• Welcome to จั่นเจาดอทคอม ถามตอบ คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต Forex MT4 MT5 เทรดทอง .
 

News:

IB Exness 16 สิงหาคม 2568 ประกาศจับสลากผลรางวัล
รางวัลที่ 1 มือถือ Oppo A3X 4GB/64GB เครื่อง 1 รางวัล หรือ 100 USD 1 รางวัล
รางวัลที่ 2 10 USD 10 รางวัล
รางวัลที่ 3 หมวก Exness 10 รางวัล
ลูกค้าใหม่ สมัครได้ที่ https://www.exness.com/a/73208
ลูกค้าเก่าที่สมัครผ่านลิงค์ตัวแทนผม สมัครได้
เงื่อนไข เทรดครบ 1 Lot Standard เริ่มต้น 1-15 สิงหาคม 2568
ติดต่อสอบถามหรือ Indox มา
สรพล
Line : junjaocom
หน้าประกาศรางวัล https://junjao.com/exness16072568.html
สเปกเครื่อง https://www.siamphone.com/spec/oppo/a3x.htm

Main Menu

Recent posts

#1
โอเค เดี๋ยวผมอธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ เลยนะครับ 😊

---

### 📱 **Mobile App**

* ก็คือ **แอปพลิเคชันที่รันบนมือถือหรือแท็บเล็ต** เช่น แอปบน Android (จาก Google Play) หรือ iOS (จาก App Store)
* ตัวอย่างเช่น Facebook, LINE, Grab, Shopee
* แอปมือถือสามารถมีได้ 2 แบบหลัก ๆ

  1. **Native App** → เขียนด้วยภาษาที่เฉพาะเจาะจงของแต่ละระบบ เช่น

     * Android → Java/Kotlin
     * iOS → Swift/Objective-C
  2. **Hybrid / Cross-platform App** → ใช้เฟรมเวิร์กที่เขียนครั้งเดียวรันได้ทั้ง Android/iOS เช่น Flutter, React Native

---

### 🌐 **REST API**

* **API (Application Programming Interface)** = ช่องทางให้ระบบคุยกันได้
* **REST (Representational State Transfer)** = รูปแบบการออกแบบ API ที่เป็นมาตรฐาน ใช้ง่าย และนิยมมากที่สุด
* เวลาที่แอปหรือเว็บจะ **ดึง/ส่งข้อมูล** ไปยังเซิร์ฟเวอร์ ก็มักจะใช้ **REST API** ผ่านโปรโตคอล HTTP/HTTPS
* ตัวอย่างเช่น:

  * แอปมือถือ Shopee → กดดูสินค้า → แอปจะส่ง request ไปยัง REST API
  * API จะดึงข้อมูลจากฐานข้อมูล → ส่งกลับมาเป็น **JSON** → แอปแสดงผล

---

### 🧩 สรุปความสัมพันธ์

* **Mobile App** = ตัวที่ผู้ใช้ถืออยู่ ใช้กดใช้งาน
* **REST API** = ตัวกลางที่ให้ Mobile App ติดต่อกับระบบหลังบ้าน (Database, Server, Service อื่น ๆ)
* เปรียบเทียบง่าย ๆ:

  * Mobile App = พนักงานหน้าร้าน
  * REST API = ครัว
  * Database = วัตถุดิบ
  * ลูกค้า (User) = ผู้ใช้แอป

--------------------------------------------
#2
การเลิกกันของคู่แต่งงานเกิดได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งอาจแตกต่างกันไปตามบริบทของแต่ละคู่ ด้านล่างนี้คือรายการ 100 เหตุผลที่อาจทำให้คู่แต่งงานเลิกกัน โดยครอบคลุมมิติต่างๆ เช่น อารมณ์ การเงิน การสื่อสาร ครอบครัว และปัจจัยภายนอก เหตุผลเหล่านี้จัดเรียงอย่างกระชับและหลากหลายเพื่อให้ครอบคลุมทุกแง่มุมที่เป็นไปได้:

1. ขาดการสื่อสารที่ดี
2. ความไม่ซื่อสัตย์หรือการนอกใจ
3. ความไม่เข้ากันในค่านิยมหรือเป้าหมายชีวิต
4. ปัญหาการเงินหรือหนี้สิน
5. ขาดความไว้วางใจ
6. ความคาดหวังที่ไม่ตรงกัน
7. ขาดความรักหรือความผูกพัน
8. การทะเลาะเบาะแว้งบ่อยครั้ง
9. ความแตกต่างในนิสัยหรือบุคลิกภาพ
10. การขาดความเคารพต่อกัน
11. ปัญหาการเลี้ยงลูกหรือความขัดแย้งในวิธีเลี้ยงดู
12. การแทรกแซงจากครอบครัวหรือญาติ
13. ความเบื่อหน่ายในความสัมพันธ์
14. การเปลี่ยนแปลงในลำดับความสำคัญของชีวิต
15. ขาดความสนิทสนมหรือความสัมพันธ์ทางเพศ
16. การติดสารเสพติด (ยาเสพติด แอลกอฮอล์)
17. ความรุนแรงในครอบครัว
18. ความเครียดจากงานหรืออาชีพ
19. การย้ายถิ่นฐานหรือการแยกจากกันทางภูมิศาสตร์
20. ขาดการสนับสนุนทางอารมณ์
21. ความหึงหวงหรือความไม่มั่นคง
22. การหลอกลวงหรือโกหก
23. ความแตกต่างในเรื่องศาสนาหรือความเชื่อ
24. ปัญหาสุขภาพจิตของคู่ใดคู่หนึ่ง
25. การไม่ยอมรับข้อผิดพลาดของกันและกัน
26. ขาดความพยายามในการรักษาความสัมพันธ์
27. การพัฒนาตัวตนที่แตกต่างกัน
28. ความขัดแย้งเรื่องการแบ่งงานบ้าน
29. การไม่ให้อภัยกัน
30. ขาดความสนใจในเป้าหมายร่วมกัน
31. การเปลี่ยนแปลงในความต้องการทางเพศ
32. ความรู้สึกถูกละเลยหรือไม่ได้รับการใส่ใจ
33. การตัดสินใจที่สำคัญโดยไม่ปรึกษากัน
34. การขาดความยืดหยุ่นในความสัมพันธ์
35. ความรู้สึกสูญเสียตัวตนส่วนบุคคล
36. การเปรียบเทียบคู่ครองกับผู้อื่น
37. ขาดความซื่อสัตย์ในเรื่องการเงิน
38. ความขัดแย้งในเรื่องการใช้เวลาว่าง
39. การไม่ยอมรับครอบครัวของอีกฝ่าย
40. ความรู้สึกถูกควบคุมหรือกดขี่
41. การเปลี่ยนแปลงในสถานะทางสังคม
42. ขาดการยอมรับในความแตกต่าง
43. ความรู้สึกไม่ได้รับการชื่นชม
44. การขาดเป้าหมายระยะยาวร่วมกัน
45. ความแตกต่างในเรื่องการวางแผนครอบครัว
46. การนอกใจทางอารมณ์
47. ขาดความใกล้ชิดทางร่างกาย
48. ความรู้สึกถูกทอดทิ้ง
49. การขาดความสนุกในความสัมพันธ์
50. ความขัดแย้งในเรื่องการจัดการเวลา
51. การไม่เคารพขอบเขตส่วนตัว
52. ความแตกต่างในไลฟ์สไตล์
53. การเปลี่ยนแปลงในความสนใจส่วนตัว
54. ขาดการพัฒนาความสัมพันธ์
55. ความรู้สึกถูกตัดสิน
56. การไม่สามารถแก้ไขปัญหาด้วยกันได้
57. ความคาดหวังที่ไม่สมจริง
58. การขาดความโปร่งใส
59. ความรู้สึกไม่มั่นคงในความสัมพันธ์
60. การเปลี่ยนแปลงในระดับความมุ่งมั่น
61. การขาดความเข้าใจในความต้องการของกัน
62. การไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงของอีกฝ่าย
63. ความรู้สึกไม่ได้รับการสนับสนุน
64. การขาดความสมดุลระหว่างงานและชีวิต
65. ความแตกต่างในเรื่องการบริหารเงิน
66. การสูญเสียความหลงใหลในความสัมพันธ์
67. ความรู้สึกถูกจำกัดอิสรภาพ
68. การขาดความอดทนต่อกัน
69. ความขัดแย้งในเรื่องการเดินทาง
70. การไม่ยอมรับเพื่อนของอีกฝ่าย
71. ความรู้สึกถูกปฏิเสธ
72. การขาดความพยายามในการแก้ไขปัญหา
73. ความแตกต่างในเรื่องการเมือง
74. การไม่สามารถจัดการกับความเครียดร่วมกัน
75. ความรู้สึกไม่ได้รับความรัก
76. การเปลี่ยนแปลงในความเชื่อส่วนตัว
77. การขาดความภักดี
78. ความรู้สึกไม่ได้รับการปกป้อง
79. การไม่ยอมรับอดีตของอีกฝ่าย
80. ความขัดแย้งในเรื่องการดูแลสุขภาพ
81. การขาดความไว้วางใจในเรื่องเล็กๆ
82. ความรู้สึกไม่ได้รับการยอมรับ
83. การเปลี่ยนแปลงในความสนใจทางเพศ
84. การไม่สามารถจัดการกับความโกรธ
85. ความรู้สึกถูกกดดันให้เปลี่ยนแปลง
86. การขาดการสื่อสารในเรื่องสำคัญ
87. ความรู้สึกไม่มีความสำคัญ
88. การเปลี่ยนแปลงในบทบาททางสังคม
89. การขาดความมั่นคงทางอารมณ์
90. ความรู้สึกถูกวิพากษ์วิจารณ์
91. การไม่ยอมรับความฝันของอีกฝ่าย
92. ความขัดแย้งในเรื่องการย้ายที่อยู่อาศัย
93. การขาดความพยายามในการรักษาความโรแมนติก
94. ความรู้สึกถูกทิ้งให้เผชิญปัญหาคนเดียว
95. การเปลี่ยนแปลงในความมั่นใจในตัวเอง
96. การขาดความเข้าใจในวัฒนธรรมของอีกฝ่าย
97. ความรู้สึกไม่ได้รับการสนับสนุนในอาชีพ
98. การขาดความสัมพันธ์กับครอบครัวของอีกฝ่าย
99. ความรู้สึกว่าความสัมพันธ์ถึงทางตัน
100. การตัดสินใจว่าไม่ต้องการใช้ชีวิตด้วยกันอีกต่อไป

--------------------------------------------------

นี่คือ "100 เหตุผล" ที่คู่แต่งงานมักเลิกกัน (สรุปสั้น กระชับ):

1. ขาดการสื่อสาร

2. สื่อสารเชิงรุกล้ำ/ก้าวร้าว

3. ไม่ยอมรับฟังกัน

4. ปกปิดความรู้สึก

5. ประชดประชันบ่อย

6. หลบเลี่ยงปัญหา

7. วิจารณ์/ดูถูกซ้ำๆ

8. ตั้งการ์ดตลอด ไม่ยอมรับผิด

9. เงียบใส่ (stonewalling)

