• Welcome to จั่นเจาดอทคอม ถามตอบ คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต Forex MT4 MT5 เทรดทอง .
 

News:

Exness ลงทะเบียนระบบใหม่ ใส่รหัสพาร์ทเนอร์ 73208
https://www.exness.com/boarding/sign-up/a/73208?lng=th
1. เลือกประเทศ ไทย
2. อีเมล์จริงของคุณ
3. รหัสผ่าน
* รหัสผ่านต้องมีความยาว 8-15 ตัว
* ใช้ทั้งอักษรตัวพิมพ์ใหญ่และตัวพิมพ์เล็ก
* ใช้ทั้งตัวเลขและตัวอักษรภาษาอังกฤษ
* ห้ามใช้อักขระพิเศษ (!@#$%^&*., และอื่นๆ)
4. ใส่รหัสพาร์ทเนอร์ 73208
---------------------------------------------------------
exness เปิดบัญชีลูกค้าใหม่ 4-31 มี.ค. 2568 รับโบนัท Rebate
เงินคืนจากการเทรด EURUSD 1 Lot Rebate 1.5 USD  ,
Gold 1 Lot  Rebate 2.80 USD , BTCUSD 1 Lot Rebate 5.74 USD
เปิดบัญชี Standard ได้ที่ https://exness.com/intl/th/a/73208
แจ้ง ID ที่เปิด ได้ที่ Line : junjaocom

Main Menu

Recent posts

#11
junjao.com มารับรางวัล exness long service  IB ที่ดูแลลูกค้ายาวนาน

เปิดตัวระบบหลังบ้านใหม่ มีงานเลี้ยงและคอนเสิร์ตให้ดู

เปิดบัญชี Standard ได้ที่ https://exness.com/intl/th/a/73208
#12
"บัตรประชาชนไทย ชาวดอย" เป็นคำที่มักใช้เรียก **บัตรประจำตัวประชาชนประเภทที่ออกให้แก่กลุ่มชาติพันธุ์หรือกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูง** (หรือที่คนทั่วไปเรียกว่า "ชาวดอย") ซึ่งมีสถานะทางกฎหมายแตกต่างจากคนไทยทั่วไปในบางกรณี ขอสรุปแบบชัดเจนดังนี้:

---

## 🔍 ความหมายของ "บัตรประชาชนไทย ชาวดอย"

คำว่า "บัตรชาวดอย" มักหมายถึง **บัตรประจำตัวที่ออกให้แก่คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่สูง เช่น ชาวเขาเผ่าต่าง ๆ** ที่ยังไม่ได้รับสถานะเป็น "คนไทยโดยสมบูรณ์" ตามกฎหมายสัญชาติไทย แต่มีสิทธิอาศัยในประเทศไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

---

## 📌 ประเภทของบัตรที่เกี่ยวข้อง

### 1. **บัตรประจำตัวประชาชน (บัตรประชาชนสีน้ำเงิน)**

* สำหรับ **ผู้ที่มีสัญชาติไทยโดยกำเนิด**
* มีสิทธิเลือกตั้ง และสิทธิพลเมืองเต็มรูปแบบ

### 2. **บัตรประจำตัวบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน (บัตรคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย)**

เช่น "บัตรเลข 0", "บัตรเลข 6", "บัตรเลข 7" (ขึ้นอยู่กับหลักเกณฑ์ของกรมการปกครอง)

* สำหรับกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูง หรือคนไร้สัญชาติที่อยู่ในประเทศไทยมานาน
* สามารถอาศัยอยู่ได้อย่างถูกกฎหมาย
* มีสิทธิเข้ารับการรักษาพยาบาล การศึกษา แต่ **ไม่มีสิทธิเลือกตั้ง**

> กลุ่มนี้บางคนอาจถือ "บัตรสีชมพู" หรือ "บัตรสีเขียว" ซึ่งระบุชัดเจนว่า "ไม่ใช่คนไทย แต่ได้รับอนุญาตให้อาศัยอยู่"

---

## ✅ สิทธิและข้อจำกัด

| ประเด็น                     | ชาวดอยที่มีบัตรประชาชนแบบไทยเต็มรูปแบบ | ชาวดอยที่ถือบัตรเลข 0/6/7 หรือบัตรไม่มีสัญชาติ |
| --------------------------- | -------------------------------------- | ---------------------------------------------- |
| สิทธิเลือกตั้ง              | ✅ ได้                                  | ❌ ไม่ได้                                       |
| เข้ารับการศึกษา             | ✅ ได้                                  | ✅ ได้ (ตามนโยบายรัฐ)                           |
| เดินทางข้ามจังหวัด          | ✅ ได้                                  | ⛔ ต้องขออนุญาต (ในบางกรณี)                     |
| ทำงานอย่างถูกกฎหมาย         | ✅ ได้                                  | ⚠ ได้ในบางกรณี (ต้องขอใบอนุญาตแรงงาน)          |
| รับบริการรัฐ (เช่น บัตรทอง) | ✅ ได้                                  | ⚠ ได้บางบริการ                                 |

---

## 🧭 สรุป

"บัตรประชาชนไทย ชาวดอย" จึงเป็นคำที่ใช้เรียกแบบไม่เป็นทางการ หมายถึงคนกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่สูง ที่มีสถานะทางทะเบียนแบบพิเศษ เช่น

* บางคนมีสัญชาติไทยแล้ว
* บางคนยังไม่มี แต่ได้รับสิทธิพิเศษในการอยู่ในประเทศ

หากคุณต้องการทราบว่าคุณหรือใครบางคนถือบัตรประเภทไหน หรือมีสิทธิอะไร สามารถตรวจสอบได้ที่ **ที่ว่าการอำเภอ** หรือ **สำนักงานทะเบียนราษฎร** ใกล้บ้าน

-------------------------------------------------
#13
ความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคน โดยเฉพาะในเชิงความรักหรือการคบกัน มีหลายรูปแบบมาก และสามารถจำแนกได้ตามลักษณะของความสัมพันธ์ ความตั้งใจ หรือระดับของความผูกพัน โดยหลัก ๆ แล้วสามารถแบ่งออกได้เป็นหมวดหมู่ดังนี้:

---

### 💞 1. ความสัมพันธ์แบบโรแมนติก (Romantic Relationship)

* **คบกันเป็นแฟน (Dating/Committed Relationship)**
  คบหาดูใจ มีความรัก ความห่วงใย ต้องการใช้ชีวิตร่วมกันในอนาคต

* **คบกันแบบเปิด (Open Relationship)**
  คบกันแต่อนุญาตให้มีความสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ โดยตกลงร่วมกันอย่างชัดเจน

