ข่าว:

Exness ลงทะเบียนระบบใหม่ ใส่รหัสพาร์ทเนอร์ 73208
https://www.exness.com/boarding/sign-up/a/73208?lng=th
1. เลือกประเทศ ไทย
2. อีเมล์จริงของคุณ
3. รหัสผ่าน
* รหัสผ่านต้องมีความยาว 8-15 ตัว
* ใช้ทั้งอักษรตัวพิมพ์ใหญ่และตัวพิมพ์เล็ก
* ใช้ทั้งตัวเลขและตัวอักษรภาษาอังกฤษ
* ห้ามใช้อักขระพิเศษ (!@#$%^&*., และอื่นๆ)
4. ใส่รหัสพาร์ทเนอร์ 73208

Main Menu

กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้

#1
แนะวิธีแก้จอฟ้า BSOD บน Windows เพียง 4 ขั้นตอนง่าย ๆ หลัง "CrowdStrike" อัปเดตระบบ ส่งผลให้ Windows ล่มทั่วโลก

จากกรณีที่ "CrowdStrike" บริษัทรักษาความปลอดภัยไซเบอร์มีการอัปเดตเนื้อหา จนทำให้มีผู้รายงานว่า ระบบ Windows ของหน่วยงานที่ลง Crowdstrike Sensor ทั่วโลก พบปัญหาจอฟ้า BSOD หลังจากการอัปเดตล่าสุด ถึงขั้นที่ผู้ประสานงานด้านความมั่นคงไซเบอร์แห่งชาติของออสเตรเลียกล่าวว่า เป็นเหตุขัดข้องทางเทคนิคครั้งใหญ่ซึ่งส่งผลกระทบต่อบริษัทและบริการจำนวนมากนั้น

โดยทาง CrowdStrike ก็ได้ให้คำแนะนำสำหรับผู้ที่เกิดปัญหา Windows ขึ้นจอฟ้า BSOD เอาไว้ให้ลองทำตามกันด้วย

ขั้นตอนแก้ปัญหาโดย CrowdStrike
ให้เริ่มคอมพิวเตอร์ใน Safe mode โดยเรียกใช้วิธี Crash Boot ให้เราทำตาม ดังนี้
1.กดปุ่ม Power (ฮาร์ดเเวร์) 3-4 ครั้ง โดยกด Power Button เพื่อบูท เข้าสู่ Windows พอเห็น Windows ก็รีบูทอีก ทำขั้นตอนดังกล่าวอยู่ประมาณ 3-4 ครั้ง จนกว่า หน้าต่าง Choose an Option จะเเสดงขึ้นมา
2.เลือกกดที่ Troubleshoot
3.กดที่ Advanced options
4.กดที่ Startup Settings
5.กด Restart
6.กดปุ่ม F5
7.เลือกกดหมาย 5 (Enable safe mode with networking) โดยหน้าต่าง Administrator จะแสดงขึ้นมา ก่อนที่อุปกรณ์ของเราจะเข้าสู่ Safe Mode
จากนั้น เข้าไปยัง DRIVE C:\Windows\System32\drivers\CrowdStrike directory
ค้นหาไฟล์ "C-00000291*.sys" และลบออก
จากนั้นรีบูทเครื่อง เป็นอันเสร็จสิ้น

ที่มา https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B9%84%E0%B8%AD%E0%B8%97%E0%B8%B5/228785
#2
แก้ไข MT4 Android เปิดแล้วจอขาว ถอนแล้วลงใหม่ 7/9/2567

เปิดบัญชี Standard ได้ที่ https://www.exness.com/a/73208

เปิดแล้วจอหน้าขาว เห็นโลโก้ MT4

ให้ถอนโปรแกรม MT4 ก่อนแล้วลงใหม่ ที่ google play

ลงใหม่แล้ว เข้าเมนู บัญชี --> จัดการบัญชี --> เครื่องหมาย + --> ลงชื่อเข้าใช้บัญชีที่มีอยู่ --> ค้นหาโบรกเกอร์

ใส่ ชื่อ Server , ID , Password
#3
U.S. Nonfarm Payrolls การจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ

เปิดบัญชี Standard ได้ที่ https://www.exness.com/a/73208

การจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมวัดการเปลี่ยนแปลงของจำนวนผู้มีงานทำในเดือนก่อนหน้า โดยไม่รวมอุตสาหกรรมการเกษตร การสร้างงานเป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญที่สุดของการใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งคิดเป็นส่วนใหญ่ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ

ค่าที่สูงกว่าที่คาดไว้ควรถือเป็นค่าบวก/ขาขึ้นสำหรับดอลลาร์สหรัฐ
ในขณะที่ค่าที่ต่ำกว่าที่คาดไว้ควรถือเป็นค่าลบ/ขาลงสำหรับดอลลาร์สหรัฐ
#4
แนะนำการใช้ Exness Terminal และ Exness Trade App

เปิดบัญชี Standard ได้ที่ https://www.exness.com/a/73208

มาดูวิธีการเทรดด้วยเครื่องมือของทางเราโดยเฉพาะผ่านทาง Exness Terminal และ Exness App ที่จะช่วยให้การเทรดของคุณง่ายยิ่งขึ้น
-วิธีการใช้งาน Exness Terminalและ บน Exness App พร้อมถึงการตั้งค่าต่างๆที่เกี่ยวข้องบน พื้นที่ส่วนบุคคล
(เช่นการตั้งค่าเลเวอเรจ การดูรายละเอียดบัญชี, การดูค่า HMR, การออกออเดอร์ต่างๆ การเพิ่มเครื่องมือ Indicator การปรับเปลี่ยนTerminal เป็น Trading view)
-วิธีการเข้าไปใช้งาน Exness Calculator บนเว็บไซด์ Exness
-Live Demo ในการใช้งานผ่านทาง ช่องทางต่างๆ

ติดต่อสอบถามได้ที่
line : junjaocom
#5
exness การถอนเงินไม่ได้ เกิดข้อผิดพลาดบางประการ วิธีแก้ไขคือ

เปิดบัญชี standard ได้ที่ https://www.exness.com/a/73208

admin ได้ถามกับ exness live chat ได้คำตอบดังนี้

เบื้องต้นรบกวนลูกค้าลองทำการลบแคชและคุกกี้ผ่านบราวเซอร์ Chrome บนคอมพิวเตอร์ ตามขั้นตอนดังนี้ครับ
1. คลิกไปที่เครื่องหมาย 3 จุด ที่ด้านขวาบน
2. คลิกเครื่องมือเพิ่มเติม (More tools) และเลือก ล้างข้อมูลการท่องเว็บ (Clear browsing date)
3. เลือกช่วงเวลาเป็นตั้งแต่เริ่มต้น (All time)
4. ติ๊กช่อง "คุกกี้และข้อมูลเว็บไซต์อื่นๆ" (Cookie and other site data) และ "รูปภาพและไฟล์ที่แคชไว้" (Cached images and file)
5. คลิกล้างข้อมูล (Clear data)

หมายเหตุ : การล้างคุกกี้และข้อมูลไซต์ทั้งหมดจะเป็นการลงชื่อออกจากเว็บไซต์ ซึ่งลูกค้าจะต้องเข้าสู่ระบบใหม่อีกครั้งครับ
หรือลูกค้าสามารถอ่านวิธีลบแคชและคุกกี้บนเบราว์เซอร์เพิ่มเติมได้ที่ลิงก์ https://get.exness.help/hc/th/articles/360007915320

#6
Server junjao.com เพิ่ม Product Components 22-6-2567
1. Microsoft CORS Module
2. Multi-Factor Authentication (MFA)
ให้เรียบร้อยแล้วครับ
Microsoft IIS CORS Module เป็นส่วนขยายที่ช่วยให้เว็บไซต์สามารถรองรับโปรโตคอล CORS (Cross-Origin Resource Sharing)

โมดูล IIS CORS ช่วยให้รองรับโปรโตคอล Cross-Origin Resource Sharing (CORS) CORS เป็นกลไกในการอนุญาตให้ตัวแทนผู้ใช้เข้าถึงทรัพยากรจากโดเมนภายนอกโดเมนที่ให้บริการทรัพยากรแรก CORS กำหนดวิธีการโดยใช้ส่วนหัว HTTP เพิ่มเติมเพื่ออนุญาตคำขอสิทธิ์ในการเข้าถึงทรัพยากรที่เลือก นอกจากนี้ คำขอบางรายการอาจทริกเกอร์คำขอ preflight เพื่อตรวจสอบวิธี HTTP ที่รองรับจากเซิร์ฟเวอร์ด้วยคำขอ HTTP OPTIONS โมดูล IIS CORS ช่วยในการตั้งค่าส่วนหัวการตอบสนองที่เหมาะสมและตอบสนองต่อคำขอล่วงหน้า เมื่อติดตั้งแล้ว โมดูล IIS CORS จะได้รับการกำหนดค่าผ่านไซต์หรือแอปพลิเคชันweb.configและมีส่วนการกำหนดค่าของตัวเองcorsภายในsystem.webserver.

การยืนยันตัวตนโดยใช้หลายปัจจัย (MFA) คืออะไร
การยืนยันตัวตนโดยใช้หลายปัจจัย (MFA) เป็นกระบวนการเข้าสู่ระบบบัญชีแบบหลายขั้นตอนที่กำหนดให้ผู้ใช้ป้อนข้อมูลเพิ่มเติมนอกเหนือจากรหัสผ่าน ยกตัวอย่าง ระบบอาจขอให้ผู้ใช้ป้อนรหัสที่ส่งไปยังอีเมล ตอบคำถามลับ หรือสแกนลายนิ้วมือร่วมกับการป้อนรหัสผ่าน รูปแบบที่สองของการยืนยันตัวตนอาจช่วยป้องกันการเข้าถึงบัญชีโดยไม่ได้รับอนุญาตได้ในกรณีที่รหัสผ่านของระบบหลุดรอดออกไป
#7
exness กลยุทธ์และเคล็ดลับการเทรดด้วยมาร์จิ้นที่เทรดเดอร์ทุกคนควรทราบ

เปิดบัญชี Standard ได้ที่ https://www.exness.com/th/crypto/margin-trading/a/73208

หากคุณอยากรู้ว่าการเทรดด้วยมาร์จิ้นมีหลักการอย่างไรและวิธีนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสในตลาดให้คุณได้อย่างไร คู่มือนี้จะพาคุณไปเจาะลึกโลกการเทรดด้วยมาร์จิ้น ซึ่งจะอธิบายตั้งแต่การเทรดด้วยมาร์จิ้นคืออะไร สามารถนำไปใช้กับคริปโตเคอร์เรนซีได้อย่างไร และมีข้อดีอะไรบ้าง รวมถึงความเสี่ยงและความท้าทายที่เกี่ยวข้องกับการเทรดด้วยมาร์จิ้น และแบ่งปันเคล็ดลับในการหลีกเลี่ยงหรือจัดการความเสี่ยงจากการเทรดด้วยมาร์จิ้น

