

* โอนเงิน/รับเงินผ่าน **เบอร์มือถือ**, **เลขบัตรประชาชน**, หรือ **E-Wallet**
* ใช้กับแอปของธนาคารต่าง ๆ ได้เลย (K PLUS, SCB EASY, Krungthai NEXT ฯลฯ)

### 🔹 **TrueMoney Wallet**

* ใช้จ่ายร้านสะดวกซื้อ (เช่น 7-Eleven)
* โอนเงิน/เติมเงินมือถือ จ่ายบิล
* เชื่อมกับ Shopee, Lazada, เกม ฯลฯ

### 🔹 **LINE BK**

* เป็นระบบโอนเงินผ่าน LINE โดยตรง
* ใช้เบอร์มือถือ/บัญชี LINE ในการโอนและจ่าย

### 🔹 **แอปธนาคาร**

* แอปของธนาคารทุกแห่งในไทยสามารถโอน-จ่ายผ่านมือถือได้ เช่น:

  * K PLUS (กสิกร)
  * SCB EASY (ไทยพาณิชย์)
  * Krungthai NEXT (กรุงไทย)
  * Bualuang mBanking (กรุงเทพ)

---

## ✅ วิธีเริ่มต้นใช้งาน Mobile Payment ในไทย

### 🔹 **ทางเลือกที่ 1: ใช้แอปธนาคาร + พร้อมเพย์**

1. เปิดบัญชีธนาคาร
2. โหลดแอปธนาคาร เช่น K PLUS, SCB EASY
3. สมัคร PromptPay (ผูกเบอร์มือถือหรือบัตรประชาชน)
4. พร้อมโอน/รับเงินได้เลยโดยไม่ต้องใช้เลขบัญชี

---

### 🔹 **ทางเลือกที่ 2: ใช้ TrueMoney Wallet**

1. ดาวน์โหลดแอป **TrueMoney Wallet**
2. สมัครด้วยเบอร์มือถือ
3. ยืนยันตัวตนด้วยบัตรประชาชน
4. เติมเงินผ่าน 7-Eleven, ตู้ ATM, หรือบัญชีธนาคาร
5. ใช้จ่ายร้านค้า, เติมเงิน, จ่ายบิล ฯลฯ

---

### 🔹 **ทางเลือกที่ 3: ใช้ LINE BK**

1. โหลดแอป **LINE** และสมัครใช้งาน
2. เข้าเมนู LINE BK
3. เปิดบัญชี (ร่วมกับ KBank)
4. ใช้โอน-จ่ายผ่านแชต LINE ได้เลย

---

## 🛒 ใช้ Mobile Payment จ่ายอะไรได้บ้าง?

* ร้านค้าออนไลน์/ออฟไลน์
* สแกน QR Code จ่ายที่ตลาดหรือร้านสะดวกซื้อ
* จ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์
* เติมเงินมือถือ
* โอนเงินให้เพื่อน/ครอบครัว

-----------------------------------------

#181
การแบ่งช่วงเวลาใน 1 วัน (24 ชั่วโมง) สำหรับแต่ละช่วงวัย — **วัยเรียน**, **วัยทำงาน**, และ **วัยผู้สูงอายุ** — จะแตกต่างกันตามลักษณะกิจกรรมและความจำเป็นของแต่ละช่วงวัย โดยสามารถแบ่งช่วงเวลาอย่างคร่าว ๆ ได้ดังนี้:

---

### 🧒 1. **วัยเรียน** (โดยเฉพาะเด็กวัยประถม - มัธยม)

| เวลา              | กิจกรรมหลัก                                           |
| ----------------- | ----------------------------------------------------- |
| **05.30 - 07.00** | ตื่นนอน, อาบน้ำ, เตรียมตัวไปโรงเรียน                  |
| **07.00 - 08.00** | เดินทางไปโรงเรียน / กินข้าวเช้า                       |
| **08.00 - 15.30** | เรียนหนังสือที่โรงเรียน                               |
| **15.30 - 17.00** | กิจกรรมหลังเลิกเรียน (ชมรม, เล่นกีฬา)                 |
| **17.00 - 18.30** | เดินทางกลับบ้าน / อาบน้ำ / พักผ่อน                    |
| **18.30 - 20.00** | ทำการบ้าน / ทบทวนบทเรียน                              |
| **20.00 - 21.00** | พักผ่อน / เตรียมตัวเข้านอน                            |
| **21.00 - 05.30** | นอนหลับ (ประมาณ 8 ชั่วโมง)**✅สำคัญต่อการเจริญเติบโต** |

---

### 👩�💼 2. **วัยทำงาน** (ประมาณ 22 - 60 ปี)

| เวลา              | กิจกรรมหลัก                              |
| ----------------- | ---------------------------------------- |
| **05.30 - 07.00** | ตื่นนอน, เตรียมตัว, ออกกำลังกาย          |
| **07.00 - 08.30** | เดินทางไปทำงาน / กินข้าวเช้า             |
| **08.30 - 12.00** | ทำงาน                                    |
| **12.00 - 13.00** | พักกลางวัน                               |
| **13.00 - 17.00** | ทำงานช่วงบ่าย                            |
| **17.00 - 18.30** | เดินทางกลับบ้าน / ออกกำลังกาย            |
| **18.30 - 20.00** | กินข้าว / พักผ่อนกับครอบครัว             |
| **20.00 - 22.00** | ทำงานอดิเรก / เรียนเพิ่มเติม / ดูทีวี    |
| **22.00 - 05.30** | พักผ่อนนอนหลับ (ประมาณ 6.5 - 7.5 ชม)\*\* |

---

### 👵 3. **วัยผู้สูงอายุ** (ประมาณ 60 ปีขึ้นไป)

| เวลา              | กิจกรรมหลัก                                       |
| ----------------- | ------------------------------------------------- |
| **04.30 - 06.00** | ตื่นเช้า / ออกกำลังกายเบา ๆ (เช่น เดิน, รำไทเก็ก) |
| **06.00 - 07.00** | อาบน้ำ / ทำอาหาร                                  |
| **07.00 - 09.00** | กินอาหารเช้า / พักผ่อน                            |
| **09.00 - 11.30** | ทำงานบ้าน / ทำสวน / อ่านหนังสือ                   |
| **11.30 - 13.00** | เตรียมอาหารกลางวัน / พักกลางวัน                   |
| **13.00 - 14.00** | งีบพักกลางวัน (อาจมี)                             |
| **14.00 - 17.00** | ดูทีวี / เดินเล่น / ทำกิจกรรมเบา ๆ                |
| **17.00 - 19.00** | กินข้าวเย็น / พูดคุยกับคนในบ้าน                   |
| **19.00 - 20.00** | เตรียมตัวเข้านอน                                  |
| **20.00 - 04.30** | นอนหลับ (อาจหลับเร็ว ตื่นเช้า)\*\*                |

---

### หมายเหตุ:

* ตารางเหล่านี้เป็นภาพรวมโดยประมาณ อาจมีการเปลี่ยนแปลงตามไลฟ์สไตล์, สถานที่, สุขภาพ หรือความต้องการเฉพาะบุคคล
* ผู้สูงอายุมักต้องการเวลานอนน้อยกว่าวัยอื่น แต่ควรเน้นคุณภาพการนอน
* วัยทำงานบางกลุ่ม (เช่น กะกลางคืน) อาจมีตารางเวลาแตกต่างออกไป

#182
รถยนต์ **Mercedes-Benz S-Class** เป็นหนึ่งในรุ่นที่สำคัญที่สุดของ Mercedes-Benz ซึ่งมีชื่อเสียงด้านความหรูหรา ความปลอดภัย และเทคโนโลยีล้ำสมัย S-Class เปรียบเสมือนเวทีเปิดตัวนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ภายหลังถูกนำไปใช้ในรุ่นอื่นของค่าย มาดูประวัติการสร้างและต้นทุนด้านงานวิจัยและพัฒนากัน:

---

## 🕰� ประวัติการสร้าง S-Class

### 1. **ต้นกำเนิดก่อนชื่อ S-Class**

* ในช่วงก่อนปี 1972 Mercedes-Benz ผลิตรถซีดานหรูหลายรุ่น เช่น **W180, W111, W108/109** ที่วางรากฐานแนวคิดสำหรับ S-Class
* ยังไม่มีการเรียกอย่างเป็นทางการว่า "S-Class" แต่ถือเป็นรถหรูอันดับสูงสุดของค่ายในยุคนั้น

### 2. **W116 (1972–1980): S-Class รุ่นแรกอย่างเป็นทางการ**

* W116 เป็นรุ่นแรกที่ใช้ชื่อ "S-Class" อย่างเป็นทางการ (S ย่อมาจาก "Sonderklasse" = "ชั้นพิเศษ")
* เป็นรถยนต์รุ่นแรกในโลกที่ติดตั้ง **ABS (ระบบเบรกกันล้อล็อก)** ในปี 1978
* เน้นด้านความปลอดภัยเป็นพิเศษ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี

### 3. **W126 (1979–1991): ความสำเร็จระดับโลก**

* ออกแบบให้มีโครงสร้างที่ทนทาน เบาขึ้น และประหยัดน้ำมัน
* แนะนำถุงลมนิรภัย (airbag) และเข็มขัดนิรภัยแบบดึงกลับอัตโนมัติ
* มียอดขายมากกว่า 800,000 คัน

### 4. **W140 (1991–1998): ความใหญ่โตและหรูหราสุดขีด**

* มีการติดตั้งระบบไฟฟ้าเต็มรูปแบบ เช่น หน้าต่างและที่นั่ง
* รุ่นนี้พัฒนาในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ ทำให้ถูกวิจารณ์เรื่องความหรูหราฟุ่มเฟือยเกินไป
* เป็นรุ่นแรกที่ใช้ระบบ **ESP (Electronic Stability Program)**

### 5. **W220 (1998–2005): เบาขึ้นและทันสมัย**

* กลับมาเน้นน้ำหนักเบา และดีไซน์เรียบหรู
* ติดตั้งระบบ **AIRMATIC** และ **COMAND System** (infotainment รุ่นแรก)

### 6. **W221 (2005–2013): สมรรถนะและเทคโนโลยีล้ำยุค**

* ระบบ Night Vision, Adaptive Cruise Control, และระบบเตือนเมื่อเปลี่ยนเลน
* ยกระดับความปลอดภัยขั้นสูง

### 7. **W222 (2013–2020): หรูหราทุกมิติ**

* รุ่นแรกที่ไม่มีรุ่น Coupé หรือ Cabriolet แยกต่างหาก (พัฒนาเป็น Mercedes-Benz S-Class Coupé/Convertible แยกชื่อ)
* ใช้ระบบไฟหน้าแบบ LED ทั้งหมด 100%