10. ไม่ขอโทษ/ไม่ให้อภัย

11. นอกใจ/คบซ้อน

12. โกหกเรื่องสำคัญ

13. ความลับทางการเงิน

14. ละเมิดความเป็นส่วนตัว

15. ผิดคำสัญญาซ้ำซาก

16. เป้าหมายชีวิตต่างกัน

17. ค่านิยม/ศาสนาต่างกันมาก

18. คาดหวังบทบาทสามี–ภรรยาไม่ตรง

19. บุคลิก/นิสัยเข้ากันไม่ได้

20. ช่องว่างวัย/วุฒิภาวะ

21. ไลฟ์สไตล์ไม่สอดคล้อง

22. ความต้องการการแสดงออกถึงรักไม่ตรงกัน

23. หึงหวงเกินเหตุ

24. ขาดความเคารพซึ่งกันและกัน

25. ระดับการสนทนา/ความสนใจทางปัญญาไม่ตรงกัน

26. ภาระหนี้สินสูง

27. ใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย

28. ตระหนี่จนกดดัน

29. รายได้ไม่แน่นอน/ตกงาน

30. ไม่โปร่งใสเรื่องเงิน

31. ใช้อำนาจผ่านเงิน

32. ช่วยเหลือญาติเรื่องเงินจนกระทบคู่

33. เป้าหมายการเงินต่างกัน (บ้าน/รถ/ลงทุน)

34. ความเครียดค่าครองชีพ

35. ภาษี/ภาระกฎหมายการเงินกระทบ

36. ความต้องการทางเพศไม่ตรงกัน

37. ปัญหาทางเพศที่ไม่แก้ร่วมกัน

38. ขาดความใกล้ชิดทางอารมณ์

39. ไม่มั่นใจรูปร่าง/สุขภาพจนห่างเหิน

40. เสพสื่อลามกจนกระทบความสัมพันธ์

41. เห็นต่างเรื่องมี/ไม่มีลูก

42. วิธีเลี้ยงลูกขัดแย้ง

43. ภาระเลี้ยงลูกทำให้ห่างกัน

44. ลูกติดจากความสัมพันธ์เดิม

45. ภาวะมีบุตรยาก

46. แท้ง/สูญเสียบุตรทำให้เศร้าและตึงเครียด

47. ผูกพันลูกมากจนละเลยคู่

48. แย่งอำนาจตัดสินใจเรื่องลูก

49. ปัญหากับอดีตคู่ของฝ่ายหนึ่ง (co-parenting)

50. ค่าใช้จ่าย/การศึกษาลูกกดดัน

51. ครอบครัวฝ่ายใดแทรกแซง

52. อยู่บ้านเดียวกับพ่อแม่จนเกิดแรงเสียดทาน

53. ความต่างด้านวัฒนธรรม/เชื้อชาติ

54. เพื่อนชวนใช้ชีวิตเสี่ยง/ไม่สร้างสรรค์

55. แรงกดดันภาพลักษณ์จากโซเชียล

56. ทำงานหนักจนไม่มีเวลา

57. เวรงาน/ตารางไม่ตรงกัน

58. นำความเครียดงานกลับบ้าน

59. ย้ายงาน/ย้ายเมืองบ่อย

60. ความสำเร็จ/รายได้ต่างกันจนเกิดระแวงหรือดูถูก

61. ซึมเศร้า/วิตกกังวลไม่รักษา

62. โรคเรื้อรังสร้างภาระและความตึงเครียด

63. ติดการพนัน

64. ติดสุรา

65. ติดสารเสพติดอื่น

66. โรคทางบุคลิกภาพ/อารมณ์ไม่ได้รับการดูแล

67. ปัญหาการนอน/กรนรุนแรงกระทบชีวิตคู่

68. ภาวะหลังคลอด/ฮอร์โมนแปรปรวน

69. ไม่ดูแลสุขภาพตนเองจนอีกฝ่ายรับภาระหนัก

70. ต้องดูแลญาติป่วยจนละเลยคู่

71. ความรุนแรงในครอบครัว (กาย/ใจ)

72. ควบคุม ครอบงำ ติดตาม

73. ละเมิด/กดขี่ทางการเงิน

74. ด่าทอ เหยียดหยาม

75. บังคับ/ละเมิดทางเพศ

76. วิกฤตการเงินฉับพลัน

77. ภัยพิบัติ/บ้านเสียหายทำให้เครียด

78. ธุรกิจล้ม/หนี้ท่วม

79. สูญเสียคนใกล้ชิด

80. วิกฤตวัยกลางคน อยาก "เริ่มใหม่"

81. ความสัมพันธ์ระยะไกลยืดเยื้อ

82. ตารางชีวิตสวนทาง (กลางวัน/กลางคืน)

83. ปัญหาวีซ่า/เอกสารต้องแยกกันอยู่

84. เดินทางบ่อยมาก

85. สื่อสารระยะไกลไม่พอ จนเข้าใจคลาดเคลื่อน

86. แต่งเพราะแรงกดดันสังคม/ครอบครัว

87. แต่งเร็วเกินไป ไม่ได้เรียนรู้กันพอ

88. แต่งเพราะผลประโยชน์/ผลตอบแทน

89. ขาดความมุ่งมั่นจะแก้ปัญหา

90. ไม่ยอมไปปรึกษาหรือบำบัดคู่

91. ขอบเขตส่วนตัวไม่ชัด (เพื่อน งาน เวลา)

92. เอาเรื่องคู่ไปเล่าในที่สาธารณะ

93. ใช้โซเชียลทำร้าย/สอดส่องกัน

94. ตัดสินใจเรื่องใหญ่โดยไม่ปรึกษา

95. ขัดแย้งเรื่องของสะสม/สัตว์เลี้ยง/พื้นที่บ้าน

96. สูบบุหรี่/ดื่มหนักจนอีกฝ่ายรับไม่ได้

97. ระเบียบในบ้านต่างสุดขั้ว (สะอาด/สกปรก)

98. มาสาย/ไม่รักษาเวลาต่อเนื่อง

99. ติดเกม/มือถือจนละเลย

100. ความรู้สึกหมดรักจากการสะสมปัญหายาวนาน

---------------------------------------------------------

แน่นอนครับ sorapol! การแต่งงานที่จบลงด้วยการเลิกราอาจเกิดจากหลายปัจจัย ทั้งเรื่องส่วนตัว ความสัมพันธ์ การเงิน หรือแม้แต่สิ่งแวดล้อมรอบตัว ผมรวบรวมเหตุผลที่คู่รักอาจเลิกกันได้ถึง **100 ข้อ** โดยแบ่งเป็นหมวดหมู่เพื่อให้อ่านง่ายและเข้าใจลึกขึ้นครับ

---

## 💔 หมวดความสัมพันธ์ส่วนตัว

1. ขาดการสื่อสารที่ดี 
2. ไม่รับฟังกัน 
3. ทะเลาะบ่อยเกินไป 
4. ไม่เคารพกัน 
5. ขาดความเข้าใจ 
6. ความคาดหวังไม่ตรงกัน 
7. ไม่ให้เวลาแก่กัน 
8. ขาดความใกล้ชิดทางอารมณ์ 
9. ขาดความใกล้ชิดทางกายภาพ 
10. ไม่สนใจความรู้สึกของอีกฝ่าย 
11. ไม่ให้กำลังใจ 
12. ไม่ยอมปรับตัว 
13. ไม่ให้อภัย 
14. ขาดความซื่อสัตย์ 
15. ไม่แสดงความรัก 
16. ไม่ยอมรับข้อบกพร่องของกัน 
17. ขาดความอดทน 
18. ไม่แบ่งปันชีวิตร่วมกัน 
19. ไม่ให้เกียรติครอบครัวอีกฝ่าย 
20. ขาดความเป็นเพื่อนในชีวิตคู่

---

## 💸 หมวดการเงินและอาชีพ

21. ปัญหาหนี้สิน 
22. รายได้ไม่พอใช้ 
23. ใช้เงินไม่ตรงกัน 
24. ไม่วางแผนการเงินร่วมกัน 
25. ฝ่ายหนึ่งไม่ทำงาน 
26. ความเครียดจากงาน 
27. ฝ่ายหนึ่งใช้เงินฟุ่มเฟือย 
28. ไม่แบ่งภาระค่าใช้จ่าย 
29. ปิดบังรายได้ 
30. ไม่สนับสนุนเป้าหมายทางอาชีพของกัน

---

## 🧠 หมวดทัศนคติและค่านิยม

31. ค่านิยมต่างกัน 
32. ความเชื่อทางศาสนาไม่ตรงกัน 
33. ทัศนคติต่อการเลี้ยงลูกต่างกัน 
34. ทัศนคติต่อเพศสัมพันธ์ต่างกัน 
35. ทัศนคติต่อครอบครัวต่างกัน 
36. ทัศนคติต่อการใช้ชีวิตต่างกัน 
37. ฝ่ายหนึ่งไม่อยากมีลูก 
38. ฝ่ายหนึ่งอยากมีลูกมากเกินไป 
39. ไม่เห็นคุณค่าของกัน 
40. ไม่สนใจการพัฒนาตัวเอง

---

## 🧬 หมวดพฤติกรรมและนิสัย

41. ขี้หึงเกินไป 
42. เจ้าชู้ 
43. ติดเกม 
44. ติดมือถือ 
45. ติดโซเชียล 
46. ติดเหล้า 
47. ติดยาเสพติด 
48. ใช้ความรุนแรง 
49. พฤติกรรมควบคุมอีกฝ่าย 
50. พฤติกรรมหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ 
51. ขี้โมโห 
52. ขี้เกียจ 
53. ไม่รักษาความสะอาด 
54. ไม่รักษาสุขภาพ 
55. ไม่ช่วยงานบ้าน 
56. ไม่สนใจลูก 
57. พฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ 
58. พฤติกรรมโกหกซ้ำซาก 
59. พฤติกรรมหลบเลี่ยงปัญหา 
60. พฤติกรรมไม่ให้เกียรติ

---

## 🧑�🤝�🧑 หมวดครอบครัวและสังคม

61. ครอบครัวฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแทรกแซง 
62. เพื่อนมีอิทธิพลมากเกินไป 
63. ถูกกดดันจากสังคม 
64. ความคาดหวังจากพ่อแม่ 
65. ปัญหากับญาติ 
66. ปัญหากับลูก 
67. ปัญหากับเพื่อนร่วมงาน 
68. ปัญหากับเพื่อนสนิท 
69. ถูกเปรียบเทียบกับคู่รักคนอื่น 
70. ถูกกดดันให้มีลูก

---

## 🌍 หมวดสิ่งแวดล้อมและสถานการณ์

71. ย้ายที่อยู่บ่อย 
72. อยู่ไกลกัน (Long Distance) 
73. เวลาทำงานไม่ตรงกัน 
74. ไม่มีเวลาร่วมกัน 
75. ความเครียดจากสถานการณ์ภายนอก 
76. ปัญหาสุขภาพ 
77. ปัญหาทางจิตใจ 
78. ภาวะซึมเศร้า 
79. โรคเรื้อรัง 
80. ภาวะหมดไฟในชีวิตคู่

---

## 💣 หมวดเหตุการณ์เฉพาะหน้า

81. การนอกใจ 
82. การโกงเงิน 
83. การทำร้ายร่างกาย 
84. การทำร้ายจิตใจ 
85. การเปิดเผยความลับ 
86. การทรยศความไว้ใจ 
87. การมีลูกกับคนอื่น 
88. การแต่งงานซ้อน 
89. การล้มละลาย 
90. การติดคดีความ

---

## 🧘 หมวดการเติบโตและเปลี่ยนแปลง

91. โตไปคนละทาง 
92. เป้าหมายชีวิตเปลี่ยน 
93. ความฝันไม่ตรงกัน 
94. ไม่สนับสนุนกัน 
95. ไม่พัฒนาความสัมพันธ์ 
96. ไม่เรียนรู้จากความผิดพลาด 
97. ไม่ปรับตัวตามวัย 
98. ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง 
99. ไม่ให้โอกาสกัน 
100. ไม่รักกันแล้ว