การซื้อขายแบบใช้มาร์จิ้นคืออะไร
การเทรดด้วยมาร์จิ้นเป็นเครื่องมือทางการเงินที่มีประสิทธิภาพซึ่งช่วยให้คุณสามารถเทรดด้วยเงินกู้ยืมจากบริษัทโบรกเกอร์

การใช้บัญชีมาร์จิ้น (บัญชีโบรกเกอร์ที่ใช้เลเวอเรจ) ช่วยให้คุณมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้สูงขึ้น แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่จะขาดทุนสูงมากขึ้นเช่นกัน คุณยังสามารถคว้าโอกาสของตลาดที่อาจไม่สามารถเทรดได้ด้วยเงินสดแบบดั้งเดิมอีกด้วย อย่างไรก็ตาม การเทรดด้วยเงินกู้ยืมก็มีความเสี่ยงอย่างมาก นี่จึงเป็นเหตุผลที่คุณจำเป็นต้องเข้าใจกลไก ประโยชน์ และข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากวิธีการนี้ก่อนเริ่มเทรด

ความหมายและกลไกของการเทรดด้วยมาร์จิ้น
การเทรดด้วยมาร์จิ้นหมายถึงการกู้ยืมเงินที่เรียกว่าการใช้เลเวอเรจ เลเวอเรจเป็นบริการที่มักจัดหาโดยบริษัทโบรกเกอร์ เพื่อซื้อหรือขายสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น ออปชั่น ฟิวเจอร์ส หรือคริปโตเคอร์เรนซี เงินที่กู้ยืมเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นเลเวอเรจ ให้คุณสามารถเทรดคริปโตเคอร์เรนซีด้วยเงินที่มากกว่าที่คุณฝากเข้ามา และควบคุมสถานะที่ใหญ่กว่าที่เงินทุนที่คุณมีอยู่สามารถทำได้

เมื่อคุณเปิดบัญชีมาร์จิ้น คุณฝากเงินสดหรือหลักทรัพย์จำนวนหนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นหลักประกันสำหรับเงินทุนที่กู้ยืม จำนวนเงินที่คุณสามารถกู้ยืมได้จะขึ้นอยู่กับข้อกำหนดหลักประกันมาร์จิ้นของบริษัทโบรกเกอร์ที่ใช้บริการ ข้อกำหนดเหล่านี้จะระบุเปอร์เซ็นต์ขั้นต่ำของมูลค่ารวมของการซื้อขายที่คุณจะต้องฝากไว้ในรูปเงินสดหรือหลักทรัพย์ ข้อกำหนดมาร์จิ้นเริ่มแรกคือเปอร์เซ็นต์ของมูลค่าการลงทุนที่จำเป็นเมื่อเริ่มเทรด ส่วนข้อกำหนดหลักประกันมาร์จิ้นคือจำนวนอิควิตี้ขั้นต่ำที่ต้องมีเพื่อป้องกันการแจ้งเตือนระดับมาร์จิ้น

กลไกของการเทรดด้วยมาร์จิ้นคือการกู้ยืมเงินจากโบรกเกอร์โดยมีอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดไว้และใช้เงินทุนเหล่านั้นในการเทรด เนื่องจากมูลค่าของหลักทรัพย์มีความผันผวน อิควิตี้ในบัญชีมาร์จิ้นจึงเปลี่ยนแปลงไปด้วย หากอิควิตี้ลดลงมาต่ำกว่าข้อกำหนดหลักประกันมาร์จิ้น ก็จะมีการแจ้งเตือนระดับมาร์จิ้น โดยคุณจะต้องฝากเงินหรือหลักทรัพย์เพิ่มเพื่อให้มาร์จิ้นกลับไปอยู่ในระดับที่กำหนดไว้ หากไม่สามารถทำตามการแจ้งเตือนระดับมาร์จิ้นได้ก็จะส่งผลให้ถูกบังคับปิด (Stop Out) สถานะของเทรดเดอร์โดยโบรกเกอร์

ในกรณีดังกล่าว คุณสมบัติการป้องกัน Stop Out ที่ไม่เหมือนใครของ Exness จะช่วยให้คุณสามารถหลีกเลี่ยงการตกลงของราคาได้อย่างเหมาะสม พร้อมกับเปิดโอกาสให้สถานะกลับไปมีทิศทางที่ดีขึ้น

ประโยชน์ของการเทรดคริปโตเคอร์เรนซีด้วยมาร์จิ้น
เพิ่มโอกาสในตลาด
ประโยชน์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของการเทรดคริปโตด้วยมาร์จิ้นคือสามารถเพิ่มโอกาสในตลาดและมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากความผันผวนที่สูงของคริปโตเคอร์เรนซี การใช้เงินกู้มาร์จิ้นเพื่อควบคุมสถานะที่ใหญ่ขึ้นจะช่วยให้คุณสามารถมีส่วนร่วมในการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในตลาดคริปโตและเพิ่มโอกาสในการทำกำไรในช่วงที่สภาพตลาดเอื้ออำนวย การเทรดด้วยมาร์จิ้นจะช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงโอกาสที่กว้างขึ้นได้ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้นที่น้อยลง

การเทรดด้วยมาร์จิ้นช่วยให้คุณทำกำไรจากแนวโน้มของตลาดและความผันผวนของราคาในระยะสั้น เมื่อคุณใช้เงินทุนของคุณ คุณจะสามารถเข้าและออกจากสถานะได้อย่างรวดเร็ว โดยใช้ประโยชน์จากการเคลื่อนไหวของตลาดที่อาจไม่สามารถเข้าถึงได้เนื่องจากเงินทุนมีจำกัด การเพิ่มโอกาสในตลาดสามารถนำไปสู่โอกาสในการเทรดที่เพิ่มขึ้นและโอกาสในการทำกำไรที่สูงขึ้น

ภาพตัวอย่างแสดงลักษณะกำไรเมื่อเทรดด้วยเลเวอเรจ
เลเวอเรจหรือที่เรียกว่าเงินกู้มาร์จิ้น เป็นการให้อำนาจการซื้อแก่คุณ เนื่องจากจะช่วยให้มีเงินลงทุนเพิ่มขึ้นจากเงินฝากเริ่มต้นหลายเท่า เช่น หากคุณฝากเงิน 100 ดอลลาร์ด้วยมาร์จิ้นกู้ยืม 1:100 คุณจะสามารถเปิดคำสั่งซื้อขายมูลค่า 1,000 ดอลลาร์

โอกาสในการขายชอร์ต
นอกจากนี้ การเทรดด้วยมาร์จิ้นยังช่วยให้การขายชอร์ตง่ายขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสภาพตลาดขาลง การขายชอร์ตคือการยืมและขายเหรียญคริปโตที่คุณไม่ได้เป็นเจ้าของ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อขายกลับในราคาที่ต่ำกว่าในภายหลัง การทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาในขาลงนี้จะช่วยให้คุณทำกำไรจากราคาที่ตกลงมาและมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ทั้งในตลาดขาขึ้นและขาลง

การขายชอร์ตสามารถช่วยให้คุณได้กำไรจากตลาดขาลง การเทรดด้วยมาร์จิ้นจึงเป็นกลยุทธ์ที่สามารถใช้ได้ในสภาพตลาดที่หลากหลาย นอกจากนี้ การขายชอร์ตยังถือเป็นเครื่องมือการจัดการความเสี่ยงซึ่งป้องกันผลขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นในเวลาที่คุณถือสถานะ Long อีกด้วย

การกระจายการลงทุนและการจัดการความเสี่ยง
การเทรดด้วยมาร์จิ้นมอบโอกาสในการกระจายพอร์ทการลงทุนและใช้กลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงที่ซับซ้อน การใช้เงินทุนที่เพิ่มขึ้นจะช่วยให้คุณกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ กลุ่ม หรือตลาดอื่นๆ ได้ การกระจายการลงทุนนี้จะช่วยลดผลกระทบของแต่ละสถานะในพอร์ทการลงทุนโดยรวมของคุณ ทำให้ระดับความเสี่ยงลดลง

การเทรดด้วยมาร์จิ้นช่วยให้คุณสามารถใช้เครื่องมือจัดการความเสี่ยง เช่น คำสั่ง Stop Loss คำสั่งเหล่านี้จะขายสถานะโดยอัตโนมัติเมื่อถึงราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ช่วยจำกัดผลขาดทุนที่จะได้รับ การตั้งคำสั่ง Stop Loss ช่วยให้คุณกำหนดระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้และปกป้องเงินทุนในกรณีที่ราคาไม่ได้เคลื่อนไหวไปในทิศทางที่คาดการณ์ไว้

ความเสี่ยงและความท้าทายในการเทรดด้วยมาร์จิ้น
ความผันผวนและผลขาดทุนที่สูงขึ้น
แม้ว่าการเทรดด้วยมาร์จิ้นจะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไร แต่ก็ทำให้ผลขาดทุนที่อาจได้รับสูงขึ้นเช่นกัน หากการเทรดไม่เป็นไปในทิศทางที่คาดการณ์ ผลขาดทุนอาจสูงขึ้นมากกว่าเงินลงทุนเริ่มต้นอันเนื่องมาจากเงินที่กู้ยืมและอัตราดอกเบี้ย ความผันผวนของตลาดอาจทำให้ราคาผันผวนอย่างมากในเวลาอันรวดเร็ว เกิดความเสี่ยงที่จะขาดทุนอย่างหนักมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้บาลานซ์ของคุณติดลบและต้องฝากเงินเพิ่มเพื่อชดเชยจำนวนเงินดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ด้วยบัญชีซื้อขาย Exness คุณไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับบาลานซ์ที่ติดลบ เนื่องจากคุณสมบัติการป้องกันยอดบาลานซ์ติดลบจะช่วยปกป้องคุณไม่ให้เกิดกรณีดังกล่าว คุณต้องประเมินความเสี่ยงในการเทรดแต่ละครั้งอย่างรอบคอบและพิจารณาผลขาดทุนที่อาจได้รับก่อนเข้าถือสถานะด้วยมาร์จิ้น

ความผันผวนของตลาดเป็นปัจจัยสำคัญที่จะต้องพิจารณาในการเทรดด้วยมาร์จิ้น เมื่อราคาผันผวน เงินทุนกู้ยืมอาจทำให้ทั้งกำไรและขาดทุนเพิ่มขึ้น คุณจะต้องเตรียมพร้อมรับการเคลื่อนไหวของราคากะทันหันและกำหนดกลยุทธ์ในการจัดการผลขาดทุนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยบรรเทาความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับความผันผวนได้ด้วยการทำการวิเคราะห์ตลาดอย่างละเอียดและใช้เครื่องมือการจัดการความเสี่ยงให้เป็นประโยชน์

