ข่าว:

Exness ลงทะเบียนระบบใหม่ ใส่รหัสพาร์ทเนอร์ 73208
https://www.exness.com/boarding/sign-up/a/73208?lng=th
1. เลือกประเทศ ไทย
2. อีเมล์จริงของคุณ
3. รหัสผ่าน
* รหัสผ่านต้องมีความยาว 8-15 ตัว
* ใช้ทั้งอักษรตัวพิมพ์ใหญ่และตัวพิมพ์เล็ก
* ใช้ทั้งตัวเลขและตัวอักษรภาษาอังกฤษ
* ห้ามใช้อักขระพิเศษ (!@#$%^&*., และอื่นๆ)
4. ใส่รหัสพาร์ทเนอร์ 73208

Main Menu

กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้

#41
Arbitrage ใน MT4 ทำอย่างไร

เปิดบัญชี MT4 MT5 ได้ที่ https://www.exness.com/a/73208

การทำ arbitrage ใน MT4 สามารถทำได้โดยใช้กลยุทธ์ต่อไปนี้:

* **กลยุทธ์สามเหลี่ยม** (Triangular arbitrage) เป็นกลยุทธ์ที่อาศัยความเหลื่อมล้ำของราคาระหว่างสามคู่สกุลเงินที่เกี่ยวข้อง กลยุทธ์นี้ทำงานโดยการทำธุรกรรมสามรายการพร้อมกัน ซึ่งจะหักล้างกันเองเมื่อความเหลื่อมล้ำของราคาได้รับการแก้ไข

ตัวอย่างกลยุทธ์สามเหลี่ยม:

```
คู่สกุลเงิน | ราคาซื้อ | ราคาขาย
------- | -------- | --------
USD/JPY | 125.00 | 125.10
EUR/JPY | 130.00 | 130.10
USD/EUR | 1.05 | 1.06
```

หากราคา USD/JPY ต่ำกว่าราคา EUR/JPY เมื่อเทียบกับ USD/EUR เราสามารถทำการเทรดตามกลยุทธ์สามเหลี่ยมได้ดังนี้:

* ซื้อ USD/JPY จำนวน 1 ล็อต
* ขาย EUR/JPY จำนวน 1 ล็อต
* ขาย USD/EUR จำนวน 1 ล็อต

เมื่อราคา USD/JPY เท่ากับราคา EUR/JPY เมื่อเทียบกับ USD/EUR เราจะปิดการเทรดทั้งหมดและทำกำไร

* **กลยุทธ์แบบทันที** (Instant arbitrage) เป็นกลยุทธ์ที่อาศัยความเหลื่อมล้ำของราคาระหว่างสองคู่สกุลเงินเดียวกันในตลาดที่แตกต่างกัน กลยุทธ์นี้ทำงานโดยการทำธุรกรรมสองรายการพร้อมกัน ซึ่งจะหักล้างกันเองเมื่อความเหลื่อมล้ำของราคาได้รับการแก้ไข

ตัวอย่างกลยุทธ์แบบทันที:

```
ตลาด | ราคาซื้อ | ราคาขาย
------- | -------- | --------
ตลาด A | 125.00 | 125.10
ตลาด B | 125.10 | 125.20
```

หากราคา USD/JPY ในตลาด A ต่ำกว่าราคา USD/JPY ในตลาด B เราสามารถทำการเทรดตามกลยุทธ์แบบทันทีได้ดังนี้:

* ซื้อ USD/JPY จำนวน 1 ล็อตในตลาด A
* ขาย USD/JPY จำนวน 1 ล็อตในตลาด B

เมื่อราคา USD/JPY ในตลาด A เท่ากับราคา USD/JPY ในตลาด B เราจะปิดการเทรดทั้งหมดและทำกำไร

* **กลยุทธ์แบบล่าช้า** (Latency arbitrage) เป็นกลยุทธ์ที่อาศัยความล่าช้าของข้อมูลราคาระหว่างสองตลาดที่แตกต่างกัน กลยุทธ์นี้ทำงานโดยการทำธุรกรรมในตลาดที่มีข้อมูลราคาล้าสมัยกว่า จากนั้นจึงปิดการเทรดในตลาดที่มีข้อมูลราคาที่ทันสมัยกว่าเพื่อทำกำไร

ตัวอย่างกลยุทธ์แบบล่าช้า:

```
ตลาด | ราคาซื้อ | ราคาขาย
------- | -------- | --------
ตลาด A | 125.00 | 125.10
ตลาด B | 125.10 | 125.20
```

หากตลาด A มีข้อมูลราคาล้าสมัยกว่าตลาด B เราสามารถทำการเทรดตามกลยุทธ์แบบล่าช้าได้ดังนี้:

* ซื้อ USD/JPY จำนวน 1 ล็อตในตลาด A
* ขาย USD/JPY จำนวน 1 ล็อตในตลาด B

เมื่อข้อมูลราคาในตลาด A ได้รับการอัปเดตและราคา USD/JPY เท่ากับราคา USD/JPY ในตลาด B เราจะปิดการเทรดทั้งหมดและทำกำไร

อย่างไรก็ตาม การทำ arbitrage ใน MT4 นั้นมีความซับซ้อนและต้องใช้ความรู้และทักษะด้านการวิเคราะห์ตลาดเป็นอย่างดี เนื่องจากราคาสกุลเงินในตลาด Forex นั้นมีความผันผวนสูงและอาจเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการเทรด arbitrage เช่น ความเสี่ยงจากการลื่นไถล (slippage) และความเสี่ยงจากการยกเลิกคำสั่ง (cancellation)

หากต้องการทำ arbitrage ใน MT4 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แนะนำให้ศึกษาข้อมูลและฝึกฝนอย่างรอบคอบก่อนเริ่มทำการเทรดจริง

-------------------------------------------------------

Admin ได้ทำการคำนวณ ดังนี้

EURJPY Sell
USDJPY Buy
EURUSD Buy
หรือ
EURJPY Buy
USDJPY Sell
EURUSD Sell

EURUSD B
GBPUSD S
EURGBP S
หรือ
EURUSD S
GBPUSD B
EURGBP B
#42
คำนวณ  Profit Factor Forex คือ

เปิดบัญชี MT4 MT5 ได้ที่ https://www.exness.com/a/73208

Profit Factor Forex คือ อัตราส่วนของกำไรรวมต่อขาดทุนรวมของเทรดเดอร์ คำนวณจากสูตรดังนี้

```
Profit Factor = กำไรรวม / ขาดทุนรวม
```

ตัวอย่างเช่น เทรดเดอร์มีกำไรรวม 100,000 บาท และขาดทุนรวม 50,000 บาท Profit Factor ของเทรดเดอร์คนนี้คือ 2

Profit Factor เป็นเครื่องมือวัดประสิทธิภาพการเทรดอย่างหนึ่ง เทรดเดอร์ที่มี Profit Factor สูง แสดงว่าเทรดเดอร์สามารถทำกำไรได้มากกว่าขาดทุน โดยปกติแล้ว Profit Factor ที่ดีควรอยู่ที่ 2 ขึ้นไป

อย่างไรก็ตาม Profit Factor เป็นเพียงเครื่องมือวัดหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถวัดประสิทธิภาพการเทรดได้ทั้งหมด ควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ประกอบ เช่น ความเสี่ยง ระยะเวลาในการเทรด และจำนวนการเทรด เป็นต้น

ตัวอย่างการคำนวณ Profit Factor Forex

```
กำไรรวม = 100,000 บาท
ขาดทุนรวม = 50,000 บาท

Profit Factor = กำไรรวม / ขาดทุนรวม
= 100,000 / 50,000
= 2
```

Profit Factor ของเทรดเดอร์คนนี้เท่ากับ 2 แสดงว่าเทรดเดอร์สามารถทำกำไรได้มากกว่าขาดทุน 2 เท่า