### 8. **W223 (2020–ปัจจุบัน): ยุคดิจิทัล**

* ใช้แพลตฟอร์ม MRA-II
* หน้าจอ OLED, ระบบขับเคลื่อนกึ่งอัตโนมัติ (ระดับ 3)
* ติดตั้งระบบ **MBUX 2.0** และรองรับ OTA (Over-The-Air updates)

---

## 💰 ต้นทุนด้านงานวิจัยและพัฒนา (R\&D)

Mercedes-Benz ลงทุนด้าน R\&D อย่างมหาศาล โดยเฉพาะในรุ่น S-Class ซึ่งเปรียบเสมือน "โชว์เคสเทคโนโลยี" ของแบรนด์

* **W223 (2020)**:

  * มีรายงานว่าต้นทุนพัฒนาเฉพาะใน S-Class เจนเนอเรชันนี้รวมกันกว่า **2 พันล้านยูโร** (ประมาณ 75,000 ล้านบาท)
  * รวมถึงพัฒนาแพลตฟอร์ม MRA-II และซอฟต์แวร์ใหม่ทั้งหมด

* **R\&D ของ Daimler AG (บริษัทแม่ของ Mercedes-Benz):**

  * มีงบ **วิจัยและพัฒนา** อยู่ที่ประมาณ **9-10 พันล้านยูโรต่อปี** (ข้อมูลจากรายงานประจำปี)
  * สัดส่วนมากจะเน้นไปที่รถยนต์ระดับสูงอย่าง S-Class, EVs (เช่น EQS), และระบบอัตโนมัติ

* Mercedes ใช้ S-Class เป็นพื้นฐานในการทดลองและเปิดตัวระบบต่างๆ ก่อนจะนำไปใช้กับรุ่นอื่น เช่น:

  * ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ (Pre-Safe Brake)
  * ระบบกันสะเทือนแบบ E-Active Body Control
  * ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติระดับ 3 (Drive Pilot)

----------------------------------
#183
**Exness** เป็นหนึ่งในโบรกเกอร์ Forex และ CFD ที่ได้รับความนิยมสูงมาก โดยเฉพาะในประเทศไทย จุดขาย (จุดเด่น) ที่ทำให้ Exness แตกต่างและเป็นที่นิยมในหมู่นักเทรดมีหลายด้าน ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้:

เปิดบัญชี Standard ได้ที่ https://exness.com/intl/th/a/73208

---

## 🔥 จุดขายหลักของ Exness

### 1. **ถอนเงินอัตโนมัติ – ได้ทันที 24/7**

* ถือเป็นจุดขายอันดับหนึ่งของ Exness
* ถอนเงิน "อัตโนมัติ" เข้าธนาคารไทย, TrueMoney, Skrill ฯลฯ
* เงินเข้าทันทีในไม่กี่วินาที ไม่ต้องรอเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ

### 2. **เลเวอเรจไม่จำกัด (Unlimited Leverage)**

* เทรดด้วยเลเวอเรจสูงได้ เช่น 1:1000, 1:2000 หรือแบบ "ไม่จำกัด" (ขึ้นกับยอดเงินในพอร์ต)
* เหมาะสำหรับคนทุนไม่เยอะ แต่ต้องการเทรดด้วยล็อตใหญ่

### 3. **สเปรดต่ำและค่าคอมมิชชั่นต่ำ**

* บัญชี **Standard** → ไม่มีคอมมิชชั่น
* บัญชี **Raw Spread / Zero** → สเปรดเริ่มจาก 0.0 pip ค่าคอมฯ ต่ำ

### 4. **รองรับบัญชีธนาคารไทยเต็มระบบ**

* ฝาก-ถอนผ่าน KBank, SCB, BBL, Krungsri ฯลฯ
* ไม่มีค่าธรรมเนียม ใช้ง่าย

### 5. **บัญชีเทรดหลายประเภท – เหมาะกับทุกระดับ**

* Standard, Raw Spread, Zero, Pro
* ตอบโจทย์ทั้งมือใหม่และมืออาชีพ

### 6. **แพลตฟอร์มใช้งานง่าย**

* ใช้ได้ทั้ง MT4 และ MT5
* มี WebTerminal และแอปมือถือ
* เทรดได้ทุกอุปกรณ์

### 7. **รองรับเทรด EA, Scalping, Hedging**

* ไม่มีข้อจำกัดเรื่องกลยุทธ์เทรด
* เหมาะสำหรับคนเขียนบอท, ใช้ EA, หรือเทรดเร็ว

### 8. **เปิดบัญชีเร็ว ใช้งานได้ทันที**

* สมัครออนไลน์ภายในไม่กี่นาที
* ใช้เอกสารยืนยันตัวตนง่าย เช่น บัตรประชาชน หรือใบขับขี่

### 9. **การบริการลูกค้าดี มีคนไทยดูแล**

* มี **ซัพพอร์ตภาษาไทย** ทั้งแชตและโทรศัพท์
* เปิดทุกวัน (แม้วันหยุดราชการ)

---

## ⭐ จุดเด่นเพิ่มเติม

* เทรดคริปโต 24/7
* มีระบบ **copy trade** ผ่าน Exness Social Trading
* มีโหมดบัญชี Cent สำหรับฝึกเทรดด้วยเงินจริงแต่ทุนต่ำ

---

## สรุปสั้น ๆ:

> จุดขายของ **Exness** คือ **"ฝากถอนเร็ว เทรดเร็ว ใช้ง่าย ได้เงินจริง"**
> เหมาะกับทั้งมือใหม่และมือโปรที่เน้นความเร็วและความสะดวกในการเทรด

---------------------------------------------------
#184
การเขียนโปรแกรม **MQL4** กับ **MQL5** แม้จะมีพื้นฐานคล้ายกัน (ทั้งคู่คล้ายภาษา C/C++) แต่มี **ความแตกต่างหลายประการสำคัญ** โดยเฉพาะในเรื่องของ **โครงสร้างภาษา, ระบบการเทรด, และการจัดการออเดอร์** ซึ่งมีผลต่อการพัฒนา EA (Expert Advisor), อินดิเคเตอร์ และ Script


เปิดบัญชีใหม่ได้ที่ https://exness.com/intl/th/a/73208
---

## 🔍 สรุปความแตกต่างระหว่าง MQL4 กับ MQL5

| หัวข้อ                              | MQL4                                             | MQL5                                                                           |
| ----------------------------------- | ------------------------------------------------ | ------------------------------------------------------------------------------ |
| **เปิดตัวปี**                       | 2005                                             | 2010                                                                           |
| **ระบบการเทรด (Trade System)**      | แบบเก่า (Order-based)                            | แบบใหม่ (Position-based)                                                       |
| **ภาษาที่ใช้**                      | MQL4 (ใกล้เคียง C)                               | MQL5 (ใกล้เคียง C++ มากขึ้น)                                                   |
| **จัดการคำสั่งซื้อขาย**             | ใช้ `OrderSend`, `OrderClose`, `OrderSelect` ฯลฯ | ใช้ `trade.OrderSend()`, `PositionOpen()`, `HistorySelect()` (object-oriented) |
| **รองรับ multi-thread**             | ❌ ไม่รองรับ                                      | ✅ รองรับ (เร็วขึ้น)                                                            |
| **กลยุทธ์การเทรดแบบ Hedge/Netting** | Hedge เท่านั้น                                   | Hedge และ Netting ได้ทั้งคู่                                                   |
| **Backtest แบบ Multi-currency**     | ❌ ไม่ได้                                         | ✅ ได้                                                                          |
| **ความยืดหยุ่นของภาษา**             | จำกัด                                            | มากขึ้น (เช่น class, struct, event-driven)                                     |
| **อินดิเคเตอร์แบบซับซ้อน**          | เขียนยาก                                         | เขียนง่ายขึ้น (ผ่าน event handling)                                            |
| **ใช้บนแพลตฟอร์ม**                  | MetaTrader 4                                     | MetaTrader 5                                                                   |

---

## 🔧 ตัวอย่างโค้ดเปรียบเทียบ

### 📌 MQL4 (ส่งออเดอร์ Buy)

```mql4
int ticket = OrderSend(Symbol(), OP_BUY, 0.1, Ask, 3, 0, 0, "Buy Order", 0, 0, clrGreen);
```

### 📌 MQL5 (ส่งออเดอร์ Buy)

```mql5
#include <Trade\Trade.mqh>
CTrade trade;

trade.Buy(0.1, Symbol(), Ask, 0, 0, "Buy Order");
```

> สังเกตว่า **MQL5 ใช้แนว object-oriented** (เช่น `CTrade`) ในขณะที่ MQL4 ยังใช้ฟังก์ชันแบบ procedural

---

## ✅ ข้อแนะนำ

* ถ้าคุณ:

  * ใช้ MT4 → ควรใช้ MQL4 เพราะเบากว่าและยังมีฐานผู้ใช้งานมาก
  * ต้องการประสิทธิภาพสูง, เขียนโค้ดซับซ้อน หรือใช้ Backtest แบบหลายคู่เงินพร้อมกัน → MQL5 จะตอบโจทย์

-------------------------------------------------------------
#185
โปรแกรม MetaTrader (โดยเฉพาะ MetaTrader 4 หรือ MT4 ที่เป็นที่นิยมมาก) มีจุดเริ่มต้นมาจากบริษัท **MetaQuotes Software Corp.** ซึ่งเป็นบริษัทซอฟต์แวร์จากรัสเซีย ก่อตั้งขึ้นในปี **2000** โดยเน้นพัฒนาแพลตฟอร์มสำหรับการซื้อขายออนไลน์ในตลาดการเงิน เช่น Forex, CFD, Futures และอื่น ๆ

เปิดบัญชีใหม่ได้ที่ https://exness.com/intl/th/a/73208

### จุดเริ่มต้นและพัฒนาการของ MetaTrader:

#### 1. **MetaTrader รุ่นแรก (ปี 2002)**

* MetaQuotes เปิดตัว **MetaTrader 1** ในปี 2002
* เป็นแพลตฟอร์มเทรดแบบพื้นฐานที่สามารถเชื่อมต่อกับโบรกเกอร์ได้
* มีอินเทอร์เฟซเรียบง่ายและยังไม่มีฟีเจอร์ด้านการเขียนโปรแกรมเทรดอัตโนมัติเหมือนปัจจุบัน

#### 2. **MetaTrader 3 (ปี 2003)**

* มีความสามารถเพิ่มขึ้น เช่น การใช้ **สคริปต์อัตโนมัติ**
* เริ่มได้รับความนิยมในกลุ่มเทรดเดอร์และโบรกเกอร์

#### 3. **MetaTrader 4 (ปี 2005)** 👉 จุดเปลี่ยนที่สำคัญ

* เปิดตัวในปี **2005**
* จุดเด่นคือ:

  * มีระบบเทรดอัตโนมัติ (Expert Advisor หรือ EA)
  * ใช้ภาษาโปรแกรมชื่อ **MQL4 (MetaQuotes Language 4)**
  * มีระบบการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่หลากหลาย
  * รองรับการเทรดหลายผลิตภัณฑ์ (Forex, CFD ฯลฯ)
* MT4 กลายเป็นมาตรฐานของอุตสาหกรรม Forex

#### 4. **MetaTrader 5 (ปี 2010)**

* เปิดตัวในปี **2010** เพื่อพัฒนาต่อจาก MT4
* ใช้ภาษา **MQL5** ซึ่งมีความสามารถมากกว่า
* รองรับตลาดหุ้นและ Futures ได้ดีขึ้น
* แม้จะใหม่กว่า แต่โบรกเกอร์และเทรดเดอร์ส่วนใหญ่ยังคงใช้ MT4 อยู่ เนื่องจากความคุ้นเคยและจำนวน EA ที่มีอยู่มากมาย

---

### สรุป:

* **MetaTrader เริ่มต้นในปี 2002** โดยบริษัท MetaQuotes
* จุดเปลี่ยนสำคัญคือ **MT4 ในปี 2005** ซึ่งทำให้ MetaTrader กลายเป็นแพลตฟอร์มเทรดอันดับหนึ่งของโลก
* ปัจจุบันมีทั้ง MT4 และ MT5 ให้เลือกใช้

-----------------------------------------------
#186
**Currency Strength Chart** (กราฟแสดงความแข็งแกร่งของสกุลเงิน) คือ **เครื่องมือทางการเงิน** ที่ใช้ในการวิเคราะห์ว่าแต่ละสกุลเงินหลัก (เช่น USD, EUR, JPY, GBP, AUD ฯลฯ) **มีความแข็งแกร่งหรืออ่อนแอเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่น ๆ** ในช่วงเวลาหนึ่ง โดยจะแสดงเป็นรูปแบบกราฟหรือดัชนี เพื่อช่วยให้เทรดเดอร์สามารถตัดสินใจซื้อ-ขายสกุลเงินต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

เปิดบัญชีใหม่ได้ที่ https://exness.com/intl/th/a/73208

---

### ✅ ประโยชน์ของ Currency Strength Chart:

1. **ดูแนวโน้มของสกุลเงิน:** ว่าสกุลเงินใดแข็งแรง (Strong) หรืออ่อนแอ (Weak) ในตลาด
2. **ช่วยเลือกคู่สกุลเงินในการเทรด:** เช่น ซื้อสกุลเงินที่แข็งเมื่อเทียบกับสกุลเงินที่อ่อน
3. **ยืนยันสัญญาณการเข้าเทรด:** ใช้ประกอบกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคหรือข่าวเศรษฐกิจ
4. **หลีกเลี่ยงคู่เงินที่ไม่มีแนวโน้มชัดเจน:** ซึ่งอาจเคลื่อนไหวแคบ (Sideway) และทำให้ยากต่อการทำกำไร

---

### 🔍 ตัวอย่างการใช้งาน:

หากกราฟแสดงว่า:

* **USD แข็งแรง** และ
* **EUR อ่อนแอ**

แปลว่าเทรดเดอร์อาจพิจารณา **ขาย EUR/USD** เพราะ USD แข็งขึ้น และ EUR อ่อนลง

---

### 📊 วิธีการวัด "ความแข็งแกร่งของสกุลเงิน":

* บางระบบใช้การเปรียบเทียบค่าการเปลี่ยนแปลงของคู่สกุลเงิน (Price Change)
* บางเว็บหรือโปรแกรมใช้ดัชนีเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก (Weighted Index)
* มีการอ้างอิงจากข้อมูลเช่น RSI, MACD หรือ Moving Average

---

### 🌐 ตัวอย่างเว็บไซต์ที่มี Currency Strength Chart:

* [investing.com](https://www.investing.com)
* [finviz.com](https://finviz.com/forex.ashx)
* [tradingview.com](https://www.tradingview.com)
* [currencystrengthmeter.com](https://currencystrengthmeter.com)

--------------------------------------

Currency Strength Chart หรือ กราฟความแข็งแกร่งของสกุลเงิน คือเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์ความแข็งแกร่งหรือความอ่อนแอของสกุลเงินต่างๆ เมื่อเปรียบเทียบกันในตลาดฟอเร็กซ์ (Forex) โดยทั่วไปจะแสดงผลในรูปแบบกราฟหรือตารางที่เปรียบเทียบประสิทธิภาพของสกุลเงินหลายๆ สกุลในช่วงเวลาหนึ่ง เพื่อช่วยให้นักเทรดเข้าใจว่าสกุลเงินใดมีแนวโน้มแข็งค่าหรืออ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ

### ลักษณะและการทำงานของ Currency Strength Chart
1. **วัดความแข็งแกร่งสัมพันธ์**: กราฟจะแสดงความแข็งแกร่งของสกุลเงิน (เช่น USD, EUR, JPY, GBP) โดยเปรียบเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ โดยมักใช้ข้อมูลราคาคู่สกุลเงิน (currency pairs) เช่น EUR/USD, USD/JPY เพื่อคำนวณคะแนนหรือดัชนีความแข็งแกร่ง
2. **ตัวชี้วัดที่ใช้**: ความแข็งแกร่งอาจคำนวณจากปัจจัยต่างๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงของราคาในเปอร์เซ็นต์, ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average), หรือดัชนีเฉพาะที่พัฒนาโดยแพลตฟอร์มการซื้อขาย
3. **การนำไปใช้**:
  - **ระบุแนวโน้ม**: ช่วยให้นักเทรดเห็นว่าสกุลเงินใดกำลังแข็งค่าหรืออ่อนค่าลง เพื่อเลือกคู่สกุลเงินที่เหมาะสมสำหรับการเทรด
  - **การตัดสินใจซื้อ/ขาย**: เช่น หาก USD แข็งแกร่งและ EUR อ่อนแอ อาจพิจารณาขาย EUR/USD
  - **การบริหารความเสี่ยง**: ช่วยหลีกเลี่ยงการเทรดในคู่สกุลเงินที่ความแข็งแกร่งใกล้เคียงกัน (อาจไม่มีแนวโน้มชัดเจน)

### รูปแบบการแสดงผล
- **กราฟเส้น**: แสดงความแข็งแกร่งของแต่ละสกุลเงินในรูปแบบเส้นที่เคลื่อนไหวตามเวลา
- **ตารางหรือ Heatmap**: แสดงสกุลเงินที่มีความแข็งแกร่งในสีต่างๆ (เช่น เขียว = แข็งแกร่ง, แดง = อ่อนแอ)
- **ตัวเลขหรือคะแนน**: บางแพลตฟอร์มให้คะแนนความแข็งแกร่ง (เช่น 0-100) เพื่อเปรียบเทียบ

### ประโยชน์
- ช่วยระบุโอกาสในการเทรดโดยเลือกคู่สกุลเงินที่มีความแตกต่างชัดเจน
- ลดความซับซ้อนในการวิเคราะห์หลายคู่สกุลเงินพร้อมกัน
- เหมาะสำหรับทั้งนักเทรดมือใหม่และมืออาชีพ

### ข้อจำกัด
- **ขึ้นอยู่กับแหล่งข้อมูล**: ความแม่นยำขึ้นอยู่กับวิธีการคำนวณและแพลตฟอร์มที่ใช้
- **ไม่ใช่ตัวบ่งชี้เดี่ยวๆ**: ควรใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์อื่นๆ เช่น อินดิเคเตอร์ทางเทคนิคหรือข่าวเศรษฐกิจ
- **ความผันผวน**: ความแข็งแกร่งของสกุลเงินอาจเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตามข่าวหรือเหตุการณ์เศรษฐกิจ

### ตัวอย่างแพลตฟอร์มที่ให้ Currency Strength Chart
- TradingView
- MetaTrader 4/5 (MT4/MT5) ด้วยอินดิเคเตอร์เสริม
- MyFXBook
- OANDA หรือแพลตฟอร์มฟอเร็กซ์อื่นๆ

----------------------------------------------------
#187
หลักสูตร นักจัดรายการวิทยุและโทรทัศน์ รุ่นที่ 80   
จัดโดย สมาคมนักวิทยุและโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์   
ระหว่างวันที่ 10 – 14 กรกฎาคม 2568 (รวม 5 วัน)
ค่าลงทะเบียน ในการอบรม  5,500 บาท  (ห้าพันห้าร้อยบาทถ้วน)   
***** ค่าใช้จ่ายนี้รวม -  ค่าสมัครสมาชิกแรกเข้า - เอกสารในการอบรม - อาหารกลางวัน - เบรกกาแฟ 2 มื้อ/วัน  - เสื้อโปโล สมาคมฯ 1 ตัว  - ทำเนียบรุ่น 1 เล่ม  *****
(หน่วยงานราชการ สามารถขอหนังสือส่งตัวบุคลากรจากทางสมาคมฯ และเบิกค่าอบรมจากต้นสังกัดได้)
สมัครออนไลน์   https://url.in.th/BUxGm
หรือ ดาวน์โหลด ใบสมัคร  https://url.in.th/PNnPn
********
 >>>>>>>>
******** https://www.facebook.com/share/19CTsEaif3/
#188
1 ลิตร กับ 1 กิโลกรัม **ไม่เท่ากัน** และเป็นคนละหน่วยกัน โดยมีความแตกต่างดังนี้:

---

### 🔹 1. ความหมายของหน่วย

| หน่วย             | หมายถึงอะไร                   | ใช้วัดอะไร                                                          |
| ----------------- | ----------------------------- | ------------------------------------------------------------------- |
| **ลิตร (L)**      | หน่วยของ **ปริมาตร (Volume)** | ใช้วัด **ของเหลว** หรือสิ่งที่มีปริมาตร เช่น น้ำ, น้ำมัน, อากาศ ฯลฯ |
| **กิโลกรัม (kg)** | หน่วยของ **มวล (Mass)**       | ใช้วัด **น้ำหนักหรือมวล** ของวัตถุ เช่น ข้าวสาร, น้ำตาล, เหล็ก ฯลฯ  |

---

### 🔹 2. แล้ว 1 ลิตร เท่ากับกี่กิโลกรัม?

ขึ้นอยู่กับ **ความหนาแน่น** ของสิ่งนั้น:

* **น้ำบริสุทธิ์ที่อุณหภูมิ 4°C**:
  ✅ 1 ลิตร = **1 กิโลกรัม** (เพราะความหนาแน่นของน้ำคือ 1 กรัม/มิลลิลิตร หรือ 1000 กรัม/ลิตร)

* **ถ้าไม่ใช่น้ำ**:

  * 1 ลิตร **น้ำมันพืช** ≈ 0.91 กิโลกรัม
  * 1 ลิตร **น้ำเชื่อม** ≈ 1.3 กิโลกรัม
  * 1 ลิตร **เบนซิน** ≈ 0.75 กิโลกรัม