-------------------------------------

## 100 เหตุผลที่นำไปสู่การหย่าร้าง: ทำไมชีวิตคู่จึงมาถึงทางตัน

การตัดสินใจยุติชีวิตคู่ไม่ใช่เรื่องง่าย และเบื้องหลังของแต่ละการหย่าร้างนั้นมีเหตุผลที่ซับซ้อนและหลากหลาย การแต่งงานที่เริ่มต้นด้วยความรักและความหวังอาจจบลงด้วยความเจ็บปวดและการแยกทางได้จากปัจจัยมากมาย ตั้งแต่ปัญหาคลาสสิกที่ทุกคนคุ้นเคย ไปจนถึงเหตุผลปลีกย่อยที่ค่อยๆ กัดกินความสัมพันธ์ทีละน้อย นี่คือ 100 เหตุผลที่คู่แต่งงานตัดสินใจเลิกรากัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางและความท้าทายของชีวิตสมรส

### **ปัญหาด้านความสัมพันธ์และการสื่อสาร (ข้อ 1-25)**

รากฐานสำคัญของชีวิตคู่คือความเข้าใจและการสื่อสารที่ดี เมื่อสิ่งนี้พังทลายลง ก็อาจนำไปสู่ปัญหาอื่นๆ จนยากจะแก้ไข

1.  **การนอกใจ:** การมีเพศสัมพันธ์กับคนอื่นที่ไม่ใช่คู่สมรสของตน ถือเป็นการทำลายความไว้วางใจอย่างรุนแรง
2.  **การนอกใจทางอารมณ์:** การสร้างความสัมพันธ์ทางใจที่ลึกซึ้งกับคนอื่น แม้ไม่มีความสัมพันธ์ทางกาย
3.  **ขาดการสื่อสารที่ดี:** ไม่พูดคุยกันอย่างเปิดอก ไม่รับฟัง หรือต่างคนต่างคิดไปเอง
4.  **การสื่อสารเชิงลบ:** ใช้คำพูดดูถูก เหยียดหยาม หรือประชดประชันกันตลอดเวลา
5.  **การไม่ให้เกียรติซึ่งกันและกัน:** แสดงออกถึงการไม่เคารพในความคิด ความรู้สึก หรือตัวตนของอีกฝ่าย
6.  **การโกหกและปิดบัง:** การไม่พูดความจริงในเรื่องต่างๆ ทำให้ความไว้วางใจหมดไป
7.  **ความลับทางการเงิน:** แอบใช้เงิน แอบสร้างหนี้ หรือปกปิดรายได้
8.  **ความห่างเหินทางอารมณ์:** รู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียวแม้จะมีคู่สมรสอยู่ข้างๆ
9.  **รู้สึกว่าไม่ได้รับความสำคัญ:** ฝ่ายหนึ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นตัวเลือกท้ายๆ เสมอ
10. **การไม่สนับสนุนความฝันและเป้าหมายของกันและกัน:** ไม่ให้กำลังใจหรือขัดขวางความก้าวหน้าของอีกฝ่าย
11. **การวิจารณ์ไม่สิ้นสุด:** ตำหนิติเตียนทุกเรื่อง ไม่เคยมีคำชม
12. **การกล่าวโทษกันไปมา:** ไม่ยอมรับผิดและโยนความผิดให้อีกฝ่ายเสมอ
13. **การใช้ "สงครามเย็น" (Silent Treatment):** การลงโทษอีกฝ่ายด้วยความเงียบ ไม่ยอมพูดจาด้วย
14. **ความไม่ลงรอยกันเรื่องพื้นฐาน:** มีเป้าหมายชีวิต ทัศนคติ และจริยธรรมที่ต่างกันเกินไป
15. **ความสัมพันธ์ที่พึ่งพาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากเกินไป (Codependency):** ขาดความเป็นตัวของตัวเองจนน่าอึดอัด
16. **การไม่รู้จักขอโทษ:** ทิฐิสูงเกินกว่าจะยอมรับผิดและกล่าวคำขอโทษ
17. **การไม่รู้จักให้อภัย:** ยึดติดกับความผิดพลาดในอดีตและนำกลับมาพูดซ้ำๆ
18. **ความเบื่อหน่าย:** ความสัมพันธ์ขาดความตื่นเต้น กลายเป็นกิจวัตรที่ซ้ำซากจำเจ
19. **เติบโตไปคนละทาง:** ความสนใจ ความคิด และการใช้ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปจนไม่เหมือนเดิม
20. **แต่งงานเร็วเกินไป:** ยังไม่รู้จักตัวเองและคู่ของตนดีพอเมื่อตัดสินใจแต่งงาน
21. **แต่งงานผิดเหตุผล:** แต่งเพราะความกดดันจากครอบครัว ท้องก่อนแต่ง หรือเพราะผลประโยชน์
22. **ความคาดหวังที่ไม่ตรงกับความจริง:** วาดฝันชีวิตแต่งงานไว้สวยหรู แต่ความจริงกลับตรงกันข้าม
23. **เปรียบเทียบคู่ของตัวเองกับคนอื่น:** มักจะมองว่าคู่ของคนอื่นดีกว่าเสมอ
24. **ความไม่เท่าเทียมในความสัมพันธ์:** ฝ่ายหนึ่งมีอำนาจควบคุมและตัดสินใจทุกอย่าง
25. **การขาดทีมเวิร์ค:** ไม่มองว่าชีวิตคู่คือการทำงานร่วมกัน แต่กลับแข่งขันและเอาชนะกันเอง

### **ปัญหาทางการเงิน (ข้อ 26-35)**

เรื่องเงินไม่เข้าใครออกใคร และเป็นสาเหตุหลักของการทะเลาะเบาะแว้งในหลายครอบครัว

26. **นิสัยการใช้เงินที่แตกต่างกันสุดขั้ว:** คนหนึ่งประหยัดสุดๆ อีกคนใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
27. **หนี้สิน:** ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายมีหนี้สินจำนวนมากที่ส่งผลกระทบต่อครอบครัว
28. **การตกงาน:** ความเครียดจากการขาดรายได้และความไม่มั่นคงทางการเงิน
29. **ความขี้เกียจทางการเงิน:** ฝ่ายหนึ่งไม่ยอมทำงานหรือไม่ช่วยกันทำมาหากิน
30. **ความเห็นไม่ตรงกันเรื่องเป้าหมายทางการเงิน:** คนหนึ่งอยากเก็บเงินซื้อบ้าน อีกคนอยากนำเงินไปลงทุน
31. **การพนัน:** การเสพติดการพนันนำไปสู่ปัญหาหนี้สินและการโกหก
32. **การให้ความสำคัญกับวัตถุมากกว่าความสัมพันธ์:** ทุ่มเทเงินไปกับสิ่งของเพื่อสร้างภาพลักษณ์
33. **ความขัดแย้งเรื่องการช่วยเหลือครอบครัวของแต่ละฝ่าย:** ให้เงินครอบครัวตัวเองมากเกินไปจนอีกฝ่ายไม่พอใจ
34. **การขาดความโปร่งใสทางการเงิน:** ไม่มีการวางแผนหรือพูดคุยเรื่องการเงินร่วมกัน
35. **ความเครียดจากความยากจน:** การดิ้นรนหาเลี้ยงชีพในแต่ละวันทำให้ไม่มีเวลาให้กัน

### **ปัญหาเรื่องเซ็กส์และความใกล้ชิด (ข้อ 36-45)**

ความใกล้ชิดทางกายเป็นส่วนสำคัญของชีวิตสมรส เมื่อปัญหานี้เกิดขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ในภาพรวม

36. **ความต้องการทางเพศไม่เท่ากัน:** ฝ่ายหนึ่งต้องการบ่อยกว่าอีกฝ่ายอย่างเห็นได้ชัด
37. **ขาดความใกล้ชิดทางกาย:** ไม่มีการกอด จูบ หรือสัมผัสที่แสดงความรักต่อกัน
38. **ชีวิตเซ็กส์ที่น่าเบื่อ:** ขาดความแปลกใหม่และความพยายามที่จะทำให้เรื่องบนเตียงดีขึ้น
39. **การปฏิเสธเรื่องเพศสัมพันธ์:** ฝ่ายหนึ่งปฏิเสธอีกฝ่ายบ่อยครั้งจนทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไร้ค่า
40. **รสนิยมทางเพศที่เข้ากันไม่ได้:** มีความชอบหรือความต้องการที่แตกต่างกันมาก
41. **ปัญหาทางเพศที่ไม่ได้รับการแก้ไข:** เช่น ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ หรือความเจ็บปวดขณะมีเพศสัมพันธ์
42. **ใช้เซ็กส์เป็นเครื่องมือต่อรอง:** ไม่ยอมมีเพศสัมพันธ์เพื่อลงโทษหรือเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ
43. **การนอกใจทางเพศ (Physical Infidelity):** ดังที่กล่าวไปแล้ว แต่เป็นเหตุผลสำคัญในหมวดนี้
44. **การเสพติดสื่อลามก:** ทำให้ความสนใจในตัวคู่สมรสน้อยลงและสร้างความคาดหวังที่ไม่สมจริง
45. **การไม่ใส่ใจความสุขทางเพศของอีกฝ่าย:** มุ่งเน้นแต่ความสุขของตนเองเพียงฝ่ายเดียว

### **ปัญหาเรื่องลูกและการเลี้ยงดู (ข้อ 46-55)**

การมีลูกคือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันในการเลี้ยงดูสามารถสร้างรอยร้าวได้

46. **สไตล์การเลี้ยงลูกที่แตกต่างกัน:** คนหนึ่งเข้มงวด อีกคนตามใจ
47. **การไม่ให้เกียรติวิธีการเลี้ยงลูกของอีกฝ่าย:** คิดว่าวิธีของตนเองถูกเสมอและดูถูกวิธีของอีกฝ่าย
48. **ความขัดแย้งเรื่องการลงโทษลูก:** ความเห็นไม่ตรงกันว่าควรลงโทษอย่างไรและเมื่อไหร่
49. **การมีลูกไม่ได้:** ความเจ็บปวดและความเครียดจากการพยายามมีบุตรแต่ไม่สำเร็จ
50. **การไม่ต้องการมีลูก:** ฝ่ายหนึ่งอยากมี แต่อีกฝ่ายไม่ต้องการอย่างชัดเจน
51. **การให้ความสำคัญกับลูกมากกว่าคู่สมรส:** ทุ่มเททุกอย่างให้ลูกจนหลงลืมสถานะสามีภรรยา
52. **ความเครียดจากการเลี้ยงดูลูกที่มีความต้องการพิเศษ:** ความเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ
53. **การเข้าข้างลูกของตัวเอง (ในกรณีที่เป็นครอบครัวผสม):** พ่อเลี้ยงหรือแม่เลี้ยงมีความลำเอียง
54. **การนำลูกมาเป็นเครื่องมือในการทะเลาะ:** พูดให้อีกฝ่ายรู้สึกผิดโดยอ้างถึงลูก
55. **ความเห็นไม่ตรงกันเรื่องการศึกษาของลูก:** การเลือกโรงเรียนและแนวทางการเรียน