การแจ้งเตือนระดับมาร์จิ้นและการบังคับปิดสถานะ
การเทรดด้วยมาร์จิ้นจำเป็นจะต้องมีการรักษาระดับอิควิตี้ให้เพียงพอในบัญชีมาร์จิ้น หากมูลค่าของหลักทรัพย์ในบัญชีมาร์จิ้นลดลงต่ำกว่าระดับที่กำหนดไว้ซึ่งเรียกว่าข้อกำหนดหลักประกันมาร์จิ้น จะมีการส่งการแจ้งเตือนระดับมาร์จิ้น

เมื่อมีการแจ้งเตือนระดับมาร์จิ้น คุณจะต้องฝากเงินหรือหลักทรัพย์เพิ่มเพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดมาร์จิ้น มิฉะนั้นจะถูกบังคับปิดสถานะโดยโบรกเกอร์ของคุณ การถูกบังคับปิดสถานะอาจทำให้เกิดผลขาดทุนมหาศาล และคุณจะไม่สามารถควบคุมเวลาหรือราคาที่สถานะถูกปิดได้เลย

การแจ้งเตือนระดับมาร์จิ้นอาจเกิดขึ้นเมื่อมูลค่าของหลักทรัพย์ในบัญชีมาร์จิ้นของคุณตกลงมาถึงระดับหนึ่ง ทำให้ระดับอิควิตี้ลดลง เพื่อไม่ให้เกิดกรณีนี้ขึ้น คุณต้องเฝ้าติดตามระดับมาร์จิ้นอย่างใกล้ชิดและกำหนดแผนการปฏิบัติตามข้อกำหนดในกรณีเกิดการแจ้งเตือนระดับมาร์จิ้น การจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสม รวมถึงการตั้งคำสั่ง Stop Loss และการรักษาเงินทุนให้เพียงพออาจช่วยป้องกันหรือจัดการการแจ้งเตือนระดับมาร์จิ้นได้

ต้นทุนอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม
การเทรดด้วยเงินกู้มาร์จิ้นเป็นการกู้ยืมเงินทุนซึ่งจะมีการคิดอัตราดอกเบี้ย หมายความว่าคุณอาจต้องจ่ายดอกเบี้ย คุณจึงจำเป็นต้องพิจารณาอัตราดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการคำนวณผลตอบแทนที่อาจได้รับ ยิ่งไปกว่านั้น โบรกเกอร์มักเรียกเก็บค่าธรรมเนียมสำหรับบัญชีมาร์จิ้น เช่น ดอกเบี้ยสำหรับเงินทุนที่กู้ยืม การบำรุงรักษาบัญชี และค่าธรรมเนียมจากการแจ้งเตือนระดับมาร์จิ้น ต้นทุนเหล่านี้อาจทำให้กำไรที่อาจได้รับลดลง ซึ่งควรคำนึงถึงเมื่อประเมินความเป็นไปได้ของกลยุทธ์การเทรดด้วยมาร์จิ้น

อัตราดอกเบี้ยของเงินทุนที่กู้ยืมอาจแตกต่างกันไปตามสภาพตลาดและนโยบายของโบรกเกอร์ คุณจะต้องประเมินต้นทุนดอกเบี้ยที่เกี่ยวข้องกับการเทรดด้วยมาร์จิ้นอย่างรอบคอบและพิจารณารวมอยู่ในกลยุทธ์การเทรดของตนเอง การเปรียบเทียบบริษัทโบรกเกอร์ต่างๆ และโครงสร้างค่าธรรมเนียมของแต่ละบริษัทจะช่วยให้คุณสามารถเลือกตัวเลือกที่คุ้มค่าที่สุดในการเทรดด้วยมาร์จิ้น

เคล็ดลับในการจัดการความเสี่ยงเมื่อเทรดด้วยมาร์จิ้น
ศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง
1. ก่อนเทรดด้วยมาร์จิ้น คุณจะต้องเข้าใจหลักการของข้อกำหนดมาร์จิ้น อัตราดอกเบี้ย และการแจ้งเตือนระดับมาร์จิ้น เพื่อการตัดสินใจอย่างมีข้อมูลครบถ้วน

2. ศึกษากฎระเบียบและกฎเกณฑ์ของโบรกเกอร์และหน่วยงานทางการเงินที่เกี่ยวข้อง

3. ใช้เวลาเรียนรู้เกี่ยวกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและการวิเคราะห์ทางเทคนิค กลยุทธ์การจัดการความเสี่ยง และตัวชี้วัดตลาด เพื่อให้คุณตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลครบถ้วน

ตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้จริง
ขั้นตอนที่ 1 กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนพร้อมระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ หลีกเลี่ยงการใช้เลเวอเรจมากเกินไปจนอาจนำไปสู่ผลขาดทุนอย่างหนัก

ขั้นตอนที่ 2 พัฒนาแผนการเทรดที่สอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงินและระดับความเสี่ยงของคุณ กำหนดผลตอบแทนที่คาดหวังที่เป็นไปได้จริงและเตรียมพร้อมปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ตามสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป

ขั้นตอนที่ 3 มีความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับเป้าหมายทางการเงิน ระดับความเสี่ยงที่เหมาะสมกับคุณ รวมถึงผลขาดทุนที่ยอมรับได้

เคล็ดลับ: คุณสามารถเรียนรู้วิธีการกำหนดหรือเปลี่ยนเลเวอเรจบนบัญชีซื้อขาย Exness ได้จากพื้นที่ส่วนบุคคลหลังจากที่ลงทะเบียนบัญชีซื้อขาย Exness แล้ว

ดำเนินการวิเคราะห์อย่างละเอียด
1. ใช้เทคนิคการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและทางเทคนิคเพื่อประเมินความเสี่ยงและผลตอบแทนที่อาจได้รับ

2. ใช้คำสั่ง Stop Loss เพื่อจำกัดผลขาดทุนและปกป้องเงินทุนของคุณ

3. พิจารณาผลกระทบซึ่งอาจเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจ การประกาศข่าว และแนวโน้มตลาดที่มีผลต่อสถานะมาร์จิ้นของคุณ

คุณต้องใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิค เช่น กราฟ อินดิเคเตอร์ และรูปแบบ เพื่อระบุจุดเข้าและออกที่เป็นไปได้ การวิเคราะห์ทางเทคนิคจะช่วยประเมินมูลค่าอ้างอิงของเครื่องมือทางการเงินและระบุแนวโน้มตลาดได้ การใช้แนวทางเหล่านี้ร่วมกันจะช่วยให้มีความเข้าใจตลาดรอบด้านและสามารถตัดสินใจอย่างมีข้อมูลครบถ้วน

หมั่นเฝ้าติดตามสถานะเป็นประจำ
1. เฝ้าติดตามพอร์ทการลงทุนอยู่เสมอและพร้อมปรับเปลี่ยนอย่างทันท่วงทีเพื่อการจัดการความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ

2. ติดตามข้อมูลเกี่ยวกับข่าวสารตลาด ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ และการพัฒนาใดๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการเทรดด้วยมาร์จิ้นของคุณ

การเทรดด้วยมาร์จิ้นจำเป็นต้องมีการเฝ้าติดตามสถานะอยู่ตลอดเวลาเพื่อประเมินสภาพตลาดและทำการปรับเปลี่ยนเมื่อจำเป็น คุณจะต้องทบทวนพอร์ทการลงทุน เฝ้าติดตามแนวโน้มตลาด และติดตามข้อมูลใหม่ๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์และข่าวสารที่เกี่ยวข้องอยู่เสมอ การจัดการสถานะมาร์จิ้นในเชิงรุกจะช่วยให้คุณสามารถลดความเสี่ยงและทำกำไรจากโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้

รักษามาร์จิ้นให้เพียงพอ
การรักษาระดับมาร์จิ้นให้อยู่เหนือข้อกำหนดขั้นต่ำมากพอที่จะไม่ต้องกังวลนั้นมีความสำคัญต่อการลดความเสี่ยงในการเกิดการแจ้งเตือนระดับมาร์จิ้น

ลองทำดังนี้

1. เตรียมเงินทุนหรือหลักทรัพย์เพิ่มเติมไว้ให้พร้อมในกรณีที่ตลาดเกิดความผันผวนโดยไม่คาดคิด

2. หมั่นตรวจสอบบาลานซ์ของบัญชีมาร์จิ้นเพื่อให้มาร์จิ้นยังคงอยู่ในระดับที่ปลอดภัย

3. รักษาระดับมาร์จิ้นให้เพียงพอเพื่อหลีกเลี่ยงการแจ้งเตือนระดับมาร์จิ้นและการถูกบังคับปิดสถานะ

4. คำนวณระดับมาร์จิ้นที่จำเป็นสำหรับสถานะของคุณและตรวจสอบว่าคุณมีหลักประกันในบัญชีเพียงพอที่จะรองรับความผันผวนของราคาที่อาจเกิดขึ้น

เคล็ดลับ: ตรวจสอบการแจ้งเตือนระดับมาร์จิ้นและระดับ Stop Out ที่กำหนดไว้สำหรับบัญชีซื้อขายประเภทต่างๆ ของ Exness เพื่อเข้าใจหลักการของการแจ้งเตือนระดับมาร์จิ้นและระดับ Stop Out ของ Exness ได้ดียิ่งขึ้น

ใช้เครื่องมือการจัดการความเสี่ยง
ใช้เครื่องมือการจัดการความเสี่ยงเพื่อช่วยปกป้องเงินทุนและจำกัดผลขาดทุน

1. คำสั่ง Stop Loss จะส่งผลให้มีการขาดสถานะโดยอัตโนมัติ หากถึงระดับราคาที่กำหนดไว้

2. คำสั่ง Trailing Stop สามารถใช้เพื่อปรับเปลี่ยนราคา Stop Loss ตามการเคลื่อนไหวของตลาดเมื่อเป็นไปตามที่คุณคาดการณ์ เพื่อปกป้องกำไรโดยที่ยังเปิดโอกาสให้กำไรเติบโต

คำถามที่พบบ่อย

พร้อมลองเทรดคริปโตด้วยมาร์จิ้นแล้วหรือยัง
การเทรดคริปโตด้วยมาร์จิ้นเพิ่มโอกาสในตลาด การขายชอร์ต และการกระจายพอร์ทการลงทุน อย่างไรก็ตาม วิธีนี้ยังมีความเสี่ยงที่สำคัญมากมาย ไม่ว่าจะเป็นความผันผวนที่มากขึ้น โอกาสขาดทุน การแจ้งเตือนระดับมาร์จิ้น และต้นทุนดอกเบี้ย คุณจึงต้องมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับกลไกและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องก่อนจะทำการเทรดด้วยเลเวอเรจ การทำตามกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบ การทำการวิเคราะห์อย่างละเอียดถี่ถ้วน และการติดตามข้อมูลอยู่เสมอจะช่วยให้คุณจัดการความยุ่งยากซับซ้อนของการเทรดด้วยมาร์จิ้น และมีโอกาสทำกำไร รวมถึงป้องกันการลงทุนด้วยคริปโตของคุณ

