News:

Exness ลูกค้าใหม่รับฟรี เสื้อ exness มีจำนวน 10 ตัว ขนาด L , XL , 2XL

เทรดครบ 1 Lot Standard รับ 1 ตัว แจ้งมาที่ Line : junjaocom

ถึง 30 ธ.ค. 2568 นี้ ส่งฟรี รหัสพาร์ทเนอร์ 73208

เปิดบัญชี Standard ลิงค์ตัวแทนได้ที่ https://www.exness.com/a/73208

Main Menu

Recent posts

#91

## 🌍 ประเทศที่ "ภาษีเงินได้บุคคลแพงที่สุด"

(วัดที่ **อัตราสูงสุดของขั้นภาษีสูงสุด – Top marginal tax rate**)

* **ไอวอรีโคสต์ (Côte d'Ivoire)** → **60%**
* **ฟินแลนด์** → ประมาณ **56.95%**
* **ญี่ปุ่น** → ประมาณ **55.97%**
* **เดนมาร์ก** → ประมาณ **55.90%**
* **ออสเตรีย** → ประมาณ **55%**

> กลุ่มประเทศยุโรปเหนือ (Nordic) และยุโรปตะวันตกมักเก็บอัตราสูง เพื่อแลกกับสวัสดิการรัฐที่ครอบคลุม เช่น การศึกษา การรักษาพยาบาลฟรี

---

## 🏝� ประเทศที่ "ภาษีเงินได้บุคคลถูกที่สุด"

(อัตรา PIT = 0%)

* **สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE)**
* **กาตาร์**
* **คูเวต**
* **บาห์เรน**
* **ซาอุดีอาระเบีย**
* **บาฮามาส** / **เบอร์มิวดา** / **เคย์แมน** (Tax Havens)

> ประเทศเหล่านี้ไม่มีภาษีเงินได้บุคคลเลย แต่รายได้รัฐมาจากน้ำมัน การท่องเที่ยว หรือการเป็นศูนย์กลางการเงิน

---

📌 สรุปสั้น ๆ

* **แพงสุด:** ไอวอรีโคสต์, ฟินแลนด์, ญี่ปุ่น, เดนมาร์ก (อัตรา \~55–60%)
* **ถูกสุด:** กลุ่มประเทศอ่าวอาหรับ และ Tax Havens หลายแห่ง (อัตรา = 0%)

-----------------------------

# 📊 ตารางเปรียบเทียบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

| อันดับ | ภาษีสูงสุดในโลก 🌍 (Top Marginal Tax Rate) | อัตราภาษีสูงสุด | ภาษีต่ำสุดในโลก 🏝� (PIT = 0%) | อัตราภาษี |
| ------ | ------------------------------------------ | --------------- | ------------------------------ | --------- |
| 1      | ไอวอรีโคสต์ (Côte d'Ivoire)                | **60%**         | สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE)     | **0%**    |
| 2      | ฟินแลนด์                                   | **56.95%**      | กาตาร์                         | **0%**    |
| 3      | ญี่ปุ่น                                    | **55.97%**      | คูเวต                          | **0%**    |
| 4      | เดนมาร์ก                                   | **55.90%**      | บาห์เรน                        | **0%**    |
| 5      | ออสเตรีย                                   | **55%**         | ซาอุดีอาระเบีย                 | **0%**    |
| 6      | สวีเดน                                     | \~**52.9%**     | บาฮามาส                        | **0%**    |
| 7      | เนเธอร์แลนด์                               | \~**49.5%**     | เบอร์มิวดา                     | **0%**    |
| 8      | เบลเยียม                                   | **50%**         | เคย์แมน                        | **0%**    |
| 9      | อิสราเอล                                   | **50%**         | มัลดีฟส์                       | **0%**    |
| 10     | สโลวีเนีย                                  | \~**50%**       | โมนาโก                         | **0%**    |

---

📌 **สรุป:**

* กลุ่ม **ยุโรปเหนือและตะวันตก** (เดนมาร์ก ฟินแลนด์ สวีเดน ฯลฯ) + ญี่ปุ่น/ออสเตรีย → **เก็บสูงมาก (50–60%)**
* กลุ่ม **ตะวันออกกลาง + Tax Havens** เช่น UAE, กาตาร์, บาห์เรน, เคย์แมน → **ไม่เก็บเลย (0%)**

---------------------------------------
#92
ถ้าต้องการ **โปรแกรมตัดต่อวิดีโอที่ใช้งานง่ายที่สุด และเป็นที่นิยม** ผมขอสรุปให้เป็น 2 กลุ่มครับ

---

## 🔹 มือใหม่ – ใช้งานง่าย เน้นความเร็ว

1. **CapCut (Windows, macOS, iOS, Android)**

   * ฟรี ใช้งานง่ายมาก มีทั้งบนมือถือและคอม
   * มี Template สำเร็จรูป, ฟิลเตอร์, Subtitle อัตโนมัติ
   * เหมาะกับทำคลิปลง **TikTok, Facebook, YouTube Shorts**

2. **Filmora (Windows, macOS)**

   * อินเทอร์เฟซเข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน
   * มีเอฟเฟกต์ เพลง และ Template ให้เลือกเยอะ
   * เหมาะสำหรับมือใหม่ที่อยากได้งานสวยเร็ว ๆ

3. **iMovie (macOS, iOS)**

   * ฟรีสำหรับผู้ใช้ Apple
   * ใช้งานง่าย ลากวางแล้วตัดต่อได้เลย
   * เหมาะกับคนที่ใช้ Mac หรือ iPhone

---

## 🔹 ระดับกลาง – มืออาชีพแต่ยังใช้ง่าย

1. **Adobe Premiere Pro (Windows, macOS)**

   * โปรแกรมยอดนิยมที่สุดในสายมืออาชีพ
   * ใช้ทำคอนเทนต์ YouTube, หนัง, โฆษณา
   * มีปลั๊กอินเยอะ และหา Tutorial ได้ง่าย
   * เหมาะกับคนที่อยากจริงจัง

2. **DaVinci Resolve (Windows, macOS, Linux)**

   * ฟรี (เวอร์ชัน Studio มีค่าใช้จ่าย)
   * เด่นเรื่อง Color Grading และเสียง
   * ฟีเจอร์ใกล้เคียง Premiere แต่ฟรีเกือบทั้งหมด
   * เรียนรู้ไม่ยากถ้าอยากพัฒนาไปสายโปร

---

## ✅ สรุปแนะนำ

* ถ้า **มือใหม่ทั่วไป / เน้นความง่าย** → CapCut หรือ Filmora
* ถ้า **ผู้ใช้ Mac/iPhone** → iMovie
* ถ้า **อยากทำจริงจัง / สายมืออาชีพ** → Premiere Pro หรือ DaVinci Resolve

-------------------------------

CapCut ถือว่าเป็นแอป **ตัดต่อวิดีโอที่ง่ายที่สุด** ตัวหนึ่งเลยครับ เหมาะทั้งมือถือและคอม ผมสรุปวิธีใช้งานแบบเบื้องต้นให้ครับ 👇

