• Welcome to จั่นเจาดอทคอม ถามตอบ คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต Forex MT4 MT5 เทรดทอง .
 

News:

IB Exness 16 สิงหาคม 2568 ประกาศจับสลากผลรางวัล
รางวัลที่ 1 มือถือ Oppo A3X 4GB/64GB เครื่อง 1 รางวัล หรือ 100 USD 1 รางวัล
รางวัลที่ 2 10 USD 10 รางวัล
รางวัลที่ 3 หมวก Exness 10 รางวัล
ลูกค้าใหม่ สมัครได้ที่ https://www.exness.com/a/73208
ลูกค้าเก่าที่สมัครผ่านลิงค์ตัวแทนผม สมัครได้
เงื่อนไข เทรดครบ 1 Lot Standard เริ่มต้น 1-15 สิงหาคม 2568
ติดต่อสอบถามหรือ Indox มา
สรพล
Line : junjaocom
หน้าประกาศรางวัล https://junjao.com/exness16072568.html
สเปกเครื่อง https://www.siamphone.com/spec/oppo/a3x.htm

Main Menu

Recent posts

#1
การเริ่มใช้ **MobilePay** (หรือแอปพลิเคชันจ่ายเงินผ่านมือถือ เช่น MobilePay ของเดนมาร์ก, หรือแอปธนาคารในไทย เช่น เป๋าตัง, TrueMoney Wallet, PromptPay) ขึ้นอยู่กับประเทศและบริการที่คุณหมายถึงค่ะ แต่ถ้าคุณหมายถึง **MobilePay ของเดนมาร์ก** (หรือของประเทศที่รองรับ MobilePay โดยเฉพาะ) นี่คือขั้นตอนเริ่มต้นอย่างคร่าว ๆ:

---

## ✅ วิธีเริ่มต้นใช้งาน MobilePay (เวอร์ชันเดนมาร์ก):

### 1. **เตรียมข้อมูลที่จำเป็น**

* หมายเลขโทรศัพท์มือถือ (เบอร์ต้องลงทะเบียนกับธนาคาร)
* บัญชีธนาคารในประเทศเดนมาร์ก
* บัตรประชาชนหรือ NemID/MitID
* สมาร์ตโฟน (iPhone หรือ Android)

---

### 2. **ดาวน์โหลดแอป MobilePay**

* เข้าไปที่ App Store (iPhone) หรือ Google Play (Android)
* ค้นหาคำว่า "**MobilePay**"
* ดาวน์โหลดและติดตั้ง

---

### 3. **ลงทะเบียน**

* เปิดแอปและกด "Get started" หรือ "Start"
* ยืนยันเบอร์โทรศัพท์ของคุณผ่าน SMS
* ป้อนข้อมูลบัญชีธนาคาร
* เชื่อมต่อกับบัตรเดบิต/เครดิต (หรือบัญชีธนาคารโดยตรง)
* ยืนยันตัวตนด้วย NemID หรือ MitID

---

### 4. **ตั้งรหัสผ่านหรือ FaceID**

* ตั้ง PIN 4 หลัก หรือเปิดใช้งานการยืนยันตัวตนด้วยลายนิ้วมือ/ใบหน้า
* เสร็จสิ้นการตั้งค่า

---

## ✅ MobilePay ใช้ทำอะไรได้บ้าง?

* โอนเงินให้เพื่อนโดยใช้แค่เบอร์โทร
* จ่ายเงินในร้านค้าด้วยการสแกน QR Code
* ซื้อของออนไลน์แบบง่ายและปลอดภัย
* เชื่อมต่อกับร้านค้าและธุรกิจสำหรับรับชำระเงิน

---

## 🔒 ปลอดภัยไหม?

MobilePay มีมาตรการรักษาความปลอดภัย เช่น:

* การยืนยันตัวตนด้วย PIN / FaceID / NemID
* มีระบบตรวจจับธุรกรรมที่ผิดปกติ

---------------------------------------------

ในประเทศไทย **MobilePay** ไม่มีในชื่อแบบนั้นโดยตรง แต่ถ้าหมายถึง **การจ่ายเงินผ่านมือถือ (Mobile Payment)** หรือระบบที่คล้ายกับ MobilePay ในเดนมาร์ก — ที่นิยมและใช้งานได้จริงในไทยจะมีดังนี้:

---

## ✅ 1. ระบบ Mobile Payment ที่ใช้กันในไทย

### 🔹 **PromptPay (พร้อมเพย์)**

* โอนเงิน/รับเงินผ่าน **เบอร์มือถือ**, **เลขบัตรประชาชน**, หรือ **E-Wallet**
* ใช้กับแอปของธนาคารต่าง ๆ ได้เลย (K PLUS, SCB EASY, Krungthai NEXT ฯลฯ)