* **คบกันแบบไม่ผูกมัด (Casual Relationship)**
  มีความสัมพันธ์กันทางกายหรืออารมณ์บ้าง แต่ไม่มีข้อผูกมัดทางใจหรืออนาคตร่วมกัน

* **รักเดียวใจเดียว (Monogamy)**
  คบกันแค่สองคน ไม่มีความสัมพันธ์กับผู้อื่น เป็นที่นิยมในสังคมส่วนใหญ่

* **รักหลายคนแบบเปิดเผย (Polyamory)**
  มีความรักกับหลายคนพร้อมกันโดยทุกคนรู้และยินยอม

---

### ❤️�🔥 2. ความสัมพันธ์เชิงกาย (Sexual/Physical Relationship)

* **Friends with Benefits (FWB)**
  เป็นเพื่อนกันแต่มีความสัมพันธ์ทางเพศ ไม่มีความรักหรือความผูกพันทางใจ

* **One-night Stand**
  ความสัมพันธ์ทางกายชั่วคราวโดยไม่มีความตั้งใจคบหาต่อ

---

### 🧡 3. ความสัมพันธ์ทางอารมณ์หรือมิตรภาพ (Emotional/Platonic Relationship)

* **เพื่อนสนิท (Close Friends / Best Friends)**
  ไม่มีความรักเชิงชู้สาว แต่มีความห่วงใยและไว้ใจกันลึกซึ้ง

* **Platonic Love**
  ความรักแบบไม่ต้องการความสัมพันธ์ทางเพศ เช่น ความรักแบบเพื่อนสนิทหรือพี่น้อง

---

### 🌀 4. ความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจน (Situationship / Undefined)

* **สถานะคุยกัน (Talking Stage)**
  อยู่ระหว่างเริ่มทำความรู้จัก ยังไม่ชัดว่าจะคบจริงจังหรือไม่

* **คบกันแต่ไม่เรียกแฟน (Almost Relationship)**
  มีทุกอย่างเหมือนคู่รัก แต่ไม่มีการยืนยันสถานะ

---

### 💔 5. ความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ (Toxic Relationship)

* มีการควบคุม บังคับ ข่มขู่ ใช้อารมณ์ หรือความไม่เท่าเทียมกัน
* ส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตและร่างกาย

---

### 🧩 สรุป:

ความสัมพันธ์ไม่ได้มีแค่ "เป็นแฟน" หรือ "ไม่เป็นแฟน" เท่านั้น แต่มีหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับข้อตกลง ความพอใจ และการสื่อสารของทั้งสองฝ่าย ความชัดเจนและความซื่อสัตย์เป็นกุญแจสำคัญในการทำให้ความสัมพันธ์มีความสุข
-----------------------------------------------------

ความสัมพันธ์ในแง่ของการคบกันมีหลากหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับบริบททางสังคม วัฒนธรรม และความต้องการของบุคคลที่เกี่ยวข้อง ดังนี้คือประเภทหลัก ๆ ของความสัมพันธ์ พร้อมคำอธิบายสั้น ๆ:

1. **ความสัมพันธ์แบบโรแมนติก (Romantic Relationship)** 
   - การคบกันในฐานะคู่รักที่มีความรักและความผูกพันทางอารมณ์ มักมีความคาดหวังเรื่องความใกล้ชิดทั้งทางกายและใจ 
   - ตัวอย่าง: คู่รักที่ออกเดต คู่หมั้น หรือคู่แต่งงาน 
   - ลักษณะ: มีความผูกพันทางอารมณ์ การให้เกียรติ และอาจมีเป้าหมายระยะยาว เช่น การแต่งงาน

2. **ความสัมพันธ์แบบเพื่อนสนิท (Platonic Relationship)** 
   - การคบกันในฐานะเพื่อนที่สนิทสนม โดยไม่มีเรื่องโรแมนติกหรือความสัมพันธ์ทางเพศเข้ามาเกี่ยวข้อง 
   - ตัวอย่าง: เพื่อนสนิทที่ไว้ใจและแบ่งปันเรื่องราวในชีวิต 
   - ลักษณะ: มุ่งเน้นมิตรภาพ ความเข้าใจ และการสนับสนุน

3. **ความสัมพันธ์แบบชั่วคราว/ไม่ผูกมัด (Casual Relationship)** 
   - การคบกันแบบไม่จริงจัง อาจเน้นความสนุกสนานหรือความสัมพันธ์ทางกาย โดยไม่คาดหวังความผูกพันระยะยาว 
   - ตัวอย่าง: การเดตแบบไม่ผูกมัด (Casual Dating) หรือ Friends with Benefits 
   - ลักษณะ: มีข้อตกลงชัดเจนว่าไม่คาดหวังความสัมพันธ์ระยะยาว

4. **ความสัมพันธ์แบบเปิด (Open Relationship)** 
   - ความสัมพันธ์ที่ทั้งสองฝ่ายตกลงว่าสามารถมีความสัมพันธ์โรแมนติกหรือทางเพศกับผู้อื่นได้ 
   - ตัวอย่าง: คู่รักที่ตกลงให้ทั้งสองฝ่ายออกเดตกับคนอื่น 
   - ลักษณะ: ต้องการความโปร่งใสและการสื่อสารที่ดี

5. **ความสัมพันธ์ระยะยาว (Long-term Relationship)** 
   - การคบกันที่มีเป้าหมายเพื่อสร้างอนาคตร่วมกัน เช่น การแต่งงานหรือใช้ชีวิตคู่ 
   - ตัวอย่าง: คู่รักที่อยู่ด้วยกันนานหลายปี หรือคู่แต่งงาน 
   - ลักษณะ: เน้นความมั่นคง ความไว้วางใจ และการวางแผนอนาคต

6. **ความสัมพันธ์ระยะไกล (Long-distance Relationship)** 
   - ความสัมพันธ์ที่คู่รักอยู่ห่างกันทางภูมิศาสตร์ แต่ยังรักษาความสัมพันธ์ผ่านการสื่อสาร 
   - ตัวอย่าง: คู่รักที่อยู่คนละจังหวัดหรือประเทศ 
   - ลักษณะ: ต้องใช้ความพยายามในการสื่อสารและความไว้ใจสูง

7. **ความสัมพันธ์แบบหลายคน (Polyamory)** 
   - ความสัมพันธ์ที่บุคคลหนึ่งคบหากับหลายคนพร้อมกัน โดยทุกฝ่ายยินยอมและตกลงกัน 
   - ตัวอย่าง: ความสัมพันธ์ที่มีมากกว่าสองคนในลักษณะรักสามเส้า 
   - ลักษณะ: ต้องมีการสื่อสารและเคารพข้อตกลงของทุกฝ่าย