---

## 📌 วิธีใช้งาน **CapCut (มือถือ/PC เบื้องต้น)**

### 1. ดาวน์โหลดและติดตั้ง

* มือถือ → ดาวน์โหลดจาก **App Store / Google Play**
* คอมพ์ → โหลดจาก [CapCut Official](https://www.capcut.com/)

---

### 2. เริ่มโปรเจกต์ใหม่

* เปิดแอป → กด **"New Project" (โปรเจกต์ใหม่)**
* เลือกวิดีโอ/รูปภาพที่ต้องการตัดต่อ → กด **Add**

---

### 3. หน้าต่างการตัดต่อ (Timeline)

* **ลากวิดีโอ** มาวางใน Timeline
* สามารถ **ซูมเข้า-ออก Timeline** เพื่อดูรายละเอียด

---

### 4. เครื่องมือหลัก

* **Split (ตัด)** → ใช้นิ้วลากเลือกตำแหน่ง → กด "Split" เพื่อตัดคลิปออก
* **Delete (ลบ)** → ลบส่วนที่ไม่ต้องการ
* **Text (ตัวอักษร)** → เพิ่มข้อความ / Subtitle
* **Audio (เสียง)** → ใส่เพลง, เสียงบรรยาย, เอฟเฟกต์เสียง
* **Effect & Transition** → เพิ่มเอฟเฟกต์ภาพ และการเปลี่ยนฉาก
* **Speed (ความเร็ว)** → ทำคลิปสโลว์โมชั่นหรือเร่งความเร็ว
* **Filter** → ปรับโทนสีสวย ๆ

---

### 5. Export / Save

* เมื่อทำเสร็จ → กดปุ่ม **Export** (ขวาบน)
* เลือกความละเอียด (720p, 1080p, 4K) และ FPS
* เซฟลงเครื่อง หรือแชร์ไป **TikTok, Facebook, YouTube** ได้เลย

---

## ✅ จุดเด่น

* ใช้ง่ายมาก เหมาะกับมือใหม่
* มี Template สำเร็จรูป → แค่ใส่วิดีโอ/รูป ก็ได้คลิปสวย
* มีฟังก์ชัน **Auto Caption (ซับอัตโนมัติ)** ภาษาไทยด้วย

--------------------------------
โอเคครับ 🙌 ผมจะทำ **คู่มือ CapCut (เวอร์ชันคอม PC/Notebook)** แบบ Step-by-step ให้เลย พร้อมภาพหน้าจอประกอบ (ผมจะวาด mockup UI ให้คล้ายกับของจริง เพื่อให้อ่านง่ายขึ้นครับ)

---

# 📘 คู่มือใช้งาน **CapCut บนคอมพิวเตอร์**

---

## 1. ดาวน์โหลดและติดตั้ง

1. ไปที่เว็บไซต์ 👉 [https://www.capcut.com/](https://www.capcut.com/)
2. กด **Download for Windows / Mac**
3. ติดตั้งแล้วเปิดโปรแกรม จะเห็นหน้าตาแบบนี้

🖼� Mockup:

```
[CapCut Logo]  New Project
  •    Import
-----------------------------------------
|    Template   |   Recent Projects     |
|---------------|-----------------------|
```

---

## 2. สร้างโปรเจกต์ใหม่

1. กดปุ่ม **New Project**
2. เลือกไฟล์วิดีโอ/รูปภาพจากคอม → กด **Open**

🖼� Mockup:

```
+------------------------------------------+
| Media Bin   | Preview Window | Timeline |
+------------------------------------------+
```

---

## 3. รู้จักหน้าจอหลัก

* **Media Bin** (ซ้ายบน) → สำหรับไฟล์วิดีโอ, รูป, เพลง
* **Preview Window** (กลางบน) → ดูตัวอย่างคลิป
* **Timeline** (ล่าง) → พื้นที่ตัดต่อ (ลากคลิปมาต่อกัน)

🖼� Mockup:

```
[Media Bin]   [Preview]
   file.mp4   -----------------
   file.jpg   |   Video Play  |
              -----------------
---------------------------------
| Timeline (Drag & Drop Clips) |
---------------------------------
```

---

## 4. การตัดต่อเบื้องต้น

### ✂️ ตัดคลิป (Split)

* เลือกคลิปใน Timeline → เลื่อนเส้น Marker ไปจุดที่ต้องการตัด
* กด **Split (Ctrl + B)**

### 🗑� ลบคลิป

* คลิกเลือกคลิป → กด **Delete**

### 🎵 ใส่เสียง/เพลง

* Import เพลง/เสียงเข้ามา → ลากลง Timeline (Audio Track)

### 🔠 เพิ่มข้อความ

* กด **Text → Add text**
* พิมพ์ข้อความ → ปรับฟอนต์/สี/เอฟเฟกต์

### 🎨 เอฟเฟกต์และ Transition

* กด **Effect / Transition** → เลือกเอฟเฟกต์ที่ชอบ → ลากใส่คลิป

---

## 5. Export วิดีโอ

1. กดปุ่ม **Export (ขวาบน)**
2. เลือก:

   * ความละเอียด (1080p/4K)
   * FPS (30/60)
   * Format (MP4 แนะนำ)
3. กด **Export** → จะได้ไฟล์วิดีโอพร้อมใช้งาน

---

## ✅ สรุป

* เหมาะสำหรับ **มือใหม่ → ทำคลิป TikTok, YouTube, Facebook**
* ใช้งานง่ายกว่า Premiere / DaVinci
* มี **Template + Auto Caption ภาษาไทย**

----------------------------------


#93
ถ้าเขียนแอปเสร็จแล้ว อยากเอาขึ้น **Google Play Store** ขั้นตอนหลัก ๆ มีดังนี้ครับ 👇

---

## ✅ ขั้นตอนการอัปโหลดแอปขึ้น Google Play

1. **สมัครบัญชี Google Play Console**

   * ไปที่ [Google Play Console](https://play.google.com/console)
   * ใช้ Gmail สมัคร
   * จ่ายค่าธรรมเนียมครั้งเดียว **25 USD (\~900 บาท)**

2. **เตรียมไฟล์แอป (APK / AAB)**

   * Google แนะนำให้ใช้ **Android App Bundle (.aab)** แทน APK
   * ต้อง **Signed** ด้วย Keystore ของนักพัฒนา

3. **เตรียมข้อมูลสำหรับหน้าแอป**

   * ชื่อแอป (App Name)
   * คำอธิบายสั้น และยาว
   * ไอคอน (512x512 px)
   * ภาพหน้าจอ (Screenshot) อย่างน้อย 2 รูป
   * Feature Graphic (ขนาด 1024x500 px)
   * วิดีโอ (ถ้ามี, เช่น YouTube demo)

4. **สร้างแอปบน Google Play Console**

   * เลือก **Create app**
   * กรอกข้อมูลเบื้องต้น → ชื่อ, ภาษา, หมวดหมู่ (Category)
   * ตั้งค่าการเผยแพร่ (ฟรี หรือเสียเงิน)

5. **อัปโหลดไฟล์ .aab (หรือ APK)**

   * ไปที่ **Production → Create Release**
   * อัปโหลดไฟล์ **Signed AAB**
   * กรอก Release notes (เช่น "เวอร์ชันแรกของแอป")