### 🔹 **TrueMoney Wallet**

* ใช้จ่ายร้านสะดวกซื้อ (เช่น 7-Eleven)
* โอนเงิน/เติมเงินมือถือ จ่ายบิล
* เชื่อมกับ Shopee, Lazada, เกม ฯลฯ

### 🔹 **LINE BK**

* เป็นระบบโอนเงินผ่าน LINE โดยตรง
* ใช้เบอร์มือถือ/บัญชี LINE ในการโอนและจ่าย

### 🔹 **แอปธนาคาร**

* แอปของธนาคารทุกแห่งในไทยสามารถโอน-จ่ายผ่านมือถือได้ เช่น:

  * K PLUS (กสิกร)
  * SCB EASY (ไทยพาณิชย์)
  * Krungthai NEXT (กรุงไทย)
  * Bualuang mBanking (กรุงเทพ)

---

## ✅ วิธีเริ่มต้นใช้งาน Mobile Payment ในไทย

### 🔹 **ทางเลือกที่ 1: ใช้แอปธนาคาร + พร้อมเพย์**

1. เปิดบัญชีธนาคาร
2. โหลดแอปธนาคาร เช่น K PLUS, SCB EASY
3. สมัคร PromptPay (ผูกเบอร์มือถือหรือบัตรประชาชน)
4. พร้อมโอน/รับเงินได้เลยโดยไม่ต้องใช้เลขบัญชี

---

### 🔹 **ทางเลือกที่ 2: ใช้ TrueMoney Wallet**

1. ดาวน์โหลดแอป **TrueMoney Wallet**
2. สมัครด้วยเบอร์มือถือ
3. ยืนยันตัวตนด้วยบัตรประชาชน
4. เติมเงินผ่าน 7-Eleven, ตู้ ATM, หรือบัญชีธนาคาร
5. ใช้จ่ายร้านค้า, เติมเงิน, จ่ายบิล ฯลฯ

---

### 🔹 **ทางเลือกที่ 3: ใช้ LINE BK**

1. โหลดแอป **LINE** และสมัครใช้งาน
2. เข้าเมนู LINE BK
3. เปิดบัญชี (ร่วมกับ KBank)
4. ใช้โอน-จ่ายผ่านแชต LINE ได้เลย

---

## 🛒 ใช้ Mobile Payment จ่ายอะไรได้บ้าง?

* ร้านค้าออนไลน์/ออฟไลน์
* สแกน QR Code จ่ายที่ตลาดหรือร้านสะดวกซื้อ
* จ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์
* เติมเงินมือถือ
* โอนเงินให้เพื่อน/ครอบครัว

-----------------------------------------

#2
การแบ่งช่วงเวลาใน 1 วัน (24 ชั่วโมง) สำหรับแต่ละช่วงวัย — **วัยเรียน**, **วัยทำงาน**, และ **วัยผู้สูงอายุ** — จะแตกต่างกันตามลักษณะกิจกรรมและความจำเป็นของแต่ละช่วงวัย โดยสามารถแบ่งช่วงเวลาอย่างคร่าว ๆ ได้ดังนี้:

---

### 🧒 1. **วัยเรียน** (โดยเฉพาะเด็กวัยประถม - มัธยม)

| เวลา              | กิจกรรมหลัก                                           |
| ----------------- | ----------------------------------------------------- |
| **05.30 - 07.00** | ตื่นนอน, อาบน้ำ, เตรียมตัวไปโรงเรียน                  |
| **07.00 - 08.00** | เดินทางไปโรงเรียน / กินข้าวเช้า                       |
| **08.00 - 15.30** | เรียนหนังสือที่โรงเรียน                               |
| **15.30 - 17.00** | กิจกรรมหลังเลิกเรียน (ชมรม, เล่นกีฬา)                 |
| **17.00 - 18.30** | เดินทางกลับบ้าน / อาบน้ำ / พักผ่อน                    |
| **18.30 - 20.00** | ทำการบ้าน / ทบทวนบทเรียน                              |
| **20.00 - 21.00** | พักผ่อน / เตรียมตัวเข้านอน                            |
| **21.00 - 05.30** | นอนหลับ (ประมาณ 8 ชั่วโมง)**✅สำคัญต่อการเจริญเติบโต** |

---

### 👩�💼 2. **วัยทำงาน** (ประมาณ 22 - 60 ปี)

| เวลา              | กิจกรรมหลัก                              |
| ----------------- | ---------------------------------------- |
| **05.30 - 07.00** | ตื่นนอน, เตรียมตัว, ออกกำลังกาย          |
| **07.00 - 08.30** | เดินทางไปทำงาน / กินข้าวเช้า             |
| **08.30 - 12.00** | ทำงาน                                    |
| **12.00 - 13.00** | พักกลางวัน                               |
| **13.00 - 17.00** | ทำงานช่วงบ่าย                            |
| **17.00 - 18.30** | เดินทางกลับบ้าน / ออกกำลังกาย            |
| **18.30 - 20.00** | กินข้าว / พักผ่อนกับครอบครัว             |
| **20.00 - 22.00** | ทำงานอดิเรก / เรียนเพิ่มเติม / ดูทีวี    |
| **22.00 - 05.30** | พักผ่อนนอนหลับ (ประมาณ 6.5 - 7.5 ชม)\*\* |