8. **ความสัมพันธ์แบบเพื่อผลประโยชน์ (Transactional Relationship)** 
   - การคบกันที่มุ่งเน้นผลประโยชน์ เช่น การเงิน สถานะ หรือความสะดวกสบาย 
   - ตัวอย่าง: การคบเพื่อผลประโยชน์ทางการเงินหรือสถานะทางสังคม 
   - ลักษณะ: มักขาดความผูกพันทางอารมณ์

### ปัจจัยที่มีผลต่อความสัมพันธ์
- **การสื่อสาร**: การพูดคุยอย่างเปิดเผยและซื่อสัตย์เป็นหัวใจสำคัญของทุกความสัมพันธ์ 
- **ความไว้วางใจ**: ความเชื่อใจเป็นรากฐานที่ทำให้ความสัมพันธ์ยั่งยืน 
- **ความเคารพ**: การให้เกียรติและยอมรับความแตกต่างของอีกฝ่าย 
- **เป้าหมายร่วม**: ความสัมพันธ์ที่ชัดเจนในทิศทางและเป้าหมายมีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่า 
-----------------------------------------------------------

---
## ประเภทของความสัมพันธ์

ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลมีหลากหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับลักษณะการเชื่อมโยง ความผูกพัน และวัตถุประสงค์ของการคบหา โดยหลักๆ แล้วสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภท ดังนี้:

### 1. ความสัมพันธ์แบบเพื่อน (Friendship)
เป็นความสัมพันธ์ที่เกิดจากความชอบพอ ความเข้าใจ และความห่วงใยซึ่งกันและกัน มีระดับความสนิทสนมที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่เพื่อนร่วมงาน เพื่อนสนิท เพื่อนวัยเด็ก ไปจนถึงเพื่อนตาย ความสัมพันธ์แบบเพื่อนมักเน้นที่การสนับสนุนทางอารมณ์ การแบ่งปันประสบการณ์ และการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน

### 2. ความสัมพันธ์แบบคนรัก/โรแมนติก (Romantic Relationship)
เป็นความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและซับซ้อน มักเกี่ยวข้องกับความดึงดูดทางอารมณ์ ร่างกาย และจิตใจ มีความผูกพันที่มากกว่าเพื่อน มุ่งเน้นการสร้างชีวิตร่วมกัน มีความคาดหวังในเรื่องความซื่อสัตย์ ความเข้าใจ และการเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตกันและกัน ความสัมพันธ์แบบโรแมนติกสามารถพัฒนาไปสู่การแต่งงานและการสร้างครอบครัวได้

### 3. ความสัมพันธ์แบบครอบครัว (Family Relationship)
เป็นความสัมพันธ์ที่ผูกพันกันทางสายเลือด หรือผ่านการสมรส/การรับเลี้ยงบุตรบุญธรรม เป็นความสัมพันธ์ที่มีความสำคัญพื้นฐานต่อการดำรงชีวิตและพัฒนาการของบุคคล ครอบครัวเป็นรากฐานของการเรียนรู้ ค่านิยม และการสนับสนุน ความสัมพันธ์ในครอบครัวได้แก่ พ่อแม่ลูก พี่น้อง ปู่ย่าตายาย ลุงป้าน้าอา เป็นต้น

### 4. ความสัมพันธ์แบบเพลย์บอย/เพลย์เกิร์ล (Casual/No Strings Attached)
เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ผูกมัดหรือไม่มีข้อผูกมัดใดๆ มักเกิดขึ้นเพื่อความสนุกสนาน การตอบสนองความต้องการทางเพศ หรือเพื่อคลายเหงา โดยที่ทั้งสองฝ่ายเข้าใจตรงกันว่าจะไม่มีการพัฒนาไปสู่ความสัมพันธ์ที่จริงจังหรือผูกพันทางอารมณ์

### 5. ความสัมพันธ์แบบผลประโยชน์ (Transactional/Beneficial Relationship)
เป็นความสัมพันธ์ที่เกิดจากความต้องการผลประโยชน์ร่วมกัน โดยอาจจะเป็นผลประโยชน์ทางการเงิน สังคม หรือสถานะ มักจะไม่เน้นความผูกพันทางอารมณ์ แต่เน้นที่การบรรลุเป้าหมายที่ต้องการร่วมกัน

### 6. ความสัมพันธ์แบบไม่ถูกต้อง/ความสัมพันธ์ซับซ้อน (Complicated Relationship)
เป็นความสัมพันธ์ที่มีลักษณะไม่ชัดเจน มีความผูกพันทางอารมณ์แต่ไม่สามารถระบุสถานะได้ หรือเป็นความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในสถานการณ์ที่ละเอียดอ่อน เช่น ความสัมพันธ์นอกใจ การเป็นชู้ หรือการมีความรู้สึกที่ดีต่อกันแต่ไม่สามารถคบกันได้ด้วยเหตุผลบางประการ

------------------------------------------------------

ความสัมพันธ์หรือการคบกันระหว่างบุคคลสามารถแบ่งออกได้หลายแบบ ขึ้นอยู่กับลักษณะและวัตถุประสงค์ของความสัมพันธ์ ซึ่งสามารถจำแนกได้ดังนี้: 

### **1. แบ่งตามรูปแบบความสัมพันธ์** 
- **ความสัมพันธ์แบบเพื่อน (Friendship)** 
  - เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่มีเงื่อนไข มุ่งเน้นการสนับสนุนและเข้าใจกัน 
  - อาจเป็นเพื่อนสนิท, เพื่อนร่วมงาน, เพื่อนเรียน 

- **ความสัมพันธ์แบบรักโรแมนติก (Romantic Relationship)** 
  - มีความรัก ความผูกพันทางอารมณ์ และมักมีความสัมพันธ์ทางกายภาพ 
  - อาจเป็นแฟน คู่รัก คู่สมรส 

- **ความสัมพันธ์แบบครอบครัว (Family Relationship)** 
  - เป็นความสัมพันธ์ทางสายเลือดหรือการแต่งตั้ง เช่น พ่อแม่-ลูก พี่น้อง 

- **ความสัมพันธ์แบบเพื่อนร่วมงาน (Professional/Work Relationship)** 
  - เป็นความสัมพันธ์ในที่ทำงาน ไม่เน้นความใกล้ชิดส่วนตัว 

### **2. แบ่งตามรูปแบบการคบหา** 
- **ความสัมพันธ์แบบเปิด (Open Relationship)** 
  - คู่รักยินยอมให้มีความสัมพันธ์กับคนอื่นได้ โดยมีกติการ่วมกัน 

- **ความสัมพันธ์แบบเอกสิทธิ์ (Exclusive Relationship/Monogamy)** 
  - คู่รักมีเพียงกันและกัน ไม่มีความสัมพันธ์กับคนอื่น 

- **ความสัมพันธ์ระยะสั้น (Casual Relationship/Fling)** 
  - ไม่ผูกมัดระยะยาว อาจเน้นความสนุกหรือการทดลอง 