ข้อควรระวังในการคำนวณ Profit Factor Forex

* เทรดเดอร์ควรคำนวณ Profit Factor โดยใช้ข้อมูลการเทรดระยะยาว เพื่อให้ได้ค่าที่แม่นยำ
* เทรดเดอร์ควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ประกอบ เช่น ความเสี่ยง ระยะเวลาในการเทรด และจำนวนการเทรด เป็นต้น
--------------------------------------------------

Profit Factor ในการซื้อขาย Forex เป็นอัตราส่วนระหว่างกำไรที่คุณทำได้จากการซื้อขายกับขาดทุนที่คุณเสียไป. สูตรการคำนวณ Profit Factor คือ:

Profit Factor = กำไรรวม / ขาดทุนรวม

โดยที่:
- กำไรรวม (Total Profit) คือจำนวนเงินที่คุณได้จากการซื้อขายทั้งหมด
- ขาดทุนรวม (Total Loss) คือจำนวนเงินที่คุณเสียจากการซื้อขายทั้งหมด

Profit Factor มีค่าระหว่าง 0 ถึง ไม่จำกัด เมื่อค่า Profit Factor เป็น 1 หรือมากกว่า 1 แสดงว่าคุณมีกำไรมากกว่าขาดทุนในการซื้อขาย Forex ของคุณ ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรตั้งเป็นเป้าหมายในการซื้อขาย เนื่องจากมีโอกาสที่คุณจะกำไรมากกว่าขาดทุนในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม ควรทราบว่าการซื้อขาย Forex เป็นกิจกรรมที่เสี่ยง และคุณควรใช้การวิเคราะห์และการบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบเพื่อลดความเสี่ยงในการสูญเสียเงินในการซื้อขาย Forex และเพิ่มโอกาสในการทำกำไร.

-------------------------------------------------
#43
คำนวณ  Sharpe Ratio Forex คือ

เปิดบัญชี MT4 MT5 ได้ที่ https://www.exness.com/a/73208

Sharpe Ratio Forex คือ ตัวชี้วัดที่ใช้วัดประสิทธิภาพของกลยุทธ์การซื้อขาย Forex โดยเปรียบเทียบผลตอบแทนที่ปรับด้วยความเสี่ยง สูตรการคำนวณ Sharpe Ratio Forex มีดังนี้


Sharpe Ratio = (ผลตอบแทนของกลยุทธ์การซื้อขาย - ผลตอบแทนที่ปราศจากความเสี่ยง) / ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของผลตอบแทนของกลยุทธ์การซื้อขาย


โดยที่:

* ผลตอบแทนของกลยุทธ์การซื้อขาย คือ ผลตอบแทนรวมของกลยุทธ์การซื้อขายในช่วงระยะเวลาที่กำหนด
* ผลตอบแทนที่ปราศจากความเสี่ยง คือ ผลตอบแทนของสินทรัพย์ที่ปราศจากความเสี่ยง เช่น พันธบัตรรัฐบาล
* ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของผลตอบแทนของกลยุทธ์การซื้อขาย คือ ความผันผวนของผลตอบแทนของกลยุทธ์การซื้อขาย

Sharpe Ratio Forex มีค่ายิ่งสูงเท่าใด กลยุทธ์การซื้อขายก็จะยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น นั่นคือ กลยุทธ์การซื้อขายนั้นสามารถสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าผลตอบแทนที่ปราศจากความเสี่ยงได้ในขณะที่มีความเสี่ยงน้อยกว่า

ตัวอย่างการคำนวณ Sharpe Ratio Forex

สมมติว่ากลยุทธ์การซื้อขาย Forex มีผลตอบแทนรวม 10% ในช่วงระยะเวลา 1 ปี ผลตอบแทนที่ปราศจากความเสี่ยงอยู่ที่ 2% และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของผลตอบแทนของกลยุทธ์การซื้อขายอยู่ที่ 5%

Sharpe Ratio Forex ของกลยุทธ์การซื้อขายนี้คำนวณได้ดังนี้

```
Sharpe Ratio = (10% - 2%) / 5%
= 2.0
```

ดังนั้น กลยุทธ์การซื้อขายนี้มีค่า Sharpe Ratio เท่ากับ 2.0 ซึ่งถือว่ามีประสิทธิภาพสูง

ข้อควรระวังในการตีความ Sharpe Ratio Forex

Sharpe Ratio Forex เป็นเพียงตัวชี้วัดประสิทธิภาพเพียงตัวเดียวเท่านั้น ไม่สามารถบอกได้ว่ากลยุทธ์การซื้อขายนั้นดีหรือไม่ดีโดยสมบูรณ์ จำเป็นต้องพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของเทรดเดอร์ ระยะเวลาของกลยุทธ์การซื้อขาย และผลตอบแทนที่เทียบกับกลยุทธ์การซื้อขายอื่นๆ

นอกจากนี้ Sharpe Ratio Forex ยังอาจถูกบิดเบือนโดยขนาดของพอร์ตการลงทุน หากพอร์ตการลงทุนมีขนาดใหญ่ Sharpe Ratio Forex จะมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้น ดังนั้นจึงควรเปรียบเทียบ Sharpe Ratio Forex ของกลยุทธ์การซื้อขายที่มีขนาดพอร์ตการลงทุนใกล้เคียงกัน

-------------------------------------------

Sharpe Ratio เป็นวิธีการวัดประสิทธิภาพของการลงทุนโดยใช้สัดส่วนความเสี่ยงและผลตอบแทน เป็นตัวชี้วัดที่ช่วยให้นักลงทุนหรือผู้ดูแลกองทุนทราบว่าการลงทุนนั้นคุ้มค่าหรือไม่ โดยคำนวณค่า Sharpe Ratio ด้วยสูตรดังนี้:

Sharpe Ratio = (รายได้เฉลี่ยต่อหน่วยเสี่ยง - อัตราดอกเบี้ยไร้ความเสี่ยง) / ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของรายได้

ที่นี่คุณต้องมีข้อมูลเพื่อคำนวณ Sharpe Ratio สำหรับ Forex ดังนี้:

1. รายได้เฉลี่ยต่อหน่วยเสี่ยง: นี่คืออัตราผลตอบแทนที่คุณได้จากการลงทุนใน Forex หลังจากคำนวณออกจากความเสี่ยงที่คุณรับ เราสามารถใช้อัตราผลตอบแทนรายวัน, รายสัปดาห์, หรือรายเดือนเทียบกับระดับความเสี่ยงของการลงทุนของคุณ.

2. อัตราดอกเบี้ยไร้ความเสี่ยง: นี่คืออัตราดอกเบี้ยที่คุณสามารถรับจากการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ สามารถใช้อัตราดอกเบี้ยบางอย่างที่มีความเสี่ยงต่ำเช่น อัตราดอกเบี้ยบัตรหนี้รัฐบาลหรืออัตราดอกเบี้ยบัตรหนี้เสี่ยงต่ำของธนาคารกลาง.

3. ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของรายได้: นี่คือค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของรายได้ที่คุณได้จากการลงทุน ใช้เพื่อวัดความเสี่ยงของการลงทุนของคุณ เราสามารถใช้ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐานของรายได้รายวัน, รายสัปดาห์, หรือรายเดือนเทียบกับรายได้เฉลี่ย.

Sharpe Ratio ที่คำนวณขึ้นมาจะช่วยให้คุณเข้าใจว่าการลงทุนของคุณมีประสิทธิภาพเทียบกับความเสี่ยงที่คุณรับ ค่า Sharpe Ratio ที่สูงกว่าจะแสดงให้เห็นว่าการลงทุนของคุณมีผลตอบแทนที่ดีเมื่อคิดค่าความเสี่ยงและอัตราดอกเบี้ยไร้ความเสี่ยง แต่ค่าที่ต่ำกว่าอาจแสดงถึงความเสี่ยงที่สูงเกินไปเมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่คุ้มค่า.