---

### 👵 3. **วัยผู้สูงอายุ** (ประมาณ 60 ปีขึ้นไป)

| เวลา              | กิจกรรมหลัก                                       |
| ----------------- | ------------------------------------------------- |
| **04.30 - 06.00** | ตื่นเช้า / ออกกำลังกายเบา ๆ (เช่น เดิน, รำไทเก็ก) |
| **06.00 - 07.00** | อาบน้ำ / ทำอาหาร                                  |
| **07.00 - 09.00** | กินอาหารเช้า / พักผ่อน                            |
| **09.00 - 11.30** | ทำงานบ้าน / ทำสวน / อ่านหนังสือ                   |
| **11.30 - 13.00** | เตรียมอาหารกลางวัน / พักกลางวัน                   |
| **13.00 - 14.00** | งีบพักกลางวัน (อาจมี)                             |
| **14.00 - 17.00** | ดูทีวี / เดินเล่น / ทำกิจกรรมเบา ๆ                |
| **17.00 - 19.00** | กินข้าวเย็น / พูดคุยกับคนในบ้าน                   |
| **19.00 - 20.00** | เตรียมตัวเข้านอน                                  |
| **20.00 - 04.30** | นอนหลับ (อาจหลับเร็ว ตื่นเช้า)\*\*                |

---

### หมายเหตุ:

* ตารางเหล่านี้เป็นภาพรวมโดยประมาณ อาจมีการเปลี่ยนแปลงตามไลฟ์สไตล์, สถานที่, สุขภาพ หรือความต้องการเฉพาะบุคคล
* ผู้สูงอายุมักต้องการเวลานอนน้อยกว่าวัยอื่น แต่ควรเน้นคุณภาพการนอน
* วัยทำงานบางกลุ่ม (เช่น กะกลางคืน) อาจมีตารางเวลาแตกต่างออกไป

#3
IB Exness 16 สิงหาคม 2568 ประกาศจับสลากผลรางวัล
รางวัลที่ 1 มือถือ Oppo A3x 4GB/64GB เครื่อง 1 รางวัล หรือ 100 USD 1 รางวัล
รางวัลที่ 2 10 USD 10 รางวัล
รางวัลที่ 3 หมวก Exness 10 รางวัล
ลูกค้าใหม่ สมัครได้ที่ https://www.exness.com/a/73208
ลูกค้าเก่าที่สมัครผ่านลิงค์ตัวแทนผม สมัครได้
เงื่อนไข เทรดครบ 1 Lot Standard เริ่มต้น 1-15 สิงหาคม 2568
ติดต่อสอบถามหรือ Indox มา
สรพล
Line : junjaocom
หน้าประกาศรางวัล https://junjao.com/exness16072568.html
สเปกเครื่อง https://www.siamphone.com/spec/oppo/a3x.htm
#4
รถยนต์ **Mercedes-Benz S-Class** เป็นหนึ่งในรุ่นที่สำคัญที่สุดของ Mercedes-Benz ซึ่งมีชื่อเสียงด้านความหรูหรา ความปลอดภัย และเทคโนโลยีล้ำสมัย S-Class เปรียบเสมือนเวทีเปิดตัวนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ภายหลังถูกนำไปใช้ในรุ่นอื่นของค่าย มาดูประวัติการสร้างและต้นทุนด้านงานวิจัยและพัฒนากัน:

---

## 🕰� ประวัติการสร้าง S-Class

### 1. **ต้นกำเนิดก่อนชื่อ S-Class**

* ในช่วงก่อนปี 1972 Mercedes-Benz ผลิตรถซีดานหรูหลายรุ่น เช่น **W180, W111, W108/109** ที่วางรากฐานแนวคิดสำหรับ S-Class
* ยังไม่มีการเรียกอย่างเป็นทางการว่า "S-Class" แต่ถือเป็นรถหรูอันดับสูงสุดของค่ายในยุคนั้น

### 2. **W116 (1972–1980): S-Class รุ่นแรกอย่างเป็นทางการ**

* W116 เป็นรุ่นแรกที่ใช้ชื่อ "S-Class" อย่างเป็นทางการ (S ย่อมาจาก "Sonderklasse" = "ชั้นพิเศษ")
* เป็นรถยนต์รุ่นแรกในโลกที่ติดตั้ง **ABS (ระบบเบรกกันล้อล็อก)** ในปี 1978
* เน้นด้านความปลอดภัยเป็นพิเศษ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี

### 3. **W126 (1979–1991): ความสำเร็จระดับโลก**

* ออกแบบให้มีโครงสร้างที่ทนทาน เบาขึ้น และประหยัดน้ำมัน
* แนะนำถุงลมนิรภัย (airbag) และเข็มขัดนิรภัยแบบดึงกลับอัตโนมัติ
* มียอดขายมากกว่า 800,000 คัน

### 4. **W140 (1991–1998): ความใหญ่โตและหรูหราสุดขีด**

* มีการติดตั้งระบบไฟฟ้าเต็มรูปแบบ เช่น หน้าต่างและที่นั่ง
* รุ่นนี้พัฒนาในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ ทำให้ถูกวิจารณ์เรื่องความหรูหราฟุ่มเฟือยเกินไป
* เป็นรุ่นแรกที่ใช้ระบบ **ESP (Electronic Stability Program)**

### 5. **W220 (1998–2005): เบาขึ้นและทันสมัย**

* กลับมาเน้นน้ำหนักเบา และดีไซน์เรียบหรู
* ติดตั้งระบบ **AIRMATIC** และ **COMAND System** (infotainment รุ่นแรก)

### 6. **W221 (2005–2013): สมรรถนะและเทคโนโลยีล้ำยุค**

* ระบบ Night Vision, Adaptive Cruise Control, และระบบเตือนเมื่อเปลี่ยนเลน
* ยกระดับความปลอดภัยขั้นสูง

### 7. **W222 (2013–2020): หรูหราทุกมิติ**

* รุ่นแรกที่ไม่มีรุ่น Coupé หรือ Cabriolet แยกต่างหาก (พัฒนาเป็น Mercedes-Benz S-Class Coupé/Convertible แยกชื่อ)
* ใช้ระบบไฟหน้าแบบ LED ทั้งหมด 100%

### 8. **W223 (2020–ปัจจุบัน): ยุคดิจิทัล**

* ใช้แพลตฟอร์ม MRA-II
* หน้าจอ OLED, ระบบขับเคลื่อนกึ่งอัตโนมัติ (ระดับ 3)
* ติดตั้งระบบ **MBUX 2.0** และรองรับ OTA (Over-The-Air updates)

---

## 💰 ต้นทุนด้านงานวิจัยและพัฒนา (R\&D)

Mercedes-Benz ลงทุนด้าน R\&D อย่างมหาศาล โดยเฉพาะในรุ่น S-Class ซึ่งเปรียบเสมือน "โชว์เคสเทคโนโลยี" ของแบรนด์

* **W223 (2020)**:

  * มีรายงานว่าต้นทุนพัฒนาเฉพาะใน S-Class เจนเนอเรชันนี้รวมกันกว่า **2 พันล้านยูโร** (ประมาณ 75,000 ล้านบาท)
  * รวมถึงพัฒนาแพลตฟอร์ม MRA-II และซอฟต์แวร์ใหม่ทั้งหมด

* **R\&D ของ Daimler AG (บริษัทแม่ของ Mercedes-Benz):**

  * มีงบ **วิจัยและพัฒนา** อยู่ที่ประมาณ **9-10 พันล้านยูโรต่อปี** (ข้อมูลจากรายงานประจำปี)
  * สัดส่วนมากจะเน้นไปที่รถยนต์ระดับสูงอย่าง S-Class, EVs (เช่น EQS), และระบบอัตโนมัติ

* Mercedes ใช้ S-Class เป็นพื้นฐานในการทดลองและเปิดตัวระบบต่างๆ ก่อนจะนำไปใช้กับรุ่นอื่น เช่น:

  * ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ (Pre-Safe Brake)
  * ระบบกันสะเทือนแบบ E-Active Body Control
  * ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติระดับ 3 (Drive Pilot)

----------------------------------
#5
**Exness** เป็นหนึ่งในโบรกเกอร์ Forex และ CFD ที่ได้รับความนิยมสูงมาก โดยเฉพาะในประเทศไทย จุดขาย (จุดเด่น) ที่ทำให้ Exness แตกต่างและเป็นที่นิยมในหมู่นักเทรดมีหลายด้าน ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้:

เปิดบัญชี Standard ได้ที่ https://exness.com/intl/th/a/73208

---

## 🔥 จุดขายหลักของ Exness

### 1. **ถอนเงินอัตโนมัติ – ได้ทันที 24/7**

* ถือเป็นจุดขายอันดับหนึ่งของ Exness
* ถอนเงิน "อัตโนมัติ" เข้าธนาคารไทย, TrueMoney, Skrill ฯลฯ
* เงินเข้าทันทีในไม่กี่วินาที ไม่ต้องรอเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ

### 2. **เลเวอเรจไม่จำกัด (Unlimited Leverage)**

* เทรดด้วยเลเวอเรจสูงได้ เช่น 1:1000, 1:2000 หรือแบบ "ไม่จำกัด" (ขึ้นกับยอดเงินในพอร์ต)
* เหมาะสำหรับคนทุนไม่เยอะ แต่ต้องการเทรดด้วยล็อตใหญ่