- **ความสัมพันธ์ระยะยาว (Long-term Relationship)** 
  - มุ่งสู่การสร้างชีวิตคู่หรือการแต่งงาน 

- **ความสัมพันธ์แบบเพื่อนคบหาดูใจ (Friends with Benefits - FWB)** 
  - มีความสัมพันธ์ทางกายภาพแต่ไม่ผูกมัดด้านความรู้สึก 

### **3. แบ่งตามรูปแบบการสื่อสารและพฤติกรรม** 
- **ความสัมพันธ์ที่ดี (Healthy Relationship)** 
  - มีความไว้ใจ เคารพซึ่งกันและกัน สื่อสารได้ดี 

- **ความสัมพันธ์ที่มีพิษ (Toxic Relationship)** 
  - มีการควบคุม, เอาเปรียบ, หรือทำร้ายจิตใจกัน 

- **ความสัมพันธ์แบบพึ่งพา (Codependent Relationship)** 
  - คู่关系中一方หรือทั้งสองฝ่ายพึ่งพาอีกฝ่ายมากเกินไป 

- **ความสัมพันธ์แบบห่างๆ (Long-distance Relationship - LDR)** 
  - คู่รักที่อยู่กันคนละสถานที่ 

### **4. แบ่งตามเพศวิถีและความหลากหลายทางเพศ** 
- **ความสัมพันธ์异性恋 (Heterosexual Relationship)** 
- **ความสัมพันธ์同性恋 (Homosexual Relationship)** 
- **ความสัมพันธ์双性恋/泛性恋 (Bisexual/Pansexual Relationship)** 
- **ความสัมพันธ์无性恋 (Asexual Relationship)** 

แต่ละแบบมีความแตกต่างกันในเรื่องของความคาดหวัง กฎเกณฑ์ และระดับความใกล้ชิด การเข้าใจรูปแบบความสัมพันธ์ช่วยให้เราสามารถจัดการกับความสัมพันธ์ของตัวเองได้ดีขึ้นค่ะ 💖 

----------------------------------------------------


#14
เขาทราย แกแล็คซี่ (Khaosai Galaxy) เป็นนักมวยชาวไทยผู้ยิ่งใหญ่ในอดีต แชมป์โลก WBA รุ่นซูเปอร์แบนตัมเวต ผู้เป็นตำนานของวงการมวยไทยและมวยโลก นอกจากฝีมือการชกแล้ว เขายังเป็นที่จดจำในเรื่องบุคลิกนิ่ง สุภาพ และมีวาทะเด็ด ๆ ที่เป็นเอกลักษณ์อีกด้วย

แม้ว่าเขาทรายจะไม่ได้เป็นนักพูดมากนัก แต่ก็มีคำพูดบางคำที่แฟน ๆ มวยและสื่อมวลชนจดจำได้ เช่น:

---

### 🔥 คำคม / วาทะเด็ดของเขาทราย

1. **"ชกมวยต้องซ้อม ซ้อมให้หนัก แล้วเวลาขึ้นเวทีจะได้ไม่กลัวใคร"**

   * สะท้อนแนวคิดแบบนักสู้ที่ให้ความสำคัญกับการฝึกซ้อมมากกว่าความมั่นใจลม ๆ แล้ง ๆ

2. **"ผมไม่เก่ง แต่ผมซ้อมหนักกว่าคนอื่น"**

   * เป็นคำพูดที่แสดงถึงความถ่อมตัว และความเชื่อในพลังของความพยายามมากกว่าพรสวรรค์

3. **"คนที่เก่งที่สุด ไม่ใช่คนที่ชนะทุกครั้ง แต่เป็นคนที่ไม่ยอมแพ้"**

   * วาทะปลุกใจ ที่ให้แรงบันดาลใจทั้งในและนอกเวที

4. **"เขาทรายไม่ใช่นักมวยที่ดีที่สุด แต่ผมพยายามเต็มที่เสมอ"**

   * แสดงถึงจิตใจนักสู้ และความจริงใจในคำพูด

5. **"ชีวิตนักมวย ถ้าไม่ล้ม ก็ต้องลุก"**

   * สะท้อนแนวคิดการไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค

---

### ✨ แรงบันดาลใจจากเขาทราย

แม้จะไม่ได้มีคำคมมากมายแบบนักพูดอาชีพ แต่เขาทรายคือแบบอย่างของความมีวินัย ความพยายาม และความถ่อมตัว จึงทำให้คำพูดสั้น ๆ ของเขานั้นทรงพลัง เพราะมาจากการลงมือทำจริงและประสบการณ์จริง

-------------------------------------------
#15
สมาคมนักวิทยุและโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (สวทท.)
ร่วมกับ สถาบันอบรมเทรนแอนด์มีเดีย
เปิดอบรมหลักสูตร Young MC "พิธีกรรุ่นเยาว์" 
วันที่ 21-22 มิถุนายน 2568   
สถานที่ฝึกอบรม : ห้องประชุมใหญ่สวทท. พหลโยธิน7 (ซอยอารีย์) พญาไท กรุงเทพฯ
รับผู้เข้าอบรม เยาวชนอายุ 11-18 ปี ระดับ (ป.5-ม.6) ประถมปลาย-มัธยมปลาย  20 คน ต่อรุ่น
สมัครออนไลน์  : https://forms.gle/QWdkZ3Aav6htvSR56
ค่าลงทะเบียน ตลอดหลักสูตร 4,900 บาท (สี่พันเก้าร้อยบาทถ้วน)
ชื่อบัญชี สมาคมนักวิทยุและโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ 
ธนาคารกรุงไทย  เลขที่ 184-0-11662-5  สาขา กรมสรรพากร

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่   >>>สมาคมนักวิทยุและโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (สวทท.)
พหลโยธิน 7 ซอยอารีย์ กรุงเทพฯ  โทร.02-278-5665 และ 02-278-5670  สายด่วน 092-156-9545   
Facebook  : สมาคมนักวิทยุและโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์   
ติดต่อผ่านทาง  Line Id : 0646862497 
หรือติดต่อ สถาบันอบรม เทรน แอนด์ มีเดีย โทร. 06-2293-6239 <<<
#17
โรคซึมเศร้า (Depression) เป็นโรคทางอารมณ์ที่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อความรู้สึก ความคิด และพฤติกรรมของบุคคล สาเหตุของโรคซึมเศร้ามีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้องกันทั้งทางชีวภาพ จิตใจ และสิ่งแวดล้อม โดยสามารถแบ่งออกเป็น 3 ปัจจัยหลัก ๆ ดังนี้:

---

### 🔍 **สาเหตุของโรคซึมเศร้า**

1. **ปัจจัยทางชีวภาพ (Biological factors)**

   * ความไม่สมดุลของสารสื่อประสาทในสมอง เช่น เซโรโทนิน (serotonin), โดพามีน (dopamine)
   * กรรมพันธุ์: มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคซึมเศร้าหรือโรคจิตเวชอื่น
   * การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ช่วงหลังคลอด หรือวัยหมดประจำเดือน

2. **ปัจจัยทางจิตใจ (Psychological factors)**

   * บุคลิกภาพ เช่น คนที่มองโลกในแง่ร้าย ขาดความมั่นใจในตนเอง
   * ประสบการณ์ในอดีต เช่น การถูกล่วงละเมิด การสูญเสีย หรือความรุนแรงในครอบครัว

3. **ปัจจัยทางสังคมและสิ่งแวดล้อม (Social/Environmental factors)**

   * ความเครียดเรื้อรัง เช่น ปัญหาการเงิน ความสัมพันธ์ หรือการทำงาน
   * การขาดการสนับสนุนทางสังคม เช่น การอยู่คนเดียวหรือการโดนกีดกันทางสังคม

---

### ✅ **วิธีการรักษาและแก้ไขโรคซึมเศร้า**

1. **การใช้ยา (Medication)**

   * ยาต้านเศร้า (Antidepressants) เช่น SSRIs, SNRIs
   * ต้องได้รับการจ่ายและติดตามอาการจากจิตแพทย์โดยเฉพาะ

2. **การบำบัดทางจิต (Psychotherapy)**

   * การบำบัดความคิดและพฤติกรรม (CBT)
   * การบำบัดแบบจิตวิเคราะห์ (Psychodynamic therapy)
   * การให้คำปรึกษา (Counseling)

3. **การปรับพฤติกรรมและวิถีชีวิต**

   * ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เช่น เดิน วิ่ง โยคะ
   * นอนหลับให้เพียงพอ และรักษารูปแบบการนอนให้สม่ำเสมอ
   * หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ ยาเสพติด และคาเฟอีนมากเกินไป
   * สร้างกิจวัตรประจำวันที่ดี และมีเป้าหมายเล็ก ๆ ที่ทำได้ทุกวัน

4. **การสนับสนุนจากคนรอบข้าง**

   * การพูดคุยกับครอบครัวหรือเพื่อน
   * การเข้าร่วมกลุ่มช่วยเหลือ หรือกลุ่มสนับสนุนผู้มีภาวะซึมเศร้า

---

### 🆘 คำแนะนำเพิ่มเติม

หากคุณหรือคนใกล้ตัวมีอาการ เช่น เศร้าต่อเนื่อง ไม่มีแรงจูงใจ อยากตาย หรือคิดทำร้ายตนเอง ควร **พบจิตแพทย์ทันที** เพราะโรคนี้สามารถรักษาให้ดีขึ้นหรือหายได้ หากได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม

--------------------------------------------------------------

### สาเหตุของโรคซึมเศร้า
โรคซึมเศร้า (Depression) มีสาเหตุที่ซับซ้อนและมักเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน ได้แก่:

1. **ปัจจัยทางชีววิทยา**:
   - **ความไม่สมดุลของสารเคมีในสมอง**: สารสื่อประสาท เช่น เซโรโทนิน (Serotonin), โดปามีน (Dopamine) และนอร์อิพิเนฟริน (Norepinephrine) มีบทบาทสำคัญในการควบคุมอารมณ์ หากระดับสารเหล่านี้ผิดปกติ อาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้า
   - **พันธุกรรม**: หากมีประวัติครอบครัวเป็นโรคซึมเศร้า ความเสี่ยงจะสูงขึ้น
   - **การเปลี่ยนแปลงของสมอง**: ความผิดปกติในโครงสร้างหรือการทำงานของสมอง เช่น ในส่วนของฮิปโปแคมปัสหรืออะมิกดาลา อาจเกี่ยวข้อง

2. **ปัจจัยทางจิตใจ**:
   - **ความเครียดเรื้อรัง**: เช่น ปัญหาการเงิน ความสัมพันธ์ หรือการสูญเสียคนใกล้ชิด
   - **บุคลิกภาพ**: คนที่มีแนวโน้มคิดลบ มองโลกในแง่ร้าย หรือมีปัญหาเรื่องความนับถือตนเอง อาจเสี่ยงมากขึ้น
   - **ประสบการณ์ในวัยเด็ก**: การถูกทารุณกรรม ละเลย หรือเผชิญเหตุการณ์สะเทือนใจในวัยเด็ก

3. **ปัจจัยทางสังคมและสิ่งแวดล้อม**:
   - **ความโดดเดี่ยว**: การขาดการสนับสนุนทางสังคมหรือความสัมพันธ์ที่ดี
   - **เหตุการณ์ในชีวิต**: เช่น การหย่าร้าง การสูญเสียงาน หรือการเจ็บป่วยร้ายแรง
   - **การใช้สารเสพติด**: แอลกอฮอล์หรือยาเสพติดอาจกระตุ้นหรือทำให้อาการแย่ลง

4. **โรคหรือภาวะอื่น ๆ**:
   - โรคเรื้อรัง เช่น มะเร็ง เบาหวาน หรือโรคหัวใจ
   - ภาวะฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง เช่น หลังคลอดหรือวัยหมดประจำเดือน

---

### วิธีการแก้ไขและรักษาโรคซึมเศร้า
การรักษาโรคซึมเศร้ามักต้องใช้วิธีการที่หลากหลายและปรับให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ดังนี้:

1. **การรักษาทางการแพทย์**:
   - **ยาต้านซึมเศร้า**: เช่น SSRIs (Selective Serotonin Reuptake Inhibitors) เช่น Fluoxetine หรือ Sertraline ซึ่งช่วยปรับสมดุลสารเคมีในสมอง ต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์
   - **การบำบัดด้วยไฟฟ้า (ECT)**: ใช้ในกรณีรุนแรงที่ไม่ตอบสนองต่อยา โดยกระตุ้นสมองด้วยไฟฟ้าขณะผู้ป่วยอยู่ภายใต้การดมยาสลบ
   - **การกระตุ้นสมองด้วยวิธีอื่น**: เช่น Transcranial Magnetic Stimulation (TMS) สำหรับผู้ที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยา

2. **จิตบำบัด (Psychotherapy)**:
   - **Cognitive Behavioral Therapy (CBT)**: ช่วยปรับเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรมเชิงลบ
   - **Interpersonal Therapy (IPT)**: เน้นการแก้ไขปัญหาความสัมพันธ์และการสื่อสาร
   - **Psychodynamic Therapy**: สำรวจความขัดแย้งในจิตใจที่อาจเป็นรากเหง้าของอาการ