อย่าลืมว่าการเทรดด้วยมาร์จิ้นควรดำเนินการอย่างระมัดระวังและเหมาะสำหรับผู้ที่เต็มใจจะยอมรับความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องเท่านั้น การทำตามเคล็ดลับที่สรุปไว้ในบทความนี้จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลครบถ้วนและจัดการความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการเทรดประเภทนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Exness เราให้บริการเครื่องมือและคุณสมบัติมากมาย หากใช้อย่างเหมาะสมจะสามารถช่วยปกป้องบัญชีของคุณขณะเทรดได้ เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับประเภทบัญชีต่างๆ ของ Exness และทดสอบกลยุทธ์การเทรดด้วยมาร์จิ้นในบัญชีทดลอง

ที่มา https://www.exness.com/th/crypto/margin-trading/a/73208
#8
exness วิธีการใช้อินดิเคตอร์ MACD เพื่อพัฒนาทักษะการเทรดคริปโตของคุณ

https://www.exness.com/th/crypto/macd-indicator/a/73208

หากคุณกำลังต้องการพัฒนาทักษะการเทรดและใช้ประโยชน์สูงสุดจากอินดิเคเตอร์ MACD ในการเทรดคริปโต นี่คือแหล่งข้อมูลที่ยอดเยี่ยมสำหรับคุณ อ่านข้อมูลเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญในคู่มือฉบับนี้

เส้น MACD (Moving Average Convergence Divergence) เป็นอินดิเคเตอร์การวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในสาขาการวิเคราะห์ทางเทคนิค MACD พัฒนาขึ้นโดย Gerald Appel ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1970 และได้กลายมาเป็นหนึ่งในอินดิเคเตอร์ทางเทคนิคที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในกลุ่มเทรดเดอร์และนักลงทุน ด้วยความสามารถในการระบุการกลับตัวของแนวโน้มที่อาจเกิดขึ้นและสร้างสัญญาณซื้อหรือขาย ทำให้อินดิเคเตอร์ตัวนี้เป็นที่ชื่นชอบของเทรดเดอร์คริปโต แต่เทรดเดอร์จำนวนมากยังคงไม่สามารถเข้าใจถึงศักยภาพของ MACD ได้อย่างถ่องแท้และยังใช้งานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ

ในคู่มือนี้ เราจะอธิบายถึงองค์ประกอบของอินดิเคเตอร์ MACD การตีความสัญญาณ เคล็ดลับที่ปฏิบัติได้จริง และวิธีการใช้งานในสภาพตลาดต่างๆ

อินดิเคเตอร์ MACD คืออะไร
อินดิเคเตอร์ MACD มีองค์ประกอบหลักสามอย่างคือเส้น MACD เส้นสัญญาณ และฮิสโตแกรม คุณจำเป็นจะต้องเข้าใจบทบาทของแต่ละองค์ประกอบก่อนจึงจะสามารถตีความสัญญาณได้อย่างแม่นยำ

เส้น MACD

เส้น MACD คำนวณจากการนำเส้นค่าเฉลี่ยแบบ Exponential (EMA) ระยะยาวมาลบกับเส้น EMA ระยะสั้น ซึ่งจะเป็นส่วนต่างระหว่างเส้นค่าเฉลี่ยแบบ Exponential สองเส้นและใช้ระบุการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มที่อาจเกิดขึ้น

เส้นสัญญาณ

เส้นสัญญาณคือเส้นค่าเฉลี่ยของเส้น MACD โดยปกติจะเป็นเส้น EMA 9 วัน ซึ่งจะทำให้ความผันผวนของเส้น MACD ราบเรียบขึ้นและสร้างสัญญาณซื้อหรือขาย เมื่อเส้นดังกล่าวตัดขึ้นไปเหนือหรือลงมาใต้เส้น

MACD ฮิสโตแกรม

MACD ฮิสโตแกรม (MACD Histogram) MACD แสดงส่วนต่างระหว่างเส้น MACD และเส้นสัญญาณ โดยจะแสดงความสอดคล้องหรือความไม่สอดคล้องกันระหว่างทั้งสองเส้นออกมาให้เห็นเป็นภาพ เพื่อชี้ให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของแนวโน้ม

การคำนวณ Moving Average Convergence Divergence
เพื่อให้สามารถได้รับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับกลไกที่อยู่เบื้องหลังของ MACD และตีความสัญญาณอย่างมีประสิทธิภาพเมื่อเทรดคริปโต คุณจำเป็นต้องเข้าใจวิธีการคำนวณ MACD ก่อน โดยการคำนวณมีขั้นตอนดังนี้

เส้นค่าเฉลี่ยแบบ Exponential (EMA) ระยะสั้น

คุณสามารถคำนวณ EMA ระยะสั้นได้โดยการเพิ่มน้ำหนักให้กับข้อมูลราคาล่าสุด ซึ่งจะส่งผลให้เส้นตอบสนองมากขึ้น

EMA ระยะยาว

EMA ระยะยาวเป็นการแสดงการเคลื่อนไหวของราคาที่มีการปรับให้ราบเรียบในช่วงเวลาที่นานขึ้น เพื่อลดสัญญาณรบกวนในระยะสั้น

การคำนวณเส้น MACD

คุณสามารถคำนวณเส้น MACD ได้โดยการลบ EMA ระยะยาวออกจาก EMA ระยะสั้น

การคำนวณเส้นสัญญาณ

เส้นสัญญาณที่ใช้มักจะเป็นเส้น EMA 9 วันของเส้น MACD

การคำนวณฮิสโตแกรม

ในการกำหนดฮิสโตแกรม คุณจะต้องลบเส้นสัญญาณออกจากเส้น MACD

วิธีการตีความสัญญาณอินดิเคเตอร์ MACD
คุณสามารถตีความสัญญาณซื้อและขายด้วย MACD จากจุดตัดและความไม่สอดคล้องกัน

จุดตัดของ MACD
จุดตัดเกิดขึ้นเมื่อเส้น MACD และเส้นสัญญาณตัดกัน จุดตัดขาขึ้นเกิดขึ้นเมื่อเส้น MACD ตัดขึ้นเหนือเส้นสัญญาณ ซึ่งแสดงถึงโอกาสเกิดแนวโน้มขาขึ้น ในทางตรงกันข้าม จุดตัดขาลงเกิดขึ้นเมื่อเส้น MACD ตัดลงใต้เส้นสัญญาณ ซึ่งแสดงถึงโอกาสเกิดแนวโน้มขาลง

สัญญาณการกลับตัว
ความไม่สอดคล้องกันหมายถึงความแตกต่างระหว่างทิศทางของราคาและอินดิเคเตอร์ MACD ความไม่สอดคล้องกันที่เป็นบวกเกิดขึ้นเมื่อการเคลื่อนไหวของราคาทำจุดต่ำสุดที่ต่ำลง ขณะที่เส้น MACD ทำจุดต่ำสุดที่สูงขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงโอกาสการกลับตัวของแนวโน้ม ส่วนความไม่สอดคล้องกันที่เป็นลบจะเกิดขึ้นเมื่อการเคลื่อนไหวของราคาทำจุดสูงสุดที่สูงขึ้น ขณะที่เส้น MACD ทำจุดสูงสุดที่ต่ำลง ซึ่งแสดงถึงโอกาสการกลับตัวของแนวโน้ม

วิธีการใช้ MACD ระบุแนวโน้ม
หนึ่งในการใช้งานอินดิเคเตอร์ MACD ที่พบบ่อยคือการระบุแนวโน้ม การทำความเข้าใจวิธีการตีความสัญญาณซื้อและขายด้วย MACD อย่างแม่นยำจะช่วยให้คุณสามารถระบุจุดเข้าและออกที่เป็นไปได้ในตลาด

จุดตัดของเส้นขาขึ้นและขาลง

จุดตัดระหว่างเส้น MACD กับเส้นสัญญาณจะสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับการกลับตัวของแนวโน้มและสัญญาณซื้อหรือขายที่อาจเกิดขึ้นซึ่งเป็นโอกาสในการเทรด

จุดตัดของ MACD ขาขึ้น

จุดตัดของเส้นสัญญาณ MACD ที่เป็นขาขึ้นเกิดขึ้นเมื่อเส้น MACD ตัดขึ้นไปเหนือเส้นสัญญาณ สัญญาณนี้แสดงให้เห็นว่าแนวโน้มระยะสั้นกำลังจะเปลี่ยนเป็นขาขึ้น ซึ่งแสดงถึงโอกาสในการซื้อ

จุดตัดของ MACD ที่เป็นขาลง

จุดตัดของเส้นสัญญาณ MACD ที่เป็นขาลงเกิดขึ้นเมื่อเส้น MACD ตัดลงไปใต้เส้นสัญญาณ สัญญาณนี้แสดงให้เห็นว่าแนวโน้มระยะสั้นกำลังจะเปลี่ยนเป็นขาลง ซึ่งแสดงถึงโอกาสในการขาย

สัญญาณหลอกและการยืนยัน

คุณจำเป็นต้องพิจารณาการเกิดสัญญาณหลอกและมองหาการยืนยันจากอินดิเคเตอร์การวิเคราะห์ทางเทคนิคหรือรูปแบบราคาอื่นๆ ก่อนที่จะทำการเทรดโดยอาศัยจุดตัดของเส้นสัญญาณ MACD เพียงอย่างเดียว

ความไม่สอดคล้องกันที่เป็นบวกและลบ
ความไม่สอดคล้องกันระหว่างอินดิเคเตอร์ MACD กับราคาอาจเป็นข้อมูลเชิงลึกที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับโอกาสการกลับตัวของแนวโน้ม

ความไม่สอดคล้องกันที่เป็นบวก

ความไม่สอดคล้องกันที่เป็นบวกเกิดขึ้นเมื่อราคาทำจุดต่ำสุดที่ต่ำลง ขณะที่เส้น MACD ทำจุดต่ำสุดที่สูงขึ้น สัญญาณนี้แสดงให้เห็นว่าแรงขายกำลังอ่อนกำลังลงและอาจมีโอกาสเกิดการกลับตัวของแนวโน้มเป็นขาขึ้น

ความไม่สอดคล้องกันที่เป็นลบ

ความไม่สอดคล้องกันที่เป็นลบเกิดขึ้นเมื่อราคาทำจุดสูงสุดที่สูงขึ้น ขณะที่เส้น MACD ทำจุดสูงสุดที่ต่ำลง สัญญาณนี้แสดงให้เห็นว่าโมเมนตัมขาขึ้นในการซื้อกำลังอ่อนแอลงและอาจมีโอกาสเกิดการกลับตัวของแนวโน้มเป็นขาลง