6. **ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว & นโยบาย**

   * ใส่ **Privacy Policy URL** (จำเป็น ถ้ามีการเก็บข้อมูลผู้ใช้)
   * ตอบแบบสอบถามเนื้อหา (Content Rating)
   * ระบุว่าแอปมีโฆษณา / เก็บข้อมูลส่วนบุคคลหรือไม่

7. **ตรวจสอบและส่งตรวจสอบ (Review)**

   * เมื่อกรอกครบ → กด **Submit for Review**
   * Google จะตรวจสอบใช้เวลาประมาณ **1–7 วัน** (บางทีเร็วแค่ 1-2 ชั่วโมง)

8. **เผยแพร่ (Publish)**

   * ถ้าผ่านตรวจสอบ แอปจะ **ออนไลน์ใน Google Play Store** ให้คนดาวน์โหลดได้

---

## ⚠️ สิ่งที่ควรระวัง

* ต้อง **Signed ด้วย Keystore เดียวกันทุกเวอร์ชัน** → ถ้าเปลี่ยน key จะอัปเดตไม่ได้
* แอปที่มี **เนื้อหาผิดนโยบาย (การพนัน, ลามก, หลอกลวง)** อาจถูกแบน
* ถ้ามี **In-App Purchase (IAP)** ต้องใช้ Google Billing

--------------------------------------------
#94
คำว่า **Safe Zone** (เซฟโซน) แปลตรงตัวว่า "เขตปลอดภัย" แต่การใช้งานจริงขึ้นอยู่กับบริบทครับ เช่น

---

### 1. ความหมายทั่วไป

* พื้นที่หรือเขตที่ปลอดภัยจากอันตราย ภัยคุกคาม หรือสิ่งที่ไม่พึงประสงค์
* เช่น เขตหลบภัยในภัยพิบัติ พื้นที่ปลอดภัยทางการทหาร หรือสถานที่ที่ผู้คนรู้สึกว่าปลอดภัย

---

### 2. ด้านจิตใจ / สังคม

* หมายถึง **พื้นที่ที่ทำให้คนรู้สึกสบายใจ ไม่ถูกตัดสิน ไม่ถูกกดดัน**
* เช่น การอยู่กับครอบครัว เพื่อนสนิท หรือกลุ่มที่รับฟังโดยไม่วิจารณ์แรง
* ใช้ในเชิง "พื้นที่ปลอดภัยทางอารมณ์" (Emotional Safe Zone)

---

### 3. ในเกม (เช่น PUBG, Free Fire ฯลฯ)

* หมายถึง **วงปลอดภัย** ที่ผู้เล่นต้องเข้ามาอยู่ด้านใน ถ้าอยู่นอกวงจะโดนทำดาเมจหรือตาย
* ใช้เพื่อบังคับให้ผู้เล่นเผชิญหน้ากัน ไม่กระจายตัวกว้างเกินไป

---

### 4. ด้านออกแบบสื่อ / กราฟิก / วิดีโอ

* Safe Zone = พื้นที่ปลอดภัยของข้อความหรือโลโก้บนจอ
* ถ้าวางข้อความออกไปนอก Safe Zone อาจถูกตัดขอบจอ (เช่น TV, มือถือ, เว็บไซต์)
* จึงใช้เป็นแนวทางการจัดวางให้อ่านได้ทุกหน้าจอ

-------------------------------------

คำว่า **Safe Zone ในการทำงาน** มักจะใช้ในเชิง **สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย** ทั้งด้านกายภาพและจิตใจ

---

### 1. Safe Zone = ความปลอดภัยทางกายภาพ (Physical Safety)

* พื้นที่ทำงานที่ **ลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุ** เช่น

  * มีอุปกรณ์นิรภัย (หมวก, แว่น, ถุงมือ, รองเท้า)
  * มีการติดป้ายเตือนและทางหนีไฟชัดเจน
  * พื้นที่จัดเก็บเครื่องมือเป็นระเบียบ
  * ระบบไฟฟ้า เครื่องจักร ได้มาตรฐาน
* มักเกี่ยวข้องกับ **มาตรการความปลอดภัยในการทำงาน (Occupational Safety)**

---

### 2. Safe Zone = ความปลอดภัยทางจิตใจ (Psychological Safety)

* คือ **บรรยากาศที่พนักงานรู้สึกปลอดภัยที่จะพูด แสดงความคิดเห็น หรือยอมรับความผิดพลาด**
* ไม่มีการถูกตำหนิหรือลงโทษเกินเหตุ
* ส่งเสริมให้ทีมกล้าลองสิ่งใหม่ ๆ และแก้ปัญหาได้อย่างสร้างสรรค์
* องค์กรที่มี Safe Zone ทางใจ จะช่วยเพิ่ม **Engagement, Productivity และ Innovation**

---

### 3. Safe Zone = พื้นที่ผ่อนคลาย

* บางองค์กรมีมุม **พักผ่อน / พักใจ** เช่น ห้องนั่งเล่น ห้องสมาธิ หรือโซนเงียบ
* ทำให้พนักงานรู้สึกสมดุลระหว่างงานกับสุขภาพจิต

---

📌 สรุป
**Safe Zone ในการทำงาน** คือพื้นที่หรือบรรยากาศที่ทำให้พนักงาน

1. ปลอดภัยจากอุบัติเหตุ
2. ปลอดภัยทางจิตใจ (กล้าแสดงออกโดยไม่กลัวโดนตำหนิ)
3. มีพื้นที่พักใจเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

--------------------------------------

#95
ดิจิทัลฟุตพริ้นท์ (Digital Footprint) คือ **ร่องรอยข้อมูลดิจิทัลที่เราได้ทิ้งไว้บนโลกออนไลน์** จากการใช้อินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นการเข้าเว็บไซต์ โพสต์ข้อความ กดไลก์ แชร์ ค้นหาข้อมูล หรือแม้กระทั่งการใช้อุปกรณ์ดิจิทัลต่าง ๆ ข้อมูลเหล่านี้สามารถถูกเก็บ บันทึก และติดตามได้

🔹 **ประเภทของ Digital Footprint**

1. **Passive Footprint (ฟุตพริ้นท์แบบไม่ตั้งใจ/ถูกเก็บโดยอัตโนมัติ)**

   * เกิดขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว เช่น

     * เว็บไซต์บันทึก IP Address
     * Cookies เก็บประวัติการเข้าชมเว็บ
     * ข้อมูลตำแหน่งจากสมาร์ตโฟน

2. **Active Footprint (ฟุตพริ้นท์แบบตั้งใจ/สร้างเอง)**

   * เกิดจากสิ่งที่เราทำโดยตรง เช่น

     * การโพสต์บน Facebook, X (Twitter), Instagram
     * การคอมเมนต์ หรือรีวิวสินค้า
     * การอัปโหลดภาพ วิดีโอ หรือไฟล์ต่าง ๆ

🔹 **ความสำคัญของ Digital Footprint**

* ใช้ยืนยันตัวตนบนโลกออนไลน์
* มีผลต่อความน่าเชื่อถือ ชื่อเสียงส่วนตัว และภาพลักษณ์ (ทั้งบวกและลบ)
* อาจถูกนำไปใช้ทางกฎหมาย ธุรกิจ หรือการตลาด
* มีผลต่อโอกาสการทำงานหรือการศึกษา (เช่น บริษัทค้นหาข้อมูลผู้สมัครงานจากโซเชียลมีเดีย)