### **การทำร้ายร่างกายและจิตใจ (ข้อ 56-65)**

เป็นเหตุผลที่รุนแรงและไม่อาจยอมรับได้ ซึ่งนำไปสู่การหย่าร้างอย่างแน่นอน

56. **การทำร้ายร่างกาย:** การใช้ความรุนแรงในครอบครัว
57. **การทำร้ายจิตใจ:** การใช้คำพูดทำร้ายให้รู้สึกไร้ค่า กดดัน หรือข่มขู่
58. **การควบคุมบงการ:** ควบคุมทุกการกระทำ การตัดสินใจ และการเข้าสังคมของอีกฝ่าย
59. **ความหึงหวงที่เกินเหตุ:** ระแวงและกล่าวหาว่ามีชู้โดยไม่มีหลักฐาน
60. **การบงการทางความคิด (Gaslighting):** ทำให้ฝ่ายหนึ่งเริ่มสงสัยในสติและความทรงจำของตัวเอง
61. **การคุกคามทางเพศ:** การบังคับขืนใจให้มีเพศสัมพันธ์
62. **การทำลายข้าวของ:** แสดงความโกรธด้วยการทำลายทรัพย์สิน
63. **การขู่ว่าจะทำร้ายตนเองหรือคนอื่น:** เพื่อสร้างความกลัวและควบคุมอีกฝ่าย
64. **การแบล็กเมล์ทางอารมณ์:** ใช้ความรู้สึกผิดหรือความกลัวเพื่อให้อีกฝ่ายทำตามที่ต้องการ
65. **การไม่ปกป้องคู่ของตนจากคำดูถูกของผู้อื่น:** ปล่อยให้คนอื่นมาทำร้ายจิตใจคู่สมรสของตน

### **ปัญหาสุขภาพและการเสพติด (ข้อ 66-75)**

ปัญหาสุขภาพที่รุนแรงและการเสพติดสามารถสร้างแรงกดดันมหาศาลให้กับชีวิตคู่

66. **การติดสุราหรือยาเสพติด:** การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและปัญหาทางการเงินที่ตามมา
67. **การเจ็บป่วยเรื้อรัง:** ความเครียดจากการดูแลและการเปลี่ยนแปลงบทบาทในครอบครัว
68. **ปัญหาสุขภาพจิตที่ไม่ได้รับการรักษา:** เช่น โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล หรือไบโพลาร์
69. **การเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย:** น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างมาก หรือการไม่ดูแลตัวเอง
70. **การไม่ใส่ใจสุขภาพของอีกฝ่าย:** ไม่สนใจดูแลเมื่ออีกฝ่ายเจ็บป่วย
71. **การปฏิเสธที่จะไปพบแพทย์หรือนักบำบัด:** ไม่ยอมรับว่าตัวเองมีปัญหาและไม่ยอมรับการช่วยเหลือ
72. **ความเครียดจากการเป็นผู้ดูแล:** ฝ่ายที่แข็งแรงรู้สึกเหนื่อยล้าและหมดไฟ
73. **การติดการพนัน:** (ซ้ำกับหมวดการเงิน แต่เป็นปัญหาการเสพติดที่สำคัญ)
74. **การติดงาน:** ทำงานหนักเกินไปจนไม่มีเวลาให้ครอบครัว
75. **การเสพติดโซเชียลมีเดีย:** ใช้เวลาอยู่กับโลกออนไลน์มากกว่าคนข้างๆ

### **ปัจจัยภายนอกและสภาพแวดล้อม (ข้อ 76-90)**

บางครั้งปัญหาก็ไม่ได้มาจากคนสองคน แต่มาจากสภาพแวดล้อมรอบตัว

76. **ปัญหากับพ่อแม่หรือญาติของอีกฝ่าย (ปัญหาแม่ผัวลูกสะใภ้):** การเข้ามาแทรกแซงชีวิตคู่มากเกินไป
77. **การที่คู่สมรสเข้าข้างครอบครัวตัวเองเสมอ:** ไม่เคยปกป้องเราจากครอบครัวของเขา/เธอ
78. **ความแตกต่างทางศาสนาหรือวัฒนธรรม:** ความขัดแย้งในความเชื่อและธรรมเนียมปฏิบัติ
79. **ปัญหากับเพื่อนของอีกฝ่าย:** ไม่ชอบกลุ่มเพื่อนของคู่สมรสและมองว่าเป็นอิทธิพลที่ไม่ดี
80. **ความเครียดจากงาน:** นำความเครียดจากที่ทำงานกลับมาลงที่บ้าน
81. **การย้ายที่อยู่บ่อยครั้ง:** ทำให้รู้สึกไม่มั่นคงและต้องปรับตัวตลอดเวลา
82. **การเดินทางไกลเพื่อทำงาน:** การอยู่ห่างกันเป็นเวลานานทำให้ความสัมพันธ์ห่างเหิน
83. **ความสำเร็จในหน้าที่การงานที่ไม่เท่ากัน:** ทำให้เกิดความอิจฉาหรือความรู้สึกด้อยค่า
84. **การสูญเสียครั้งใหญ่:** เช่น การเสียลูกหรือคนในครอบครัว ซึ่งอาจทำให้คนสองคนห่างเหินกัน
85. **อิทธิพลจากเพื่อนที่หย่าร้าง:** ทำให้มองว่าการหย่าร้างเป็นทางออกที่ง่ายขึ้น
86. **การเปลี่ยนแปลงของสังคม:** ทัศนคติที่เปิดกว้างต่อการหย่าร้างมากขึ้น
87. **ความไม่ลงรอยกันเรื่องสัตว์เลี้ยง:** ฝ่ายหนึ่งรักสัตว์เหมือนลูก อีกฝ่ายไม่ชอบ
88. **ปัญหางานบ้าน:** การแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบที่ไม่เท่าเทียม
89. **ไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกัน:** คนหนึ่งชอบเข้าสังคม อีกคนชอบอยู่บ้าน
90. **การไม่มีเวลาส่วนตัว:** รู้สึกอึดอัดเพราะต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลา

### **เหตุผลส่วนบุคคลและการเปลี่ยนแปลงภายใน (ข้อ 91-100)**

บางครั้งการเลิกราก็เกิดจากการเปลี่ยนแปลงภายในของคนใดคนหนึ่ง

91. **การค้นพบตัวตนใหม่:** ตระหนักว่าสิ่งที่ต้องการในชีวิตไม่ใช่การมีชีวิตคู่อีกต่อไป
92. **การตระหนักว่าหมดรักแล้ว:** ความรู้สึกรักค่อยๆ จางหายไปตามกาลเวลา
93. **วิกฤตวัยกลางคน (Mid-life Crisis):** การตั้งคำถามกับชีวิตและการตัดสินใจที่ผ่านมาทั้งหมด
94. **การเปลี่ยนแปลงรสนิยมทางเพศ:** ตระหนักว่าตนเองไม่ได้รักเพศตรงข้าม
95. **ความรู้สึกติดกับ (Feeling Trapped):** รู้สึกว่าชีวิตแต่งงานคือพันธนาการ
96. **การไม่ได้รับการเติมเต็ม:** รู้สึกว่างเปล่าและไม่มีความสุขในความสัมพันธ์
97. **การไม่เป็นตัวของตัวเอง:** ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองมากเกินไปเพื่อให้อีกฝ่ายพอใจ
98. **การสูญเสียตัวตน:** ลืมไปแล้วว่าตัวเองเคยเป็นใครและชอบอะไรก่อนแต่งงาน
99. **ความปรารถนาที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่:** ต้องการโอกาสครั้งที่สองเพื่อมีความสุขในแบบของตัวเอง
100. **การให้อภัยตัวเองไม่ได้:** ฝ่ายที่เคยทำผิดพลาดรู้สึกผิดเกินกว่าจะอยู่ในความสัมพันธ์ต่อไปได้
----------------------------------------------------

แน่นอนครับ นี่คือรายการเหตุผล 100 ข้อที่ทำให้คู่สมรสตัดสินใจหย่าร้างหรือแยกกันอยู่ ซึ่งรวบรวมจากปัจจัยทางจิตใจ สังคม เศรษฐกิจ และชีวิตคู่

**ด้านการสื่อสารและอารมณ์ (1-20)**
1.  การสื่อสารที่ไม่effective หรือสื่อสารน้อยลงจนเหมือน陌生人
2.  การโต้เถียงอย่างรุนแรงและต่อเนื่องโดยไม่หาทางออก
3.  การเก็บกดความรู้สึกไม่พูดกันตรงๆ
4.  การดูถูก เหน็บแนม หรือพูดจาทำร้ายจิตใจกัน
5.  ความรู้สึกว่า "ไม่ได้รักกันเหมือนแต่ก่อน"
6.  ความเบื่อหน่ายและความรู้สึกซ้ำซากในความสัมพันธ์
7.  การไม่ได้รับการเอาใจใส่หรือความรู้สึกถูกทอดทิ้งทางอารมณ์
8.  ความคาดหวังในคู่สมรสที่สูงเกินจริงและผิดพลาด
9.  การไม่ยอมรับหรือไม่เข้าใจในความแตกต่างของกันและกัน
10. การนำความเครียดจากที่ทำงานหรือ外在มาเหวี่ยงใส่กันในบ้าน
11. ความเหงาภายในความสัมพันธ์ (Feeling lonely in the relationship)
12. การไม่มีการสนทนาที่มีmeaningful
13. อารมณ์โกรธเกรี้ยวที่ควบคุมไม่ได้
14. การไม่ขอบคุณหรือเห็นคุณค่ากัน
15. การเปรียบเทียบคู่สมรสกับคนอื่น
16. การไม่ให้อภัยในความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ
17. การยึดติดกับอดีตและไม่ก้าวข้ามปัญหาเก่า
18. การขาดความใกล้ชิดทางอารมณ์ (Emotional Intimacy)
19. การใช้คำพูดบั่นทอนกำลังใจกัน
20. การไม่ให้เกียรติซึ่งกันและกัน

**ด้านความไม่ซื่อสัตย์และ betrayal (21-30)**
21. การนอกใจหรือมีชู้
22. การโกหกเรื่องเล็กเรื่องน้อยเป็นประจำ
23. การปกปิดเรื่องการเงิน หนี้สิน
24. การมีชีวิตคู่ (Secret life)
25. การนอกใจทางอารมณ์ (Emotional affair) กับคนอื่น
26. การใช้โซเชียล有เพื่อปิดบังการนอกใจ
27. การไม่รักษาความลับหรือนำความลับของคู่สมรสไปบอกต่อ
28. การหลอกลวงในเรื่องใหญ่ๆ (เช่น หนี้สินมหาศาล, ประวัติการทำงาน)
29. การนอกใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า
30. การเลือก站在ข้างครอบครัวตัวเองมากกว่าคู่สมรสตลอดเวลา

**ด้านความใกล้ชิดและเพศสัมพันธ์ (31-40)**
31. การขาดความใกล้ชิดทางกาย (Physical Intimacy) เป็นเวลานาน
32. ความต้องการทางเพศที่ไม่ตรงกัน (High vs. Low Libido)
33. การปฏิเสธการมีเพศสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง
34. การนอกใจเพราะต้องการเติมเต็มทางเพศ
35. การไม่สนใจความต้องการทางเพศของอีกฝ่าย
36. ความรู้สึกถูกบังคับหรือทำไปเพื่อหน้าที่
37. การเปลี่ยนแปลงของร่างกายหลังมีลูกที่ส่งผลต่อความมั่นใจและความต้องการ
38. การเป็นโรคที่影响性能力但ไม่寻求解决方法
39. การขาดความโรแมนติกและช่วงเวลาสำหรับกันและกัน
40. การรู้สึกว่าเป็น只是เพื่อนร่วมห้องหรือพี่น้องมากกว่าคู่รัก