ความไม่สอดคล้องกันที่เป็นขาลงซึ่งอธิบายผ่านกราฟราคาซึ่งแสดงจุดสูงสุดที่สูงขึ้น และเส้น MACD สีน้ำเงินมีจุดสูงสุดที่ต่ำลง ส่งสัญญาณว่าอาจเกิดโมเมนตัมขาลง
จากตรงนี้ เราจะเห็นกราฟราคาที่มีจุดสูงสุดที่สูงขึ้น ขณะที่เส้น MACD สีน้ำเงินทำจุดสูงสุดที่ต่ำลง นี่เป็นความไม่สอดคล้องกันที่เป็นขาลง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโมเมนตัมขาลงกำลังจะเกิดขึ้น

การระบุการกลับตัวของแนวโน้ม

ความไม่สอดคล้องกันที่เป็นบวกและลบอาจถือเป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าสำหรับการกลับตัวของแนวโน้มที่อาจเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม คุณจำเป็นต้องยืนยันสัญญาณเหล่านี้ด้วยอินดิเคเตอร์การวิเคราะห์ทางเทคนิคหรือรูปแบบราคาอื่นๆ ก่อนที่จะทำการตัดสินใจเทรด

การกำหนดความแข็งแกร่งของแนวโน้ม
คุณสามารถใช้ฮิสโตแกรม MACD เพื่อประเมินความแข็งแกร่งของแนวโน้มได้

ฮิสโตแกรม MACD

ฮิสโตแกรม MACD เป็นส่วนต่างระหว่างเส้น MACD กับเส้นสัญญาณ ซึ่งแสดงถึงความสอดคล้องและไม่สอดคล้องกันระหว่างทั้งสองเส้นออกมาให้เห็นเป็นภาพ โดยฮิสโตแกรม MACD ที่สูงขึ้นแสดงถึงโมเมนตัมที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ฮิสโตแกรม MACD ที่ต่ำลงแสดงถึงโมเมนตัมที่ลดลง

เส้นศูนย์

ตำแหน่งของฮิสโตแกรมที่สัมพันธ์กับเส้นศูนย์ยังให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของแนวโน้มได้ โดยค่าที่เป็นบวกเหนือเส้นศูนย์จะหมายถึงแนวโน้มขาขึ้น ขณะที่ค่าที่เป็นลบใต้เส้นศูนย์จะหมายถึงแนวโน้มขาลง

พร้อมทดลองใช้อินดิเคเตอร์ทางเทคนิคบนบัญชีทดลองหรือบัญชี Standard Cent แล้วหรือยัง

การเพิ่มประสิทธิภาพการวิเคราะห์ MACD ด้วยอินดิเคเตอร์อื่นๆ ในคริปโต
แม้ว่า MACD จะเป็นอินดิเคเตอร์ที่มีประสิทธิภาพในตัวเอง แต่เมื่อคุณใช้ร่วมกับอินดิเคเตอร์ทางเทคนิคอื่นๆ จะช่วยให้คุณสามารถวิเคราะห์ตลาดคริปโตได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น

การใช้อินดิเคเตอร์ MACD ร่วมกับเส้นค่าเฉลี่ย
การใช้เส้น MACD (Moving Average Convergence Divergence) ร่วมกับเส้นค่าเฉลี่ยอื่นๆ จะช่วยเป็นสัญญาณยืนยันเพิ่มเติมและช่วยกรองสัญญาณหลอกออกไปได้

Golden Cross และ Death Cross

Golden Cross เกิดขึ้นเมื่อเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้น (เช่น MA 50 วัน) ตัดขึ้นเหนือเส้นค่าเฉลี่ยที่มีระยะยาวกว่า (เช่น MA 200 วัน) โดยเป็นสัญญาณว่าอาจเกิดแนวโน้มขาขึ้น ส่วน Death Cross เกิดขึ้นเมื่อเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้นตัดลงมาใต้เส้นค่าเฉลี่ยที่ระยะยาวกว่า ซึ่งแสดงถึงโอกาสเกิดแนวโน้มขาลง

กราฟระยะยาวที่มี SMA 50 วันแสดง Golden Cross ที่ชัดเจน แต่มีความไม่สอดคล้องกันที่เป็นขาลงจาก MACD
กราฟราคาระยะยาวนี้ใช้เส้น SMA 50 วันแทนเส้น EMA 9 วัน เป็น MA ที่เร็วกว่า โดย Golden Cross ในกราฟนี้ค่อนข้างชัดเจน แต่มีความไม่สอดคล้องกันที่เป็นขาลงจาก MACD ไม่ใช่ความไม่สอดคล้องกันที่เป็นขาขึ้น

เส้นค่าเฉลี่ยในฐานะแนวรับและแนวต้าน

การใช้เส้นค่าเฉลี่ยเป็นระดับแนวรับหรือแนวต้านสามารถใช้เป็นข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับโอกาสเกิดการกลับตัวของราคา เมื่อใช้ร่วมกับสัญญาณ MACD

MACD และ RSI
การใช้ MACD ร่วมกับดัชนี RSI (Relative Strength Index) สามารถช่วยเพิ่มความแม่นยำในการวิเคราะห์แนวโน้มและระบุภาวะการซื้อมากเกินไปหรือภาวะการขายมากเกินไปที่อาจเกิดขึ้นได้

ภาวะการซื้อมากเกินไปและภาวะการขายมากเกินไป

เมื่อ RSI ถึงระดับภาวะการซื้อมากเกินไป (เช่น สูงกว่า 70) และ MACD ทำจุดตัดขาลงหรือความไม่สอดคล้องกันที่เป็นลบ แสดงว่าอาจเกิดการกลับตัวไปสู่ขาลง ในทางตรงกันข้าม หาก RSI ตกลงมาที่ระดับภาวะการขายมากเกินไป (เช่น ต่ำกว่า 30) และ MACD ทำจุดตัดขาขึ้นหรือความไม่สอดคล้องกันที่เป็นบวก แสดงว่าอาจเกิดการกลับตัวไปสู่ขาขึ้นในตลาด

ความสอดคล้องกันและความไม่สอดคล้องกัน

เมื่อคุณสังเกตเห็นความสอดคล้องกันระหว่างอินดิเคเตอร์ MACD กับ RSI นี่อาจเป็นสัญญาณยืนยันเพิ่มเติมของแนวโน้มปัจจุบัน ในทางตรงกันข้าม หากคุณสังเกตเห็นความไม่สอดคล้องกัน ก็อาจเป็นสัญญาณการกลับตัวของแนวโน้ม

MACD และปริมาณการซื้อขาย
การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขายร่วมกับ MACD จะช่วยให้คุณได้รับข้อมูลเชิงลึกที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับความแข็งแกร่งของการเคลื่อนไหวของราคาและโอกาสเกิดการกลับตัวของแนวโน้ม

การยืนยันด้วยปริมาณการซื้อขาย

เมื่อ MACD สร้างจุดตัดขาขึ้นหรือความไม่สอดคล้องกันที่เป็นบวก พร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นี่อาจเป็นการยืนยันโอกาสเกิดแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่งขึ้น ในทำนองเดียวกัน จุดตัดขาลงของ MACD หรือความไม่สอดคล้องกันที่เป็นลบ ซึ่งมาพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น จะแสดงถึงโอกาสเกิดแนวโน้มขาลงที่แข็งแกร่งขึ้น

ความไม่สอดคล้องกันของปริมาณการซื้อขาย

ความไม่สอดคล้องกันระหว่างปริมาณการซื้อขายและอินดิเคเตอร์ MACD อาจเป็นสัญญาณของโอกาสเกิดการกลับตัวของแนวโน้ม เช่น หากราคาทำจุดสูงสุดที่สูงขึ้นแต่มีปริมาณการซื้อขายที่ลดลง ก็อาจแสดงถึงแรงซื้อที่อ่อนกำลังลงและมีโอกาสเกิดการกลับตัวของแนวโน้ม

5 เคล็ดลับการใช้อินดิเคเตอร์ MACD ในการเทรดคริปโต
ในการใช้ประโยชน์สูงสุดจากอินดิเคเตอร์ MACD ในการเทรดคริปโตเคอร์เรนซี คุณจำเป็นจะต้องใช้เครื่องมือนี้อย่างเหมาะสมและมีวินัย ลองพิจารณาเคล็ดลับต่อไปนี้เพื่อปรับปรุงการตัดสินใจเทรดคริปโตของคุณ

เคล็ดลับที่ 1 การเลือกกรอบเวลา
สัญญาณอินดิเคเตอร์ MACD อาจแตกต่างกันไปตามกรอบเวลาที่ใช้ เลือกกรอบเวลาที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และกลยุทธ์การเทรดคริปโตของคุณ กรอบเวลาที่สั้นจะมีสัญญาณเทรดบ่อยครั้งแต่อาจมีความน่าเชื่อถือน้อยกว่า ขณะที่กรอบเวลายาวจะมีสัญญาณเทรดน้อยแต่น่าเชื่อถือมากกว่า

เคล็ดลับที่ 2 การยืนยันสัญญาณด้วยอินดิเคเตอร์เพิ่มเติม
เพื่อเพิ่มความแม่นยำให้กับสัญญาณอินดิเคเตอร์ MACD ลองใช้อินดิเคเตอร์ทางเทคนิคอื่น เช่น เส้นแนวโน้ม ระดับแนวรับและแนวต้าน หรือรูปแบบแท่งเทียน เพื่อยืนยันสัญญาณก่อนที่จะเริ่มเทรดคริปโต คุณสามารถเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการค้นหารายการอินดิเคเตอร์และวิธีการนำไปใช้ในกราฟได้จากพื้นที่ส่วนบุคคลของคุณ เมื่อคุณลงทะเบียนบัญชีซื้อขายของ Exness เรียบร้อยแล้ว

เคล็ดลับที่ 3 หลีกเลี่ยงตลาดที่ผันผวน
ในช่วงเวลาที่ตลาดมีความผันผวนต่ำหรือเคลื่อนไหวในแนวข้าง สัญญาณ MACD อาจมีความน่าเชื่อถือน้อยลง จึงขอแนะนำให้ใช้ความระมัดระวังและมองหาการยืนยันจากอินดิเคเตอร์อื่นๆ หรือรอให้เห็นแนวโน้มที่ชัดเจนขึ้น

เคล็ดลับที่ 4 การกำหนดระดับ Stop Loss และ Take Profit
การใช้มาตรการจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญเมื่อใช้อินดิเคเตอร์ MACD หรืออินดิเคเตอร์ใดก็ตาม ให้กำหนดระดับ Stop Loss และ Take Profit ตามระดับความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้และสภาพตลาดโดยทั่วไปเพื่อปกป้องเงินทุนและรักษากำไร