🔹 **วิธีจัดการ Digital Footprint**

* คิดก่อนโพสต์ (เพราะสิ่งที่ลงไปแล้ว อาจลบไม่หมด)
* ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว (Privacy Settings)
* ลบข้อมูลหรือบัญชีที่ไม่ใช้แล้ว
* ใช้รหัสผ่านที่ปลอดภัยและเปิดการยืนยันสองชั้น (2FA)
------------------------------------------------------
#96
FTMO 10 ขั้นตอนในการสร้างกลยุทธ์การซื้อขาย

การซื้อขายในตลาดการเงินต้องการมากกว่าแค่ความรู้เกี่ยวกับกราฟและอินดิเคเตอร์หากไม่มีระบบที่ชัดเจน แม้แต่แนวคิดที่ดีก็อาจกลายเป็นการขาดทุนได้ ด้วยเหตุนี้ การวางแผนอย่างรอบคอบจึงเป็นสิ่งสำคัญที่กำหนดเวลาเข้าตลาด กำหนดเวลาออกตลาด และวิธีบริหารความเสี่ยงกระบวนการสิบขั้นตอนนี้จะช่วยให้คุณสร้างกลยุทธ์ที่ชัดเจน ทดสอบได้ และยั่งยืนในระยะยาว

1. เลือกเครื่องมือการซื้อขายของคุณ
การเลือกตราสารไม่ได้ขึ้นอยู่กับความผันผวนหรือสเปรดเพียงอย่างเดียว การมี "ความถนัดในการเทรด" ในระดับหนึ่งก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน ซึ่งหมายถึงความรู้ ประสบการณ์ และที่สำคัญคือความสนใจอย่างแท้จริงในตลาดนั้นๆ

หากคุณอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกาและติดตามเศรษฐกิจภายในประเทศ การซื้อขายดัชนี S&P 500 หรือ Nasdaq จะง่ายขึ้นสำหรับคุณ คุณเข้าใจข่าวท้องถิ่น รู้จักบริษัทต่างๆ ในดัชนี และสามารถคาดการณ์ผลกระทบของข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคของสหรัฐฯ ได้

ในทำนองเดียวกัน หากคุณติดตามการค้าระหว่างประเทศหรือนโยบายการเงิน ดอลลาร์สหรัฐอาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสม เมื่อรวมกับยูโรแล้ว ดอลลาร์สหรัฐจะกลายเป็นคู่สกุลเงินที่มีสภาพคล่องมากที่สุดในโลก ขณะเดียวกัน ดอลลาร์สหรัฐยังตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่างๆ ที่คุณอาจกำลังติดตามอยู่

เหตุใดสิ่งนี้จึงสำคัญ?
เมื่อคุณเทรดในตลาดที่คุณรู้จัก ปฏิกิริยาตอบสนองที่จะทำให้คุณประหลาดใจจะน้อยลง คุณสามารถประมวลผลข่าวสารได้เร็วขึ้น เข้าใจ "ลักษณะ" ของความเคลื่อนไหวของราคา และเทรดได้อย่างมั่นใจมากขึ้น

2. เลือกตัวบ่งชี้ทางเทคนิค
เลือกตัวบ่งชี้ที่วัดแง่มุมต่าง ๆ ของตลาด ควรเลือกตัวบ่งชี้ที่เรียบง่าย อ่านง่าย และอิงตามหลักการที่หลากหลาย ตัวบ่งชี้สองตัวที่มีพื้นฐานทางคณิตศาสตร์เดียวกันมักไม่ค่อยเพิ่มมูลค่า ตัวอย่างเช่น การใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สองประเภทมักจะให้สัญญาณซ้ำกัน การผสมผสานที่เหมาะสมอาจเป็นดังนี้:

• RSI (ดัชนีความแข็งแกร่งสัมพันธ์):แสดงโซนซื้อมากเกินไปและขายมากเกินไป และช่วยระบุการกลับตัว
• MACD (การแยกทิศทางการบรรจบกันของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่):ติดตามทิศทางและความแข็งแกร่งของแนวโน้ม เน้นที่การเปลี่ยนแปลงโมเมนตัม

RSIตอบสนองต่อราคาที่พุ่งขึ้นอย่างรุนแรงในระยะสั้น ขณะที่MACDคอยติดตามแนวโน้มในวงกว้าง เมื่อนำมารวมกันแล้ว ทั้งสองอย่างนี้จะช่วยให้คุณมองเห็นภาพรวมของตลาดได้อย่างสมดุล

3. ตั้งค่าพารามิเตอร์ของตัวบ่งชี้ของคุณ
การตั้งค่าเริ่มต้นนั้นน่าดึงดูดใจ แต่บ่อยครั้งก็ไม่เหมาะสม ตลาดแต่ละแห่งมีจังหวะ ความผันผวน และปฏิกิริยาต่อข่าวที่แตกต่างกัน ตัวบ่งชี้จำเป็นต้องได้รับการปรับแต่งอย่างละเอียดเพื่อให้เหมาะสมกับตราสารและกรอบเวลาที่คุณเลือก

อุทิศเวลาให้กับการปรับเปลี่ยนพารามิเตอร์ต่างๆ เช่น ปรับความไวของ RSI เพื่อลดสัญญาณหลอกในความผันผวนต่ำ หรือเปลี่ยนการตั้งค่า MACD เพื่อจับแนวโน้มระยะกลางได้ดีขึ้น

นอกจากนี้ ควรทดสอบตัวบ่งชี้ในหลายกรอบเวลา สัญญาณบน H1 อาจทำงานแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงบน M15 หรือ D1

คุณสามารถเพิ่มประสิทธิภาพตัวบ่งชี้ของคุณได้อย่างไร?
1. เลือกตัวแปรพารามิเตอร์หลายตัวสำหรับตัวบ่งชี้ของคุณ (เช่น RSI ช่วง 14, 21 และ 7; MACD ที่มีการตั้งค่า EMA ต่างกัน)
2. ทดสอบตัวแปรเหล่านี้ในกรอบเวลาต่างๆ (M15, H1, D1)
3. รันการทดสอบย้อนหลังสำหรับแต่ละชุดค่าผสม – ดูขั้นตอนที่ 6

เป้าหมายคือการค้นหาการตั้งค่าที่ให้สมดุลระหว่างอัตราความสำเร็จในการซื้อขาย RRR (อัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน) และความเสถียรของผลลัพธ์ในสภาวะตลาดที่แตกต่างกัน



4. กำหนดกฎการเข้าและออก
กฎการเข้าและออกที่กำหนดไว้อย่างชัดเจนคือกุญแจสำคัญสู่วินัยและความสม่ำเสมอในการเทรด ยิ่งคุณปล่อยให้มีอิสระในการตัดสินใจแบบด้นสดและ "สัญชาตญาณ" มากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งยึดมั่นในกลยุทธ์และหลีกเลี่ยงการเทรดแบบหุนหันพลันแล่นได้ง่ายขึ้นเท่านั้น