**ด้านการเงิน (41-55)**
41. ความเห็นไม่ตรงกันเกี่ยวกับการจัดการการเงิน (เก็บมาก vs ใช้มาก)
42. การมีหนี้สินล้นพ้นตัวและปิดบังไว้
43. การใช้จ่ายฟุ่มเฟือยโดยไม่ปรึกษาหารือ
44. การเป็นคนควบคุมเงินทั้งหมดและไม่ให้อีกฝ่ายมีสิทธิ์ตัดสินใจ
45. ปัญหาการว่างงานและขาดรายได้
46. การไม่ช่วยกันแบ่งเบาภาระทางการเงิน
47. การทะเลาะกันเพราะเรื่องเงินเป็นประจำ
48. ความยากจนและความเครียดจากการ找不到ทางออก
49. การพนันที่ทำลาย家庭
50. การไม่วางแผนทางการเงินร่วมกันสำหรับ未来
51. การคาดหวังให้อีกฝ่ายเป็นผู้หาเงินแต่เพียงผู้เดียว
52. การสนับสนุนครอบครัวเดิมมากเกินไปจนกระทบครอบครัวเล็ก
53. การโกงหรือยักยอกเงินร่วมกัน
54. การไม่จ่ายค่าใช้จ่ายในบ้านตามที่ตกลงกัน
55. การลงทุน失败โดยไม่聽คู่สมรส劝阻

**ด้านการแบ่งหน้าที่และความรับผิดชอบ (56-65)**
56. การไม่ช่วยกันทำงานบ้านเลย
57. การผลักให้อีกฝ่าย (มัก是ผู้หญิง) ทำงานบ้านและเลี้ยงลูกคนเดียว
58. การทะเลาะกันเพราะความไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย
59. การไม่รับผิดชอบในบทบาทของตัวเอง (ทั้งสามีและภรรยา)
60. การตามไม่ทันชีวิตคู่ (เช่น ภรรยาที่พัฒนาตัวเองตลอด time แต่สามียังอยู่ที่เดิม)
61. การเป็นคน selfish คิดแต่เรื่องตัวเอง
62. การไม่ช่วยเหลือกันเมื่ออีกฝ่ายมี workload เยอะ
63. การเลี้ยงดู宠物ที่ตกลงกันไม่ได้
64. การไม่ดูแลบ้านให้ดี (เช่น ซ่อมแซม things broke)
65. การย้ายที่อยู่บ่อยครั้งโดยไม่เห็นด้วยกัน

**ด้านลูกและการเลี้ยงดู (66-75)**
66. ความคิดไม่ตรงกันเกี่ยวกับการ有ลูก (อยาก有 vs ไม่อยาก有)
67. ความคิดไม่ตรงกันเกี่ยวกับวิธีการเลี้ยงลูก
68. การทุ่มเทเวลาให้ลูกจนลืมความสัมพันธ์ของคู่สมรส
69. ปัญหาการมีบุตรยากที่สร้างความเครียดและความกดดัน
70. การเล่นพรรคเล่นพวก (ลูกเข้าข้างพ่อหรือแม่一方)
71. การไม่ช่วยกันเลี้ยงลูก
72. การใช้วินัยกับการเลี้ยงลูกที่แตกต่างกันสุดขั้ว
73. การทะเลาะกันต่อหน้าลูก
74. การที่ลูกกลายเป็นศูนย์กลางของ家庭จนลืมความเป็นคู่รัก
75. การไม่ยอมรับลูก (ในกรณีที่เป็นลูกเลี้ยงหรือ adoption)

**ด้าน干涉จากบุคคลที่สาม (76-85)**
76. ครอบครัวของ either side 干涉ชีวิตคู่มากเกินไป
77. การที่คู่สมรสยอมให้พ่อแม่มาตัดสินใจแทนตัวเอง
78. การที่พ่อแม่或ญาติไม่ยอมรับคู่สมรส
79. การมีเพื่อนที่คอยยุแยง或ให้คำแนะนำที่แย่ๆ
80. การ compare คู่สมรสกับพี่น้อง或คนอื่นในครอบครัว
81. ต้องรับผิดชอบ或ดูแลพ่อแม่ที่ป่วยหรือแก่แล้วจน没有เวลาให้กัน
82. การที่คู่สมรสไป complain ปัญหาในครอบครัวให้外人ฟังบ่อยๆ
83. การ被เพื่อนสนิท或เพื่อนร่วมงาน破坏关系
84. การที่อีกฝ่ายสนใจแต่เพื่อนและ外出เที่ยว夜归โดยไม่สนครอบครัว
85. การมี "ที่ปรึกษา" ที่ไม่合适 (เช่น คุยกับเพื่อน异性เกี่ยวกับปัญหาแฟน)

**ด้าน personal issues และ development (86-100)**
86. การมีนิสัย或พฤติกรรมที่อีกฝ่ายทนไม่ได้ (เช่น ติดบุหรี่จัด, ดื่มหนัก)
87. การมี mental health issues (เช่น โรคซึมเศร้า, โรค Anxiety) ที่ไม่ได้รับการรักษาและส่งผลต่อ関係
88. การเปลี่ยนแปลงของบุคลิกภาพครั้งใหญ่
89. การติดการทำงาน (Workaholic) จนไม่มีเวลาให้ครอบครัว
90. การหยุดพัฒนาตนเองและย่ำอยู่กับที่
91. การมีเป้าหมายในชีวิตที่แตกต่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ
92. การติดเกม或โซเชียล有瘾จนละเลยความสัมพันธ์
93. การใช้ความรุนแรงในครอบครัว (ทั้งทางกายและใจ)
94. การมี controlling behavior หรือหวงห้ามเกินเหตุ
95. การเสพติด (ยาเสพติด, สุรา, การพนัน)
96. การโกหกเกี่ยวกับอดีตของตัวเอง (เช่น มีประวัติอาชญากรรม, เคยเป็นโรค)
97. การไม่尊重ความเป็นส่วนตัวของอีกฝ่าย
98. การไม่ดูแลสุขภาพของตัวเอง
99. การบังคับให้อีกฝ่ายเปลี่ยน宗教信仰或生活方式
100. การตระหนักว่าแต่งงานกันด้วยเหตุผลผิดๆ (เช่น แต่งเพราะถูกบังคับ, แต่งเพราะท้อง, แต่งเพราะอายุมาก)
----------------------------------------------------------
#3
ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นหลักธรรมสำคัญในพุทธศาสนาที่เรียกว่า **"ไตรสิกขา"** (การฝึกอบรมสามประการ) ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติเพื่อพัฒนาตนเองไปสู่ความหลุดพ้นหรือนิพพาน ดังนี้:

1. **ศีล** ( morality, ethics): การรักษาความประพฤติที่ดีทั้งกาย วาจา และใจ เพื่อให้จิตใจบริสุทธิ์และไม่เบียดเบียนผู้อื่น เช่น การงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม โกหก และเสพสิ่งมึนเมา (ศีล 5 สำหรับฆราวาส)

2. **สมาธิ** (concentration, meditation): การฝึกจิตให้สงบและมั่นคง ด้วยการเจริญสติและการทำสมาธิ เช่น การกำหนดลมหายใจ (อานาปานสติ) หรือการเจริญเมตตา เพื่อให้จิตมีพลังและพร้อมสำหรับการพัฒนาปัญญา

3. **ปัญญา** (wisdom, insight): ความรู้แจ้งในความจริงของชีวิต เช่น การเข้าใจ **ไตรลักษณ์** (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) ผ่านการพิจารณาและปฏิบัติธรรม เพื่อนำไปสู่การหลุดพ้นจากกิเลสและทุกข์

ทั้งสามข้อนี้สัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด: ศีลเป็นรากฐานที่ทำให้จิตสงบ, สมาธิเป็นเครื่องมือพัฒนาจิตให้มั่นคง, และปัญญานำไปสู่ความเข้าใจที่แท้จริง หากขาดข้อใดข้อหนึ่ง การปฏิบัติจะไม่สมบูรณ์
------------------------------------------------------------

แน่นอนครับ "ศีล สมาธิ ปัญญา" เป็นหลักพื้นฐานที่สำคัญมากในพระพุทธศาสนา เรียกอีกอย่างว่า **"ไตรสิกขา"** หรือข้อปฏิบัติ 3 ด้าน ที่นำไปสู่การหลุดพ้นจากความทุกข์

สามารถอธิบายโดยย่อและเข้าใจง่ายได้ดังนี้

### ภาพรวมแบบง่ายๆ

ให้นึกภาพการเดินทางไปสู่จุดหมาย:
*   **ศีล** คือ การเตรียมรถและถนนให้สะดวก (กำจัดอุปสรรค)
*   **สมาธิ** คือ การขับรถไปอย่างมั่นคงและไม่หลงทาง (มีสติจดจ่อ)
*   **ปัญญา** คือ การถึงจุดหมายและรู้ว่าถึงแล้ว (ความเข้าใจอันถูกต้อง)

ทั้งสามอย่างนี้ทำงานเชื่อมโยงและส่งเสริมกัน ไม่สามารถแยกจากกันได้อย่างสมบูรณ์

---

### การอธิบายละเอียดของแต่ละข้อ

#### 1. ศีล (Sila) - **ความดีพื้นฐาน / การฝึกฝนทางความประพฤติ**
*   **ความหมาย:** การระวังกายและวาจาให้เรียบร้อย ไม่ให้ทำความเดือดร้อนต่อตนเองและผู้อื่น การรักษากฎเกณฑ์หรือวินัย的基本道德规范
*   **เป้าหมาย:** เพื่อสร้างความสงบภายในและภายนอก เป็นพื้นฐานในการฝึกสมาธิ ถ้าศีลไม่ดี จิตจะฟุ้ง散乱不安稳,ฝึกสมาธิได้ยาก
*   **ตัวอย่างการปฏิบัติ:**
    *   ศีล 5 (สำหรับคฤหัสถ์) : เว้นจากการฆ่า, ลักทรัพย์, ประพฤติผิดในกาม, พูดเท็จ, ดื่มสุรา
    *   การอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสงบสุข
    *   การทำความดี帮助他人, บริจาค, มีเมตตา

#### 2. สมาธิ (Samadhi) - **การฝึกฝนทางจิตใจ**
*   **ความหมาย:** การฝึกให้จิตตั้งมั่น แน่วแน่ จดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ไม่ฟุ้ง散乱 การมีสติกำกับอยู่ตลอดเวลา
*   **เป้าหมาย:** เพื่อทำให้จิตใจสงบ เป็นเครื่องมือที่แข็งแรงและมั่นคง enough เพื่อใช้ในการเจริญปัญญา
*   **ตัวอย่างการปฏิบัติ:**
    *   การนั่งสมาธิ (ภาวนา)
    *   การเดินจงกรม
    *   การฝึกสติใน日常生活 เช่น รู้ตัวขณะล้างจาน, ทำงาน, กินข้าว

#### 3. ปัญญา (Panna) - **การฝึกฝนทางปัญญาและความเข้าใจ**
*   **ความหมาย:** ความรู้เข้าใจตามความเป็นจริงของสิ่งต่างๆ ไม่ใช่เพียงความรู้จากตำรา เป็นความเข้าใจแจ่มแจ้งในสภาวธรรม เช่น เข้าใจกฎแห่งกรรม, ความไม่เที่ยง (อนิจจัง), ความทุกข์ (ทุกขัง), และการไม่มีตัวตนที่แท้จริง (อนัตตา)
*   **เป้าหมาย:** เป็นผลลัพธ์สุดท้ายที่นำไปสู่การหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง (นิพพาน)
*   **ตัวอย่าง:**
    *   การเห็นว่า everything is impermanent, ความโกรธเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
    *   การเข้าใจว่าความทุกข์เกิดจากความอยาก (ตัณหา)
    *   การรู้ว่าไม่มีอะไร是固定不变的"我"或"我的"