### 3. **สเปรดต่ำและค่าคอมมิชชั่นต่ำ**

* บัญชี **Standard** → ไม่มีคอมมิชชั่น
* บัญชี **Raw Spread / Zero** → สเปรดเริ่มจาก 0.0 pip ค่าคอมฯ ต่ำ

### 4. **รองรับบัญชีธนาคารไทยเต็มระบบ**

* ฝาก-ถอนผ่าน KBank, SCB, BBL, Krungsri ฯลฯ
* ไม่มีค่าธรรมเนียม ใช้ง่าย

### 5. **บัญชีเทรดหลายประเภท – เหมาะกับทุกระดับ**

* Standard, Raw Spread, Zero, Pro
* ตอบโจทย์ทั้งมือใหม่และมืออาชีพ

### 6. **แพลตฟอร์มใช้งานง่าย**

* ใช้ได้ทั้ง MT4 และ MT5
* มี WebTerminal และแอปมือถือ
* เทรดได้ทุกอุปกรณ์

### 7. **รองรับเทรด EA, Scalping, Hedging**

* ไม่มีข้อจำกัดเรื่องกลยุทธ์เทรด
* เหมาะสำหรับคนเขียนบอท, ใช้ EA, หรือเทรดเร็ว

### 8. **เปิดบัญชีเร็ว ใช้งานได้ทันที**

* สมัครออนไลน์ภายในไม่กี่นาที
* ใช้เอกสารยืนยันตัวตนง่าย เช่น บัตรประชาชน หรือใบขับขี่

### 9. **การบริการลูกค้าดี มีคนไทยดูแล**

* มี **ซัพพอร์ตภาษาไทย** ทั้งแชตและโทรศัพท์
* เปิดทุกวัน (แม้วันหยุดราชการ)

---

## ⭐ จุดเด่นเพิ่มเติม

* เทรดคริปโต 24/7
* มีระบบ **copy trade** ผ่าน Exness Social Trading
* มีโหมดบัญชี Cent สำหรับฝึกเทรดด้วยเงินจริงแต่ทุนต่ำ

---

## สรุปสั้น ๆ:

> จุดขายของ **Exness** คือ **"ฝากถอนเร็ว เทรดเร็ว ใช้ง่าย ได้เงินจริง"**
> เหมาะกับทั้งมือใหม่และมือโปรที่เน้นความเร็วและความสะดวกในการเทรด

---------------------------------------------------
#6
การเขียนโปรแกรม **MQL4** กับ **MQL5** แม้จะมีพื้นฐานคล้ายกัน (ทั้งคู่คล้ายภาษา C/C++) แต่มี **ความแตกต่างหลายประการสำคัญ** โดยเฉพาะในเรื่องของ **โครงสร้างภาษา, ระบบการเทรด, และการจัดการออเดอร์** ซึ่งมีผลต่อการพัฒนา EA (Expert Advisor), อินดิเคเตอร์ และ Script


เปิดบัญชีใหม่ได้ที่ https://exness.com/intl/th/a/73208
---

## 🔍 สรุปความแตกต่างระหว่าง MQL4 กับ MQL5

| หัวข้อ                              | MQL4                                             | MQL5                                                                           |
| ----------------------------------- | ------------------------------------------------ | ------------------------------------------------------------------------------ |
| **เปิดตัวปี**                       | 2005                                             | 2010                                                                           |
| **ระบบการเทรด (Trade System)**      | แบบเก่า (Order-based)                            | แบบใหม่ (Position-based)                                                       |
| **ภาษาที่ใช้**                      | MQL4 (ใกล้เคียง C)                               | MQL5 (ใกล้เคียง C++ มากขึ้น)                                                   |
| **จัดการคำสั่งซื้อขาย**             | ใช้ `OrderSend`, `OrderClose`, `OrderSelect` ฯลฯ | ใช้ `trade.OrderSend()`, `PositionOpen()`, `HistorySelect()` (object-oriented) |
| **รองรับ multi-thread**             | ❌ ไม่รองรับ                                      | ✅ รองรับ (เร็วขึ้น)                                                            |
| **กลยุทธ์การเทรดแบบ Hedge/Netting** | Hedge เท่านั้น                                   | Hedge และ Netting ได้ทั้งคู่                                                   |
| **Backtest แบบ Multi-currency**     | ❌ ไม่ได้                                         | ✅ ได้                                                                          |
| **ความยืดหยุ่นของภาษา**             | จำกัด                                            | มากขึ้น (เช่น class, struct, event-driven)                                     |
| **อินดิเคเตอร์แบบซับซ้อน**          | เขียนยาก                                         | เขียนง่ายขึ้น (ผ่าน event handling)                                            |
| **ใช้บนแพลตฟอร์ม**                  | MetaTrader 4                                     | MetaTrader 5                                                                   |