ค่า Sharpe Ratio ไม่ได้บอกคุณถึงการลงทุนที่ดีที่สุดแต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการวัดประสิทธิภาพและการจัดการความเสี่ยงในการลงทุนใน Forex หรือกองทุนอื่น ๆ ในทั่วไป.
------------------------------------------------------

Sharpe Ratio Forex คือตัวชี้วัดประสิทธิภาพการซื้อขายที่วัดผลตอบแทนที่ปรับด้วยความเสี่ยงของกลยุทธ์การซื้อขาย Forex สูตรคำนวณ Sharpe Ratio Forex มีดังนี้


Sharpe Ratio Forex = (ผลตอบแทนของกลยุทธ์การซื้อขาย - อัตราผลตอบแทนที่ปราศจากความเสี่ยง) / ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของผลตอบแทนของกลยุทธ์การซื้อขาย


โดยที่

* **ผลตอบแทนของกลยุทธ์การซื้อขาย** คือ ผลตอบแทนสุทธิของกลยุทธ์การซื้อขายในช่วงเวลาที่กำหนด คำนวณจากสูตร


ผลตอบแทนของกลยุทธ์การซื้อขาย = (ราคาปิด - ราคาเปิด) / ราคาเปิด


* **อัตราผลตอบแทนที่ปราศจากความเสี่ยง** คือ อัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น พันธบัตรรัฐบาล โดยทั่วไปจะใช้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี
* **ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของผลตอบแทนของกลยุทธ์การซื้อขาย** คือ ระดับความผันผวนของผลตอบแทนของกลยุทธ์การซื้อขาย

Sharpe Ratio Forex มีค่าสูงแสดงว่ากลยุทธ์การซื้อขายสามารถให้ผลตอบแทนที่สูงเมื่อเทียบกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ โดยทั่วไปแล้ว กลยุทธ์การซื้อขายที่มี Sharpe Ratio สูงกว่า 1 ถือว่ามีประสิทธิภาพดี

ตัวอย่างการคำนวณ Sharpe Ratio Forex

สมมติว่ากลยุทธ์การซื้อขาย Forex มีผลตอบแทนเฉลี่ย 10% ต่อปี และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของผลตอบแทน 5% อัตราผลตอบแทนที่ปราศจากความเสี่ยงคือ 2% ต่อปี

ดังนั้น Sharpe Ratio Forex ของกลยุทธ์การซื้อขายนี้คือ

```
Sharpe Ratio Forex = (10% - 2%) / 5% = 1.6
```

หมายความว่ากลยุทธ์การซื้อขายนี้ให้ผลตอบแทนที่สูงเมื่อเทียบกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

วิธีใช้ Sharpe Ratio Forex

Sharpe Ratio Forex สามารถใช้ในการเปรียบเทียบประสิทธิภาพของกลยุทธ์การซื้อขาย Forex ต่างๆ ได้ กลยุทธ์การซื้อขายที่มี Sharpe Ratio สูงกว่าแสดงว่ามีประสิทธิภาพดีกว่า โดยพิจารณาจากผลตอบแทนที่สูงเมื่อเทียบกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

นอกจากนี้ Sharpe Ratio Forex ยังสามารถใช้ในการวัดประสิทธิภาพของกลยุทธ์การซื้อขาย Forex เมื่อเวลาผ่านไปได้ โดยเปรียบเทียบ Sharpe Ratio Forex ของกลยุทธ์การซื้อขายในช่วงเวลาต่างๆ

ข้อควรระวังในการใช้ Sharpe Ratio Forex

Sharpe Ratio Forex มีข้อควรระวังในการใช้ดังนี้

* Sharpe Ratio Forex ไม่สามารถวัดความเสี่ยงทั้งหมดของกลยุทธ์การซื้อขายได้ ความเสี่ยงประเภทหนึ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้คือความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง ซึ่งหมายถึงความเสี่ยงที่ไม่สามารถปิดสถานะซื้อขายได้ตามต้องการ
* Sharpe Ratio Forex ไม่สามารถวัดประสิทธิภาพของกลยุทธ์การซื้อขายในระยะยาวได้ กลยุทธ์การซื้อขายบางกลยุทธ์อาจมีประสิทธิภาพดีในระยะสั้น แต่อาจมีประสิทธิภาพไม่ดีในระยะยาว

โดยสรุป Sharpe Ratio Forex เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการวัดประสิทธิภาพการซื้อขาย Forex อย่างไรก็ตาม ควรใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ เพื่อประเมินประสิทธิภาพของกลยุทธ์การซื้อขายอย่างรอบด้าน
------------------------------------------------
#44
สูตรคำนวณ Drawdown Forex คือ

เปิดบัญชี MT4 MT5 ได้ที่ https://www.exness.com/a/73208

Drawdown ใน Forex คือ การขาดทุนสูงสุดของพอร์ตลงทุน นับจากจุดสูงสุดที่เคยทำไว้จนถึงจุดต่ำสุดที่เคยทำไว้ คำนวณเป็นเปอร์เซ็นต์ของเงินทุนเริ่มต้น

สูตรคำนวณ Drawdown คือ


Drawdown = (จุดต่ำสุด - จุดสูงสุด) / จุดสูงสุด * 100%


ตัวอย่างเช่น

* สมมติว่าบัญชีของคุณมียอดเงินเริ่มต้น $100 และเพิ่มขึ้นเป็น $150 จากนั้นลดลงเหลือ $120
* Drawdown ของคุณจะเท่ากับ (120 - 150) / 150 * 100% = 20%

Drawdown เป็นตัวชี้วัดความเสี่ยงของพอร์ตลงทุน ยิ่ง Drawdown สูง แสดงว่าพอร์ตของคุณมีความเสี่ยงสูงที่จะขาดทุนมาก

โดยทั่วไปแล้ว Drawdown ไม่เกิน 30% ถือว่าอยู่ในระดับยอมรับได้ แต่ถ้า Drawdown สูงกว่า 30% แสดงว่าพอร์ตของคุณมีความเสี่ยงสูงที่จะขาดทุนมากกว่า 30% ของเงินทุน

นักเทรด Forex ควรคำนึงถึง Drawdown ในการวางแผนการลงทุน โดยควรเลือกระบบเทรดที่มี Drawdown ต่ำ เพื่อให้สามารถรับมือกับการขาดทุนได้

นอกจากนี้ นักเทรด Forex ยังสามารถใช้ Drawdown เพื่อกำหนดเป้าหมายในการเทรดได้ เช่น ตั้งเป้าหมายว่าจะไม่ขาดทุนเกิน 20% ของเงินทุน เป็นต้น

เครื่องมือคำนวณ Drawdown มีอยู่หลายแบบ เช่น เครื่องมือคำนวณในโบรกเกอร์ Forex หรือเครื่องมือคำนวณออนไลน์

ตัวอย่างเครื่องมือคำนวณ Drawdown ในโบรกเกอร์ Forex

* XM
* FBS
* Exness

ตัวอย่างเครื่องมือคำนวณ Drawdown ออนไลน์

* Myfxbook
* TradingView

นักเทรด Forex สามารถเลือกใช้เครื่องมือคำนวณ Drawdown ที่เหมาะสมกับตนเอง เพื่อติดตาม Drawdown ของพอร์ตลงทุนอย่างใกล้ชิด

------------------------------------------

Drawdown ในตลาด Forex หมายถึง การขาดทุนสูงสุดที่เกิดขึ้นในบัญชีการซื้อขายของคุณ ต่อจากยอดเงินสูงสุดที่คุณมีในบัญชีของคุณ เป็นวิธีการวัดความเสี่ยงของการซื้อขาย Forex และจะช่วยให้คุณเข้าใจถึงการดูดเงินและความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นในการซื้อขาย Forex ได้ดีขึ้น