เคล็ดลับที่ 5 การทดสอบและปรับปรุงประสิทธิภาพ
ก่อนที่จะนำคุณสมบัติต่างๆ ของอินดิเคเตอร์ MACD ไปใช้ในการเทรดคริปโตในตลาดจริง ลองทดสอบกับการเคลื่อนไหวของราคาและข้อมูลในอดีตอย่างละเอียดเพื่อประเมินประสิทธิภาพในสภาพตลาดต่างๆ ปรับเปลี่ยนพารามิเตอร์ของอินดิเคเตอร์ตามโมเมนตัมนี้ให้เหมาะสมตามรูปแบบการเทรดและลักษณะของตลาดที่คุณกำลังเทรดอยู่ ที่ Exness เราให้บริการเทรดสินทรัพย์หลากหลายประเภท ดังนั้นคุณจึงควรค้นคว้าหาข้อมูลและเปรียบเทียบว่าอินดิเคเตอร์นี้มีประสิทธิภาพเพียงใดในสินทรัพย์แต่ละประเภท

ที่มา https://www.exness.com/th/crypto/macd-indicator/a/73208



#9
exness รอบรู้ศาสตร์แห่งการเทรดคริปโตรายวัน: กลยุทธ์ เคล็ดลับ และข้อผิดพลาดที่ควรหลีกเลี่ยง

เปิดบัญชี Standard ได้ที่ https://www.exness.com/th/crypto/intraday-trading/a/73208

ไม่ว่าคุณจะเป็นเทรดเดอร์มากประสบการณ์หรือเพิ่งเริ่มเทรดคริปโต คำแนะนำนี้ก็เหมาะกับคุณ ในคำแนะนำฉบับนี้ เราจะกล่าวถึงกลยุทธ์และรูปแบบการเทรดที่ใช้ในการเทรดรายวัน โดยเน้นไปที่คริปโตเคอร์เรนซีโดยเฉพาะ รวมถึงข้อดีและความท้าทายของการเทรดรายวันกับคริปโต

การเทรดรายวันคืออะไร
ก่อนที่เราจะลงลึกในหัวข้อนี้ เรามาดูความหมายของศัพท์คำนี้กันก่อน การเทรดรายวันคืออะไร การเทรดรายวันคือการซื้อและขายหลักทรัพย์ เช่น หุ้น คู่สกุลเงิน คอมโมดิตี้ หรือคริปโตเคอร์เรนซี ภายในวันที่มีการซื้อขายเดียวกัน เพื่อหลีกเลี่ยงการรับความเสี่ยงของตลาดในช่วงข้ามคืน

รูปแบบการเทรดแบบรายวันสำหรับคริปโตประเภทที่ 1: การเทรดแบบ Scalping
รูปแบบการเทรดรายวันที่เคลื่อนไหวรวดเร็วที่สุดคือการเทรดแบบ Scalping โดยมีจุดประสงค์เพื่อมุ่งกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาเพียงเล็กน้อย

การเทรดแบบ Scalping มาจากห้องค้าแบบเก่าที่มีการทำข้อตกลงกันด้วย "การส่งคำสั่งซื้อขายด้วยการตะโกนส่งสัญญาณมือ (Open Outcry)" เทรดเดอร์ในห้องค้าที่เป็น Scalper จะนั่งอยู่ตรงข้ามกับโบรกเกอร์ที่ดำเนินการคำสั่งของลูกค้า นั่นเป็นเหตุผลที่อีกชื่อหนึ่งของ Scalper คือ "ผู้ดูแลสภาพคล่อง" (Market Maker)

ปัจจุบัน Scalper เป็นเทรดเดอร์บนหน้าจอปกติที่ใช้เลเวอเรจสูงและเทรดอย่างรวดเร็ว เพื่อพยายามเทรดตามโมเมนตัมระยะสั้นหรือเทรดการกลับตัวของราคาใกล้ระดับแนวรับหรือแนวต้าน โดยปกติแล้ว Scalper จะถือสถานะเป็นวินาทีหรือนาทีเท่านั้น

คริปโตเคอร์เรนซีได้ชื่อว่าค่อนข้างมีความผันผวนเทียบกับกลุ่มสินทรัพย์อื่นๆ แต่ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป เช่น ในฤดูร้อนปี 2023 ความผันผวนของ Bitcoin อยู่ในระดับต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ และตลาดก็ไม่มีการเคลื่อนไหวมากนัก เวลาเช่นนี้เหมาะกับการเทรดแบบ Scalping เนื่องจากเทรดเดอร์สามารถเทรดได้แม้ในสภาพแวดล้อมที่มีความผันผวนต่ำ เพราะ Scalper ไม่ได้ต้องการกำไรจำนวนมากและอาจออกจากตลาดเมื่อมีกำไรเล็กน้อยเพียงไม่กี่ปิ๊ป

ข้อดีและข้อเสียในการเทรดแบบ Scalping ด้วยคริปโต
ข้อดีของการเทรดแบบ Scalping
การเทรดแบบ Scalping อาจเป็นวิธีที่เร็วที่สุดในการสร้างบัญชีให้เติบโตหากทำอย่างเหมาะสม
Scalper มีปริมาณการเทรดสูงกว่าเทรดเดอร์ประเภทอื่น เนื่องจากเมื่อเทรดมากขึ้น ก็จะมีโอกาสได้กำไรมากขึ้น
Scalper ไม่แบกรับความเสี่ยงจากการถือสถานะข้ามคืน ซึ่งสำคัญอย่างยิ่งในคริปโต เพราะราคาอาจดิ่งลงกะทันหันในเวลากลางคืน
Scalper ทำงานเฉพาะเมื่ออยู่หน้าจอเท่านั้น จึงไม่จำเป็นต้องถือสถานะและตกเป็นเหยื่อให้กับความผันผวนที่ไม่คาดคิด
ข้อเสียของการเทรดแบบ Scalping
ต้องอาศัยสติและสมาธิอย่างมาก
วิธีนี้มีต้นทุนสูงกว่าต้นทุนการเทรดปกติ (ในรูปแบบของสเปรด) ตลาดคริปโตมีต้นทุนสูงกว่าต้นทุนปกติ เนื่องจากคริปโตเคอร์เรนซีมีความผันผวนค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับตลาดสกุลเงินตรา ผู้ดูแลสภาพคล่องในคริปโตจึงมักจำเป็นต้องเรียกเก็บสเปรดที่สูงกว่าเมื่อเทรด BTC, ETH และสินทรัพย์ที่ใกล้เคียงกัน
Scalper ทั่วไปต้องมีอัตราการทำกำไรสูงจึงจะมีกำไรมากพอ
ข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นจะเป็นบทเรียนที่มีราคาแพงกว่าสำหรับ Scalper เมื่อเทียบกับเทรดเดอร์ประเภทอื่น เนื่องจากโอกาสทำกำไรของ Scapler มีจำกัด จำนวนการเทรดที่ได้กำไรจะต้องสูงเสมอ
การเทรดแบบ Scalping มักเป็นรูปแบบที่แนะนำสำหรับเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์มากกว่า เนื่องจากต้องอาศัยปริมาณการซื้อขายสูงและต้นทุนที่สูง และจำเป็นต้องจับตาดูการเคลื่อนไหวของราคาอย่างใกล้ชิดขณะที่เปิดคำสั่งซื้อขายอยู่ ไม่ว่าคุณจะเทรดคริปโตหรอกลุ่มสินทรัพย์อื่นๆ ที่ Exness เราขอแนะนำให้ทดลองเทรดในบัญชีทดลองหรือบัญชี Standard Cent ก่อน

รูปแบบการเทรดแบบรายวันสำหรับคริปโตประเภทที่ 2: การเทรดทำกำไรระยะสั้นรายวัน
โดยทั่วไปแล้ว การเทรดทำกำไรระยะสั้นรายวันเป็นรูปแบบการเทรดที่มีความถี่น้อยกว่าการเทรดแบบ Scalping และมักหมายถึงการเทรดรายวันเพียงหนึ่งครั้งหรือเพียงไม่กี่ครั้งต่อวัน คุณอาจใช้รูปแบบการเทรดนี้ในช่วงขึ้นของ BTCUSD, ETHUSD หรือสินทรัพย์คริปโตอื่นๆ เนื่องจากอาจมีการทะลุกรอบครั้งใหญ่และมีอัตราส่วนกำไร/ขาดทุนที่ดีในการเทรดของคุณ

หมายเหตุ: ราคามีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ได้อย่างจำกัดภายในหนึ่งวัน วันที่ราคาเคลื่อนไหวรุนแรงนั้นมักเกิดขึ้นน้อย ดังนั้น เทรดเดอร์จะต้องเลือกเทรดอย่างรอบคอบเป็นพิเศษ เนื่องจาก "สัญญาณรบกวน" ในการเคลื่อนไหวของราคาและความรุนแรงในการกลับตัวที่บางช่วงระดับราคาอาจมีสูง อย่างไรก็ตาม อาจมี "โอกาสครั้งใหญ่" จากความผันผวนที่ผิดปกติ ซึ่งอาจเกิดขึ้นในช่วง "Bull Run" คือช่วงเวลาที่ราคาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หรือ "Panic Sell" คือการขายด้วยความตื่นตระหนก
อย่างไรก็ตาม จังหวะเวลาเป็นหัวใจสำคัญสำหรับเทรดเดอร์รายวันที่ประสบความสำเร็จเมื่อเทรดคริปโต โดยไม่เพียงต้องคาดการณ์เป้าหมายราคาอย่างรอบคอบ แต่ยังจำเป็นต้องเข้าถือสถานะด้วยความเสี่ยงที่ต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และวาง Stop Loss ป้องกันไว้อย่างรัดกุมเป็นพิเศษ

นี่จึงเป็นเหตุผลที่การเทรดรายวันมักถูกมองว่าเป็นงานประจำมากกว่าการทำงานอดิเรกสบายๆ ผ่านหน้าจอแล็ปท็อปบนเก้าอี้ริมชายหาด อย่างไรก็ตาม เทรดเดอร์สามารถเทรดได้ทุกที่ทั่วโลก หากคุณมีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่เชื่อถือได้และสามารถมีสมาธิอยู่กับตลาดการเงิน

กลยุทธ์การเทรดรายวันสำหรับการเทรดคริปโต
กลยุทธ์การเทรดรายวันต่างๆ ที่เทรดเดอร์รายวันในตลาดคริปโตเคอร์เรนซีใช้จะขึ้นอยู่กับรูปแบบการเทรดของเทรดเดอร์แต่ละราย เช่น หากคุณเป็นเทรดเดอร์รายวันที่มองหาโอกาสในการเทรดดีๆ สักครั้งในแต่ละวัน คุณอาจลองหา Pivot Point และจุดกลับตัวที่อาจเกิดขึ้นภายในวันนั้น เรามาดูการเทรดประเภทนี้อย่างละเอียดกัน