---

### 🔹 สรุปสั้น ๆ

| ประเด็น    | ลิตร                                    | กิโลกรัม                       |
| ---------- | --------------------------------------- | ------------------------------ |
| หน่วยของ   | ปริมาตร                                 | มวล (น้ำหนัก)                  |
| ใช้วัด     | ของเหลว หรือสิ่งที่กินที่วัดเป็นปริมาตร | สิ่งที่มีน้ำหนัก               |
| เท่ากันไหม | ❌ ไม่เท่ากัน                            | ขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของวัตถุ |

-----------------------------------------------------
#189
อาการเส้นเลือดในสมองตีบ (ischemic stroke) เกิดจากการที่เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองตีบหรือตัน ทำให้สมองขาดเลือดและออกซิเจน ซึ่งอาจทำให้เซลล์สมองเสียหายหรือเสียชีวิตได้ ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว

---

### 🔍 **อาการของเส้นเลือดในสมองตีบ**

อาการมักเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน และสังเกตได้จากสัญญาณเตือนดังนี้:

#### **1. อาการทางร่างกายและการเคลื่อนไหว**

* อ่อนแรงหรือชาเฉียบพลันที่ใบหน้า แขน หรือขา โดยเฉพาะถ้าเกิดที่ข้างใดข้างหนึ่งของร่างกาย
* ยกแขนหรือขาไม่ขึ้น
* เดินลำบาก ทรงตัวไม่ได้ หรือเสียการทรงตัว

#### **2. อาการทางการพูดและการรับรู้**

* พูดไม่ชัด
* พูดไม่ได้ หรือฟังไม่เข้าใจคำพูดของผู้อื่น
* มึนงงหรือสับสน

#### **3. อาการที่เกี่ยวกับการมองเห็น**

* มองไม่เห็นบางส่วนหรือเห็นภาพซ้อน
* ตามัวเฉียบพลัน

#### **4. อื่น ๆ**

* ปวดศีรษะอย่างรุนแรงแบบเฉียบพลันโดยไม่ทราบสาเหตุ
* หมดสติ (ในกรณีรุนแรง)

⏰ หากมีอาการเหล่านี้ **ต้องรีบไปโรงพยาบาลทันที** ภายใน "เวลา 4.5 ชั่วโมง" จะมีโอกาสได้รับยาละลายลิ่มเลือด (rtPA)

---

### 💊 **การรักษา**

ขึ้นกับระยะเวลาและความรุนแรงของอาการ:

#### **1. ระยะเฉียบพลัน**

* **ยาละลายลิ่มเลือด (rtPA):** ใช้ภายใน 4.5 ชั่วโมง
* **การสวนหลอดเลือดสมองเพื่อดึงลิ่มเลือดออก (Thrombectomy):** ภายใน 6–24 ชั่วโมง ในกรณีที่มีข้อบ่งชี้ชัดเจน

#### **2. ระยะฟื้นฟู**

* การทำกายภาพบำบัด
* พูดบำบัด
* ฝึกการทำกิจวัตรประจำวัน

#### **3. ยาป้องกันโรคกลับเป็นซ้ำ**

* ยาต้านเกล็ดเลือด เช่น แอสไพริน, คลอปิโดเกรล
* ยาลดไขมัน (statins)
* ยาควบคุมความดันโลหิตหรือเบาหวาน

---

### 🛡� **การป้องกันเส้นเลือดในสมองตีบ**

#### ปรับพฤติกรรมและควบคุมโรคประจำตัว:

* **ควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ**
* **ควบคุมน้ำตาลในเลือด** หากเป็นเบาหวาน
* **เลิกบุหรี่ และงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์**
* **ควบคุมไขมันในเลือด** โดยการรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ
* **ออกกำลังกายสม่ำเสมอ**
* **ตรวจสุขภาพเป็นประจำ**
* **ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์**

---

หากคุณมีประวัติครอบครัว หรือเป็นกลุ่มเสี่ยง เช่น มีความดัน เบาหวาน ไขมันสูง ควรเข้ารับการตรวจสมองและหลอดเลือดอย่างสม่ำเสมอ เช่น **การทำอัลตราซาวนด์หลอดเลือดคอ (Carotid Duplex)** หรือ **MRI/MRA สมอง** ตามคำแนะนำแพทย์

#190
Exness  สัมมนาวิเคราะห์เชิงลึก [ฟรี!]  เรื่อง Liquidity Sweeps  25/6/2568
อยากเข้าใจแนวรับแนวต้านให้ชัดเจนยิ่งขึ้น?
โอกาสของคุณมาถึงแล้ว!
ขอเชิญเข้าร่วมสัมมนาวิเคราะห์เชิงลึก [ฟรี!]
• แนวคิดของแนวรับและแนวต้าน
• วิธีระบุแนวโน้มของตลาด
• เจาะลึกเรื่อง Liquidity Sweeps (การกวาดสภาพคล่อง)
🗓 วันพุธที่ 25 มิถุนายน 2568
⏰ เวลา 19:00 น.
👉 ลงทะเบียนได้ที่ https://exness.social/4ebqObg
เปิดบัญชี Standard ได้ที่ https://exness.com/intl/th/a/73208
#191
การวิเคราะห์ทะเบียนรถตามหลักโหราศาสตร์ไทยหรือศาสตร์ตัวเลข (Numerology) มักอ้างอิงจากตัวเลขในทะเบียนรถ เพื่อดูความเป็นมงคลด้านต่าง ๆ เช่น การเงิน การงาน ความปลอดภัย และโชคลาภ

เรามาวิเคราะห์ทะเบียน **"3ขข3443"** กันแบบละเอียดตามหลักเลขศาสตร์ไทย:

---

### 🔢 เลขทะเบียน: 3ขข3443

**(ตัดตัวอักษร ขข ออกก่อน เพื่อวิเคราะห์เฉพาะตัวเลข) → 3443**

---

### 💠 วิเคราะห์ตาม "เลขศาสตร์ (รวมเลข 4 ตัว)"

เลข 3443 เมื่อนำมาบวกรวมกัน:
**3 + 4 + 4 + 3 = 14 → 1 + 4 = 5**

#### ความหมายของเลข 14 และ 5:

* **เลข 14** – เป็นเลขดี มีเสน่ห์ ฉลาด เรียนรู้เร็ว พูดจาดี เหมาะกับงานที่ใช้ความคิด การสื่อสาร
* **เลข 5** – หมายถึงปัญญา ความยุติธรรม ความคิดดี มองโลกในแง่ดี มั่นคง เหมาะกับคนที่ต้องการความมั่นคงทางจิตใจ

📌 ดังนั้น **3443 ถือว่าเป็นเลขที่ดีมาก** มีความสมดุลระหว่างสติปัญญาและความน่าเชื่อถือ

---

### 🔡 วิเคราะห์ตัวอักษร **"ขข"** ตามเลขศาสตร์

ในระบบเลขศาสตร์ไทย:

* ก = 1
* ข = 2
  → ข = 2, ข = 2 → รวม = 4

**ตัวอักษร "ขข" ให้ค่าเลข 4**

* **เลข 4** หมายถึง การติดต่อสื่อสาร เทคโนโลยี ความสามารถด้านการพูด เข้ากับคนง่าย มีไหวพริบดี

---

### 💡 สรุปความหมายโดยรวม:

| ด้าน            | วิเคราะห์                                            |
| --------------- | ----------------------------------------------------- |
| 💼 การงาน      | ดีมาก เหมาะกับงานที่ใช้ความคิด วิเคราะห์ การพูด เจรจา |
| 💸 การเงิน      | มีโชคจากการสื่อสาร ค้าขาย งานออนไลน์                  |
| 🚗 ความปลอดภัย  | ไม่มีเลขเสียหรืออับโชค ถือว่าปลอดภัยดี                |
| 😄 ความสัมพันธ์ | มีเสน่ห์ น่าเชื่อถือ เข้ากับผู้คนง่าย                |

---

### ✅ สรุป: **ทะเบียน "3ขข3443" จัดว่าเป็นทะเบียน "ดี"**

* มีเลขกลับหน้ากลับหลัง (3443) ให้ความมั่นคง เสริมพลังชีวิต
* ไม่มีเลขอัปมงคลอย่าง 7 หรือ 0
* ไม่มีคู่เลขที่ให้โทษในเชิงโหราศาสตร์

---------------------------------

การจะบอกว่าทะเบียนรถ **3ขข 3443** ดีหรือไม่ดีตามหลักโหราศาสตร์นั้น ต้องพิจารณาจากหลายปัจจัยประกอบกันค่ะ ไม่ใช่แค่ผลรวมเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงความหมายของตัวอักษรและตัวเลขแต่ละตัวด้วย

### การวิเคราะห์ทะเบียนรถ 3ขข 3443 ตามหลักโหราศาสตร์เบื้องต้น

1.  **ผลรวมเลขทะเบียน:**
    * นำตัวเลขทั้งหมดมาบวกกัน: $3 + 4 + 4 + 3 = 14$
    * **ผลรวม 14:** โดยทั่วไปแล้ว **ผลรวม 14 ถือเป็นผลรวมที่ดีมาก** ในทางเลขศาสตร์ ถือเป็นเลขที่ส่งเสริมความสำเร็จ ความก้าวหน้า และความมั่นคง เป็นคนมีไหวพริบ มีสติปัญญาดี มีความสามารถในการปรับตัวและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ทำให้สามารถก้าวหน้าในหน้าที่การงานและธุรกิจได้ดี มีโอกาสประสบความสำเร็จในชีวิต

2.  **ความหมายของตัวอักษร "ขข":**
    * ตัวอักษรแต่ละตัวมีความหมายตามหลักทักษาปกรณ์ ซึ่งจะสัมพันธ์กับวันเกิดของเจ้าของรถ เพื่อดูว่าอักษรนั้นเป็นกาลกิณี อุตสาหะ มนตรี หรืออื่นๆ
    * อย่างไรก็ตาม โดยรวมแล้ว หมวดอักษร **"3ขข"** เพิ่งมีการประมูลไปเมื่อไม่นานมานี้ และทางกรมการขนส่งทางบกได้โปรโมทว่าเป็นหมวดอักษร **"ขุมทรัพย์ล้ำค่า เสริมดวงชะตา"** ซึ่งเป็นการสื่อความหมายในเชิงบวก

3.  **ความหมายของตัวเลข 3 และ 4:**
    * **เลข 3 (ดาวอังคาร):** มักเกี่ยวข้องกับความกล้าหาญ ความขยัน ความเป็นผู้นำ และการลงมือทำ แต่อาจมีเรื่องความใจร้อน หรืออุปสรรคบ้างเล็กน้อย
    * **เลข 4 (ดาวพุธ):** มักเกี่ยวข้องกับการสื่อสาร การเจรจา การค้าขาย สติปัญญา และความคล่องตัว