กฎการเข้า (ตำแหน่งซื้อ):
• RSI ปรับตัวสูงขึ้นจากโซน oversold (ค่าเพิ่มขึ้นจาก <30 ขึ้นไป)
• เส้นหลัก MACD ตัดกับเส้นสัญญาณขึ้น
• สัญญาณทั้งสองควรเกิดขึ้นใกล้กันมากที่สุด โดยควรอยู่ในแท่งเทียนเดียวกันหรือภายใน 1-2 แท่งเทียน เพื่อยืนยันความแรงของสัญญาณ

กฎการเข้า (ตำแหน่งขายชอร์ต):
• RSI ร่วงลงจากโซนซื้อมากเกินไป (ค่าลดลงจาก >70 ลงมา)
• เส้น MACD หลักตัดกับเส้นสัญญาณลง
• เช่นเดียวกับสถานะซื้อ ควรมีการซิงโครไนซ์สัญญาณ มิฉะนั้น ความเสี่ยงของการเข้าซื้อผิดพลาดจะสูงขึ้น

กฎการออก:
• ทางออกหลัก:บรรลุจุดทำกำไร (TP) ที่กำหนดไว้ล่วงหน้าตาม RRR – ตัวอย่างเช่น หากมีความเสี่ยง -500 USD (SL) TP จะอยู่ที่ +1,000 USD โดยมี RRR 2:1 (อีกทางเลือกหนึ่งคือ RRR 3:1)
• ทางออกทางเลือก:ปรากฏสัญญาณ MACD ตรงข้าม – เส้นตัดผ่านเส้นสัญญาณในทิศทางตรงข้ามกับจุดเข้าเดิม
• กฎความปลอดภัย:หากสัญญาณสูญหายหรืออ่อนลงก่อนที่จะถึง TP สถานะอาจถูกปิดด้วยตนเอง แต่ต้องเป็นไปตามแผน (เช่น ในกรณีที่ตลาดมีการกลับตัวที่ชัดเจน)

เหตุใดจึงต้องซิงโครไนซ์สัญญาณ?
เมื่อ RSI และ MACD ยืนยันพร้อมกัน โอกาสที่ตลาดจะเปลี่ยนทิศทางหรือความแข็งแกร่งของแนวโน้มอย่างแท้จริงก็จะสูงขึ้น หากสัญญาณแตกต่างกัน มักบ่งชี้ถึงความไม่แน่นอนของตลาดและเพิ่มความเสี่ยงในการเข้าซื้อที่ผิดพลาด

ผลลัพธ์หลังจากการซื้อขาย 10 ครั้งด้วย RRR 2:1 และ 3:1 จะเป็นอย่างไร?
ผลลัพธ์หลังจากการซื้อขาย 10 ครั้งสามารถดูตารางได้อย่างไร
5. กำหนดความเสี่ยงต่อการซื้อขาย
การบริหารความเสี่ยงเป็นรากฐานสำคัญของการซื้อขายที่ประสบความสำเร็จ หากปราศจากการบริหารความเสี่ยง แม้แต่กลยุทธ์ที่ทำกำไรก็อาจจบลงด้วยการขาดทุนได้ ในFTMO Challengeกฎเกณฑ์ต่างๆ ถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่น ใน 100,000 Challenge:

• ขาดทุนสูงสุดต่อวัน: 5% ของบัญชี → สำหรับบัญชี 100,000 USD นั่นคือ5,000 USD •
ขาดทุนรวมสูงสุด: 10% ของบัญชี → 10,000 USD

ซึ่งหมายความว่าหากคุณเสี่ยงมากเกินไปในการซื้อขายแต่ละครั้ง คุณอาจละเมิดกฎได้หลังจากสูญเสียตำแหน่งไปเพียงไม่กี่ตำแหน่งเท่านั้น

เหตุใดจึงเสี่ยงเพียงเปอร์เซ็นต์เล็กน้อย?
มาตรฐานที่แนะนำคือเสี่ยง0.25–1% ของบัญชีต่อการซื้อขายหนึ่งครั้ง

• ข้อดีของแนวทางนี้:
• มีความยืดหยุ่นมากขึ้นระหว่างช่วงที่แพ้ติดต่อกัน
• ความสบายใจทางจิตใจ – การแพ้มีค่อนข้างน้อยและยอมรับได้ง่ายกว่า

ความสามารถในการเคารพข้อจำกัดของ FTMO แม้ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก

ตัวอย่างการใช้งานจริงสำหรับบัญชี 100,000 USD:

• ความเสี่ยงต่อการซื้อขาย: 0.5% ของเงินทุน = 500 USD •
Stop -loss (SL):ตัวอย่างเช่น 50 จุด
• มูลค่าต่อจุด: 10 USD (ที่ขนาดตำแหน่ง 1 ล็อต)
• การคำนวณ: 50 จุด × 10 USD = 500 USD = 0.5% พอดีของบัญชี

วิธีนี้ช่วยให้คุณคำนวณขนาดตำแหน่งสำหรับตราสารใดๆ ก็ได้ หาก SL กว้างกว่า (เช่น 100 จุด) คุณต้องลดขนาดตำแหน่งลงเพื่อให้ความเสี่ยงยังคงอยู่ที่ 500 ดอลลาร์สหรัฐ

การตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อจำกัด FTMO
ความเสี่ยง 0.5% ต่อการซื้อขาย → ขาดทุน 10 ครั้งติดต่อกัน = ขาดทุน 5% ของบัญชี → ยังคงอยู่ภายใต้กฎ แม้จะขาดทุนติดต่อกัน คุณก็สามารถหลีกเลี่ยงการฝ่าฝืนกฎได้ทันที ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จใน Challenge


6. ดำเนินการทดสอบย้อนหลัง
การทดสอบย้อนหลังจะแสดงให้เห็นว่ากลยุทธ์ของคุณมีประสิทธิภาพอย่างไรในอดีต นี่ไม่ใช่การทดสอบเพียงครั้งเดียว คุณต้องทดสอบจนกว่ากลยุทธ์จะได้ผลในระยะยาวและภายใต้เงื่อนไขต่างๆ

เหตุใดจึงสำคัญ:
ระบบอาจดูดีในกลุ่มตัวอย่างขนาดเล็ก แต่เมื่อทดสอบข้อมูลเป็นเวลา 1-2 ปี มักจะพบจุดอ่อน

แนวทางที่แนะนำ:

1. กำหนดเป้าหมาย (เช่น ถอนสูงสุด 10%, อัตราการชนะ ≥55%, RRR ≥1:2)

2. เลือกข้อมูลย้อนหลังอย่างน้อย 6 เดือนโดยเหมาะจะเป็น 12–24 เดือน

3. ทดสอบกลยุทธ์ด้วยการตั้งค่าปัจจุบัน

4. หากผลลัพธ์ล้มเหลว ให้ปรับพารามิเตอร์หรือกรอบเวลาและทดสอบซ้ำ

5. ทำซ้ำจนกว่ากลยุทธ์ จะได้ ผลสม่ำเสมอ

โปรดจำไว้ว่า:การทดสอบย้อนหลังไม่ใช่การสร้าง "กลยุทธ์ที่สมบูรณ์แบบในอดีต" แต่เป็นการพิสูจน์ความยืดหยุ่นและเสถียรภาพในตลาดที่แตกต่างกัน