สูตรคำนวณ Drawdown คือ:

\[ \text{Drawdown} = \frac{{\text{Peak Equity} - \text{Valley Equity}}}{{\text{Peak Equity}}} \times 100\% \]

โดยที่:
- Peak Equity คือ ยอดเงินสูงสุดที่คุณมีในบัญชีของคุณในช่วงระยะเวลาที่คุณกำลังวิเคราะห์
- Valley Equity คือ ยอดเงินต่ำสุดที่คุณมีในบัญชีของคุณในช่วงระยะเวลานั้น

ตัวอย่าง:
ถ้าคุณมี Peak Equity ในบัญชีของคุณเป็น $10,000 และ Valley Equity เป็น $9,000 แล้วค่า Drawdown คือ:

\[ \text{Drawdown} = \frac{{10,000 - 9,000}}{{10,000}} \times 100\% = 10\% \]

นี่คือ Drawdown ของคุณในที่นี้คือ 10% ซึ่งแสดงถึงการขาดทุนสูงสุดที่คุณเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลานั้นเท่ากับ 10% ของยอดเงินสูงสุดของคุณในบัญชี Forex ของคุณที่เป็น $10,000

----------------------------------
#45
ib forex ทำอะไรบ้างใน 1 วัน

เปิดบัญชี MT4 MT5 ได้ที่ https://www.exness.com/a/73208


IB Forex มีหน้าที่หลักในการแนะนำโบรกเกอร์ Forex ให้กับลูกค้า เมื่อมีคนสมัครโบรกเกอร์ Forex ภายใต้การแนะนำของ IB IB จะได้รับค่าตอบแทนเป็นเปอร์เซ็นต์จากโบรกเกอร์ Forex

กิจกรรมหลักของ IB Forex ใน 1 วัน ได้แก่

* **สร้างเนื้อหาและเผยแพร่บนช่องทางต่างๆ เพื่อโปรโมตโบรกเกอร์ Forex** เนื้อหานี้อาจเป็นบทความ วิดีโอ บทวิเคราะห์ หรืออื่นๆ ขึ้นอยู่กับเป้าหมายและกลุ่มเป้าหมายของ IB
* **ตอบคำถามและช่วยเหลือลูกค้า** IB ควรพร้อมที่จะตอบคำถามและช่วยเหลือลูกค้าเกี่ยวกับโบรกเกอร์ Forex และวิธีซื้อขาย
* **ติดตามผลกับลูกค้า** IB ควรติดตามผลกับลูกค้าเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาพอใจกับบริการและผลิตภัณฑ์ของโบรกเกอร์

นอกจากกิจกรรมหลักเหล่านี้แล้ว IB Forex ยังสามารถดำเนินกิจกรรมอื่นๆ เพิ่มเติมได้ เช่น

* **เข้าร่วมสัมมนาหรืองานแสดงสินค้าเพื่อพบปะลูกค้าเป้าหมาย**
* **สร้างเครือข่ายกับเทรดเดอร์และผู้เชี่ยวชาญด้าน Forex อื่นๆ**
* **พัฒนาทักษะและความรู้เกี่ยวกับ Forex เพื่อให้บริการลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น**

ตัวอย่างกิจกรรมของ IB Forex ใน 1 วัน

**เช้า**

* ตรวจสอบอีเมลและตอบคำถามลูกค้า
* เขียนบทความเกี่ยวกับกลยุทธ์การซื้อขาย Forex
* โพสต์วิดีโอสอนการเทรด Forex บน YouTube

**บ่าย**

* เข้าร่วมสัมมนาออนไลน์เกี่ยวกับ Forex
* ติดต่อโบรกเกอร์ Forex เพื่อขอข้อมูลและข้อเสนอพิเศษ
* ติดตามผลกับลูกค้าเพื่อดูว่าพวกเขามีคำถามหรือข้อกังวลใดๆ หรือไม่

**เย็น**

* อ่านหนังสือเกี่ยวกับ Forex
* ฝึกฝนการเทรด Forex บนบัญชีทดลอง
* วางแผนเนื้อหาที่จะเผยแพร่ในวันถัดไป

แน่นอนว่ากิจกรรมของ IB Forex ในแต่ละวันจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับเป้าหมายและระดับประสบการณ์ของ IB อย่างไรก็ตาม กิจกรรมหลักที่กล่าวมาข้างต้นเป็นพื้นฐานที่ IB Forex ควรทำเพื่อประสบความสำเร็จ

**เคล็ดลับสำหรับ IB Forex**

* ให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า
* เรียนรู้เกี่ยวกับ Forex อยู่เสมอ
* สร้างสรรค์และมีความมุ่งมั่น

หาก IB Forex สามารถปฏิบัติตามเคล็ดลับเหล่านี้ได้ พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จในการเป็น IB Forex
------------------------------------------

IB Forex (Introducing Broker Forex) คือบุคคลหรือบริษัทที่ร่วมงานกับโบรกเกอร์ Forex เพื่อแนะนำและส่งต่อลูกค้ามายังโบรกเกอร์นั้น ๆ โดย IB Forex มีบทบาทในการส่งต่อการซื้อขายให้กับโบรกเกอร์และรับค่าคอมมิชชั่นจากการซื้อขายของลูกค้าที่พวกเขาได้แนะนำ ในขณะที่ IB Forex ไม่ได้ทำการซื้อขายเงินตราต่างประเทศเอง แต่แทนในการช่วยเสริมการขายของโบรกเกอร์ Forex ดังนั้น ภาระงานของ IB Forex จะแตกต่างกับนักเทรด Forex ที่ทำการซื้อขายเงินตราต่างประเทศโดยตรง

งานของ IB Forex ในแต่ละวันอาจรวมถึง:

1. การสร้างและบริหารลูกค้า: IB Forex จะทำการติดต่อลูกค้าที่พวกเขาได้แนะนำและเตรียมความพร้อมให้กับการเทรด Forex โดยใช้เครื่องมือการตลาดของโบรกเกอร์ เช่น เว็บไซต์ แพลตฟอร์มการเทรด หรือเครื่องมือการวิเคราะห์.

2. การอธิบายและการแนะนำ: IB Forex จะให้คำแนะนำและอธิบายเกี่ยวกับข้อดีและข้อเสียของการเทรด Forex และสินค้าทางการเงินที่มีอยู่ให้กับลูกค้า เพื่อช่วยให้พวกเขาทำการตัดสินใจเรื่องการลงทุน.

3. การเฝ้าระวังและการติดตาม: IB Forex จะติดตามความคืบหน้าและการซื้อขายของลูกค้าของพวกเขา และอาจให้คำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการซื้อขายในกรณีที่จำเป็น.

4. การติดต่อกับโบรกเกอร์: IB Forex จะต้องร่วมงานกับโบรกเกอร์เพื่อให้บริการตลาดและการสนับสนุนลูกค้า รวมถึงการรับค่าคอมมิชชั่นและรายงานผลการตลาด.

5. การเสนอโปรโมชั่น: IB Forex อาจจัดโปรโมชั่นหรือข้อเสนอพิเศษเพื่อดึงดูดลูกค้าและสร้างความสนใจในการเทรด Forex.

6. การบันทึกข้อมูลและบัญชี: IB Forex จะต้องทำการบันทึกข้อมูลและบัญชีของลูกค้าเพื่อการติดตามและการรายงานค่าคอมมิชชั่นต่าง ๆ.