---

## 🔧 ตัวอย่างโค้ดเปรียบเทียบ

### 📌 MQL4 (ส่งออเดอร์ Buy)

```mql4
int ticket = OrderSend(Symbol(), OP_BUY, 0.1, Ask, 3, 0, 0, "Buy Order", 0, 0, clrGreen);
```

### 📌 MQL5 (ส่งออเดอร์ Buy)

```mql5
#include <Trade\Trade.mqh>
CTrade trade;

trade.Buy(0.1, Symbol(), Ask, 0, 0, "Buy Order");
```

> สังเกตว่า **MQL5 ใช้แนว object-oriented** (เช่น `CTrade`) ในขณะที่ MQL4 ยังใช้ฟังก์ชันแบบ procedural

---

## ✅ ข้อแนะนำ

* ถ้าคุณ:

  * ใช้ MT4 → ควรใช้ MQL4 เพราะเบากว่าและยังมีฐานผู้ใช้งานมาก
  * ต้องการประสิทธิภาพสูง, เขียนโค้ดซับซ้อน หรือใช้ Backtest แบบหลายคู่เงินพร้อมกัน → MQL5 จะตอบโจทย์

-------------------------------------------------------------
#7
โปรแกรม MetaTrader (โดยเฉพาะ MetaTrader 4 หรือ MT4 ที่เป็นที่นิยมมาก) มีจุดเริ่มต้นมาจากบริษัท **MetaQuotes Software Corp.** ซึ่งเป็นบริษัทซอฟต์แวร์จากรัสเซีย ก่อตั้งขึ้นในปี **2000** โดยเน้นพัฒนาแพลตฟอร์มสำหรับการซื้อขายออนไลน์ในตลาดการเงิน เช่น Forex, CFD, Futures และอื่น ๆ

เปิดบัญชีใหม่ได้ที่ https://exness.com/intl/th/a/73208

### จุดเริ่มต้นและพัฒนาการของ MetaTrader:

#### 1. **MetaTrader รุ่นแรก (ปี 2002)**

* MetaQuotes เปิดตัว **MetaTrader 1** ในปี 2002
* เป็นแพลตฟอร์มเทรดแบบพื้นฐานที่สามารถเชื่อมต่อกับโบรกเกอร์ได้
* มีอินเทอร์เฟซเรียบง่ายและยังไม่มีฟีเจอร์ด้านการเขียนโปรแกรมเทรดอัตโนมัติเหมือนปัจจุบัน

#### 2. **MetaTrader 3 (ปี 2003)**

* มีความสามารถเพิ่มขึ้น เช่น การใช้ **สคริปต์อัตโนมัติ**
* เริ่มได้รับความนิยมในกลุ่มเทรดเดอร์และโบรกเกอร์

#### 3. **MetaTrader 4 (ปี 2005)** 👉 จุดเปลี่ยนที่สำคัญ

* เปิดตัวในปี **2005**
* จุดเด่นคือ:

  * มีระบบเทรดอัตโนมัติ (Expert Advisor หรือ EA)
  * ใช้ภาษาโปรแกรมชื่อ **MQL4 (MetaQuotes Language 4)**
  * มีระบบการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่หลากหลาย
  * รองรับการเทรดหลายผลิตภัณฑ์ (Forex, CFD ฯลฯ)
* MT4 กลายเป็นมาตรฐานของอุตสาหกรรม Forex

#### 4. **MetaTrader 5 (ปี 2010)**

* เปิดตัวในปี **2010** เพื่อพัฒนาต่อจาก MT4
* ใช้ภาษา **MQL5** ซึ่งมีความสามารถมากกว่า
* รองรับตลาดหุ้นและ Futures ได้ดีขึ้น
* แม้จะใหม่กว่า แต่โบรกเกอร์และเทรดเดอร์ส่วนใหญ่ยังคงใช้ MT4 อยู่ เนื่องจากความคุ้นเคยและจำนวน EA ที่มีอยู่มากมาย

---

### สรุป:

* **MetaTrader เริ่มต้นในปี 2002** โดยบริษัท MetaQuotes
* จุดเปลี่ยนสำคัญคือ **MT4 ในปี 2005** ซึ่งทำให้ MetaTrader กลายเป็นแพลตฟอร์มเทรดอันดับหนึ่งของโลก
* ปัจจุบันมีทั้ง MT4 และ MT5 ให้เลือกใช้

-----------------------------------------------
#8
**Currency Strength Chart** (กราฟแสดงความแข็งแกร่งของสกุลเงิน) คือ **เครื่องมือทางการเงิน** ที่ใช้ในการวิเคราะห์ว่าแต่ละสกุลเงินหลัก (เช่น USD, EUR, JPY, GBP, AUD ฯลฯ) **มีความแข็งแกร่งหรืออ่อนแอเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่น ๆ** ในช่วงเวลาหนึ่ง โดยจะแสดงเป็นรูปแบบกราฟหรือดัชนี เพื่อช่วยให้เทรดเดอร์สามารถตัดสินใจซื้อ-ขายสกุลเงินต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