7. ตรวจสอบกลยุทธ์ของคุณ
ก่อนเสี่ยงเงินจริง (หรือเงินทุนท้าทาย) คุณต้องทดสอบกลยุทธ์นี้ในสภาวะตลาดจริงโดยไม่มีความเสี่ยงทางการเงินการทดลองใช้ฟรีเป็นสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมที่สุด เพราะช่วยให้คุณ:

• สังเกตว่ากลยุทธ์ตอบสนองต่อกิจกรรมตลาดปัจจุบันอย่างไร
• ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณสามารถปฏิบัติตามการจัดการเงินและความเสี่ยงได้ในทางปฏิบัติ
• ทดสอบด้านเทคนิค เช่น ความเร็วในการดำเนินการ การตั้งค่าแพลตฟอร์ม และข้อผิดพลาดในการส่งคำสั่งซื้อขายที่อาจเกิดขึ้น

เคล็ดลับสำหรับการซื้อขายทดลองฟรีที่มีประสิทธิผล:
• ใช้เงินทุนขนาดเดียวกับบัญชี FTMO ของคุณ (เช่น 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ)
• ใช้ขนาดตำแหน่ง SL และ TP เดียวกันกับที่วางแผนไว้ในการซื้อขายจริง
• ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์การจำกัดเดียวกัน (ขาดทุนสูงสุดต่อวัน, ขาดทุนสูงสุดต่อการซื้อขาย)
• จดบันทึกการเทรด – หลังการซื้อขายแต่ละครั้ง ให้บันทึกเหตุผลในการเข้า เหตุผลในการออก ผลลัพธ์ และบันทึกอารมณ์ความรู้สึก

จุดมุ่งหมายไม่เพียงแต่เพื่อตรวจสอบผลกำไรเท่านั้น แต่ยังเพื่อยืนยันอีกด้วยว่าคุณสามารถยึดมั่นตามกลยุทธ์ของคุณได้อย่างอัตโนมัติโดยไม่มีการเบี่ยงเบนที่ไม่จำเป็น

8. เริ่มการซื้อขายบนบัญชีจริง
เมื่อกลยุทธ์ของคุณเสถียรในบัญชีทดลอง (อย่างน้อย 1-2 เดือน) คุณก็สามารถเทรดจริงได้ ในการแข่งขันFTMO Challengeวินัยเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง

คำแนะนำสำหรับเดือนแรกของการซื้อขายสด:
• จำกัดการซื้อขายสูงสุดไว้ที่ 2-3 ครั้งต่อวันเฉพาะเมื่อเป็นไปตามเงื่อนไขกลยุทธ์ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการซื้อขายแบบหุนหันพลันแล่นและหลีกเลี่ยงการฝ่าฝืนขีดจำกัดการขาดทุนรายวัน
• หลีกเลี่ยงการซื้อขายในช่วงที่มีการเผยแพร่ข่าวเศรษฐกิจมหภาคสำคัญ เว้นแต่จะเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ของคุณ
• หลังจากทำกำไรได้ในแต่ละวันแล้ว (เช่น 1-1.5% ของบัญชี) ควรพิจารณายุติการซื้อขาย เพื่อปกป้องทั้งเงินทุนและจิตวิทยา

9. ประเมินผลงานของคุณเป็นประจำ
การติดตามผลลัพธ์ไม่ได้เป็นเพียงการตรวจสอบยอดคงเหลือในบัญชีเท่านั้น สิ่งสำคัญคือการวัดตัวชี้วัดสำคัญๆที่บอกคุณว่ากลยุทธ์นั้นยังคงประสิทธิภาพอยู่หรือไม่:

• อัตราความสำเร็จ – จำนวนการซื้อขายที่จบลงด้วยกำไร
• RRR (อัตราส่วนผลตอบแทนต่อความเสี่ยง) – อัตราส่วนเฉลี่ยของกำไรต่อความเสี่ยง
• Drawdown – การลดลงของเงินทุนมากที่สุดจากจุดสูงสุด
• กำไร/ขาดทุนเฉลี่ยต่อการซื้อขาย – แสดงให้เห็นว่ากำไรมากกว่าขาดทุนหรือไม่

ตัวอย่างหลังจากการซื้อขาย 15 ครั้ง:

• อัตราความสำเร็จ: 60%
• กำไรเฉลี่ยต่อการซื้อขาย: 800 USD
• ความเสี่ยงเฉลี่ยต่อการซื้อขาย: 500 USD (RRR 1:1.6)
• การถอนเงิน: 2%

การประเมินเป็นประจำ (เช่น ทุก 2 สัปดาห์) ช่วยให้คุณตรวจพบปัญหาได้ในระยะเริ่มต้นและปรับกลยุทธ์ก่อนที่จะเกิดการสูญเสีย

10. ปรับปรุงประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง
ทุกกลยุทธ์จำเป็นต้องได้รับการตรวจสอบและปรับปรุง ตลาดมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ความผันผวน สภาพคล่อง และปฏิกิริยาต่อข่าวมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ดังนั้น อย่าลืม:

• ดำเนินการทดสอบย้อนหลังแบบย่อ เป็นประจำ โดยใช้ข้อมูลปัจจุบัน
• ตรวจสอบว่าพารามิเตอร์ RSI และ MACD ในปัจจุบันยังใช้งานได้หรือไม่ หากผลสำเร็จต่ำกว่าเป้าหมาย ให้กลับไปทดสอบการตั้งค่าอื่น
• ปรับกรอบเวลา – สัญญาณใน H1 อาจทำงานแตกต่างไปจากเมื่อหกเดือนที่แล้ว

การทดสอบและพัฒนากลยุทธ์ของคุณไม่ได้หมายความว่าต้องเปลี่ยนพารามิเตอร์ทุกสัปดาห์ การทดสอบย้อนหลังและการตรวจสอบจะช่วยให้คุณปรับเปลี่ยนเล็กๆ น้อยๆ ได้เมื่อจำเป็น และช่วยให้กลยุทธ์ของคุณมีประสิทธิภาพสูงสุด

ที่มา https://ftmo.com/en/10-steps-to-building-a-trading-strategy/?utm_campaign=WR_EN_05092025&utm_medium=mailing&utm_source=newsletter
#97
คุณสมบัติของ **ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.)** ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับปัจจุบัน พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม) มีหลัก ๆ ดังนี้ครับ

---

### ✅ คุณสมบัติของผู้สมัคร ส.ส.

1. **สัญชาติไทยโดยการเกิด**

   * หากแปลงสัญชาติมา ต้องได้สัญชาติมาแล้วไม่น้อยกว่า **10 ปี**

2. **อายุไม่ต่ำกว่า 25 ปีบริบูรณ์**

   * ในวันเลือกตั้ง

3. **เป็นสมาชิกพรรคการเมืองเดียวกันไม่น้อยกว่า 90 วัน**

   * นับถึงวันสมัคร (ยกเว้นการเลือกตั้งครั้งแรกหลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญ อาจกำหนดไว้ 30 วัน)