การทำงานของ IB Forex จะขึ้นอยู่กับโบรกเกอร์ที่พวกเขาร่วมงาน และมีความหลากหลายในบทบาทและรายละเอียดงานตามกฎหมายและนโยบายของแต่ละโบรกเกอร์ การสร้างรายได้ของ IB Forex จะอาศัยกับประสบการณ์ ความสามารถในการสร้างความสนใจจากลูกค้า และความรู้เกี่ยวกับตลาด Forex ของพวกเขา

----------------------------------------


IB Forex มีหน้าที่หลักในการแนะนำโบรกเกอร์ Forex ให้กับลูกค้า ดังนั้น กิจกรรมหลักของ IB Forex ในแต่ละวันจึงมุ่งเน้นไปที่การหาลูกค้าและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า กิจกรรมเหล่านี้อาจรวมถึง:

* **สร้างเนื้อหาและเผยแพร่บนช่องทางออนไลน์** เช่น เว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย และบล็อก เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับตลาด Forex และโบรกเกอร์ที่แนะนำ
* **เข้าร่วมกิจกรรมสัมมนาหรือเวิร์กช็อป** เพื่อพบปะและพูดคุยกับนักลงทุนที่สนใจ
* **ติดต่อลูกค้าโดยตรง** เช่น โทรศัพท์ อีเมล หรือแชทออนไลน์ เพื่อนำเสนอข้อเสนอและตอบคำถาม

นอกจากนี้ IB Forex อาจต้องทำงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการบัญชีของลูกค้า เช่น การตรวจสอบยอดเงิน การออกใบแจ้งยอด และตอบคำถามเกี่ยวกับบริการของโบรกเกอร์

ตัวอย่างกิจกรรมของ IB Forex ในแต่ละวันอาจรวมถึง:

* **09:00 น.** ตรวจสอบอีเมลและข้อความจากลูกค้า
* **10:00 น.** เขียนบทความเกี่ยวกับกลยุทธ์การเทรด Forex
* **11:00 น.** เข้าร่วมสัมมนาออนไลน์เกี่ยวกับตลาด Forex
* **12:00 น.** ทานอาหารกลางวัน
* **13:00 น.** ติดต่อลูกค้าเพื่อเสนอข้อเสนอพิเศษ
* **14:00 น.** ตรวจสอบยอดเงินของลูกค้า
* **15:00 น.** ตอบคำถามเกี่ยวกับบริการของโบรกเกอร์
* **16:00 น.** ทำงานอื่นๆ เช่น จัดการบัญชีและสร้างเนื้อหา

ความสำเร็จของ IB Forex ขึ้นอยู่กับความสามารถในการหาลูกค้าใหม่และรักษาลูกค้าที่มีอยู่ ดังนั้น IB Forex จึงต้องทำงานอย่างหนักและมุ่งมั่นที่จะให้บริการลูกค้าในระดับสูง

---------------------------------------------
#46
นักเทรดเดอร์  Forex ทำอะไรบ้างใน 1 วัน

เปิดบัญชี MT4 MT5 ได้ที่ https://www.exness.com/a/73208

กิจวัตรประจำวันของนักเทรดเดอร์ Forex อาจแตกต่างกันไปตามรูปแบบการเทรดของแต่ละคน แต่โดยทั่วไปแล้ว เทรดเดอร์ Forex จะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการวิเคราะห์ข้อมูลตลาดและตัดสินใจซื้อขาย กิจวัตรประจำวันของนักเทรดเดอร์ Forex อาจแบ่งออกเป็นขั้นตอนดังนี้

**ขั้นตอนที่ 1: เตรียมตัว**

ก่อนเริ่มเทรด นักเทรดเดอร์ Forex จะต้องเตรียมตัวให้พร้อม โดยอาจเริ่มจากการตรวจสอบข่าวเศรษฐกิจและเหตุการณ์สำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อตลาด Forex ตรวจสอบปฏิทินเศรษฐกิจเพื่อดูว่าจะมีข่าวสำคัญใด ๆ ที่จะประกาศในวันนั้นหรือไม่ และตรวจสอบการเคลื่อนไหวของราคาในอดีตเพื่อหาแนวโน้มและรูปแบบที่อาจเกิดขึ้น

**ขั้นตอนที่ 2: วิเคราะห์ตลาด**

หลังจากเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว นักเทรดเดอร์ Forex จะเข้าสู่ขั้นตอนการวิเคราะห์ตลาด โดยอาจใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคหรือการวิเคราะห์พื้นฐานเพื่อหาโอกาสในการซื้อขาย การวิเคราะห์ทางเทคนิคจะมุ่งเน้นไปที่การเคลื่อนไหวของราคาในอดีต ในขณะที่การวิเคราะห์พื้นฐานจะมุ่งเน้นไปที่ปัจจัยทางเศรษฐกิจและการเมืองที่อาจส่งผลกระทบต่อราคา

**ขั้นตอนที่ 3: ตัดสินใจซื้อขาย**

เมื่อนักเทรดเดอร์ Forex พบโอกาสในการซื้อขายแล้ว จะต้องตัดสินใจว่าจะเปิดออเดอร์หรือไม่ โดยต้องพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ เช่น ระดับความเสี่ยง/ผลตอบแทน แนวรับ/แนวต้าน และแนวโน้มของราคา

**ขั้นตอนที่ 4: จัดการการซื้อขาย**

หลังจากเปิดออเดอร์แล้ว นักเทรดเดอร์ Forex ต้องคอยติดตามการเคลื่อนไหวของราคาและจัดการการซื้อขายให้เป็นไปตามแผน โดยอาจใช้คำสั่ง Stop Loss และ Take Profit เพื่อจำกัดความเสี่ยงและกำหนดเป้าหมายในการซื้อขาย

**ขั้นตอนที่ 5: ประเมินผล**

หลังจากปิดออเดอร์แล้ว นักเทรดเดอร์ Forex ต้องประเมินผลของการทำกำไรหรือขาดทุน เพื่อเรียนรู้จากประสบการณ์และปรับปรุงกลยุทธ์การเทรด

นอกจากกิจวัตรประจำวันข้างต้นแล้ว นักเทรดเดอร์ Forex อาจใช้เวลาบางส่วนไปกับการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับตลาด Forex ฝึกฝนการเทรด และติดตามข่าวสารและเหตุการณ์สำคัญ

สำหรับนักเทรดเดอร์ Forex มือใหม่ อาจใช้เวลามากกว่านักเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์ในการเตรียมตัวและวิเคราะห์ตลาด สิ่งสำคัญคือต้องใช้เวลาในการเรียนรู้และฝึกฝนจนกว่าจะเข้าใจตลาดและกลยุทธ์การเทรดของตนเป็นอย่างดี
---------------------------------

กิจวัตรประจำวันของนักเทรดเดอร์ Forex นั้นอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทของการเทรด นักเทรดระยะสั้นอาจใช้เวลาส่วนใหญ่ในการติดตามการเคลื่อนไหวของราคาและเปิดและปิดตำแหน่งหลายครั้งต่อวัน นักเทรดระยะยาวอาจใช้เวลาส่วนใหญ่ในการวิเคราะห์แนวโน้มและเปิดตำแหน่งเพียงไม่กี่ครั้งต่อสัปดาห์

อย่างไรก็ตาม กิจวัตรประจำวันทั่วไปของนักเทรดเดอร์ Forex อาจรวมถึงสิ่งต่อไปนี้:

**ช่วงเช้า**

* ตรวจสอบข่าวเศรษฐกิจและปฏิทินเศรษฐกิจ
* วิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาและแนวโน้ม
* วางแผนการซื้อขาย
* ตั้งค่าตัวชี้วัดและเครื่องมือการซื้อขาย

**ช่วงบ่าย**

* ติดตามการเคลื่อนไหวของราคาและเปิดหรือปิดตำแหน่ง
* จัดการความเสี่ยงและควบคุมความเสี่ยง
* บันทึกผลลัพธ์การซื้อขาย

**ช่วงเย็น**

* วิเคราะห์ผลลัพธ์การซื้อขาย
* ปรับปรุงกลยุทธ์การซื้อขาย
* ศึกษาและค้นคว้าข้อมูลใหม่ ๆ

ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างกิจวัตรประจำวันของนักเทรดเดอร์ Forex ระยะสั้น:

**06:00 น.**

* ตื่นนอนและตรวจสอบข่าวเศรษฐกิจและปฏิทินเศรษฐกิจ
* วิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาและแนวโน้ม
* วางแผนการซื้อขาย
* ตั้งค่าตัวชี้วัดและเครื่องมือการซื้อขาย

**09:00 น.**

* ตลาดเปิดทำการ
* เริ่มติดตามการเคลื่อนไหวของราคาและเปิดตำแหน่ง

**15:00 น.**

* ตลาดปิดทำการ
* ปิดตำแหน่งและบันทึกผลลัพธ์
* วิเคราะห์ผลลัพธ์การซื้อขาย

ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างกิจวัตรประจำวันของนักเทรดเดอร์ Forex ระยะยาว:

**09:00 น.**

* ตรวจสอบข่าวเศรษฐกิจและปฏิทินเศรษฐกิจ
* วิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาและแนวโน้ม
* วางแผนการซื้อขาย

**10:00 น.**

* ศึกษาและค้นคว้าข้อมูลใหม่ ๆ

**12:00 น.**

* รับประทานอาหารกลางวัน

**13:00 น.**

* ติดตามการเคลื่อนไหวของราคาและปรับกลยุทธ์การซื้อขายตามความจำเป็น

**18:00 น.**

* ปิดตำแหน่งและบันทึกผลลัพธ์
* วิเคราะห์ผลลัพธ์การซื้อขาย

นักเทรดเดอร์ Forex ประสบความสำเร็จหลายคนมีกิจวัตรประจำวันที่เข้มงวด พวกเขาใช้เวลาในการวางแผนการซื้อขายและติดตามการเคลื่อนไหวของราคาอย่างรอบคอบ พวกเขายังตระหนักถึงความเสี่ยงและควบคุมความเสี่ยงอย่างระมัดระวัง

-------------------------------------------------

นักเทรดเดอร์ Forex ทำงานในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โดยจะมีกิจกรรมต่าง ๆ ในแต่ละวัน ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้:

1. การวิเคราะห์ตลาด: นักเทรดจะทำการวิเคราะห์ตลาดเพื่อให้เข้าใจสภาพคล่องของตลาดและโอกาสการซื้อขายในวันนั้น ๆ โดยจะใช้การวิเคราะห์เทคนิคและ/หรือการวิเคราะห์พื้นฐานในการตัดสินใจ.

2. การจัดการพอร์ตการเทรด: นักเทรดจะต้องตรวจสอบและปรับปรุงพอร์ตการเทรดของพวกเขาโดยตรง นี้รวมถึงการตรวจสอบความเสี่ยงและการจัดการเงิน.

3. การควบคุมคำสั่งซื้อขาย: นักเทรดจะทำการควบคุมคำสั่งซื้อขายตามแผนการซื้อขายของพวกเขา รวมถึงการตั้งค่าคำสั่ง Stop Loss และ Take Profit เพื่อควบคุมความเสี่ยง.

4. การเฝ้าระวังตลาด: นักเทรดจะต้องติดตามสถานการณ์ตลาดอยู่เสมอ รวมถึงข่าวสารและเหตุการณ์ที่อาจมีผลกระทบต่อการเทรด.

5. การศึกษาและการพัฒนา: นักเทรดจะใช้เวลาในการศึกษาและพัฒนาทักษะการเทรดของพวกเขา รวมถึงการศึกษากราฟและการศึกษาการวิเคราะห์ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเทรด.

6. การสร้างยุทธวิธีการเทรด: นักเทรดจะต้องพัฒนายุทธวิธีการเทรดที่เหมาะกับสไตล์และวัตถุประสงค์การลงทุนของพวกเขา.

7. การติดต่อและการแลกเปลี่ยนข้อมูล: นักเทรดบางคนอาจติดต่อกับผู้เทรดคนอื่นหรือรับข้อมูลจากชุมชนการเทรดเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์.

8. การปิดตำแหน่ง: ในท้ายที่สุดของวัน นักเทรดจะต้องดำเนินการปิดคำสั่งซื้อขายที่อาจเปิดไว้ในช่วงวันนั้น ๆ โดยใช้ความระมัดระวังในการบริหารพอร์ต.

การเทรด Forex เป็นกิจกรรมที่ต้องใช้ความรอบคอบและความรับผิดชอบสูง นักเทรดจะต้องใช้เวลาและพลังงานในการเตรียมความพร้อมและติดตามตลาดในทุกๆ วันเพื่อความประสบความสำเร็จในการเทรด Forex.

----------------------------
#47
ข่าว CPI  (Consumer Price Index) คือ

เปิดบัญชี MT4 MT5 ได้ที่ https://www.exness.com/a/73208

ข่าว CPI คือข่าวที่รายงานเกี่ยวกับดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index) ซึ่งเป็นตัวเลขทางสถิติที่ใช้วัดการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการที่ครอบครัวหรือผู้บริโภคซื้อหามาบริโภคเป็นประจำ ในปัจจุบันเปรียบเทียบกับราคาในปีที่กำหนดไว้เป็นปีฐาน

ข่าว CPI มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงิน เนื่องจากเป็นดัชนีชี้วัดภาวะเงินเฟ้อ (Inflation) ซึ่งหมายถึงการที่ราคาสินค้าและบริการโดยรวมปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เงินเฟ้อที่สูงอาจส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคและภาคธุรกิจในหลายด้าน เช่น ทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้น อำนาจซื้อของผู้บริโภคลดลง และต้นทุนการผลิตของภาคธุรกิจสูงขึ้น

ข่าว CPI มักรายงานข้อมูล 2 ประเภท ได้แก่

* ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (Headline CPI) ซึ่งรวมสินค้าทุกหมวดหมู่ที่เกี่ยวข้องกับโภคภัณฑ์ บริการ และสินค้าทั้งหมด
* ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปที่เกี่ยวข้องกับสินค้า บริการ และสินค้าทั้งหมดในระบบเศรษฐกิจ หักสินค้าด้วยราคาเชื้อเพลิงและอาหารที่ผันผวน

ข่าว CPI มักได้รับการเผยแพร่โดยหน่วยงานของรัฐหรือองค์กรที่เชื่อถือได้ เช่น สำนักงานสถิติแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย และธนาคารกลางสหรัฐฯ

ตัวอย่างข่าว CPI ในประเทศไทย ได้แก่

* **สำนักงานสถิติแห่งชาติเผย CPI เดือนสิงหาคม 2566 อยู่ที่ 10.29%**
* **ธนาคารแห่งประเทศไทยคาดการณ์เงินเฟ้อปี 2566 จะอยู่ที่ 4-5%**
* **ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงหลัง CPI เดือนสิงหาคม 2566 ออกมาสูงกว่าคาด**

ตัวอย่างข่าว CPI ในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้แก่

* **กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เผย CPI เดือนสิงหาคม 2566 อยู่ที่ 6.2%**
* **ธนาคารกลางสหรัฐฯ ขึ้นดอกเบี้ย 0.75% เป็นครั้งแรกในรอบ 28 ปี**
* **ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงหลัง CPI เดือนสิงหาคม 2566 ออกมาสูงกว่าคาด**

สำหรับวันนี้ (20 กันยายน 2566) ยังไม่มีข่าว CPI ใดๆ ออกมา เนื่องจากยังเป็นวันที่ 20 ของเดือน ข้อมูล CPI ที่จะออกมาจะรายงานในวันที่ 30 กันยายน 2566

-------------------------------------------------------
ข่าวสาร CPI คือ รายงานข่าวเกี่ยวกับดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index: CPI) ซึ่งเป็นตัวเลขทางสถิติที่ใช้วัดการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการที่ผู้บริโภคซื้อหามาบริโภคเป็นประจำ ในปัจจุบันเปรียบเทียบกับราคาในปีที่กำหนดไว้เป็นปีฐาน