### สรุปเบื้องต้น

ทะเบียนรถ **3ขข 3443** มี **ผลรวม 14 ซึ่งถือว่าเป็นผลรวมที่ดีมาก** ในแง่ของการส่งเสริมความสำเร็จ ความก้าวหน้า และความมั่นคง ตัวอักษร "ขข" ก็ถูกโปรโมทในเชิงบวก แต่เพื่อให้ได้คำตอบที่ละเอียดและแม่นยำที่สุด ควรนำข้อมูลวันเกิดของเจ้าของรถมาพิจารณาประกอบด้วย เพื่อดูว่าตัวอักษร "ขข" และตัวเลขแต่ละตัวส่งเสริมหรือมีผลกระทบอย่างไรกับดวงชะตาเฉพาะบุคคลค่ะ
------------------------------------------------------

การวิเคราะห์เลขทะเบียนรถ **3ขข3443** ตามหลักโหราศาสตร์ไทยและความเชื่อเลขศาสตร์ สามารถพิจารณาได้จากหลายปัจจัย ดังนี้:

### 1. **ผลรวมเลขทะเบียน (เลขศาสตร์)**
   - แปลงตัวเลขทั้งหมดเป็นตัวเลขเดี่ยว: 
     **3 + 3 + 4 + 4 + 3 = 17** 
     **1 + 7 = 8** 
     **ผลรวมสุดท้ายคือ 8** 
   - **เลข 8** ในเลขศาสตร์ไทยถือว่าเป็นเลขมงคล เสริมเรื่องความมั่นคง ร่ำรวย และอำนาจ แต่บางความเชื่ออาจ关联到ความทุ่มเทหรือการต่อสู้

### 2. **ความหมายตามตัวเลข (เลขศาสตร์)**
   - **เลข 3**: เสริมเรื่องความรุ่งเรือง สื่อสารดี มีเพื่อนช่วยเหลือ (แต่บางตำราอาจ关联到ความไม่แน่นอน)
   - **เลข 4**: ในไทยบางความเชื่อหมายถึงความมั่นคง (สี่สี่=เสาเสา) แต่บางวัฒนธรรมอาจไม่ชอบเพราะคล้ายเสียง "ตาย" (需结合车主八字)
   - **เลข 8**: มงคลทางการเงิน อำนาจ ความสำเร็จระยะยาว

### 3. **การอ่านแบบเสียง (ภาษาศาสตร์)**
   - **3ขข3443** อ่านว่า **"สาม ขอ ขอ สี่ สี่ สาม"** 
   - เสียง "ขอ" มัก关联到การขอพร ความปรารถนา ส่วน "สี่สี่" อาจฟังดูแข็งหรือซ้ำๆ (แต่ไม่ถือว่าไม่ดีหาก车主ชอบความมั่นคง)

### 4. **ข้อแนะนำเพิ่มเติม**
   - **ตรวจสอบกับวันเกิด车主**: เลขที่ดีที่สุดควรสอดคล้องกับเลขประจำตัว车主 (如วันเกิด或命理喜用神) 
   - **ความสมดุล**: ทะเบียนนี้มีเลข 3 มาก (พลังงานเคลื่อนไหว) แต่มี 4 และ 8 สร้างสมดุลด้านความมั่นคง 
   - **หากเชื่อโหราศาสตร์车牌**: ควรคำนวณ配合车主生辰八字เพื่อหาความเหมาะสมที่สุด 

### สรุป
ทะเบียน **3ขข3443** มีเลขรวม 8 ถือว่าเป็นเลขที่ดีในด้านความมั่นคงและการเงิน แต่ควรตรวจสอบเพิ่มเติมกับความเชื่อส่วนตัวหรือดวงชะตาของ车主 หาก车主รู้สึกว่าเลขนี้ให้ความรู้สึกดี ก็ถือว่าเป็นมงคลด้วย! 

-----------------------------------------------------------

ลูกค้าสนใจ ผมขาย 3ขข 3443 กทม. ราคา 310,005 บาท ค่าโอน+ภาษี ออกคนละครึ่ง
ติดต่อ
สรพล เจา 081-446-5311
#192
**วัยทองในผู้ชาย** หรือที่เรียกว่า **ภาวะหมดฮอร์โมนเพศชาย (Andropause)** เป็นภาวะที่ระดับฮอร์โมนเพศชาย **"เทสโทสเทอโรน" (Testosterone)** ลดลง ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งทางร่างกาย อารมณ์ และจิตใจ คล้ายกับวัยทองในผู้หญิง

---

### ✅ อายุเฉลี่ยที่เข้าสู่วัยทองในผู้ชาย

* โดยทั่วไปอยู่ที่ **อายุประมาณ 40-55 ปี**
* บางคนอาจเริ่มมีอาการเร็วกว่า (ตั้งแต่ช่วงอายุ 35 ปี) หรือช้ากว่านั้นก็ได้ ขึ้นอยู่กับ **กรรมพันธุ์, สุขภาพ, พฤติกรรมการใช้ชีวิต**

---

### ✅ อาการของวัยทองในผู้ชาย

* เหนื่อยง่าย ไม่มีแรง
* นอนไม่หลับ หรือหลับไม่สนิท
* หงุดหงิดง่าย อารมณ์แปรปรวน
* ความจำหรือสมาธิลดลง
* ความต้องการทางเพศลดลง / สมรรถภาพทางเพศถดถอย
* มวลกล้ามเนื้อลดลง ไขมันสะสมมากขึ้น
* เหงื่อออกกลางคืน / ร้อนวูบวาบ (พบได้น้อยกว่าผู้หญิง)

---

### ✅ การวินิจฉัย

* ตรวจเลือดเพื่อดูระดับฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนในช่วงเช้า (ก่อน 10.00 น.)
* แพทย์อาจประเมินร่วมกับอาการที่ผู้ป่วยแสดง

---

### ✅ แนวทางการรักษา

1. **การปรับพฤติกรรม**

   * ออกกำลังกายสม่ำเสมอ (เพิ่มฮอร์โมนตามธรรมชาติ)
   * นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
   * ลดความเครียด
   * งดสูบบุหรี่ / ดื่มแอลกอฮอล์
   * รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะโปรตีน ไขมันดี และสังกะสี (Zinc)

2. **การใช้ฮอร์โมนทดแทน (Testosterone Replacement Therapy - TRT)**

   * เช่น ฉีดฮอร์โมน, ทาเจล, แผ่นแปะผิวหนัง หรือยาเม็ดบางชนิด
   * ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น
   * ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก, มีโรคหัวใจรุนแรง, หรือมีภาวะเม็ดเลือดแดงสูง

---

### ✅ ควรพบแพทย์เมื่อ

* มีอาการต่อเนื่องและรบกวนชีวิตประจำวัน
* มีปัญหาสมรรถภาพทางเพศ / ความต้องการทางเพศลดลง
* รู้สึกซึมเศร้า อ่อนล้าแบบไม่ทราบสาเหตุ

---------------------------------------------------
#193
"แก่ก่อนวัย" หมายถึง การที่ร่างกายหรือผิวพรรณดูแก่กว่าวัยจริง เช่น มีริ้วรอย ผิวเหี่ยวย่น ผมบางหรือหงอกก่อนวัย ซึ่งอาจเกิดได้จากหลายปัจจัย ทั้งภายในและภายนอก

---

## 🔍 **สาเหตุของการแก่ก่อนวัย**

### 1. **พฤติกรรมการใช้ชีวิต**

* **นอนดึก พักผ่อนไม่เพียงพอ** → ร่างกายไม่มีเวลาซ่อมแซมเซลล์
* **ความเครียดสะสม** → กระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล ทำลายคอลลาเจน
* **ดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่** → ทำให้หลอดเลือดตีบ เลือดไปเลี้ยงผิวได้น้อยลง
* **ออกกำลังกายไม่เพียงพอ** → ระบบไหลเวียนเลือดไม่ดี ผิวไม่สดใส

### 2. **ปัจจัยสิ่งแวดล้อม**

* **แสงแดด/รังสี UV** → ทำลายคอลลาเจนและอิลาสติน ทำให้ผิวเหี่ยวย่นเร็ว
* **มลพิษ ฝุ่นควัน** → กระตุ้นการอักเสบในร่างกายและผิว

### 3. **โภชนาการไม่เหมาะสม**

* **ขาดสารอาหารจำเป็น** เช่น วิตามิน C, E, สารต้านอนุมูลอิสระ
* **บริโภคน้ำตาลและอาหารแปรรูปมากเกินไป** → ทำให้เกิด "ไกลเคชั่น" (glycation) ส่งผลให้คอลลาเจนเสื่อมสภาพ

### 4. **พันธุกรรม / ฮอร์โมน**

* บางคนมีพันธุกรรมที่เสี่ยงแก่เร็ว
* การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น วัยทอง

---

## 🛡� **วิธีป้องกันและชะลอความแก่ก่อนวัย**

### 🛌 **ปรับพฤติกรรมชีวิต**

* นอนให้เพียงพอ (วันละ 7–8 ชั่วโมง)
* ลดความเครียดด้วยการฝึกสมาธิ โยคะ หรือกิจกรรมที่ชอบ
* ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

### ☀️ **ดูแลผิวจากภายนอก**

* ทาครีมกันแดดทุกวัน SPF 30+ ขึ้นไป
* ใช้สกินแคร์ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามิน C, เรตินอล, เปปไทด์

### 🍎 **ปรับอาหาร**

* เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช สารต้านอนุมูลอิสระ
* ลดน้ำตาล ของทอด ของแปรรูป
* ดื่มน้ำมากพอ วันละ 1.5–2 ลิตร

### 💊 **เสริมด้วยอาหารเสริม (ถ้าจำเป็น)**

* วิตามิน C, E, CoQ10, คอลลาเจน, Zinc ฯลฯ (ควรปรึกษาแพทย์ก่อน)

### 🧬 **หากมีปัจจัยจากพันธุกรรมหรือโรคบางอย่าง**

* ควรพบแพทย์เฉพาะทาง เช่น อายุรแพทย์ หรือแพทย์เวชศาสตร์ชะลอวัย

-----------------------------------------
#194
"การทำ IS ปริญญาโท" หมายถึงการทำ **Independent Study (IS)** ซึ่งเป็นหนึ่งในรูปแบบของการศึกษาค้นคว้าอิสระที่นักศึกษาระดับปริญญาโทในบางหลักสูตร (โดยเฉพาะสายวิชาชีพ เช่น การบริหารธุรกิจ การศึกษา หรือรัฐประศาสนศาสตร์) ต้องทำเพื่อสำเร็จการศึกษา แทนการทำวิทยานิพนธ์ (Thesis)