---

### ความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกัน

ศีล สมาธิ และปัญญา ไม่ได้แยกจากกัน แต่เป็นกระบวนการที่ส่งเสริมกัน **เหมือนบันได 3 ขั้น** ที่นำไปสู่จุดหมายเดียวกัน

1.  **ศีล -> สมาธิ:** เมื่อมีความประพฤติดี (ศีล) จิตจะไม่ร้อนใจหรือรู้สึกผิด จึงสงบง่าย นิ่งพอที่จะฝึกสมาธิได้
2.  **สมาธิ -> ปัญญา:** เมื่อจิตสงบแน่วแน่ (สมาธิ) เหมือนน้ำที่ใสสะอาดไม่ขุ่นมัว จึงสามารถใช้พิจารณาเห็นความจริงของชีวิต (ปัญญา) ได้ชัดเจน
3.  **ปัญญา -> ศีลและสมาธิที่แท้จริง:** เมื่อมีปัญญาเข้าใจจริงแล้ว เราจะรักษาศีลและฝึกสมาธิได้อย่างมั่นคงโดยอัตโนมัติ เพราะเข้าใจเหตุผล behind itแล้วว่า การทำชั่ว带来苦果, และจิตที่สงบ带来利益 ไม่ใช่只是因为别人บอกให้ทำ

**สรุป:** **ศีล สมาธิ ปัญญา** จึงเป็นเส้นทางที่สมบูรณ์ในการพัฒนาตนเองตามหลักพระพุทธศาสนา 从道德规范开始,通过 mental training,最终达到智慧的觉悟,从而从痛苦中彻底解脱。
---------------------------------------------
#4
junjao.com update Plesk 18.0.72

SSL Free Lets Encrypt ให้ทุกเว็บแล้ว ถ้าซื้อ Wildcard support

ปีละ 150 USD ขึ้นไป
#5
อาการ **พัดลม CPU หมุนไม่แรง** มีหลายสาเหตุได้ครับ ลองตรวจทีละขั้นตอนดังนี้:

---

### 🔎 ขั้นตอนตรวจสอบ

1. **ตรวจฝุ่นและคราบสกปรก**

   * พัดลม CPU มีฝุ่นเกาะจะทำให้หมุนช้าหรือฝืด
   * ใช้ลมเป่าหรือแปรงเล็ก ๆ ทำความสะอาด

2. **ตรวจการเชื่อมต่อสายไฟ**

   * สายพัดลมควรเสียบที่ช่อง **CPU\_FAN** ของเมนบอร์ด
   * ถ้าเสียบผิดช่อง เช่น CHA\_FAN พัดลมอาจไม่ปรับความเร็วตามอุณหภูมิ CPU

3. **ตั้งค่า BIOS/UEFI**

   * เข้า BIOS → เมนู *Hardware Monitor* หรือ *Fan Control*
   * ตรวจดูว่าโหมดการควบคุมพัดลมเป็น **PWM/DC** ตรงกับชนิดพัดลมหรือไม่
   * ปรับค่า Fan Speed ให้สูงขึ้น หรือตั้งเป็น *Full Speed* เพื่อลองทดสอบ

4. **เช็กอุณหภูมิ CPU**

   * ใช้โปรแกรมเช่น HWMonitor, AIDA64, HWiNFO ตรวจว่า CPU ร้อนหรือไม่
   * ถ้า CPU เย็น พัดลมจะหมุนเบาเป็นปกติ (ระบบควบคุมรอบอัตโนมัติ)

5. **ลองเปลี่ยนพัดลม**

   * ถ้าพัดลมเก่า/ลูกปืนเริ่มเสีย จะหมุนช้าแม้ไฟเลี้ยงถูกต้อง
   * ลองเอาพัดลมใหม่มาต่อทดสอบ

6. **ตรวจแหล่งจ่ายไฟ (PSU)**

   * ถ้า PSU มีปัญหา ไฟเลี้ยงอาจไม่เสถียร ทำให้พัดลมหมุนไม่แรง

---

### ✅ วิธีแก้ไขเบื้องต้น

* ทำความสะอาดพัดลมและฮีตซิงค์
* ตรวจสอบการเสียบสายพัดลมให้ถูกที่
* เข้า BIOS ปรับ Fan Control หรือเปิดโหมด Full Speed ชั่วคราว
* ถ้ายังไม่ดีขึ้น → เปลี่ยนพัดลมใหม่

-------------------------------
#6
ประวัติศาสตร์ชาติไทยเป็นเรื่องที่นักวิชาการยังถกเถียงกันอยู่ครับ เพราะคำว่า **"ชาติไทย"** นั้นหมายถึงรัฐชาติในความหมายสมัยใหม่ ซึ่งเพิ่งเกิดขึ้นในช่วง **สมัยรัตนโกสินทร์ตอนปลาย–ต้นศตวรรษที่ 20** (รัชกาลที่ 5–7 เป็นต้นมา) แต่ถ้าพูดถึง **"คนไทย" หรือ "ชนชาติไท"** จะต้องย้อนกลับไปไกลกว่านั้นมาก

---

### 1. จุดเริ่มต้นของชนชาติไทย/ไท

* **ถิ่นกำเนิดดั้งเดิม** : เชื่อว่ากลุ่มคนที่เรียกว่า **"ไท-ไต" (Tai/Thai)** มีถิ่นฐานดั้งเดิมอยู่บริเวณแถบจีนตอนใต้ (กวางสี ยูนนาน กุ้ยโจว) แล้วค่อยๆ เคลื่อนย้ายลงมาทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
* **ช่วงเวลาประมาณ** : หลักฐานทางโบราณคดีและภาษาศาสตร์ชี้ว่า การอพยพเริ่มราว **คริสต์ศตวรรษที่ 7–13**
* **กลุ่มชาติพันธุ์ที่เกี่ยวข้อง** : ไทลื้อ ไทดำ ไทขาว ผู้ไท ไทใหญ่ ลาว สยาม ฯลฯ ล้วนเป็นกลุ่มย่อยของเครือญาติภาษาไท-กะได

---

### 2. การก่อตั้งอาณาจักรของคนไทในสุวรรณภูมิ

* **สุโขทัย (พ.ศ. 1781 / ค.ศ. 1238)** : มักถูกเรียกว่า "ราชธานีแห่งแรกของไทย" เพราะเป็นอาณาจักรที่ปกครองโดยชนชาวไทและมีระบบการเมืองการปกครองที่พัฒนาขึ้นเอง
* **ล้านนา (เชียงใหม่, พ.ศ. 1839 / ค.ศ. 1296)** : อาณาจักรของพญามังราย มีความรุ่งเรืองด้านศาสนา ศิลปวัฒนธรรม
* **อยุธยา (พ.ศ. 1893 / ค.ศ. 1350)** : กลายเป็นรัฐใหญ่และศูนย์กลางอำนาจสำคัญของภูมิภาค มีความสัมพันธ์กับจีน อินเดีย ยุโรป

---

### 3. การสร้างชาติสมัยใหม่

* คำว่า **"ชาติไทย"** ถูกนิยามชัดเจนในสมัยรัชกาลที่ 6–7 และช่วงรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม (พ.ศ. 2470–2480) ที่สร้างอัตลักษณ์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และใช้คำว่า **"ไทย"** อย่างเป็นทางการ
* ก่อนหน้านั้น ชาวต่างชาติเรียกเราว่า **"สยาม" (Siam)**

---

### 4. ชนชาติที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ไทย

ในแผ่นดินไทยไม่ได้มีเพียง "ไท" เท่านั้น แต่ยังมีชนชาติต่างๆ ที่ร่วมสร้างประวัติศาสตร์ เช่น

* **มอญ–เขมร** : มีอิทธิพลด้านศาสนา ศิลปกรรม ตัวอักษร
* **ชาวจีน** : มีบทบาทด้านการค้าและเศรษฐกิจ
* **ชาวมลายู** : มีอิทธิพลทางวัฒนธรรมและศาสนาในภาคใต้
* **ชาวเขาและชนเผ่า** : ลัวะ ขอม ละว้า กะเหรี่ยง ม้ง ฯลฯ ซึ่งอยู่ในดินแดนมาก่อนหรือตามมาในช่วงเวลาต่างๆ

---

👉 ถ้าสรุปสั้น ๆ :

* **ชนชาติไท** เริ่มมีร่องรอยจากจีนตอนใต้ ราวพันปีก่อน
* **ประวัติศาสตร์ไทยในดินแดนสุวรรณภูมิ** เริ่มจากการตั้งอาณาจักรสุโขทัยและล้านนาในคริสต์ศตวรรษที่ 13
* **ชาติไทยในความหมายรัฐชาติสมัยใหม่** เพิ่งเกิดขึ้นจริงในคริสต์ศตวรรษที่ 19–20

-----------------------------------------

ได้เลยครับ 🙌 ผมทำเป็น **ไทม์ไลน์ประวัติศาสตร์ชาติไทยแบบย่อ** ไล่ตามลำดับเวลาให้เข้าใจง่าย

---

## 🕰� ไทม์ไลน์ประวัติศาสตร์ชาติไทย (แบบย่อ)

### ก่อนรัฐชาติไทย

* **ก่อน ค.ศ. 1000** – กลุ่ม **ไท-ไต** อาศัยอยู่บริเวณจีนตอนใต้ (ยูนนาน กวางสี)
* **ค.ศ. 700–1200** – เริ่มอพยพลงสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผสมผสานกับวัฒนธรรม **มอญ–เขมร–ลัวะ**

---

### ยุคอาณาจักรของชนชาติไท

* **พ.ศ. 1781 (ค.ศ. 1238)** – ก่อตั้ง **สุโขทัย** โดยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ → ถูกยกให้เป็นราชธานีแรกของไทย
* **พ.ศ. 1839 (ค.ศ. 1296)** – ก่อตั้ง **ล้านนา** โดยพญามังราย
* **พ.ศ. 1893 (ค.ศ. 1350)** – สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ก่อตั้ง **กรุงศรีอยุธยา** → เป็นศูนย์กลางการค้า-การทูตของภูมิภาค
* **พ.ศ. 2310 (ค.ศ. 1767)** – อยุธยาเสียกรุงแก่พม่า → สมเด็จพระเจ้าตากสินสถาปนา **กรุงธนบุรี**

---

### ยุครัตนโกสินทร์

* **พ.ศ. 2325 (ค.ศ. 1782)** – รัชกาลที่ 1 สถาปนา **กรุงรัตนโกสินทร์ (กรุงเทพฯ)** เป็นราชธานี
* **พ.ศ. 2435 (ค.ศ. 1892)** – รัชกาลที่ 5 ปฏิรูประบบราชการ แก้สนธิสัญญา และเริ่มสร้างรัฐสมัยใหม่
* **พ.ศ. 2475 (ค.ศ. 1932)** – การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง → จากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สู่ **ประชาธิปไตยแบบรัฐธรรมนูญ**
* **พ.ศ. 2482 (ค.ศ. 1939)** – เปลี่ยนชื่อประเทศจาก "สยาม" เป็น **ประเทศไทย**