3. **การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต**:
   - **ออกกำลังกายสม่ำเสมอ**: การออกกำลังกาย เช่น วิ่ง เดิน หรือโยคะ ช่วยเพิ่มระดับสารเอ็นดอร์ฟินและเซโรโทนิน
   - **รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ**: อาหารที่มีโอเมก้า-3 วิตามินบี และแมกนีเซียมอาจช่วย
   - **นอนหลับให้เพียงพอ**: การนอนที่มีคุณภาพช่วยลดอาการได้
   - **หลีกเลี่ยงสารเสพติด**: เช่น แอลกอฮอล์และยาเสพติด

4. **การสนับสนุนทางสังคม**:
   - **พูดคุยกับคนที่ไว้ใจ**: การแบ่งปันความรู้สึกกับเพื่อน ครอบครัว หรือกลุ่มสนับสนุน
   - **เข้าร่วมกลุ่มบำบัด**: การพบปะผู้ที่มีประสบการณ์คล้ายกันช่วยลดความรู้สึกโดดเดี่ยว

5. **การจัดการความเครียด**:
   - **ฝึกสติ (Mindfulness) และการทำสมาธิ**: ช่วยให้จิตใจสงบและลดความคิดลบ
   - **หากิจกรรมที่ชอบ**: เช่น งานอดิเรก ศิลปะ หรือการฟังเพลง เพื่อเพิ่มความสุข

6. **การรักษาด้วยวิธีธรรมชาติ**:
   - **สมุนไพรหรืออาหารเสริม**: เช่น St. John's Wort หรือวิตามินดี (ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้)
   - **การได้รับแสงแดด**: การสัมผัสแสงแดดช่วยเพิ่มระดับเซโรโทนิน

---

### คำแนะนำเพิ่มเติม
- **ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ**: หากสงสัยว่าตนเองหรือคนใกล้ชิดมีอาการซึมเศร้า ควรพบจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาเพื่อประเมินและวางแผนการรักษา
- **อย่าปล่อยไว้**: โรคซึมเศร้าไม่ใช่เรื่องอ่อนแอหรือน่าอาย การรักษาแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้หายเร็วขึ้น
- **สายด่วนช่วยเหลือ**: ในประเทศไทย สามารถติดต่อ **สายด่วนสุขภาพจิต 1323** หรือ **ศูนย์ช่วยเหลือสังคม 1300** หากต้องการความช่วยเหลือด่วน

---------------------------------------------

โรคซึมเศร้าไม่ได้มีสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งโดยเฉพาะ แต่เกิดจากปัจจัยหลายอย่างทำงานร่วมกัน ทั้งปัจจัยทางชีวภาพ จิตใจ และสังคม

**สาเหตุของโรคซึมเศร้า:**

* **ปัจจัยทางชีวภาพ:**
    * **ความไม่สมดุลของสารสื่อประสาทในสมอง:** สารเคมีในสมอง เช่น ซีโรโทนิน นอร์เอพิเนฟริน และโดปามีน มีบทบาทสำคัญในการควบคุมอารมณ์ ความผิดปกติของสารเหล่านี้อาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้า
    * **พันธุกรรม:** ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคซึมเศร้ามีความเสี่ยงสูงกว่าในการเกิดโรคนี้
    * **การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างและการทำงานของสมอง:** มีการศึกษาพบว่าผู้ป่วยโรคซึมเศร้าอาจมีการเปลี่ยนแปลงในบางส่วนของสมอง
    * **ความผิดปกติของฮอร์โมน:** การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย เช่น หลังคลอดบุตร หรือภาวะไทรอยด์ผิดปกติ อาจเกี่ยวข้องกับโรคซึมเศร้า
    * **โรคทางกาย:** โรคเรื้อรังบางชนิด เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดสมอง หรือโรคมะเร็ง อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคซึมเศร้า

* **ปัจจัยทางจิตใจ:**
    * **ความคิดเชิงลบ:** การมองโลกในแง่ร้าย การตำหนิตัวเอง การคิดถึงแต่ความล้มเหลวในอดีต
    * **ความเครียดและการรับมือกับความเครียด:** การเผชิญกับเหตุการณ์ที่ตึงเครียด เช่น การสูญเสีย การหย่าร้าง การตกงาน หรือปัญหาความสัมพันธ์ หากไม่สามารถจัดการกับความเครียดได้อย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้า
    * **ลักษณะนิสัย:** คนที่มีความมั่นใจในตนเองต่ำ อ่อนไหวง่าย วิตกกังวล ชอบความสมบูรณ์แบบ หรือชอบตำหนิตัวเอง มีแนวโน้มที่จะเกิดภาวะซึมเศร้าได้ง่าย
    * **ประสบการณ์ในวัยเด็ก:** การถูกทอดทิ้ง การถูกทำร้าย หรือการเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสม อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตในระยะยาว

* **ปัจจัยทางสังคม:**
    * **การขาดการสนับสนุนทางสังคม:** การรู้สึกโดดเดี่ยว ไม่ได้รับการยอมรับ หรือไม่มีคนใกล้ชิดให้ความช่วยเหลือ
    * **ปัญหาความสัมพันธ์:** ความขัดแย้งในครอบครัว ปัญหาคู่สมรส หรือความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่นกับเพื่อนร่วมงาน
    * **เหตุการณ์ในชีวิต:** การสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ปัญหาทางการเงิน การว่างงาน หรือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต

**การแก้ไขโรคซึมเศร้า:**

โรคซึมเศร้าสามารถรักษาได้ด้วยวิธีการต่างๆ ซึ่งมักเป็นการรักษาแบบผสมผสานเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ได้แก่:

* **การรักษาด้วยยา:** จิตแพทย์อาจสั่งจ่ายยาต้านเศร้าเพื่อปรับสมดุลของสารสื่อประสาทในสมอง ยาเหล่านี้ต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด และอาจต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์จึงจะเริ่มเห็นผล

* **การรักษาด้วยจิตบำบัด (Psychotherapy):** การพูดคุยกับนักจิตบำบัดหรือจิตแพทย์เพื่อสำรวจความคิด ความรู้สึก และพฤติกรรม เรียนรู้วิธีการจัดการกับปัญหา ปรับเปลี่ยนความคิดเชิงลบ และพัฒนาทักษะในการรับมือกับความเครียด จิตบำบัดมีหลายรูปแบบ เช่น
    * **การบำบัดทางความคิดและพฤติกรรม (Cognitive Behavioral Therapy - CBT):** ช่วยให้ผู้ป่วยระบุและเปลี่ยนแปลงความคิดและพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
    * **การบำบัดระหว่างบุคคล (Interpersonal Therapy - IPT):** มุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและทักษะทางสังคม

* **การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต:** การดูแลสุขภาพกายและใจมีส่วนสำคัญในการฟื้นฟูจากโรคซึมเศร้า เช่น
    * **การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ:** ช่วยลดความเครียดและปรับปรุงอารมณ์
    * **การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ:** การนอนหลับที่ไม่เพียงพออาจทำให้อาการซึมเศร้ารุนแรงขึ้น
    * **การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์:** อาหารที่มีสารอาหารครบถ้วนส่งผลดีต่อสุขภาพกายและใจ
    * **การจัดการความเครียด:** เรียนรู้วิธีการผ่อนคลาย เช่น การทำสมาธิ การหายใจลึกๆ หรือการทำกิจกรรมที่ชอบ
    * **การสร้างและรักษาสัมพันธภาพที่ดี:** การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นและการได้รับการสนับสนุนทางสังคมเป็นสิ่งสำคัญ

* **การรักษาด้วยวิธีอื่นๆ:** ในบางกรณีที่อาการรุนแรงหรือไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาและจิตบำบัด อาจมีการพิจารณาการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ เช่น การกระตุ้นสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Transcranial Magnetic Stimulation - TMS) หรือการรักษาด้วยไฟฟ้า (Electroconvulsive Therapy - ECT)

สิ่งสำคัญที่สุดคือการขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต หากคุณสงสัยว่าตนเองหรือคนใกล้ชิดกำลังมีอาการของโรคซึมเศร้า การได้รับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้สามารถฟื้นตัวและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้
-------------------------------------------------

โรคซึมเศร้า (Depression) เป็นโรคทางจิตเวชที่ส่งผลต่ออารมณ์ ความคิด และการดำเนินชีวิตประจำวัน โดยเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน ทั้งทางชีววิทยา จิตสังคม และสิ่งแวดล้อม 

### **สาเหตุหลักของโรคซึมเศร้า** 
1. **ปัจจัยทางชีวภาพ** 
   - **ความไม่สมดุลของสารเคมีในสมอง** เช่น ระดับเซโรโทนิน (Serotonin), นอร์เอพิเนฟริน (Norepinephrine) และโดพามีน (Dopamine) ต่ำ 
   - **พันธุกรรม** หากมีประวัติครอบครัวเป็นโรคซึมเศร้า โอกาสเกิดโรคสูงขึ้น 
   - **การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน** เช่น หลังคลอด ขณะมีประจำเดือน หรือช่วงวัยทอง 

2. **ปัจจัยทางจิตใจและอารมณ์** 
   - บุคลิกภาพบางประเภท เช่น คนที่คิดมาก มองโลกในแง่ลบ หรือเครียดง่าย 
   - การเผชิญกับความสูญเสีย เช่น การเสียคนใกล้ชิด การหย่าร้าง หรือการถูกทอดทิ้ง 

3. **ปัจจัยแวดล้อมและสังคม** 
   - ความเครียดสะสม เช่น ปัญหาการงาน การเงิน หรือความสัมพันธ์ 
   - การถูกกลั่นแกล้ง หรือประสบการณ์ traumatic เช่น การถูกทำร้าย 

### **วิธีแก้ไขและรักษาโรคซึมเศร้า** 
โรคซึมเศร้ารักษาได้ด้วยวิธีการต่อไปนี้ โดยควรปรึกษาแพทย์หรือนักจิตวิทยาเพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสม 

#### **1. การรักษาด้วยยา** 
- **ยาต้านเศร้า** (Antidepressants) เช่น SSRIs (Fluoxetine, Sertraline) ช่วยปรับสมดุลสารเคมีในสมอง 
- ต้องใช้เวลาประมาณ 2-4 สัปดาห์ถึงจะเห็นผล และควรกินยาต่อเนื่องตามแพทย์สั่ง 

#### **2. การบำบัดทางจิตใจ** 
- **การบำบัดความคิดและพฤติกรรม (Cognitive Behavioral Therapy: CBT)** ช่วยเปลี่ยนแนวคิดเชิงลบ 
- **การบำบัดแบบ interpersonal therapy (IPT)** มุ่งเน้นความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง 

#### **3. การปรับไลฟ์สไตล์** 
- **ออกกำลังกายสม่ำเสมอ** ช่วยเพิ่มสารเอ็นดอร์ฟินและเซโรโทนิน 
- **นอนหลับให้เพียงพอ** และรักษาตารางชีวิตให้เป็นปกติ 
- **ทานอาหารที่มีประโยชน์** เช่น โอเมก้า-3 วิตามินบี และโปรตีน 
- **ลดการดื่มแอลกอฮอล์และสารเสพติด** เพราะอาจทำให้อาการแย่ลง 

#### **4. การสนับสนุนจากคนรอบข้าง** 
- การพูดคุยกับคนที่ไว้ใจ หรือเข้ากลุ่มบำบัด 
- ครอบครัวและเพื่อนควรเข้าใจ ไม่ตำหนิ หรือบังคับผู้ป่วย 

#### **5. หลีกเลี่ยงการทำร้ายตัวเอง** 
- หากมีความคิดอยากทำร้ายตัวเอง ต้องรีบขอความช่วยเหลือทันที (เช่น โทร. 1323 สายด่วนสุขภาพจิต) 

### **เมื่อไรควรไปพบแพทย์?** 
หากมีอาการต่อไปนี้ติดต่อกัน **เกิน 2 สัปดาห์** และรบกวนชีวิตประจำวัน: 
- เศร้าตลอดเวลา เหนื่อยล้า ไม่มีพลังงาน 
- สูญเสียความสนใจในสิ่งที่เคยชอบ 
- นอนไม่หลับหรือนอนมากเกินไป 
- คิดเรื่องความตายหรืออยากทำร้ายตัวเอง 

โรคซึมเศร้าไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่เป็นภาวะที่ต้องรักษา หากได้รับการดูแลที่เหมาะสม ผู้ป่วยสามารถมีชีวิตที่ดีขึ้นได้ค่ะ 💙
----------------------------------------------------------
#18
การแชร์เน็ตจากมือถือไปยังโน้ตบุ๊ก (Tethering) แล้วไม่ได้ อาจเกิดจากหลายสาเหตุ ขึ้นอยู่กับวิธีที่คุณใช้ เช่น ผ่าน **Wi-Fi Hotspot**, **USB tethering**, หรือ **Bluetooth tethering**
ต่อไปนี้คือแนวทางการแก้ปัญหาแบ่งตามวิธีการเชื่อมต่อ:

---

### 🔌 1. **แชร์ผ่าน USB Tethering**

**ตรวจสอบดังนี้:**

* ✅ เสียบสาย USB ให้แน่น และใช้งานได้จริง (แนะนำให้ใช้สายแท้)
* ✅ เปิด **USB Tethering** ในมือถือ (Settings > Network & Internet > Hotspot & tethering > USB tethering)
* ✅ มือถือควรเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต (Wi-Fi หรือ 4G/5G)