### รายละเอียดของ IS (Independent Study)

**1. ความหมาย:**
IS คือการศึกษาค้นคว้าอิสระในหัวข้อที่สนใจ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับสาขาวิชาที่เรียนอยู่ โดยนักศึกษาจะออกแบบการวิจัยหรือการวิเคราะห์ข้อมูลเองภายใต้การดูแลของอาจารย์ที่ปรึกษา

**2. ความแตกต่างจาก Thesis:**

| หัวข้อ            | IS (Independent Study) | Thesis (วิทยานิพนธ์) |
| ----------------- | ---------------------- | -------------------- |
| ความลึกของเนื้อหา | น้อยกว่า Thesis        | ลึกและซับซ้อนมากกว่า |
| ระยะเวลา          | ใช้เวลาน้อยกว่า        | ใช้เวลานานกว่า       |
| ความยาก           | ปานกลาง                | สูง                  |
| จำนวนหน่วยกิต     | มัก 3-6 หน่วยกิต       | มัก 12 หน่วยกิต      |

**3. ขั้นตอนทั่วไปของการทำ IS:**

* เลือกหัวข้อที่สนใจและสอดคล้องกับสาขาวิชา
* เสนอหัวข้อให้คณะกรรมการหรืออาจารย์ที่ปรึกษาอนุมัติ
* ทำการศึกษาค้นคว้า ทบทวนวรรณกรรม และ/หรือทำวิจัย
* เขียนรายงานหรือเล่ม IS
* นำเสนอและสอบปากเปล่า (ในบางหลักสูตร)

**4. ตัวอย่างหัวข้อ IS:**

* การวิเคราะห์ประสิทธิภาพของการตลาดออนไลน์ในธุรกิจขนาดเล็ก
* ผลของการอบรมด้านภาวะผู้นำต่อความพึงพอใจในการทำงานของพนักงาน
* การประยุกต์ใช้แนวคิด Agile ในการพัฒนาโครงการภาครัฐ

--------------------------------------
#195
ถ้าใน **Windows 11** คุณไม่เห็น **เมนู Print** หรือไม่สามารถสั่งพิมพ์ได้ อาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การตั้งค่า Windows, แอปที่ใช้, หรือปัญหากับเครื่องพิมพ์เอง ด้านล่างคือวิธีแก้ไขตามสาเหตุที่พบบ่อย:

---

### ✅ **1. ลองใช้ปุ่มลัดพิมพ์ (Ctrl + P)**

* ในเกือบทุกแอป เช่น Word, Chrome, Edge, PDF viewer ฯลฯ กด `Ctrl + P` เพื่อเรียกเมนู Print ขึ้นมา
* ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แปลว่าแอปอาจไม่รองรับ หรือมีปัญหากับระบบ

---

### ✅ **2. ตรวจสอบว่าเครื่องพิมพ์ถูกติดตั้งหรือไม่**

1. ไปที่ **Settings > Bluetooth & devices > Printers & scanners**
2. ดูว่ามีชื่อเครื่องพิมพ์อยู่หรือไม่

   * ถ้าไม่มี: คลิก "Add device" เพื่อเพิ่มเครื่องพิมพ์
   * ถ้ามี: ตรวจสอบว่าไม่ได้ขึ้นว่า "Offline" หรือ "Driver error"

---

### ✅ **3. ตรวจสอบเมนู Print ในแอปที่คุณใช้**

* บางแอปเปลี่ยน UI ใน Windows 11 เช่น:

  * แอป Photos หรือ Paint ใหม่ อาจต้องคลิก `...` หรือ `File > Print`
  * แอป PDF viewer เช่น Edge หรือ Adobe Acrobat อาจต้องคลิกที่ไอคอนเครื่องพิมพ์

---

### ✅ **4. รีเซ็ตบริการ Print Spooler**

1. กด `Win + R` พิมพ์ `services.msc` แล้ว Enter
2. หาบริการชื่อ **Print Spooler**
3. คลิกขวา → เลือก **Restart**
4. จากนั้นลองพิมพ์ใหม่อีกครั้ง

---

### ✅ **5. อัปเดตไดรเวอร์เครื่องพิมพ์**

1. ไปที่ **Device Manager**
2. หาหมวด **Printers** → คลิกขวาที่เครื่องพิมพ์ของคุณ → เลือก **Update driver**
3. หรือดาวน์โหลดไดรเวอร์ใหม่จากเว็บไซต์ผู้ผลิตโดยตรง

---

### ✅ **6. ใช้การสั่งพิมพ์ผ่าน File Explorer**

ถ้าคุณมีไฟล์ PDF, Word ฯลฯ:

* คลิกขวาไฟล์ → เลือก **Show more options (Shift + Right Click)** → จะเจอคำสั่ง **Print**

-----------------------------------------------------------
#196
หากเสียงใน Google Chrome เบาหรือไม่ค่อยดัง ทั้งที่เสียงของอุปกรณ์ปกติ คุณสามารถลองแก้ไขตามขั้นตอนต่อไปนี้ได้:

**1. ตรวจสอบระดับเสียงของ Chrome ในระบบปฏิบัติการ**

สำหรับ **Windows**:
คลิกขวาที่ไอคอนลำโพง > "เปิดตัวปรับระดับเสียง" (Volume Mixer) แล้วตรวจสอบว่าแถบเสียงของ "Google Chrome" ไม่ถูกลดเสียงหรือลดจนปิดเสียง

สำหรับ **Mac**:
เปิด "System Settings" > "Sound" แล้วดูว่าระดับเสียงโดยรวมและของแอปไม่ได้ถูกลดไว้

---

**2. ตรวจสอบเสียงใน YouTube หรือเว็บที่ใช้งาน**

ลองเปิดวิดีโอหรือเพลงจาก YouTube แล้วตรวจสอบว่าแถบเสียงในตัวเล่นของ YouTube เปิดเต็มหรือไม่

---

**3. ปิด Extensions ที่เกี่ยวกับเสียง**

บางครั้ง Extensions เช่น ตัวปรับ EQ หรือ Blocker อาจรบกวนเสียง ลองปิด Extensions ทั้งหมด แล้วลองเปิดเสียงใหม่ดู หากหาย ให้เปิดทีละตัวเพื่อหาตัวที่เป็นปัญหา

---

**4. อัปเดตหรือรีเซ็ต Chrome**

อัปเดต Chrome เป็นเวอร์ชันล่าสุด และลองเข้าไปที่
`chrome://settings/reset` > คลิก "Restore settings to their original defaults" เพื่อรีเซ็ตการตั้งค่าหากมีอะไรผิดปกติ

---

**5. ลองเปิดในโปรไฟล์ Chrome อื่น หรือ Incognito Mode**

บางครั้งการตั้งค่าโปรไฟล์ผู้ใช้หรือปลั๊กอินที่ติดตั้งอาจเป็นต้นเหตุ ลองเปิดหน้าเว็บใน **Incognito Mode (โหมดไม่ระบุตัวตน)** เพื่อดูว่าเสียงกลับมาปกติหรือไม่

---

หากทำทุกอย่างแล้วยังไม่ดีขึ้น ลองเปิดเว็บเดียวกันในเบราว์เซอร์อื่น (เช่น Firefox, Edge) เพื่อแยกว่าเป็นปัญหาที่ Chrome หรือระบบเสียงของเครื่อง

------------------------------------------
#197
ดูวันหมดอายุประกันของปริ้นเตอร์ EPSON 

https://customer.epson.asia/customer/ewarranty.do#/wry/TH

ถ้าลูกค้าซื้อกับ Advice ดูวันหทดอายุ
https://www.advice.co.th/services/waranty?srsltid=AfmBOoqkfjlmThKkFtgHpwZiDRES2X6w-RnWp6Tq503wiNvVA1nCsZZT

หมายเหตุ EPSON จะหมดอายุเร็วกว่า บริษัทที่ขายให้
ต้องเก็บกล่อง หรือ ฉลากประกันไว้ ดูเทียบกันเวลาเคลม
#198
การล้างหัวพิมพ์ (Head Cleaning) ของเครื่องพิมพ์ Epson L3250 สามารถทำได้ด้วยขั้นตอนง่าย ๆ โดยผ่านซอฟต์แวร์หรือปุ่มบนตัวเครื่อง ดังนี้:

---

### 🔧 วิธีที่ 1: ล้างหัวพิมพ์ผ่านซอฟต์แวร์ (Windows/Mac)

#### **ขั้นตอน**

1. **เปิดเครื่องพิมพ์** และให้เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์
2. **เปิด "Control Panel" > Devices and Printers**
3. คลิกขวาที่ **Epson L3250** แล้วเลือก **"Printing Preferences"**
4. ไปที่แท็บ **"Maintenance"**
5. เลือก **"Head Cleaning"**
6. คลิก **"Start"** เพื่อเริ่มกระบวนการล้างหัวพิมพ์
7. หลังเสร็จสิ้น จะมีตัวเลือกให้คุณ **พิมพ์ test pattern** เพื่อตรวจสอบผล

> **คำแนะนำ:** หากผลการพิมพ์ยังไม่ชัดเจน คุณสามารถล้างซ้ำได้อีก 1-2 ครั้ง แต่ไม่ควรเกิน 3 ครั้งติดกัน เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายจากหมึกส่วนเกิน

---

### 🔧 วิธีที่ 2: ล้างหัวพิมพ์โดยใช้ปุ่มบนตัวเครื่อง (ไม่มีคอมพิวเตอร์)

#### **ขั้นตอน**

1. **เปิดเครื่องพิมพ์**
2. กดปุ่ม **"หยดน้ำ" (Stop/Ink)** ค้างไว้ประมาณ **5 วินาที**
3. ไฟบนเครื่องจะกระพริบ แสดงว่ากำลังทำความสะอาดหัวพิมพ์
4. รอจนกระบวนการเสร็จสิ้น (ประมาณ 1-2 นาที)

> **หมายเหตุ:** คุณสามารถพิมพ์ตรวจสอบหัวพิมพ์ได้โดย:

* กดปุ่ม **"หยดน้ำ" + "Wi-Fi" พร้อมกัน** ประมาณ 5 วินาที เพื่อพิมพ์ **Nozzle Check Pattern**

---

### 🧼 ถ้ายังไม่ดีขึ้น

หากล้างผ่านซอฟต์แวร์หรือปุ่มแล้วยังพิมพ์ไม่ชัด หรือมีเส้นขาด:

* เติมหมึกให้ครบ
* ปล่อยให้หัวพิมพ์พัก 30 นาที แล้วล้างใหม่
* ใช้ **"Power Cleaning"** (สำหรับรุ่นที่รองรับผ่าน Epson Smart Panel App)

หากยังไม่ดีขึ้น อาจต้อง **ถอดหัวพิมพ์มาล้างด้วยน้ำยาเฉพาะ** หรือ **นำไปให้ช่างบริการ**