4. **การศึกษา**

   * จบการศึกษา **ไม่ต่ำกว่าปริญญาตรี หรือเทียบเท่า**

5. **มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตเลือกตั้ง**

   * ไม่น้อยกว่า 5 ปีติดต่อกัน (เฉพาะผู้สมัครแบบแบ่งเขต)
   * แต่ถ้าสมัครแบบบัญชีรายชื่อ ไม่กำหนดเรื่องเขต

---

### ❌ ลักษณะต้องห้ามของผู้สมัคร ส.ส.

ห้ามสมัคร ถ้ามีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น

* อยู่ในสมณเพศ
* เป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ
* ติดยาเสพติดให้โทษ หรืออยู่ในภาวะล้มละลาย
* ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง
* เคยต้องโทษจำคุกในคดีทุจริตเลือกตั้ง / คดีอาญาบางประเภท (ยกเว้นความผิดลหุโทษหรือประมาท)
* เป็นข้าราชการประจำ พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ (ต้องลาออกก่อนสมัคร)
* เป็นสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) หรือดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นในช่วงเวลาที่กฎหมายห้าม

---

📌 สรุปสั้น ๆ:
ผู้สมัคร ส.ส. ต้อง **เป็นคนไทยโดยกำเนิด อายุ 25 ปีขึ้นไป จบปริญญาตรี สังกัดพรรคการเมืองเกิน 90 วัน และไม่มีลักษณะต้องห้าม** ตามที่กฎหมายกำหนดครับ

--------------------------------------

คุณถามดีมากครับ 👍
ตำแหน่ง **สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.)** ของไทย ตาม **รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560** (และกฎหมายประกอบที่เกี่ยวข้อง) จะมีคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามที่ชัดเจนครับ

---

## ✅ คุณสมบัติของผู้สมัคร ส.ว.

1. **สัญชาติไทยโดยการเกิด**
2. **อายุไม่ต่ำกว่า 40 ปี** ในวันสมัคร
3. **มีประสบการณ์ทำงานไม่น้อยกว่า 10 ปี** ในด้านใดด้านหนึ่ง (ที่เกี่ยวข้องกับการสมัครในกลุ่มสาขาอาชีพ เช่น วิชาชีพ, สังคม, ภูมิภาค ฯลฯ)
4. **คุณสมบัติทั่วไปของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง**

   * มีชื่อในทะเบียนบ้านในเขตเลือกตั้ง
   * ไม่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง

---

## ❌ ลักษณะต้องห้ามของผู้สมัคร ส.ว.

* อยู่ในสมณเพศ
* เป็นคนไร้ความสามารถ หรือเสมือนไร้ความสามารถ
* ติดยาเสพติดให้โทษ หรืออยู่ในภาวะล้มละลาย
* เคยต้องโทษจำคุก (ยกเว้นความผิดลหุโทษหรือประมาท)
* เป็นข้าราชการประจำ พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ (ถ้าไม่ลาออกก่อนสมัคร)
* เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือดำรงตำแหน่งทางการเมือง
* เป็นกรรมการหรือผู้ดำรงตำแหน่งบริหารในพรรคการเมือง

---

📌 **สรุปสั้น ๆ**
ผู้สมัคร ส.ว. ต้อง

* **อายุ 40 ปีขึ้นไป**
* **สัญชาติไทยโดยกำเนิด**
* **มีประสบการณ์ทำงาน ≥ 10 ปี**
* **ไม่มีลักษณะต้องห้าม** (เช่น ข้าราชการประจำ พระสงฆ์ คนล้มละลาย นักการเมือง หรือผู้เคยถูกตัดสิทธิ)

-------------------------------------------

ได้เลยครับ 🙌 ผมทำตารางเปรียบเทียบ **คุณสมบัติของผู้สมัคร ส.ส. vs ส.ว.** ให้ดูชัด ๆ

---

# 📊 ตารางเปรียบเทียบคุณสมบัติผู้สมัคร

| รายการ                                | **ส.ส. (สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร)**                                                                                                                                                          | **ส.ว. (สมาชิกวุฒิสภา)**                                                                                                                                                                           |
| ------------------------------------- | ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- | -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- |
| **สัญชาติ**                           | ต้องเป็น **สัญชาติไทยโดยการเกิด** (ถ้าแปลงสัญชาติต้องได้มาแล้ว ≥ 10 ปี)                                                                                                                  | ต้องเป็น **สัญชาติไทยโดยการเกิด** เท่านั้น                                                                                                                                                         |
| **อายุขั้นต่ำ**                       | **25 ปี** บริบูรณ์                                                                                                                                                                       | **40 ปี** บริบูรณ์                                                                                                                                                                                 |
| **การศึกษา**                          | จบ **ปริญญาตรีหรือเทียบเท่า**                                                                                                                                                            | ไม่กำหนดวุฒิการศึกษา แต่ต้องมี **ประสบการณ์ทำงาน ≥ 10 ปี**                                                                                                                                         |
| **การสังกัดพรรคการเมือง**             | ต้องเป็นสมาชิกพรรคการเมืองเดียวกัน ≥ 90 วัน (ยกเว้นบางกรณี 30 วัน)                                                                                                                       | ❌ **ห้าม** เป็นสมาชิกพรรคการเมือง                                                                                                                                                                  |
| **ภูมิลำเนา/ทะเบียนบ้าน**             | แบบแบ่งเขต : ต้องมีชื่อในเขตเลือกตั้ง ≥ 5 ปี
แบบบัญชีรายชื่อ : ไม่กำหนด                                                                                                               | ไม่กำหนดว่าต้องอยู่เขตใด                                                                                                                                                                           |
| **ลักษณะต้องห้าม** (เหมือนกันหลายข้อ) | - พระภิกษุ/นักบวช
- คนไร้ความสามารถ/เสมือนไร้ความสามารถ
- ติดยาเสพติด/ล้มละลาย
- เคยถูกจำคุกบางความผิด
- เป็นข้าราชการประจำ / เจ้าหน้าที่รัฐ / ส.ว. / ผู้ดำรงตำแหน่งการเมือง | - พระภิกษุ/นักบวช
- คนไร้ความสามารถ/เสมือนไร้ความสามารถ
- ติดยาเสพติด/ล้มละลาย
- เคยถูกจำคุกบางความผิด
- เป็นข้าราชการประจำ / เจ้าหน้าที่รัฐ / ส.ส. / นักการเมือง / สมาชิกพรรคการเมือง |

---

📌 **สรุป:**

* **ส.ส.** เน้นที่อายุขั้นต่ำ 25 ปี + ปริญญาตรี + ต้องสังกัดพรรคการเมือง
* **ส.ว.** เน้นอายุ ≥ 40 ปี + ประสบการณ์ทำงาน 10 ปี + ห้ามสังกัดพรรคการเมือง

----------------------------------------

#98
น้ำอัดลม **ไม่มีน้ำตาล (sugar-free / zero / diet)** มักถูกเปรียบเทียบกับน้ำอัดลม **แบบมีน้ำตาล** เรื่องสุขภาพบ่อยครับ ✅❌

---

### 1. เรื่องแคลอรีและน้ำหนัก

* **แบบไม่มีน้ำตาล** → ให้พลังงานน้อยหรือแทบไม่มี → ช่วยควบคุมน้ำหนักได้ดีกว่า
* **แบบมีน้ำตาล** → มีน้ำตาลสูง (1 กระป๋อง \~ 7–10 ช้อนชา) → เสี่ยงอ้วนลงพุง, เบาหวาน, ฟันผุ