ข่าวสาร CPI มักเกี่ยวข้องกับภาวะเงินเฟ้อ โดยหากตัวเลข CPI สูงขึ้น แสดงว่าอัตราเงินเฟ้อก็สูงขึ้นเช่นกัน ซึ่งอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมในหลายด้าน เช่น รายได้ของผู้บริโภคลดลง ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ฯลฯ

ตัวอย่างข่าวสาร CPI ที่น่าสนใจ ได้แก่

* **รายงาน CPI ของสหรัฐอเมริกาในเดือนสิงหาคม 2023 อยู่ที่ 7.5% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี** ตัวเลข CPI ที่สูงนี้สะท้อนให้เห็นถึงภาวะเงินเฟ้อที่รุนแรงในสหรัฐอเมริกา ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมและนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed)
* **รายงาน CPI ของไทยในเดือนสิงหาคม 2023 อยู่ที่ 2.56% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 13 ปี** ตัวเลข CPI ที่สูงนี้สะท้อนให้เห็นถึงภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในประเทศไทย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อรายได้ของผู้บริโภคและต้นทุนการผลิต

ข่าวสาร CPI มักถูกเผยแพร่ผ่านสื่อต่างๆ เช่น หนังสือพิมพ์ เว็บไซต์ ข่าวโทรทัศน์ ฯลฯ ผู้ที่สนใจติดตามข่าวสาร CPI สามารถติดตามได้จากแหล่งข้อมูลเหล่านี้

สำหรับข่าวสาร CPI ในประเทศไทย มักเผยแพร่โดยสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ โดยสามารถติดตามได้จากเว็บไซต์ของ สนค. หรือสื่อต่างๆ

ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของข่าว CPI ในประเทศไทย:

* **สนค. เผย CPI เดือนสิงหาคม 2566 อยู่ที่ 2.56% สูงสุดในรอบ 13 ปี**
* **CPI เดือนสิงหาคม 2566 ปัจจัยหลักมาจากราคาน้ำมันและอาหาร**
* **คาดการณ์ CPI เดือนกันยายน 2566 อาจอยู่ที่ 2.7-2.8%**

ผู้ลงทุนสามารถติดตามข่าวสาร CPI เพื่อประกอบการตัดสินใจในการลงทุนได้ โดยหากตัวเลข CPI สูงขึ้น อาจส่งผลต่อการลงทุนในด้านต่างๆ เช่น การลงทุนในหุ้น การลงทุนในตราสารหนี้ การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ

-------------------------------------------
#48
การติดตั้ง และการแก้ไข Lets Encrypt  ให้เว็บเป็น SSL หรือ https ทำอย่างไร

เข้าหน้า login Plesk

เข้าเมนู Security --> SSL/TLS Certificate -->

เลือก Install a free basic certificate provided by Let's Encrypt --> Install

คลิกถูกทั้งหมด --> Get in free
Secure the domain name
Secure the wildcard domain (including www and webmail)
Assign the certificate to the mail domain

คลิก Reload --> ใช้งาน SSL ได้แล้ว

ระบบจะทำการต่ออายุทุก 3 เดือน หรือถ้าไม่ได้ให้ต่ออายุด้วยตนเอง

สรพล
#49
Exness เผยปริมาณการซื้อขายรายเดือนทุบสถิติแตะ 4.5 ล้านล้านดอลลาร์ 13 กย. 2566

เปิดบัญชี MT4 MT5 ได้ที่ https://www.exness.com/a/73208

Exness (เอกซ์เนสส์) โบรกเกอร์ผู้ให้บริการสินทรัพย์หลากหลายประเภท รายงานว่า ปริมาณการซื้อขายรายเดือนพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 4.521 ล้านล้านดอลลาร์ และมีจำนวนลูกค้าที่ใช้งานอยู่แตะ 625,626 รายในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา

ผลลัพธ์ดังกล่าวมีขึ้นหลังจากบริษัทมีปริมาณการซื้อขายทำลายสถิติในเดือนกรกฎาคม แตะ 3.91 ล้านล้านดอลลาร์ และมีจำนวนลูกค้าที่ใช้งานอยู่แตะ 571,380 ราย ตัวเลขของเดือนสิงหาคมแสดงให้เห็นว่า ปริมาณการซื้อขายรายเดือนเพิ่มขึ้น 36% จากเดือนก่อนหน้า และลูกค้าที่ใช้งานอยู่เพิ่มขึ้น 9.49%

นับเป็นครั้งแรกที่โบรกเกอร์ CFD มีปริมาณการซื้อขายทะลุ 4 ล้านล้านดอลลาร์

Exness ทำลายสถิติด้านปริมาณการซื้อขายอย่างต่อเนื่องมานานกว่าสองปี โดยเป็นโบรกเกอร์ CFD รายย่อยรายแรกที่มีปริมาณการซื้อขายแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์, 2 ล้านล้านดอลลาร์ และ 3 ล้านล้านดอลลาร์ ก่อนทำลายสถิติความสำเร็จครั้งล่าสุดนี้ ความสำเร็จอย่างต่อเนื่องของบริษัทมาจากการขยายธุรกิจไปทั่วโลกและความไว้วางใจจากลูกค้าทั่วโลก เห็นได้จากจำนวนลูกค้าที่ใช้งานอยู่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เดเมียน บันซ์ (Damian Bunce) ซีซีโอของ Exness กล่าวว่า "เดือนนี้ถือเป็นเดือนพิเศษสำหรับเรา โดยมีการเติบโตทำลายสถิติในเกือบทุกภูมิภาค ครอบคลุมทั้งตลาดเกิดใหม่และตลาดเดิมที่มั่นคงแล้ว นี่ส่งสัญญาณให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การเติบโตนั้นเพิ่มขึ้นทั่วทั้งอุตสาหกรรม การเติบโตของปริมาณสินทรัพย์ของเราได้รับแรงหนุนจากสินค้าโภคภัณฑ์เป็นหลัก สอดคล้องกับทิศทางธีมเศรษฐกิจมหภาคในตลาดโลก เรามีปริมาณการซื้อขายสูงเป็นประวัติการณ์ทั้งในตลาดพลังงานและโลหะมีค่า และยังเป็นครั้งแรกที่เรามีปริมาณการซื้อขายคู่สกุลเงินรองสูงสุดเช่นกัน ปริมาณการซื้อขายคริปโทฯ ของเราอยู่ในเกณฑ์ดีแต่ไม่ได้ทำลายสถิติใด ๆ ส่วนหุ้นและดัชนีดำเนินตามเทรนด์ปกติ"

เกี่ยวกับ Exness:

Exness เป็นโบรกเกอร์ระดับโลกผู้ให้บริการสินทรัพย์หลากหลายประเภท โดยผสานเทคโนโลยีและหลักจริยธรรมอย่างลงตัวเพื่อสร้างตลาดชั้นดีสำหรับเทรดเดอร์และยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรม หลักการและวิสัยทัศน์ของ Exness มุ่งเน้นการมอบประสบการณ์การซื้อขายราบรื่นแก่ลูกค้า ด้วยการปรับโฉมตลาดการเงินให้มีชีวิตชีวาในแบบที่พวกเขาควรจะได้สัมผัส อัตลักษณ์และความมุ่งมั่นของ Exness ต่อทั้งโลกของเทคโนโลยีและจริยธรรม ตลอดจนฐานลูกค้าประจำที่มีจำนวนเทรดเดอร์ที่ใช้งานอยู่มากกว่า 600,000 ราย เป็นแรงผลักดันสำคัญของแบรนด์ระดับโลกรายนี้ ปัจจุบัน Exness มีปริมาณการซื้อขายมากกว่า 4.5 ล้านล้านดอลลาร์ต่อเดือน และได้ให้ความสำคัญกับกลยุทธ์การขยายตลาด