---

หากคุณต้องการล้างหัวพิมพ์แบบลึก (deep clean) หรือผ่านแอปมือถือ (Epson Smart Panel)
#199
อาการเจ็บซี่โครงขวาหลังออกกำลังกายอาจมีหลายสาเหตุ ขึ้นอยู่กับลักษณะการเจ็บ ความรุนแรง และประเภทของการออกกำลังกายที่ทำ โดยทั่วไปแล้ว อาจเกิดจาก:

---

### 🟡 **สาเหตุที่พบได้บ่อย (ไม่ร้ายแรง):**

1. **กล้ามเนื้อซี่โครงอักเสบ (Muscle strain)**

   * เกิดจากการใช้งานกล้ามเนื้อบริเวณชายโครงมากเกินไป เช่น ยกเวท บิดตัว วิ่ง
   * อาการ: ปวดตึง เจ็บเวลาไอ จาม หัวเราะ หรือบิดตัว
   * **การแก้ไข**: พัก, ประคบเย็น 1–3 วันแรก, จากนั้นประคบร้อน, ทายาหรือกินยากลุ่ม NSAIDs (เช่น ibuprofen)

2. **Side stitch (เจ็บจุกชายโครง)**

   * เกิดจากการหายใจผิดจังหวะขณะวิ่งหรือออกกำลังกาย
   * อาการ: เจ็บแปลบๆ ที่ด้านข้างลำตัว
   * **การแก้ไข**: หยุดพัก หายใจลึกๆ ช้าๆ, ยืดตัว, บีบเบาๆ ที่จุดเจ็บ

3. **การเคลื่อนไหวผิดท่า**

   * เช่น บิดตัวเร็วเกินไปหรือยกของหนักผิดท่า

---

### 🔴 **สาเหตุที่ควรระวัง (รุนแรงกว่าหรือไม่ควรมองข้าม):**

1. **กระดูกซี่โครงร้าวหรือหัก (Rib fracture)**

   * จากอุบัติเหตุหรือแรงกระแทกรุนแรง
   * อาการ: เจ็บมากโดยเฉพาะตอนหายใจลึก ไอ หรือกดถูกจุด, อาจหายใจลำบาก
   * **การแก้ไข**: พบแพทย์ทันที อาจต้องเอกซเรย์

2. **ภาวะเยื่อหุ้มปอดอักเสบ / ปอดรั่ว (Pleurisy / Pneumothorax)**

   * เจ็บแปลบเวลาไอหรือหายใจลึกๆ อาจมีหอบเหนื่อยร่วมด้วย
   * **การแก้ไข**: รีบพบแพทย์โดยด่วน

---

### ✅ **ควรทำอย่างไรตอนนี้?**

* **ถ้าอาการไม่รุนแรง**:

  * พักจากการออกกำลังกาย 2–5 วัน
  * ประคบเย็น 15–20 นาที/ครั้ง วันละ 2–3 ครั้งใน 48 ชม.แรก
  * จากนั้นเปลี่ยนเป็นประคบร้อนเพื่อลดตึง
  * รับประทานยาลดปวด/อักเสบตามคำแนะนำเภสัชกร
  * หลีกเลี่ยงการยกของหนักหรือออกกำลังกายที่ต้องบิดตัว

* **ถ้ามีอาการเหล่านี้ ควรพบแพทย์ทันที**:

  * เจ็บมากจนหายใจไม่สะดวก
  * ปวดแปลบตลอดเวลาแม้พัก
  * ไอมีเลือด เสมหะมาก เหนื่อยง่าย
  * มีประวัติล้ม กระแทก หรืออุบัติเหตุช่วงอก

--------------------------------------------------
การออกกำลังกายแล้วเจ็บซี่โครงขวาอาจเกิดจากหลายสาเหตุ ดังนี้:

### สาเหตุที่เป็นไปได้
1. **กล้ามเนื้อตึงหรือบาดเจ็บ (Muscle Strain)** 
   - การออกกำลังกายที่ใช้กล้ามเนื้อบริเวณหน้าอก หน้าท้อง หรือซี่โครงมากเกินไป เช่น การวิ่ง ยกน้ำหนัก หรือออกกำลังกายแบบ HIIT อาจทำให้กล้ามเนื้อระหว่างซี่โครง (intercostal muscles) หรือกล้ามเนื้อหน้าท้องเฉียง (obliques) ตึงหรือฉีกขาดเล็กน้อย
   - อาการ: เจ็บแปลบเมื่อหายใจลึก เคลื่อนไหว หรือกดบริเวณที่เจ็บ

2. **การบาดเจ็บที่ซี่โครง (Rib Injury)** 
   - การกระแทกหรือแรงกดทับอาจทำให้ซี่โครงร้าวหรือช้ำ โดยเฉพาะถ้าออกกำลังกายที่มีการปะทะ เช่น มวย หรือกีฬาที่มีการสัมผัสตัว
   - อาการ: เจ็บมากเมื่อสัมผัสหรือกดบริเวณซี่โครง

3. **การอักเสบของกระดูกอ่อนซี่โครง (Costochondritis)** 
   - การอักเสบของกระดูกอ่อนที่เชื่อมซี่โครงกับกระดูกหน้าอก อาจเกิดจากการออกกำลังกายหนักหรือท่าที่ผิดรูปแบบ
   - อาการ: เจ็บแปลบหรือปวดหน่วงบริเวณซี่โครง โดยเฉพาะเมื่อกดหรือหายใจลึก

4. **ปัญหาการหายใจหรือปอด** 
   - การหายใจเร็วหรือตื้นเกินไปขณะออกกำลังกายอาจทำให้เกิดอาการ "side stitch" (ปวดจี๊ดด้านข้าง) ซึ่งมักเกิดที่ซี่โครงขวาหรือซ้าย
   - ในกรณีรุนแรง อาจเป็นสัญญาณของปอดรั่ว (pneumothorax) แต่พบได้น้อยมาก
   - อาการ: เจ็บแปลบขณะหายใจลึก หรือรู้สึกแน่นหน้าอก

5. **ปัญหาอวัยวะภายใน** 
   - อาการปวดอาจเกี่ยวข้องกับอวัยวะภายใน เช่น ตับ (อยู่ด้านขวา) หรือถุงน้ำดี โดยเฉพาะถ้าออกกำลังกายหลังรับประทานอาหารหนัก
   - อาการ: ปวดหน่วง ไม่แปลบ หรือมีอาการอื่นร่วม เช่น คลื่นไส้

6. **ท่าทางหรือเทคนิคการออกกำลังกายที่ผิด** 
   - การออกกำลังกายด้วยท่าที่ไม่ถูกต้อง เช่น การบิดตัวมากเกินไป อาจทำให้กล้ามเนื้อหรือข้อต่อบริเวณซี่โครงระคายเคือง

---

### วิธีแก้ไข
1. **หยุดพักและประเมินอาการ** 
   - หยุดออกกำลังกายทันที และพักเพื่อให้ร่างกายฟื้นตัว 
   - สังเกตอาการ: ถ้าปวดรุนแรง หายใจลำบาก หรือมีอาการอื่น เช่น ไข้ คลื่นไส้ หรือปวดลามไปที่อื่น ควรรีบพบแพทย์

2. **ประคบเย็นหรือร้อน** 
   - ถ้าเป็นอาการกล้ามเนื้อตึงหรือช้ำ: ใช้ถุงน้ำแข็งประคบ 15-20 นาทีใน 48 ชั่วโมงแรก เพื่อลดการอักเสบ 
   - หลัง 48 ชั่วโมง ใช้ผ้าอุ่นประคบเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ

3. **ยืดกล้ามเนื้อเบาๆ** 
   - หากเป็นกล้ามเนื้อตึง ลองยืดกล้ามเนื้อบริเวณหน้าอกและซี่โครงเบาๆ เช่น การยืดตัวด้านข้าง (side stretch) 
   - หลีกเลี่ยงการยืดแรงเกินไป เพราะอาจทำให้อาการแย่ลง

4. **ปรับเทคนิคการออกกำลังกาย** 
   - ตรวจสอบท่าทางการออกกำลังกายให้ถูกต้อง อาจปรึกษาเทรนเนอร์ 
   - วอร์มอัพและคูลดาวน์อย่างเพียงพอก่อนและหลังออกกำลังกาย 
   - หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักทันทีหลังรับประทานอาหาร

5. **ใช้ยาแก้ปวด (ถ้าจำเป็น)** 
   - ยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล หรือไอบูโพรเฟน อาจช่วยลดอาการปวดหรือการอักเสบ (ปรึกษาแพทย์ก่อนใช้)

6. **ฝึกการหายใจ** 
   - หากเป็น side stitch ลองฝึกหายใจลึกๆ ช้าๆ และสม่ำเสมอขณะออกกำลังกาย 
   - ดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสมก่อนและระหว่างออกกำลังกาย เพื่อป้องกันการขาดน้ำ

---

### เมื่อไรควรพบแพทย์
- อาการปวดรุนแรงหรือต่อเนื่องเกิน 2-3 วัน
- หายใจลำบาก หายใจแล้วเจ็บ หรือมีอาการแน่นหน้าอก
- มีอาการอื่นร่วม เช่น ไข้ คลื่นไส้ หรือปวดลามไปที่ไหล่หรือแขน
- สงสัยว่าซี่โครงอาจร้าวหรือแตก (เช่น มีรอยช้ำหรือเจ็บเมื่อกด)

---

### การป้องกันในอนาคต
- วอร์มอัพและยืดกล้ามเนื้อก่อนออกกำลังกายทุกครั้ง
- ใช้ท่าทางที่ถูกต้องและหลีกเลี่ยงการหักโหม
- ค่อยๆ เพิ่มความเข้มข้นของการออกกำลังกาย ไม่ควรเริ่มหนักเกินไป
- ดื่มน้ำเพียงพอและรับประทานอาหารให้เหมาะสมก่อนออกกำลังกาย

หากอาการยังไม่ดีขึ้นหรือกังวล ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด โดยเฉพาะหากสงสัยว่าอาจเกี่ยวข้องกับอวัยวะภายในหรือซี่โครงบาดเจ็บ
------------------------------------------------

อาการเจ็บซี่โครงขวาหลังออกกำลังกายสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุค่ะ ส่วนใหญ่แล้วมักจะไม่เป็นอันตรายรุนแรง แต่ก็ควรรู้ไว้เพื่อดูแลตัวเองได้อย่างถูกต้องและรู้ว่าเมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์