👉 ในแง่นี้ **แบบไม่มีน้ำตาลดีกว่า**

---

### 2. เรื่องเบาหวานและเมตาบอลิก

* **น้ำตาลสูง** → ทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งเร็ว → เพิ่มความเสี่ยงเบาหวานชนิดที่ 2
* **น้ำอัดลมไม่มีน้ำตาล** ใช้สารให้ความหวานแทน (เช่น แอสปาร์แตม, ซูคราโลส, สตีเวีย) → ไม่ทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งทันที
  แต่...มีบางงานวิจัยพบว่า **อาจส่งผลต่อการเผาผลาญหรือจุลินทรีย์ในลำไส้** ในระยะยาว → อาจทำให้ความอยากของหวานยังคงอยู่

👉 โดยรวม **ดีกว่าแบบมีน้ำตาล** แต่ไม่ใช่ว่าปลอดภัย 100%

---

### 3. เรื่องสุขภาพช่องปาก

* **ทั้งสองแบบ** มีความเป็นกรด → กัดกร่อนฟันได้
* แบบมีน้ำตาล → ฟันผุ + กร่อน
* แบบไม่มีน้ำตาล → ไม่ทำให้ฟันผุเพิ่ม แต่กรดยังคงทำลายเคลือบฟันได้

👉 ทั้งคู่กระทบฟัน แต่แบบไม่มีน้ำตาล **ดีกว่านิดหน่อย**

---

### 4. เรื่องสุขภาพระยะยาว

* **น้ำตาลสูง** เชื่อมโยงกับ **อ้วน, เบาหวาน, ไขมันพอกตับ, หัวใจ**
* **สารให้ความหวานเทียม** ยังอยู่ในการถกเถียง → ส่วนใหญ่จัดว่าปลอดภัยถ้าไม่เกินปริมาณที่กำหนด, แต่ควรดื่มพอประมาณ

---

✅ **สรุป**

* น้ำอัดลม **ไม่มีน้ำตาล ดีกว่าแบบมีน้ำตาล** ชัดเจน โดยเฉพาะเรื่องน้ำหนักและเบาหวาน
* แต่ **ไม่ใช่เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ** เพราะยังมีกรด, คาเฟอีน, สารให้ความหวาน
* ถ้าต้องเลือก → เลือก **ไม่มีน้ำตาล**
* ถ้าอยากดีจริง → เลือก **น้ำเปล่า, ชาไม่หวาน, กาแฟดำ** จะดีที่สุดครับ

---------------------------------

น้ำอัดลมมีน้ำตาล vs ไม่มีน้ำตาล vs น้ำเปล่า

| ประเด็น                     | น้ำอัดลม **มีน้ำตาล**                   | น้ำอัดลม **ไม่มีน้ำตาล (Zero/Diet)**                       | **น้ำเปล่า**                       |
| --------------------------- | --------------------------------------- | ---------------------------------------------------------- | ---------------------------------- |
| **แคลอรี**                  | สูง (120–150 kcal/กระป๋อง) → เสี่ยงอ้วน | แทบไม่มี (0–5 kcal)                                        | 0 kcal                             |
| **น้ำตาล**                  | สูงมาก (7–10 ช้อนชา/กระป๋อง)            | ไม่มีน้ำตาล → ใช้สารให้ความหวานเทียม/ธรรมชาติ              | ไม่มี                              |
| **ผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด** | พุ่งสูงเร็ว → เสี่ยงเบาหวาน             | ไม่พุ่งทันที แต่บางการศึกษาเจอผลต่อการเผาผลาญ              | คงที่                              |
| **ฟัน**                     | น้ำตาล + กรด → ฟันผุ + กร่อน            | กรดกัดฟัน แต่ไม่ทำให้ฟันผุเพิ่ม                            | ปลอดภัย                            |
| **ผลระยะยาว**               | อ้วนลงพุง, เบาหวาน, ไขมันพอกตับ, หัวใจ  | อาจทำให้ติดรสหวาน, กระทบจุลินทรีย์ลำไส้, ยังอยู่ในการศึกษา | ดีที่สุดต่อสุขภาพ                  |
| **ความสดชื่น/ความอยากดื่ม** | หวานจัด ดื่มง่าย แต่ติดน้ำตาล           | หวาน (แต่ใช้สารทดแทน) ช่วยลดแคลอรี                         | ดับกระหายจริง ไม่เพิ่มความอยากหวาน |
| **คำแนะนำ**                 | ลดหรือเลี่ยง                            | ดื่มได้บ้าง (ถ้าต้องการความซ่าแบบไม่อ้วน) แต่ไม่ควรบ่อย    | ควรเป็นหลัก                        |

---

✅ **สรุปสั้น ๆ**

* ถ้าเทียบกัน → **น้ำเปล่า ดีที่สุด**
* ถ้าจำเป็นต้องเลือกน้ำอัดลม → **แบบไม่มีน้ำตาลดีกว่าแบบมีน้ำตาล**
* แต่ควรจำกัด → ไม่ให้แทนที่น้ำเปล่าในชีวิตประจำวันครับ

---------------------------
#99
ราคาทองคำขึ้นมาหลายวันแล้ว ทำ New High 3,560 USD

เปิดบัญชี Standard ได้ที่ https://www.exness.com/a/73208
#100

ช่องทางตรวจสอบเงินเกษตรกร ช่วยเหลือไร่ละ 1000 บาท เริ่มโอนตามมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรังและนาปี

ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เริ่มโอนตามมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรังและนาปี ไร่ละ 1,000 บาท (สูงสุดไม่เกิน 10 ไร่ หรือไม่เกิน 10,000 บาท/ครัวเรือน) เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายและเพิ่มรายได้ให้พี่น้องเกษตรกร โดยเริ่มโอนครั้งแรก 1 ก.ย. 68 เป็นต้นไป กรอบวงเงินรวม 2 หมื่นล้านบาท ครอบคลุมเกษตรกรกว่า 2.48 ล้านราย

กำหนดการโอน ดังนี้

- 1 ก.ย. 68 โครงการนาปรัง ปี 68 เกษตรกร 769,461 ราย รวม 6,280 ล้านบาท (ทั่วประเทศ)
- 2 ก.ย. 68 โครงการนาปี 68 เกษตรกร 286,831 ราย รวม 2,459 ล้านบาท (ภาคเหนือ)
- 3 ก.ย. 68 โครงการนาปี 68 เกษตรกร 1,291,298 ราย รวม 10,586 ล้านบาท (ภาคอีสาน)
- 4 ก.ย. 68 โครงการนาปี 68 เกษตรกร 137,478 ราย รวม 1,254 ล้านบาท (ภาคอื่น ๆ)
.
ตรวจสอบสถานะการโอนเงินและจำนวนเงินที่ได้รับ ได้ที่ https://govtransfer.baac.or.th  หรือ LINE Official BAAC Family สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook : ธกส BAAC Thailand หรือ Call Center : 02 555 0555

ขอบคุณข้อมูล ไทยคู่ฟ้า , ธ.ก.ส.


ที่มา https://www.ch7.com/sports/824682