กลยุทธ์การเทรดรายวันประเภทที่ 1: การหา Pivot Point
Pivot Point ที่เป็นไปได้อาจเกิดขึ้นบริเวณแนวรับหรือแนวต้านที่สำคัญ ดังที่แสดงในตัวอย่างด้านล่าง โดย BTCUSD ถึงระดับ 29700 ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดระยะกลางตั้งแต่วันที่ 7 กรกฎาคม หลังจากทดสอบระดับนี้ ก็มีแรงซื้อกลับเข้ามาในตลาด ทำให้เทรดเดอร์รายวันสามารถเทรดตามการดึงกลับนี้ได้ ความแตกต่างเพียงเล็กน้อยคือการเคลื่อนไหวของราคาที่กล่าวถึงเกิดขึ้นในช่วงสายของเขตเวลายุโรป หมายความว่ามีเทรดเดอร์เพียงส่วนน้อยที่อยู่ใกล้หน้าจอของตัวเองเมื่อเกิดเหตุการณ์นี้

กลยุทธ์การเทรดรายวันประเภทที่ 2: การเทรดคริปโตรายวันตามโมเมนตัม
การเทรดตามโมเมนตัมนั้นมีมาตั้งแต่ตลาดถือกำเนิดขึ้น แม้ว่าจะดูสมเหตุสมผลที่จะลอง "ซื้อที่ราคาต่ำ" และ "ขายที่ราคาสูง" แต่เทรดเดอร์รายวันที่ประสบความสำเร็จซึ่งเทรดตามโมเมนตัมจะมุ่งซื้อในราคาที่ "สูงแล้ว" เพื่อขายในราคาที่ "สูงขึ้นไปอีก" ความน่าดึงดูดใจของการเทรดตามโมเมนตัมคือกลยุทธ์นี้อาจทำให้เทรดเดอร์รายวันได้กำไรค่อนข้างเร็ว เนื่องจากโมเมนตัมที่เร่งตัวขึ้นจะผลักดันราคาขึ้นไปอย่างรวดเร็วด้วยปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น

กลยุทธ์การเทรดรายวันประเภทที่ 3: การเทรดเมื่อทะลุกรอบราคาในตลาดคริปโต
การทะลุกรอบราคาเป็นการเคลื่อนไหวของราคาอย่างรวดเร็วที่ผลักดันราคาให้ข้ามขอบเขตที่มีการสะสมของราคาหรือรูปแบบกราฟ หรือผ่านเส้นแนวโน้มของแนวโน้มที่มีการปรับฐานราคา ด้านล่างคือตัวอย่างการทะลุกรอบราคาที่เกิดขึ้นกับ BTCUSD ในเดือนกรกฎาคม 2023

ตัวอย่างการทะลุกรอบที่ตามมาด้วยการกลับตัวและการปรับตัวลงกะทันหัน แล้วปิดต่ำกว่าราคาเปิด
ตัวอย่างเช่น การทะลุกรอบราคาของ BTCUSD ในวันที่ 23 กรกฎาคม 2023 หลังจากการทะลุกรอบอย่างรวดเร็ว ราคาก็กลับตัวและปิดต่ำกว่าราคาเปิด

ในตัวอย่างนี้ เห็นได้ชัดว่าการทะลุกรอบราคาเป็นไปอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะจบลงอย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม สำหรับเทรดเดอร์รายวัน นี่อาจเป็นโอกาสที่ยอดเยี่ยมในการเทรดรายวันด้วยสถานะ Long เนื่องจากคุณอาจสามารถวาง Stop Loss ใกล้ๆ และรับกำไรพอสมควรอย่างรวดเร็วภายในวัน การทะลุกรอบราคาในบางครั้งอาจไม่ดำเนินต่อเนื่องอย่างแข็งแกร่ง ด้วยเหตุนี้ ตลาดคริปโตจึงต้องอยู่ภายในระยะ "ขาขึ้นต่อเนื่อง" อย่างไรก็ตาม สำหรับเทรดเดอร์รายวัน การเคลื่อนไหวภายในวันระยะสั้นๆ ก็ยังอาจมีอัตราส่วนกำไร/ขาดทุนที่ดี

กลยุทธ์การเทรดรายวันประเภทที่ 4: การเทรดรายวันตามแนวโน้มในคริปโต
สำหรับการเทรดภายในวันตามแนวโน้มในตลาดคริปโต เราให้ความสำคัญกับการเคลื่อนไหวของราคาที่รวดเร็วและผันผวนที่มีระยะเวลาเพียงสองวัน แทนที่จะใช้แนวโน้มระยะกลางหรือยาวที่ใช้เวลาเป็นสัปดาห์หรือเดือน แนวโน้มที่มีระยะเวลานานขึ้นสำหรับการซื้อขายหลักทรัพย์เหล่านี้แบ่งเป็นกลยุทธ์หลายประเภท เช่น การสวิงเทรดและการเทรดระยะยาว เทรดเดอร์รายวันที่ช่ำชองซึ่งมองหาแนวโน้มระยะสั้นอาจใช้กลยุทธ์ของตนเองสำหรับการเทรดรายวัน เพื่อเทรดให้สอดคล้องกับแนวโน้มนี้ในช่วงเวลาหลายวันติดต่อกันจนกว่าแนวโน้มจะสิ้นสุด

ด้านผู้ที่เทรดตรงกันข้ามกับแนวทางนี้คือสวิงเทรดเดอร์และเทรดเดอร์ที่ถือสถานะระยะยาวมักจะต้องการ "ซื้อเมื่อราคาต่ำ" โดยคาดหวังว่าจะเริ่มมีการแกว่งตัวไปในทิศทางของแนวโน้มครั้งใหม่ แต่เทรดเดอร์รายวันมักทำกำไรจากโมเมนตัมด้วยการเทรดตามแนวโน้มในกลยุทธ์ของตนเอง เทรดเดอร์รายวันที่ประสบความสำเร็จมักใช้วิธีนี้ในการเทรดตลาดคริปโตที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

เรามาดูตัวอย่างด้านล่างของ BTCUSD กัน

ตัวอย่างการดึงกลับของราคาไปยังเส้นค่าเฉลี่ยที่มีโอกาสเข้าถือสถานะ Long ในการเทรดคริปโตรายวัน
ตัวอย่างเช่น แนวโน้มของ BTCUSD ในเดือนตุลาคม 2023 ราคาดึงกลับไปยังเส้นค่าเฉลี่ย (50) เป็นโอกาสที่เทรดเดอร์จะเข้าเทรดในสถานะ Long

เมื่อแนวโน้มเริ่มต้นในเดือนตุลาคม 2023 ราคาได้ทะลุกรอบราคาระยะสั้นหลายครั้ง หลังจากนั้น ราคาก็ดึงกลับมายังเส้นค่าเฉลี่ย 50 ในกราฟราย 60 นาที นี่เป็นตัวชี้วัดที่กำหนดเองสำหรับใช้บ่งชี้ แต่นั่นก็เป็นหลักการที่สามารถใช้ได้ทั้งในกรอบราคาสั้นๆ และกราฟรายวัน โดยแนวโน้มที่กำลังดำเนินอยู่อาจมีการดึงกลับชั่วคราวไปยังแนวรับ ในตัวอย่างนี้ แนวรับนี้แทนด้วยอินดิเคเตอร์เส้นค่าเฉลี่ย เทรดเดอร์รายวันในตลาดคริปโตจึงอาจใช้จุดดังกล่าวให้เป็นประโยชน์และเทรดตามทิศทางของแนวโน้ม

แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกแนวโน้มของคริปโตจะดำเนินต่อเนื่อง แต่หากระบุได้ถูกต้อง แนวโน้มจะแสดงทิศทางที่ชัดเจน และคุณต้องให้ความสำคัญกับจังหวะเวลาและการดำเนินการคำสั่งซื้อขาย

ความท้าทายในการเทรดคริปโตรายวัน
การเทรดแต่ละรูปแบบมาพร้อมกับความท้าทาย และการเทรดรายวันก็เช่นเดียวกัน

ในมุมหนึ่ง เทรดเดอร์รายวันพยายามจะไม่ถือสถานะข้ามคืนเพื่อความสบายใจ การเทรดคริปโตรายวันอาจทำให้เทรดเดอร์จำเป็นต้องเผชิญกับความผันผวนภายในวัน ซึ่งอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่น่าหงุดหงิดใจ การถูกบังคับขายครั้งใหญ่และการปั่นราคาเป็นเรื่องที่ค่อนข้างปกติสำหรับตลาดคริปโต แม้แต่กับ Bitcoin โดย Altcoin อาจมีความผันผวนมากกว่า BTCUSD ในการเคลื่อนไหวของราคาทั้งสองด้าน

เป็นเรื่องยากที่ต้องรอคอยหลายชั่วโมงเพื่อจะได้เทรดในโอกาสที่เหมาะสม แต่แล้วเมื่อคุณเข้าเทรดได้ ราคาก็เปลี่ยนแปลงจนทำให้กำไรที่เทรดมาทั้งวันหายไปในเวลาเพียงไม่กี่นาที เหตุการณ์นี้อาจเกิดขึ้นได้จากข่าวทางการเงินหรือการประกาศข้อมูลที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ที่ไม่คาดคิด เป็นต้น อย่างไรก็ตาม บางครั้งตลาดคริปโตก็อาจเคลื่อนไหวโดยไม่จำเป็นต้องมีข่าวทางการเงินใดๆ ซึ่งในกรณีนี้อาจเป็นผลมาจากข่าวลือบนโซเชียลมีเดียที่เกิดขึ้นกับคริปโตอยู่ตลอดเวลาและอาจก่อให้เกิดผลกระทบที่คล้ายกัน

เทรดเดอร์ควรมีสติเมื่อรู้สึกหงุดหงิดและผิดหวังเพราะอาจกดดันให้ตนเอง "เทรดเพื่อเอาคืน" และนำไปสู่ภาวะการเทรดมากเกินไปในที่สุด

ภาวะการเทรดมากเกินไปในการเทรดรายวัน
ภาวะการเทรดมากเกินไปเกี่ยวข้องกับการเทรดที่มากเกินความจำเป็น ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากการเทรดด้วยอารมณ์ที่ว้าวุ่น หรือการเทรดที่อาจอธิบายได้ว่าเป็น "เชิงระบบ" แม้อาจไม่เหมาะสมกับเงื่อนไขการเทรดในปัจจุบัน

หากเราสร้างสถิติการเทรดและเปรียบเทียบจำนวนการเทรด ภาวะการเทรดมากเกินไปจะหมายถึงการเทรดจำนวนมากที่มีผลลัพธ์เป็นลบ หากพิจารณาจากต้นทุนการเทรดที่สูงขึ้นเนื่องจากคริปโต ภาวะการเทรดเครื่องมือทางการเงินนี้มากเกินไปอาจก่อให้เกิดปัญหาที่รุนแรงสำหรับเทรดเดอร์รายวัน

รูปแบบภาวะการเทรดมากเกินไปสุดคลาสสิกมีลักษณะดังนี้คือปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นมีความสัมพันธ์กับการขาดทุนอย่างมาก ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากภาวะการเทรดมากเกินไป หากคุณคิดว่าตัวเองกำลังเป็นเช่นนั้น คุณไม่ได้เป็นเช่นนั้นคนเดียว มีเทรดเดอร์รายวันจำนวนมากที่กำลังเผชิญปัญหานี้อยู่เช่นกัน