---

### สาเหตุที่พบบ่อยของอาการเจ็บซี่โครงขวาหลังออกกำลังกาย

* **กล้ามเนื้ออักเสบหรือถูกใช้งานหนักเกินไป:** เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดค่ะ โดยเฉพาะถ้าคุณออกกำลังกายหนักเกินไป ยกของหนัก หรือเคลื่อนไหวผิดท่า กล้ามเนื้อบริเวณหน้าอกหรือรอบซี่โครงอาจเกิดการฉีกขาดเล็กน้อยหรืออักเสบได้
* **กระดูกอ่อนซี่โครงอักเสบ (Costochondritis):** เป็นการอักเสบของกระดูกอ่อนบริเวณที่เชื่อมระหว่างกระดูกซี่โครงและกระดูกหน้าอก ทำให้อาการเจ็บซี่โครงมากขึ้นเมื่อหายใจลึกๆ ไอ หรือจาม
* **ซี่โครงร้าวหรือฟกช้ำ:** มักเกิดจากการกระแทกหรือได้รับบาดเจ็บโดยตรง
* **เสียดท้องขณะวิ่ง (Side Stitch):** อาการจุกเสียดบริเวณชายโครง มักเกิดขึ้นกับผู้ที่วิ่งเร็วเกินไป หรือร่างกายขาดน้ำ อาจเกิดจากการที่กระบังลมถูกใช้งานหนัก

---

### วิธีแก้ไขและบรรเทาอาการ

หากอาการเจ็บซี่โครงขวาไม่รุนแรงและไม่มีอาการผิดปกติอื่นๆ ร่วมด้วย คุณสามารถดูแลตัวเองเบื้องต้นได้ดังนี้:

* **พักผ่อน:** หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหรือกิจกรรมที่ทำให้เกิดอาการเจ็บ เพื่อให้กล้ามเนื้อได้ฟื้นตัว
* **ประคบเย็นหรือประคบร้อน:**
    * **ประคบเย็น:** ในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรกหลังเกิดอาการ เพื่อช่วยลดการอักเสบและอาการบวม
    * **ประคบร้อน:** หลังจาก 48 ชั่วโมง หรือเมื่ออาการบวมลดลงแล้ว การประคบร้อนจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตและคลายกล้ามเนื้อ
* **รับประทานยาแก้ปวด:** ยาแก้ปวดกลุ่มที่ไม่มีสเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) หรือนาพรอกเซน (Naproxen) สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดและลดการอักเสบได้
* **ยืดกล้ามเนื้อเบาๆ:** เมื่ออาการเจ็บดีขึ้นแล้ว ลองยืดกล้ามเนื้อบริเวณหน้าอกและลำตัวเบาๆ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและป้องกันการเกิดซ้ำ
* **วอร์มอัพและคูลดาวน์:** ก่อนออกกำลังกาย ควรวอร์มอัพร่างกายให้เพียงพอ และหลังออกกำลังกายควรคูลดาวน์ เพื่อเตรียมความพร้อมและลดความเครียดของกล้ามเนื้อ
* **ออกกำลังกายอย่างค่อยเป็นค่อยไป:** เพิ่มความเข้มข้นของการออกกำลังกายอย่างช้าๆ ไม่หักโหม เพื่อให้ร่างกายปรับตัวได้
* **จิบน้ำให้เพียงพอ:** โดยเฉพาะก่อนและระหว่างออกกำลังกาย เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำที่อาจทำให้เกิดอาการจุกเสียดได้

---

### เมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์

แม้ว่าอาการเจ็บซี่โครงส่วนใหญ่มักไม่อันตราย แต่ก็มีบางกรณีที่ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสม เช่น:

* **อาการปวดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หรือไม่ดีขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์**
* **มีอาการเจ็บซี่โครงร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น ไข้ ไอ หายใจลำบาก เจ็บหน้าอกรุนแรง ตัวเหลือง ตาเหลือง อ่อนเพลียผิดปกติ**
* **สงสัยว่าซี่โครงหักหรือร้าว** (เช่น มีประวัติการกระแทกรุนแรง)
* **มีอาการเจ็บซี่โครงที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวหรือการออกกำลังกาย**

หากคุณมีข้อสงสัยหรือกังวลเกี่ยวกับอาการเจ็บซี่โครงขวาหลังออกกำลังกาย แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยสาเหตุที่แท้จริงและรับคำแนะนำที่เหมาะสมนะคะ
--------------------------------------------------

อาการเจ็บซี่โครงขวาหลังออกกำลังกายอาจเกิดจากหลายสาเหตุ ทั้งจากกล้ามเนื้อ กระดูก หรืออวัยวะภายใน เช่น ตับหรือถุงน้ำดี วิธีการแก้ไขขึ้นอยู่กับสาเหตุ ดังนี้:

### **สาเหตุที่พบบ่อยและวิธีแก้ไข**
1. **กล้ามเนื้อหรือเอ็นอักเสบ** 
   - **สาเหตุ**: ยกของหนัก หายใจเร็วขณะออกกำลังกาย หรือออกแรงผิดท่า 
   - **อาการ**: เจ็บเวลาขยับตัว ไอ จาม หรือกดเจ็บจุดเดียว 
   - **แก้ไข**: 
     - พักการออกกำลังกาย 2–3 วัน 
     - ประคบร้อน/เย็นสลับกัน 
     - ทายาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs (เช่น ไอบูโพรเฟน) 

2. **กระดูกซี่โครงร้าวหรือบาดเจ็บ** 
   - **สาเหตุ**: อุบัติเหตุ或被กระแทก 
   - **อาการ**: เจ็บมากเวลาหายใจลึกๆ หรือกดเจ็บชัดเจน 
   - **แก้ไข**: 
     - หลีกเลี่ยงกิจกรรมหนัก 
     - ปรึกษาแพทย์เพื่อเอกซเรย์หากอาการไม่ดีขึ้นใน 1 สัปดาห์ 

3. **ปัญหาจากอวัยวะภายใน** 
   - **ตับหรือถุงน้ำดี**: เจ็บใต้ซี่โครงขวา ร้าวไปหลัง อาจมีคลื่นไส้/ตัวเหลือง 
   - **ปอด**: เจ็บเวลาหายใจ + อาจมีไข้/หายใจลำบาก (เช่น ภาวะเยื่อหุ้มปอดอักเสบ) 
   - **แก้ไข**: 
     - หากอาการรุนแรงหรือมีสัญญาณเตือน (ไข้สูง อาเจียน ตัวเหลือง) ควรรีบพบแพทย์ 

4. **การหายใจไม่ถูกต้อง** 
   - **สาเหตุ**: หายใจเร็วหรือตื้นขณะออกกำลังกาย ทำให้กล้ามเนื้อระหว่างซี่โครงทำงานหนัก 
   - **แก้ไข**: 
     - ฝึกหายใจลึกๆ โดยใช้กระบังลม (ท้องขยายเวลาหายใจเข้า) 

### **ข้อแนะนำเพิ่มเติม**
- **ปรับการออกกำลังกาย**: 
  - วอร์มอัพและยืดกล้ามเนื้อก่อน-หลังออกกำลังกาย 
  - หลีกเลี่ยงท่าที่ต้องบิดตัวหรือยกน้ำหนักมากเกินไป 
- **สังเกตอาการ**: 
  - หากปวดนานเกิน 1 สัปดาห์ หรือมีอาการอื่นๆ ร่วม (เช่น บวม แดง ร้อน) ให้พบแพทย์ 

หากอาการไม่ดีขึ้นหรือสงสัยว่ามีความผิดปกติของอวัยวะภายใน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจละเอียด (เช่น อัลตราซาวด์ หรือเลือด)
-------------------------------------------
#200
หาก Windows 10 บูตช้า มีหลายวิธีที่สามารถใช้เพื่อเร่งความเร็วในการบูตเครื่องได้ ดังนี้:

---

### ✅ 1. ปิดโปรแกรมเริ่มต้นอัตโนมัติ (Startup Programs)

* **ขั้นตอน:**

  1. กด `Ctrl + Shift + Esc` เพื่อเปิด Task Manager
  2. ไปที่แท็บ **Startup**
  3. คลิกขวาโปรแกรมที่ไม่จำเป็น แล้วเลือก **Disable**

---

### ✅ 2. ปิด Fast Startup แล้วเปิดใหม่

บางครั้ง Fast Startup ทำให้ระบบเกิดปัญหาบูตช้าได้

* **ขั้นตอน:**

  1. ไปที่ **Control Panel > Power Options**
  2. คลิก **Choose what the power buttons do**
  3. คลิก **Change settings that are currently unavailable**
  4. เอาเครื่องหมายถูกออกจาก **Turn on fast startup**
  5. บันทึก แล้วลองรีบูต

> *หากยังไม่เร็วขึ้น อาจลองเปิดฟีเจอร์นี้กลับอีกครั้งในภายหลัง*

---

### ✅ 3. ตรวจสอบไวรัส/มัลแวร์

มัลแวร์บางชนิดทำให้ระบบบูตช้า

* **แนะนำ:** ใช้ Windows Defender หรือโปรแกรมอย่าง Malwarebytes เพื่อสแกน

---

### ✅ 4. ตรวจสอบฮาร์ดดิสก์ (HDD vs SSD)

หากคุณยังใช้ **HDD (ฮาร์ดดิสก์)** อยู่:

* พิจารณาอัปเกรดเป็น **SSD** ซึ่งจะช่วยให้บูตเร็วขึ้นมาก

---

### ✅ 5. ปิดบริการที่ไม่จำเป็น (Windows Services)

* **คำเตือน:** ทำเฉพาะถ้าคุณมีประสบการณ์

  * พิมพ์ `msconfig` แล้วไปที่แท็บ **Services**
  * เลือก **Hide all Microsoft services**
  * ปิดบริการจากโปรแกรมภายนอกที่ไม่จำเป็น

---

### ✅ 6. อัปเดตไดรเวอร์ และ Windows

* ไปที่ **Settings > Update & Security** แล้วอัปเดตทั้งหมด

---

### ✅ 7. ตรวจสอบสุขภาพของดิสก์

* เปิด Command Prompt แล้วพิมพ์:

  ```bash
  chkdsk /f /r
  ```

  แล้วรีสตาร์ทตามคำแนะนำ

---

### ✅ 8. ใช้ฟีเจอร์ "Clean Boot"

* เพื่อตรวจสอบว่าโปรแกรมใดทำให้บูตช้า

  * พิมพ์ `msconfig` > แท็บ **General** > เลือก **Selective startup** และปิดโหลด Startup items
  * รีสตาร์ทเพื่อทดสอบ

---

หากต้องการ ผมสามารถแนะนำวิธีเป็นลำดับขั้นแบบเหมาะกับเครื่องของคุณ เช่น เครื่องรุ่นเก่า/ใหม่ มี SSD หรือไม่ — แจ้งข้อมูลเพิ่มเติมได้นะครับ เช่น:

* ใช้ SSD หรือ HDD?
* เครื่องเริ่มช้าตั้งแต่เมื่อไหร่?
* มีเสียงผิดปกติหรืออาการอื่นๆ หรือไม่?
------------------------------------------------------