**หากยังไม่ได้:**

* ลองเปลี่ยนพอร์ต USB หรือสาย
* รีสตาร์ททั้งมือถือและโน้ตบุ๊ก
* บน Windows: ตรวจสอบที่ Control Panel > Network & Internet > Network Connections ว่ามี "Local Area Connection" จากมือถือหรือไม่

---

### 📶 2. **แชร์ผ่าน Wi-Fi Hotspot**

**ตรวจสอบดังนี้:**

* ✅ เปิด Mobile Hotspot ที่มือถือ
* ✅ ตั้งชื่อและรหัสผ่านให้ถูกต้อง
* ✅ เชื่อมต่อโน้ตบุ๊กกับชื่อ Wi-Fi ที่แชร์จากมือถือ

**หากเชื่อมต่อไม่ได้:**

* ลืม (Forget) เครือข่ายในโน้ตบุ๊กแล้วเชื่อมใหม่
* ตรวจสอบว่าโน้ตบุ๊กรองรับ Wi-Fi 5GHz หรือไม่ (ถ้าแชร์จากมือถือแบบ 5GHz)
* รีสตาร์ทมือถือและโน้ตบุ๊ก

---

### 🔵 3. **แชร์ผ่าน Bluetooth Tethering**

**ตรวจสอบดังนี้:**

* ✅ จับคู่ Bluetooth กับโน้ตบุ๊กให้เรียบร้อย
* ✅ เปิด Bluetooth tethering ที่มือถือ
* ✅ ที่โน้ตบุ๊ก: ไปที่ Control Panel > Devices and Printers > คลิกขวาที่มือถือ > Connect using > Access Point

---

### 🛠 หากยังใช้ไม่ได้ทั้งหมด:

* ตรวจสอบว่าแพ็กเกจมือถือ **รองรับการแชร์เน็ต (Tethering)** หรือไม่ (บางเครือข่ายจำกัด)
* ลองใช้มือถือเครื่องอื่น เพื่อดูว่าเป็นปัญหาจากมือถือหรือโน้ตบุ๊ก
* ตรวจสอบว่าโน้ตบุ๊กไม่ได้เปิด **VPN หรือ Firewall** ที่บล็อกการเชื่อมต่อ

---------------------------------


#19
TP-Link Archer TX50E และ Archer TX55E เป็นการ์ด Wi-Fi แบบ PCIe ที่ออกแบบมาสำหรับเดสก์ท็อปพีซี ทั้งสองรุ่นรองรับ Wi-Fi 6 (802.11ax) และมี Bluetooth แต่มีความแตกต่างกันเล็กน้อยในด้านฮาร์ดแวร์และคุณสมบัติที่อัปเกรดขึ้นใน TX55E

### ความแตกต่างระหว่าง **Archer TX50E** และ **Archer TX55E**

| คุณสมบัติ                   | Archer TX50E                                | Archer TX55E                                                                    |
| --------------------------- | ------------------------------------------- | ------------------------------------------------------------------------------- |
| **Wi-Fi Chipset**           | Intel® Wi-Fi 6 AX200                        | Intel® Wi-Fi 6E AX210                                                           |
| **คลื่นความถี่ Wi-Fi**      | Dual-band (2.4GHz & 5GHz)                   | Tri-band (2.4GHz, 5GHz & 6GHz - Wi-Fi 6E)                                       |
| **ความเร็วสูงสุด**          | สูงสุด 2402 Mbps (5GHz) + 574 Mbps (2.4GHz) | สูงสุด 2402 Mbps (5GHz) + 574 Mbps (2.4GHz) + ความถี่ 6GHz เพิ่มเติม (Wi-Fi 6E) |
| **Bluetooth**               | Bluetooth 5.0                               | Bluetooth 5.2                                                                   |
| **เสาอากาศ**                | 2 เสา High-Gain                             | 2 เสา High-Gain                                                                 |
| **ระบบปฏิบัติการที่รองรับ** | Windows 10 (64-bit)                         | Windows 10/11 (64-bit)                                                          |
| **ราคาประมาณ**              | ถูกกว่า                                     | แพงกว่าเล็กน้อย                                                                 |

### สรุป:

* **TX55E ดีกว่า** เพราะ:

  * รองรับ Wi-Fi 6E (ย่าน 6GHz) – สัญญาณรบกวนน้อย เหมาะกับบ้านที่มีอุปกรณ์เยอะ
  * Bluetooth 5.2 – การเชื่อมต่อที่เสถียรกว่าและกินพลังงานน้อยกว่า

* **TX50E ก็ยังคุ้มค่า** หากไม่ต้องการย่าน 6GHz และใช้แค่ Wi-Fi 6 แบบ dual-band ทั่วไป

หากคุณใช้ **Windows 11** และต้องการอนาคตที่ยืดหยุ่นกว่า แนะนำ **TX55E**
หากคุณใช้ **Windows 10** และเน้นราคาประหยัด **TX50E ก็เพียงพอ**
------------------------------------------------------
#20
ยาแก้อักเสบที่ใช้รักษาอาการเจ็บคอ เช่น ยาปฏิชีวนะ (ถ้ามีการติดเชื้อแบคทีเรีย) หรือยาต้านการอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น **ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen)** หรือ **ยาพาราเซตามอล (Paracetamol)** สำหรับบรรเทาอาการอักเสบและปวด มีกฎการกินแตกต่างกันเล็กน้อย:

### 1. **ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics)**

* ตัวอย่างเช่น **Amoxicillin, Azithromycin, etc.**
* **ควรกินหลังอาหาร** เพื่อป้องกันการระคายเคืองกระเพาะ
* กินให้ครบตามที่แพทย์สั่ง แม้อาการจะดีขึ้นแล้ว

### 2. **ยาแก้อักเสบ / แก้ปวด (NSAIDs) เช่น Ibuprofen**

* ควร **กินหลังอาหารทันที** หรือพร้อมอาหาร เพื่อป้องกันการระคายกระเพาะ

### 3. **Paracetamol (ยาพาราเซตามอล)**

* สามารถกิน **ก่อนหรือหลังอาหารก็ได้** ไม่ค่อยระคายกระเพาะ แต่กินหลังอาหารจะปลอดภัยกว่าในผู้ที่ท้องอ่อนไหว

---

**สรุปแบบง่าย:**

* ถ้าเป็น **ยาแก้อักเสบหรือยาปฏิชีวนะ**: กิน **หลังอาหาร**
* ถ้าเป็น **พาราเซตามอล**: กินก่อนหรือหลังก็ได้ แต่หลังก็ยังดีกว่าเล็กน้อย

------------------------------------------------