รูปแบบภาวะการเทรดมากเกินไป
แหล่งที่มา: บทวิเคราะห์ส่วนบุคคลเกี่ยวกับผลการเทรดของตัวอย่างเทรดเดอร์จากบริการ https://en.webmarketstat.ru/

วิธีหลีกเลี่ยงภาวะการเทรดมากเกินไป
เทรดเดอร์รายวันมืออาชีพส่วนใหญ่ในตลาดคริปโตใช้การจัดการความเสี่ยงที่ปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ คือพวกเขาอาจลดปริมาณการซื้อขายลงหากขาดทุนภายในบางวัน จนกว่าจะกลับมามั่นใจและเริ่มเทรดได้กำไรอีกครั้ง นี่ไม่ใช่พฤติกรรมการเทรดสำหรับเทรดเดอร์คริปโตโดยเฉพาะ เทรดเดอร์มืออาชีพในทุกตลาดก็มันปฏิบัติเช่นนี้

เทรดเดอร์รายวันบางส่วนเทรดเฉพาะในบางช่วงเวลาเท่านั้นและจำกัดจำนวนการเทรดของตนเองด้วย วิธีนี้ไม่เหมาะกับ Scalper เนื่องจาก Scalper จำเป็นต้องเทรดอย่างต่อเนื่อง แต่การจัดการความเสี่ยงที่ปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์จะมีประโยชน์อย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะใช้รูปแบบการเทรดใด ทั้งการเทรดแบบ Scalping หรือการเทรดทำกำไรระยะสั้นรายวัน ก็จำเป็นที่จะต้องหลีกเลี่ยงการสะสมความเครียดมากเกินไป เพื่อป้องกันภาวะหมดไฟ

หลักการง่ายๆ ในเรื่องนี้คือการพักเบรก ลดขนาดการเทรดลงสักระยะ หรืออาจเปลี่ยนไปใช้บัญชี Cent หรือบัญชีทดลองชั่วคราว เพื่อเรียกความมั่นใจกลับคืนมา ตลาดมีวันพรุ่งนี้เสมอ และเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องรักษาเงินต้นและสุขภาพจิตของคุณ อย่าเทรดรายวันหนักเกินไป ให้ความสำคัญกับคุณภาพการเทรดของคุณ ไม่ใช่ปริมาณ

เครื่องมือทางการเงินที่ควรเลือกใช้ในการเทรดรายวัน
อีกแง่มุมหนึ่งที่สำคัญของการเทรดคริปโตรายวันคือการเลือกเครื่องมือทางการเงินที่เหมาะสม

เทรดเดอร์รายวันไม่ค่อยประสบความสำเร็จในการเทรดหลายๆ ตลาดและใช้หลายๆ หน้าจอ จึงควรเลือกเครื่องมือทางการเงินไม่เกินสองตัวและจดจ่ออยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเครื่องมือทางการเงินเหล่านั้นเท่านั้น

Bitcoin และ Ether เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในกรณีนี้ เนื่องจากมีความผันผวนของตลาดและสภาพคล่องเพียงพอที่จะหลีกเลี่ยงการเกิดราคาคลาดเคลื่อนและสเปรดสูงขึ้นได้ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเครื่องมือทางการเงินคริปโตที่มีสภาพคล่องน้อยอาจส่งผลให้เกิดราคาคลาดเคลื่อนและสเปรดสูงขึ้น

เลือกเครื่องมือทางการเงินของคุณอย่างรอบคอบและคำนึงถึงอารมณ์หุนหันพลันแล่นและความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้ เพื่อหลีกเลี่ยงความเครียดและภาวะหมดไฟ ดูคู่สกุลเงินคริปโตทั้งหมดที่ Exness ให้บริการ

การเทรดรายวันหรือการเทรดระยะยาวที่เหมาะกับคุณ
อย่างที่คุณทราบอยู่แล้ว ไม่มีกลยุทธ์หรือรูปแบบการเทรดใดที่ไม่มีทางผิดพลาดเลย การเทรดทุกครั้งมาพร้อมกับความเสี่ยงเสมอ จึงเป็นเหตุผลที่ควรทราบว่ารูปแบบการเทรดใดเหมาะกับการใช้ชีวิตและเป้าหมายของคุณเป็นอันดับแรก แล้วจึงเลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะสม

การเทรดรายวันจำเป็นต้องมีความมุ่งมั่นและสมาธิที่จดจ่ออยู่ตลอดเวลา ขณะที่รูปแบบการเทรดระยะยาวส่วนใหญ่ เช่น การถือสถานะระยะยาวและแม้แต่การสวิงเทรด อาจเหมาะกับรูปแบบการใช้ชีวิตที่ยุ่งกว่าและมีเวลาเฝ้าหน้าจอน้อยกว่า

ที่มา https://www.exness.com/th/crypto/intraday-trading/a/73208
#10
exness เทรดคริปโต โดยไม่มีค่าสว็อป

เปิดบัญชี Standard ได้ที่ https://www.exness.com/th/crypto/a/73208

เทรดคริปโตยอดนิยมอย่าง BTCUSD, ETHUSD และ LTCUSD และถือสถานะของคุณไว้โดยไม่มีค่าธรรมเนียมข้ามคืน

เปิดบัญชีและเริ่มเทรดคริปโต

เข้าถึงตลาดคริปโตที่เติบโตต่อเนื่อง
ผ่านตราสารอนุพันธ์ และให้คุณคว้าโอกาสจากความเคลื่อนไหวของราคาคริปโตได้โดยไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของสินทรัพย์อ้างอิง

เทรด Cryptocurrency ทั้งหมดที่ให้บริการ
โดยไม่มีค่าสว็อปและสามารถถือสถานะการเทรดคริปโตได้โดยไม่มีต้นทุนเพิ่มเติม

ใช้ประโยชน์จากคุณสมบัติการเทรดที่เป็นกรรมสิทธิ์
เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับสถานะและสร้างความได้เปรียบให้กลยุทธ์ของคุณในตลาดที่มีความผันผวน

สเปรดและมาร์จิ้นในการเทรดคริปโต

เงื่อนไขของตลาดคริปโต
ตลาดคริปโตเป็นตลาดสกุลเงินดิจิทัลที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในการสร้างเหรียญใหม่ๆ และช่วยให้ผู้ใช้ทำธุรกรรมได้อย่างปลอดภัย การเทรดตราสารอนุพันธ์คริปโตช่วยให้คุณกระจายความเสี่ยงพอร์ทการลงทุนออนไลน์ของคุณ และทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาคริปโตเคอร์เรนซีทั้งในขาขึ้นและขาลง

ช่วงเวลาซื้อขาย
คุณสามารถเทรดสกุลเงินดิจิตอลได้ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน ยกเว้นในระหว่างการบำรุงรักษาเซิร์ฟเวอร์ โดยเราจะแจ้งให้คุณทราบทางอีเมลหากมีการดำเนินการ

คู่ Cryptocurrency ด้านล่างมีเฉพาะโหมดปิดเท่านั้น

BTCAUD, BTCJPY, BTCCNH, BTCTHB, BTCZAR: วันอาทิตย์ 20:35 ถึง 21:05
BTCXAU, BTCXAG: วันอาทิตย์ 21:35 ถึง 22:05
คู่ Cryptocurrency ด้านล่างยังมีช่วงพักระหว่างวัน

BTCXAU, BTCXAG: วันจันทร์ 20:58 - วันพฤหัสบดี 22:01
เวลาทั้งหมดคือเวลาของเซิร์ฟเวอร์ (GMT+0)

สเปรด
สเปรดมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้ สเปรดในตารางด้านบนจึงเป็นค่าเฉลี่ยของวันก่อนหน้า สำหรับสเปรดแบบเรียลไทม์ โปรดดูที่แพลตฟอร์มการซื้อขาย

โปรดทราบว่าสเปรดอาจกว้างขึ้นได้เมื่อตลาดมีสภาพคล่องต่ำ ซึ่งความกว้างนี้อาจยังคงอยู่จนกว่าระดับสภาพคล่องจะกลับมาฟื้นตัว

สว็อป
ไม่มีการคิดค่าสว็อปสำหรับสถานะการเทรด Cryptocurrency

ข้อกำหนดมาร์จิ้นแบบคงที่
ข้อกำหนดมาร์จิ้นสำหรับคู่สกุลเงินดิจิตอลทั้งหมด เป็นข้อกำหนดแบบคงที่ ไม่ว่าคุณจะใช้เลเวอเรจเท่าใด

ระดับคำสั่ง Stop
โปรดทราบว่ามูลค่าระดับคำสั่ง Stop ในตารางด้านบนอาจมีการเปลี่ยนแปลงและอาจไม่สามารถใช้ได้สำหรับเทรดเดอร์ที่ใช้บางกลยุทธ์การซื้อขายที่มีการใช้บ่อยๆ หรือใช้ระบบเทรดอัตโนมัติ

เหตุผลที่ควรเทรดคริปโตกับ Exness
ไม่ว่าจะเป็นการเทรดบิทคอยน์หรือ ไปจนถึง Ethereum, Litecoin และอีกมากมาย คุณสามารถเทรดการเคลื่อนไหวของราคาคริปโตเคอร์เรนซีเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ด้วยเงื่อนไขที่ดีกว่าตลาด

ถอนเงินได้ทันที
ถอนเงินสะดวกง่ายดายเพื่อเข้าถึงเงินของคุณได้รวดเร็ว เลือกวิธีการชำระเงินที่ชอบ ส่งคำขอถอนเงิน และรับการอนุมัติในทันที¹

exness-swap-free
การเทรดที่ไม่มีค่าสว็อป
เทรดออนไลน์อย่างต่อเนื่องโดยไม่มีค่าธรรมเนียมข้ามคืน ไม่ว่าคุณจะซื้อหรือขายชอร์ตคริปโตเคอร์เรนซีที่คุณเลือก

exness-stop-out-protection
การป้องกัน Stop Out
รับคุณสมบัติการป้องกันตลาดที่เป็นเอกลักษณ์ที่จะช่วยให้สถานะของคุณแข็งแกร่งขึ้น และช่วยชะลอหรือหลีกเลี่ยงการปิดคำสั่งซื้อขายอัตโนมัติ โดยเฉพาะในช่วงที่ความผันผวนเพิ่มขึ้น

ยกระดับกลยุทธ์การเทรดคริปโต
สำรวจกลยุทธ์การเทรดคริปโต บทวิเคราะห์ และเทคนิค เพื่อประโยชน์และรับทราบข่าวสารก่อนใครด้วยคู่มือการเทรดอย่างละเอียดของเรา

ที่มา https://www.exness.com/th/crypto/a/73208
x [close]
x [close]