เปิดบัญชีใหม่ได้ที่ https://exness.com/intl/th/a/73208

---

### ✅ ประโยชน์ของ Currency Strength Chart:

1. **ดูแนวโน้มของสกุลเงิน:** ว่าสกุลเงินใดแข็งแรง (Strong) หรืออ่อนแอ (Weak) ในตลาด
2. **ช่วยเลือกคู่สกุลเงินในการเทรด:** เช่น ซื้อสกุลเงินที่แข็งเมื่อเทียบกับสกุลเงินที่อ่อน
3. **ยืนยันสัญญาณการเข้าเทรด:** ใช้ประกอบกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคหรือข่าวเศรษฐกิจ
4. **หลีกเลี่ยงคู่เงินที่ไม่มีแนวโน้มชัดเจน:** ซึ่งอาจเคลื่อนไหวแคบ (Sideway) และทำให้ยากต่อการทำกำไร

---

### 🔍 ตัวอย่างการใช้งาน:

หากกราฟแสดงว่า:

* **USD แข็งแรง** และ
* **EUR อ่อนแอ**

แปลว่าเทรดเดอร์อาจพิจารณา **ขาย EUR/USD** เพราะ USD แข็งขึ้น และ EUR อ่อนลง

---

### 📊 วิธีการวัด "ความแข็งแกร่งของสกุลเงิน":

* บางระบบใช้การเปรียบเทียบค่าการเปลี่ยนแปลงของคู่สกุลเงิน (Price Change)
* บางเว็บหรือโปรแกรมใช้ดัชนีเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก (Weighted Index)
* มีการอ้างอิงจากข้อมูลเช่น RSI, MACD หรือ Moving Average

---

### 🌐 ตัวอย่างเว็บไซต์ที่มี Currency Strength Chart:

* [investing.com](https://www.investing.com)
* [finviz.com](https://finviz.com/forex.ashx)
* [tradingview.com](https://www.tradingview.com)
* [currencystrengthmeter.com](https://currencystrengthmeter.com)

--------------------------------------

Currency Strength Chart หรือ กราฟความแข็งแกร่งของสกุลเงิน คือเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์ความแข็งแกร่งหรือความอ่อนแอของสกุลเงินต่างๆ เมื่อเปรียบเทียบกันในตลาดฟอเร็กซ์ (Forex) โดยทั่วไปจะแสดงผลในรูปแบบกราฟหรือตารางที่เปรียบเทียบประสิทธิภาพของสกุลเงินหลายๆ สกุลในช่วงเวลาหนึ่ง เพื่อช่วยให้นักเทรดเข้าใจว่าสกุลเงินใดมีแนวโน้มแข็งค่าหรืออ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ

### ลักษณะและการทำงานของ Currency Strength Chart
1. **วัดความแข็งแกร่งสัมพันธ์**: กราฟจะแสดงความแข็งแกร่งของสกุลเงิน (เช่น USD, EUR, JPY, GBP) โดยเปรียบเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ โดยมักใช้ข้อมูลราคาคู่สกุลเงิน (currency pairs) เช่น EUR/USD, USD/JPY เพื่อคำนวณคะแนนหรือดัชนีความแข็งแกร่ง
2. **ตัวชี้วัดที่ใช้**: ความแข็งแกร่งอาจคำนวณจากปัจจัยต่างๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงของราคาในเปอร์เซ็นต์, ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average), หรือดัชนีเฉพาะที่พัฒนาโดยแพลตฟอร์มการซื้อขาย
3. **การนำไปใช้**:
  - **ระบุแนวโน้ม**: ช่วยให้นักเทรดเห็นว่าสกุลเงินใดกำลังแข็งค่าหรืออ่อนค่าลง เพื่อเลือกคู่สกุลเงินที่เหมาะสมสำหรับการเทรด
  - **การตัดสินใจซื้อ/ขาย**: เช่น หาก USD แข็งแกร่งและ EUR อ่อนแอ อาจพิจารณาขาย EUR/USD
  - **การบริหารความเสี่ยง**: ช่วยหลีกเลี่ยงการเทรดในคู่สกุลเงินที่ความแข็งแกร่งใกล้เคียงกัน (อาจไม่มีแนวโน้มชัดเจน)

### รูปแบบการแสดงผล
- **กราฟเส้น**: แสดงความแข็งแกร่งของแต่ละสกุลเงินในรูปแบบเส้นที่เคลื่อนไหวตามเวลา
- **ตารางหรือ Heatmap**: แสดงสกุลเงินที่มีความแข็งแกร่งในสีต่างๆ (เช่น เขียว = แข็งแกร่ง, แดง = อ่อนแอ)
- **ตัวเลขหรือคะแนน**: บางแพลตฟอร์มให้คะแนนความแข็งแกร่ง (เช่น 0-100) เพื่อเปรียบเทียบ