ที่มา https://www.thaipr.net/finance/3381993
#50
ผู้ใช้งาน pc vs มือถือ อะไรมากกว่ากัน

ในปัจจุบัน ผู้ใช้งานมือถือมากกว่าผู้ใช้งานพีซี โดยข้อมูลจาก Statista พบว่า ในปี 2023 มีผู้ใช้งานมือถือทั่วโลกประมาณ 7.44 พันล้านคน ในขณะที่มีผู้ใช้งานพีซีประมาณ 3.95 พันล้านคน คิดเป็นอัตราส่วน 1.88:1

สาเหตุที่ผู้ใช้มือถือมากกว่าผู้ใช้พีซีนั้นมีหลายประการ ประการแรก มือถือมีราคาที่ถูกกว่าพีซีมาก ทำให้เข้าถึงได้ง่ายกว่า ประการที่สอง มือถือพกพาสะดวกกว่าพีซี ทำให้สามารถใช้งานได้ทุกที่ทุกเวลา ประการที่สาม มือถือมีแอปพลิเคชันหลากหลายให้เลือกใช้งานมากกว่าพีซี

อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้พีซีก็ยังคงมีจำนวนไม่น้อยอยู่ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้งานที่ต้องใช้พีซีในการทำงานหรือเล่นเกม ตัวอย่างเช่น ผู้ใช้พีซีที่ใช้ทำงานกราฟิกหรือตัดต่อวิดีโอ ผู้ใช้พีซีที่ใช้เล่นเกมระดับ AAA ผู้ใช้พีซีที่ใช้ทำงานด้านการเงินหรือวิศวกรรม

นอกจากนี้ แนวโน้มในอนาคต คาดว่าจำนวนผู้ใช้มือถือจะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่จำนวนผู้ใช้พีซีจะเพิ่มขึ้นในอัตราที่ช้าลง เนื่องจากเทคโนโลยีมือถือมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้มือถือสามารถใช้งานในหลาย ๆ รูปแบบที่คล้ายกับพีซีได้มากขึ้น

สรุปได้ว่า ในปัจจุบัน ผู้ใช้งานมือถือมากกว่าผู้ใช้งานพีซี โดยสาเหตุหลัก ๆ มาจากราคาที่ถูกกว่า พกพาสะดวกกว่า และมีแอปพลิเคชันหลากหลายให้เลือกใช้งานมากกว่า อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้พีซีก็ยังคงมีจำนวนไม่น้อยอยู่ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้งานที่ต้องใช้พีซีในการทำงานหรือเล่นเกม

---------------------------------------------------

ในปัจจุบัน (ปี 2023) ผู้ใช้งานมือถือมากกว่าผู้ใช้งานพีซี จากการสำรวจของ Statista พบว่ามีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลกประมาณ 5.4 พันล้านคน โดยผู้ใช้มือถือคิดเป็น 4.6 พันล้านคน หรือคิดเป็น 84.8% ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั้งหมด ในขณะที่ผู้ใช้พีซีคิดเป็น 790 ล้านคน หรือคิดเป็น 14.2%

สาเหตุที่ผู้ใช้มือถือมากกว่าผู้ใช้งานพีซี เนื่องจากความสะดวกในการใช้งาน มือถือเป็นอุปกรณ์พกพาที่ผู้ใช้สามารถพกติดตัวไปได้ทุกที่ ทำให้สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ตลอดเวลา ในขณะที่พีซีเป็นอุปกรณ์ขนาดใหญ่ที่ต้องใช้พื้นที่ในการตั้งวาง ทำให้ผู้ใช้ต้องใช้งานพีซีอยู่ที่บ้านหรือที่ทำงานเท่านั้น

นอกจากนี้ มือถือยังมีแอปพลิเคชันมากมายที่ตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวัน เช่น แอปพลิเคชันโซเชียลมีเดีย แอปพลิเคชันอีคอมเมิร์ซ แอปพลิเคชันการขนส่งสาธารณะ แอปพลิเคชันเกม เป็นต้น ในขณะที่แอปพลิเคชันบนพีซีส่วนใหญ่เน้นการใช้งานในด้านการทำงานและการศึกษา

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าผู้ใช้มือถือจะมากกว่าผู้ใช้งานพีซี แต่ผู้ใช้พีซีก็ยังคงมีบทบาทสำคัญในการใช้งานอินเทอร์เน็ตในด้านการทำงานและการศึกษา เนื่องจากพีซีมีหน้าจอขนาดใหญ่และมีประสิทธิภาพในการทำงานสูงกว่ามือถือ ทำให้เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องใช้ความเข้มข้นและความละเอียดสูง

สรุปได้ว่า ผู้ใช้งานมือถือมากกว่าผู้ใช้งานพีซี เนื่องจากความสะดวกในการใช้งานและตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้พีซียังคงมีบทบาทสำคัญในการใช้งานอินเทอร์เน็ตในด้านการทำงานและการศึกษา

------------------------------------------------
วิธีการเลือกใช้คอมพิวเตอร์ส่วนตัว (PC) หรือมือถือขึ้นอยู่กับความต้องการและการใช้งานของแต่ละบุคคล ดังนั้นไม่มีคำตอบที่ถูกต้องหรือผิดสำหรับทุกคน ดังนี้คือความเปรียบเทียบระหว่าง PC และมือถือในบางแง่:

1. ประสิทธิภาพ:
   - PC มักมีประสิทธิภาพที่ดีกว่าในการประมวลผลงานที่ต้องการความสามารถในการประมวลผลที่สูง เช่น การเล่นเกมคอมพิวเตอร์, การทำงานกับซอฟต์แวร์ต้องใช้ทรัพยากรมาก เป็นต้น

2. พลังงานและเครื่องมือ:
   - มือถือมีขนาดเล็กและเครื่องมือแบบพกพา ทำให้เหมาะสำหรับการใช้งานตอนเดินทาง แต่ PC มักมีขนาดใหญ่และต้องเชื่อมต่อกับแหล่งพลังงาน ดังนั้นมีความยืดหยุ่นในการเลือกใช้ตามสถานการณ์

3. การเล่นเกม:
   - PC มักมีประสิทธิภาพที่ดีกว่าในการเล่นเกมคอมพิวเตอร์และรองรับเกมที่มีกราฟิกสูง และการควบคุมด้วยคีย์บอร์ดและเมาส์ที่เหมาะสม
   - มือถือมีเกมมือถือที่มีคุณภาพสูงและควบคุมด้วยหน้าจอสัมผัส แต่ประสิทธิภาพอาจจะต่ำกว่าเมื่อเทียบกับ PC

4. การทำงาน:
   - PC มักมีการทำงานกับซอฟต์แวร์ที่มีความซับซ้อนได้ดีกว่า และเหมาะสำหรับงานเชิงวิเคราะห์และสร้างสรรค์ เช่น การแก้ไขวิดีโอหรือเสียง งานด้านกราฟิก และการเขียนโปรแกรม

5. ความสะดวกสบาย:
   - มือถือมีความสะดวกสบายในการใช้งานตอนเดินทาง การทำงานระหว่างที่นั่งบนโซฟาหรือเตียง และการเข้าถึงแอปพลิเคชันและข้อมูลผ่านหน้าจอสัมผัส

6. ราคา:
   - PC มักมีราคาที่สูงกว่ามือถือที่มีสมรรถนะเทียบเคียง แต่มีหลายระดับราคาตามสเปกต์ของเครื่อง

ในที่สุด การเลือกใช้ PC หรือมือถือขึ้นอยู่กับความต้องการและการใช้งานของคุณ คุณอาจจะมีทั้ง PC และมือถือเพื่อรองรับการใช้งานที่หลากหลายได้ดีที่สุด.
------------------------------------------------------