### ประโยชน์
- ช่วยระบุโอกาสในการเทรดโดยเลือกคู่สกุลเงินที่มีความแตกต่างชัดเจน
- ลดความซับซ้อนในการวิเคราะห์หลายคู่สกุลเงินพร้อมกัน
- เหมาะสำหรับทั้งนักเทรดมือใหม่และมืออาชีพ

### ข้อจำกัด
- **ขึ้นอยู่กับแหล่งข้อมูล**: ความแม่นยำขึ้นอยู่กับวิธีการคำนวณและแพลตฟอร์มที่ใช้
- **ไม่ใช่ตัวบ่งชี้เดี่ยวๆ**: ควรใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์อื่นๆ เช่น อินดิเคเตอร์ทางเทคนิคหรือข่าวเศรษฐกิจ
- **ความผันผวน**: ความแข็งแกร่งของสกุลเงินอาจเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตามข่าวหรือเหตุการณ์เศรษฐกิจ

### ตัวอย่างแพลตฟอร์มที่ให้ Currency Strength Chart
- TradingView
- MetaTrader 4/5 (MT4/MT5) ด้วยอินดิเคเตอร์เสริม
- MyFXBook
- OANDA หรือแพลตฟอร์มฟอเร็กซ์อื่นๆ

----------------------------------------------------
#9
หลักสูตร นักจัดรายการวิทยุและโทรทัศน์ รุ่นที่ 80   
จัดโดย สมาคมนักวิทยุและโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์   
ระหว่างวันที่ 10 – 14 กรกฎาคม 2568 (รวม 5 วัน)
ค่าลงทะเบียน ในการอบรม  5,500 บาท  (ห้าพันห้าร้อยบาทถ้วน)   
***** ค่าใช้จ่ายนี้รวม -  ค่าสมัครสมาชิกแรกเข้า - เอกสารในการอบรม - อาหารกลางวัน - เบรกกาแฟ 2 มื้อ/วัน  - เสื้อโปโล สมาคมฯ 1 ตัว  - ทำเนียบรุ่น 1 เล่ม  *****
(หน่วยงานราชการ สามารถขอหนังสือส่งตัวบุคลากรจากทางสมาคมฯ และเบิกค่าอบรมจากต้นสังกัดได้)
สมัครออนไลน์   https://url.in.th/BUxGm
หรือ ดาวน์โหลด ใบสมัคร  https://url.in.th/PNnPn
********
 >>>>>>>>
******** https://www.facebook.com/share/19CTsEaif3/
#10
1 ลิตร กับ 1 กิโลกรัม **ไม่เท่ากัน** และเป็นคนละหน่วยกัน โดยมีความแตกต่างดังนี้:

---

### 🔹 1. ความหมายของหน่วย

| หน่วย             | หมายถึงอะไร                   | ใช้วัดอะไร                                                          |
| ----------------- | ----------------------------- | ------------------------------------------------------------------- |
| **ลิตร (L)**      | หน่วยของ **ปริมาตร (Volume)** | ใช้วัด **ของเหลว** หรือสิ่งที่มีปริมาตร เช่น น้ำ, น้ำมัน, อากาศ ฯลฯ |
| **กิโลกรัม (kg)** | หน่วยของ **มวล (Mass)**       | ใช้วัด **น้ำหนักหรือมวล** ของวัตถุ เช่น ข้าวสาร, น้ำตาล, เหล็ก ฯลฯ  |

---

### 🔹 2. แล้ว 1 ลิตร เท่ากับกี่กิโลกรัม?

ขึ้นอยู่กับ **ความหนาแน่น** ของสิ่งนั้น:

* **น้ำบริสุทธิ์ที่อุณหภูมิ 4°C**:
  ✅ 1 ลิตร = **1 กิโลกรัม** (เพราะความหนาแน่นของน้ำคือ 1 กรัม/มิลลิลิตร หรือ 1000 กรัม/ลิตร)

* **ถ้าไม่ใช่น้ำ**:

  * 1 ลิตร **น้ำมันพืช** ≈ 0.91 กิโลกรัม
  * 1 ลิตร **น้ำเชื่อม** ≈ 1.3 กิโลกรัม
  * 1 ลิตร **เบนซิน** ≈ 0.75 กิโลกรัม

---

### 🔹 สรุปสั้น ๆ

| ประเด็น    | ลิตร                                    | กิโลกรัม                       |
| ---------- | --------------------------------------- | ------------------------------ |
| หน่วยของ   | ปริมาตร                                 | มวล (น้ำหนัก)                  |
| ใช้วัด     | ของเหลว หรือสิ่งที่กินที่วัดเป็นปริมาตร | สิ่งที่มีน้ำหนัก               |
| เท่ากันไหม | ❌ ไม่เท่ากัน                            | ขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของวัตถุ |

-----------------------------------------------------