---

### ชาติไทยสมัยใหม่

* **พ.ศ. 2490–2500** – จอมพล ป. พิบูลสงคราม สร้างอัตลักษณ์ชาติ "ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์"
* **พ.ศ. 2516–2519** – เหตุการณ์การเมืองประชาธิปไตย–เผด็จการสลับกัน
* **พ.ศ. 2540** – รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ก้าวสู่การเมืองยุคใหม่
* **ปัจจุบัน (ศตวรรษที่ 21)** – ประเทศไทยเป็นรัฐชาติที่พัฒนาต่อเนื่องในทุกมิติ ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม

---

👉 จะสรุปได้ว่า:

* **ต้นกำเนิดชนชาติไท** → จีนตอนใต้
* **เริ่มตั้งอาณาจักรไทยจริงจัง** → สุโขทัย (พ.ศ. 1781)
* **รัฐชาติไทยสมัยใหม่** → รัตนโกสินทร์ตอนปลาย – ปัจจุบัน

-------------------------------------------

#7
ถ้าคุณอายุ 46 ปี และตอนเด็ก **ยังไม่เคยฉีดวัคซีนครบ** หรือบางตัวไม่มีในยุคนั้น (เช่นยุค 70–80 ที่ตารางวัคซีนเด็กยังไม่ครอบคลุมเหมือนปัจจุบัน) — ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขและ WHO แนะนำให้ **"เสริม"** หรือ **"ฉีดใหม่"** ตามนี้ เพื่อป้องกันโรคสำคัญในผู้ใหญ่ครับ

---

## 1. วัคซีนพื้นฐานที่ควรตรวจสอบและเสริม

| วัคซีน                                  | จำนวนเข็ม / ระยะเวลา                                        | หมายเหตุ                                                    |
| --------------------------------------- | ----------------------------------------------------------- | ----------------------------------------------------------- |
| **บาดทะยัก-คอตีบ-ไอกรน (Tdap หรือ Td)** | 1 เข็ม (ถ้าไม่เคยฉีดใน 10 ปีที่ผ่านมา) แล้วกระตุ้นทุก 10 ปี | ป้องกันบาดทะยักจากบาดแผล และคอตีบ-ไอกรนที่ยังมีระบาด        |
| **หัด-คางทูม-หัดเยอรมัน (MMR)**         | 2 เข็ม ห่างกันอย่างน้อย 4 สัปดาห์                           | ผู้ที่เกิดก่อนปี 2527 ส่วนใหญ่ไม่ได้ฉีดครบ                  |
| **โปลิโอ**                              | 1 เข็มกระตุ้น (ถ้าไม่เคยครบ 3 เข็ม)                         | ปัจจุบันไทยไม่มีระบาด แต่ WHO แนะนำเสริมถ้าไม่ครบ           |
| **ไวรัสตับอักเสบบี**                    | 3 เข็ม (0-1-6 เดือน)                                        | คนรุ่นก่อนปี 2535 มักไม่เคยฉีด                              |
| **ไวรัสตับอักเสบเอ**                    | 2 เข็ม ห่างกัน 6–12 เดือน                                   | เสี่ยงจากอาหาร/น้ำปนเปื้อน โดยเฉพาะถ้าทำงานอาหาร-ท่องเที่ยว |
| **ไข้หวัดใหญ่**                         | ปีละครั้ง                                                   | แนะนำทุกคน โดยเฉพาะผู้มีโรคประจำตัว                         |
| **โควิด-19**                            | ตามประกาศสาธารณสุข (เข็มกระตุ้นปีละครั้งถ้าเสี่ยงสูง)       |                                                             |

---

## 2. วัคซีนเสริมตามความเสี่ยง / ไลฟ์สไตล์

| วัคซีน                                | เหมาะสำหรับ                                       | หมายเหตุ                                                  |
| ------------------------------------- | ------------------------------------------------- | --------------------------------------------------------- |
| **HPV (มะเร็งปากมดลูก / หูดหงอนไก่)** | เพศชาย-หญิง อายุไม่เกิน 45–50 ปี                  | ยิ่งฉีดก่อนมีเพศสัมพันธ์ยิ่งได้ผล                         |
| **ปอดอักเสบ (Pneumococcal)**          | ผู้มีโรคเรื้อรัง / สูบบุหรี่ / ภูมิคุ้มกันต่ำ     | มีทั้งชนิด 13 สายพันธุ์ (PCV13) และ 23 สายพันธุ์ (PPSV23) |
| **อีสุกอีใส (Varicella)**             | ถ้าไม่เคยเป็นและไม่เคยฉีด                         | 2 เข็มห่าง 4–8 สัปดาห์                                    |
| **งูสวัด (Shingles / Herpes Zoster)** | อายุ 50 ปีขึ้นไป หรือ 45 ปีถ้ามีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ | วัคซีนรุ่นใหม่ Shingrix มี 2 เข็ม                         |

---

💡 **วิธีเช็กว่าตัวเองเคยฉีดหรือไม่**

* ดูจากสมุดวัคซีนเก่าหรือบันทึกการฉีด
* ถ้าไม่มีหลักฐาน ให้สมมติว่า "ยังไม่เคยฉีด" และฉีดเสริมได้เลย (ยกเว้นวัคซีนบางตัวต้องตรวจเลือดก่อน เช่น ไวรัสตับอักเสบบี)

--------------------------------

ได้เลยครับ ผมสรุป **ตารางวัคซีนผู้ใหญ่ อายุ 46 ปี (เวอร์ชันอัปเดตปี 2025)** โดยอ้างอิงจากแนวทางล่าสุดของสถาบันหลัก เช่น CDC (ประเทศสหรัฐ) ซึ่งเป็นแนวทางสาธารณสุขที่ใช้กันโดยทั่วในระดับโลก ส่วนประเทศไทยอาจไม่มีตารางเฉพาะสำหรับผู้ใหญ่ แต่หลักการคล้ายกันครับ โดยคุณสามารถปรึกษาแพทย์เพื่อปรับใช้ให้เหมาะกับสุขภาพและสถานการณ์ตัวเอง

---

## ตารางวัคซีนแนะนำสำหรับผู้ใหญ่ (อายุ 46 ปี) – 2025

| วัคซีน                                  | จำนวนเข็ม/ระยะเวลา                                                 | หมายเหตุ                                                              |
| --------------------------------------- | ------------------------------------------------------------------ | --------------------------------------------------------------------- |
| **COVID-19**                            | 1 หรือมากกว่า (รุ่น 2024–2025)                                     | ฉีดให้ครบซีรีส์ล่าสุด ([CDC][1])                                      |
| **ไข้หวัดใหญ่ (Influenza)**             | ปีละ 1 เข็ม                                                        | แนะนำให้ฉีดทุกปี ([CDC][1])                                           |
| **Tdap หรือ Td (บาดทะยัก-คอตีบ-ไอกรน)** | 1 เข็ม Tdap แล้วกระตุ้น Td/Tdap ทุก 10 ปี                          | หากไม่เคยฉีดในผู้ใหญ่ ([HIV Curriculum][2], [CDC][1])                 |
| **MMR (หัด-คางทูม-หัดเยอรมัน)**         | 1–2 เข็ม ขึ้นอยู่กับการฉีดและภูมิคุ้มกัน                           | ถ้าเกิดปี 1957 ขึ้นไปและไม่มีหลักฐานการฉีดหรือภูมิ ([CDC][1])         |
| **VAR (อีสุกอีใส)**                     | 2 เข็ม (ห่าง \~3 เดือน)                                            | หากไม่เคยฉีดหรือไม่เคยป่วย ([HIV Curriculum][2])                      |
| **Zoster (งูสวัด, วัคซีน Shingrix)**    | 2 เข็ม (ห่าง 2–6 เดือน)                                            | แนะนำแม้ไม่ตั้งโรคเรื้อรัง ([HIV Curriculum][2])                      |
| **HPV (มะเร็งปากมดลูก, หูดหงอนไก่)**    | 2–3 เข็ม (ขึ้นกับอายุตอนฉีด)                                       | สำหรับอายุไม่เกิน 45 ปี แนะนำจนถึง 45 ([CDC][1], [HIV Curriculum][2]) |
| **Pneumococcal (ปอดบวม)**               | หนึ่งในชุด: PCV20 หรือ PCV21 หรือ PCV15 + PPSV23 (ห่าง ≥8 สัปดาห์) | ตามความเสี่ยงหรือคำแนะนำ ([HIV Curriculum][2])                        |
| **Hepatitis A (ไวรัสตับอักเสบเอ)**      | 2–4 เข็ม (ขึ้นกับสูตรวัคซีน)                                       | ถ้ายังไม่เคยฉีดหรือไม่มีภูมิ ([HIV Curriculum][2])                    |
| **Hepatitis B (ไวรัสตับอักเสบบี)**      | 3 เข็ม (0-1-6 เดือน)                                               | หากไม่เคยฉีดมาก่อน ([HIV Curriculum][2])                              |

---

## หมายเหตุเพิ่มเติม

* ตารางนี้สอดคล้องกับแนวทาง CDC (สหรัฐ) ปี 2025 ([CDC][1], [HIV Curriculum][2])
* สำหรับประเทศไทย คุณควรปรึกษาแพทย์หรือโรงพยาบาลใกล้บ้าน (เช่น สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด หรือโรงพยาบาลรัฐ) เพื่อตรวจสอบว่ามีวัคซีนใดที่ภาครัฐสนับสนุน หรือมีโปรแกรมเสริมสำหรับผู้ใหญ่
* หากไม่แน่ใจว่าฉีดอะไรไปแล้วบ้าง เริ่มต้นจากถือว่าร่างกายยังไม่เคยได้รับวัคซีน (โดยเฉพาะ MMR, VAR, HPV, Hep A/B) และฉีดใหม่ได้เลย
* ปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงเฉพาะบุคคล เช่น การทำงาน โรคเรื้อรัง หรือการเดินทางต่างประเทศ อาจมีวัคซีนเสริม เช่น JE, ไทฟอยด์, ฯลฯ

-------------------------------------------

#8
Negative Income Tax คืออะไร? คนไทยต้องยื่นภาษีทุกคน ปี 2570 ส่องผลกระทบ ใครได้ - ใครเสีย

"Negative Income Tax" คนไทยต้องยื่นภาษีทุกคน คืออะไร? กลายคีย์เวิร์ดค้นหาขึ้นมาทันที หลังจากวานนี้ "ลวรณ แสงสนิท" ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวถึงแผนยุทธศาสตร์ของกระทรวงการคลัง ภายใต้การจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ

โดยหนึ่งในใจความสำคัญ คือ การเปิดเผยถึงความคืบหน้าการเชื่อมโยงข้อมูลพัฒนาฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Data Lake) 10 หน่วยงาน เพื่อนำไปสู่การออกแบบนโยบายสวัสดิการในลักษณะ Negative Income Tax ให้กับคนไทย วางเป้าหมายให้สามารถเริ่มใช้ได้ปี 2570  ผ่านหลักการเริ่มต้นสำคัญ โดยทุกคนต้องเข้าสู่ระบบภาษี เพื่อยืนยันรายได้ หากรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ จึงจะได้รับสวัสดิการสำหรับ แนวคิดภาษีเชิงลบ (Negative Income Tax) คือ ระบบที่ให้ ประชาชนทุกคนต้องยื่นแบบภาษี แม้มีรายได้น้อยกว่าค่าลดหย่อน เพื่อให้รัฐใช้ข้อมูลรายได้คัดกรองสิทธิ์สวัสดิการอย่างแม่นยำ

ถ้ารายได้สูงกว่าเกณฑ์ เท่ากับ จ่ายภาษีตามปกติ
ถ้ารายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ เท่ากับ ไม่ต้องเสียภาษี เพราะไม่ต่างจากภาษีติดลบ และจะได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐแทน

โดยกระทรวงการคลังเตรียมใช้ระบบนี้เป็นเครื่องมือปฏิรูประบบภาษีและสวัสดิการ ลดความซ้ำซ้อนของโครงการช่วยเหลือกว่า 20 รายการ เชื่อมฐานข้อมูลรายได้ประชาชนเข้าด้วยกัน

ด้าน ข้อมูลจาก FINNOMENA บริการทางการเงิน เผยเพิ่มเติมว่า แท้จริงแล้ว Negative Income Tax เป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นจากนักเศรษฐศาสตร์ Milton Friedman ในสหรัฐอเมริกา ช่วงทศวรรษ 1960 เพื่อแก้ปัญหาสวัสดิการที่ซ้ำซ้อนและไม่ตรงกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งต่อมาได้พัฒนามาเป็นระบบ Earned Income Tax Credit (EITC) ที่ใช้ในหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ แคนาดา และสหราชอาณาจักร

คนไทยหลายสิบล้านคน ต้องเข้าสู่ระบบภาษี
นั่นเท่ากับว่า ถ้าประเทศไทยมีการนำ นโยบาย Negative Income Tax มาบังคับใช้จริง จะดึงอีกหลายสิบล้านคน เข้าสู่ระบบภาษีครั้งใหญ่ เนื่องจากหากประเมินจากข้อมูลของสภาพัฒน์ฯ จะพบว่า เมื่อปี 2565 จากจำนวนแรงงานในระบบ 19 ล้านคน แต่มีผู้ยื่นแบบภาษี เพียง 10.7 ล้านคน และท้ายสุดเหลือผู้ที่มีรายได้สุทธิที่อยู่ใน เกณฑ์ต้องเสียภาษีเพียง 4.2 ล้านคนเท่านั้น

โดยจุดที่น่าสนใจคือ คนไทยบางส่วนไม่รู้ว่าการยื่นแบบภาษี และเสียภาษีเป็นหน้าที่ตามกฎหมาย อีกทั้งไม่เคยรับรู้ว่าการยื่นแบบฯ ไม่ได้ หมายความว่าจะต้องเสียภาษี หรือหากมีเงินได้สุทธิไม่เกิน 150,000 บาท จะได้รับการยกเว้นการเสียภาษี ซึ่งสัดส่วนผู้ไม่รู้ กระจุกตัวอยู่ในกลุ่มผู้ที่มีรายได้น้อย หรือมีสถานะทางการเงินที่ไม่ดี

ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า นโยบายนี้หากเดินหน้าเต็มรูปแบบ จะเปลี่ยนโฉมระบบภาษีของไทยครั้งใหญ่ เพราะการ "บังคับให้ทุกคนต้องยื่นแบบภาษี" ไม่เพียงแต่ทำให้รัฐมีข้อมูลรายได้ของประชาชนครบถ้วนเป็นครั้งแรก แต่ยังเป็นการขยายฐานผู้เสียภาษีโดยอัตโนมัติ

ในมุมของรัฐ

ข้อได้เปรียบสำคัญคือการได้ฐานข้อมูลรายได้ที่ครอบคลุมทั้งประเทศ ลดปัญหาการกระจายตัวของข้อมูลที่อยู่ตามหน่วยงานต่าง ๆ และสามารถคัดกรองผู้มีสิทธิ์รับสวัสดิการได้ตรงเป้า ลดความซ้ำซ้อนของโครงการช่วยเหลือกว่า 20 รายการ ขณะเดียวกันยังเปิดโอกาสให้รัฐจัดเก็บภาษีจากผู้มีรายได้สูงที่ไม่เคยอยู่ในระบบมาก่อน ทำให้รายได้ภาครัฐเพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องปรับขึ้นอัตราภาษี

ในมุมของประชาชนผลกระทบจะแตกต่างกันไปตามกลุ่มรายได้

กลุ่มที่เสียภาษีอยู่แล้ว แทบไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก เพราะคุ้นชินกับการยื่นแบบอยู่แล้ว แต่อาจเจอกระบวนการตรวจสอบรายได้ที่เข้มงวดขึ้น
กลุ่มที่มีรายได้พอสมควรแต่ไม่เคยยื่นภาษี จะถูกดึงเข้าสู่ระบบ อาจต้องเริ่มเสียภาษีจริงหากรายได้เกินเกณฑ์ ถือเป็นผู้เสียประโยชน์ชัดเจน
กลุ่มรายได้น้อยหรือตกหล่นจากสวัสดิการ จะเป็นผู้ได้ประโยชน์เต็มที่ เพราะเมื่อข้อมูลรายได้เข้าสู่ระบบ รัฐจะมองเห็นปัญหาและจ่ายเงินช่วยเหลือได้แม่นยำมากขึ้น
ในระยะยาว นโยบายนี้ยังช่วยสร้างวินัยการยื่นภาษีให้เป็นเรื่องปกติของคนไทย เพิ่มความโปร่งใสในการจัดสรรสวัสดิการ และทำให้นโยบายช่วยเหลือมีเป้าหมายชัดเจน ลดการใช้เงินผิดกลุ่ม ซึ่งหากบริหารจัดการได้ดี อาจช่วยลดความเหลื่อมล้ำและสร้างระบบสวัสดิการที่ยั่งยืนในระยะยาว

อย่างไรก็ดี ความท้าทายสำคัญคือการทำให้ระบบยื่นภาษีใช้งานง่าย ครอบคลุมถึงพื้นที่ชนบทและกลุ่มนอกระบบ รวมถึงต้องสื่อสารให้ชัดเจนว่า "การยื่นแบบไม่เท่ากับต้องเสียภาษี" เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด และเตรียมรับมือแรงต้านจากกลุ่มที่เคยอยู่นอกระบบ เป็นต้น

ที่มา https://www.thairath.co.th/money/economics/thai_economics/2876734
#9
กสิกร-ไทยพาณิชย์ แจงพบปัญหาเข้าแอพพ์ โอนเงินไม่ได้ เร่งแก้ปัญหา ขออภัยในความไม่สะดวก
วันที่ 15 สิงหาคม 2568 - 12:54 น.

กสิกร-ไทยพาณิชย์ แจงพบปัญหาเข้าแอพพ์ โอนเงินไม่ได้ เร่งแก้ปัญหา ขออภัยในความไม่สะดวก

เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ในโลกออนไลน์ ต่างติดแฮกแท็ก #กสิกรล่ม จนขึ้นเทรนใน (X) โดยผู้ใช้งานส่วนใหญ่ สะท้อนปัญหาว่า กดโอนเงินผ่านแอพพ์ไม่ได้ ซึ่งช่วงนี้ตรงกับ ช่วงพักเที่ยง ทำให้หลายคนประสบปัญหา ไม่สามารถกดโอนเงินจ่ายค่าข้าวได้

นอกจากนี้ ผู้ใช้หลายคนเข้ามาสะท้อนปัญหาว่า แอพพ์ธนาคารที่ไม่สามารถใช้งานได้ มี "ไทยพาณิชย์" หรือ "SCB"  อีกด้วย

หลายคนเข้าไปคอมเมนต์ถามในเพจหลังของธนาคารทั้งสองแห่ง คือ "KBank Live" และ "SCB Thailand"

โดยทางธนาคารกสิกร ออกมาตอบว่า "ขออภัยในความไม่สะดวกค่ะ ธนาคารรับทราบปัญหา และอยู่ระหว่างเร่งดำเนินการแก้ไข แนะนำเว้นช่วงในการทำรายการแล้วทำรายการใหม่อีกครั้งในภายหลังนะคะ"

ขณะที่ ไทยพาณิชย์ ออกมาระบุว่า "สำหรับท่านที่พบปัญหาไม่สามารถเข้าใช้งาน SCB EASY App ได้ ธนาคารรับทราบปัญหาและกำลังเร่งดำเนินการแก้ไขโดยเร็วที่สุด ขออภัยในความไม่สะดวก มา ณ ที่นี้ ค่ะ"...

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.matichon.co.th/economy/news_5324075
#10
ถ้าตอบแบบตรงไปตรงมาแต่มีทั้งวิทยาศาสตร์และมุมมองความคิดสร้างสรรค์มาผสมกัน —

---

## 1. **ในมุมวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน**

* **เดินทางไปอนาคต** → เป็นไปได้ในหลักฟิสิกส์ (ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์)

  * ถ้าเคลื่อนที่ใกล้ความเร็วแสง หรืออยู่ในแรงโน้มถ่วงสูงมาก เวลาในมุมมองเราจะช้าลงเมื่อเทียบกับคนบนโลก (Time Dilation)
  * ตัวอย่าง: นักบินอวกาศบนสถานีอวกาศ กลับมาจะ "อายุน้อย" กว่าคนบนโลกเล็กน้อย (ต่างกันเป็นมิลลิวินาที)
* **ย้อนกลับไปอดีต** → เป็นประเด็นใหญ่และยังไม่มีวิธีที่พิสูจน์ได้จริง

  * ทฤษฎีบางแบบ เช่น **Wormhole** หรือ **Closed Timelike Curve (CTC)** บอกว่าอาจเป็นไปได้ทางคณิตศาสตร์ แต่ติดปัญหาใหญ่เรื่องเสถียรภาพและพลังงานมหาศาล
  * หลักการเหตุและผล (Causality) อาจแตกหัก เช่น "Paradox ยาย" (ย้อนกลับไปฆ่ายายก่อนเราจะเกิด) ซึ่งยังไม่มีวิธีแก้ที่ทุกฝ่ายยอมรับ

---

## 2. **ความเป็นไปได้ในสเกลเปอร์เซ็นต์ (ตามความรู้ปัจจุบัน)**

* เดินทางไปอนาคต (ผ่าน Time Dilation) → **100%** เป็นจริงแล้วในระดับเล็ก
* ย้อนเวลาไปอดีต → อยู่ในระดับ **<1%** (เป็นเพียงสมการและแนวคิด ไม่มีหลักฐานเชิงทดลอง)
* ย้อนเวลาพร้อมรักษาเหตุและผลสมบูรณ์ → ยัง **ไม่ทราบความเป็นไปได้** และบางทฤษฎีบอกว่าอาจเป็นไปไม่ได้เลย

---

## 3. **ถ้าอนาคตเทคโนโลยีก้าวหน้ามาก**

* ถ้าสร้าง **Wormhole เสถียร** และควบคุมได้ อาจทำให้ย้อนเวลาได้ แต่ต้องใช้พลังงานใกล้เคียงกับ "มวลของดวงอาทิตย์" หรือมากกว่า
* ควอนตัมฟิสิกส์บางแนว เช่น **Many Worlds Interpretation** เสนอว่าการย้อนเวลาอาจไม่เปลี่ยนอดีตของ "เรา" แต่ไปสร้างเส้นเวลาใหม่แทน
  → หมายถึงย้อนกลับไปก็ไม่ได้แก้สิ่งที่เกิดขึ้นในจักรวาลเดิม แต่จะสร้าง "จักรวาลคู่ขนาน" ที่มีเหตุการณ์ใหม่

---

ถ้าสรุปสั้น ๆ ตอนนี้ **เดินทางไปอนาคตได้จริง แต่ย้อนอดีตยังเป็นแค่ทฤษฎีที่เสี่ยงต่อความเป็นไปไม่ได้**
แต่ถ้าอีก 200–500 ปีข้างหน้า เทคโนโลยีและความเข้าใจเรื่องจักรวาลก้าวกระโดด อาจมีความเป็นไปได้เพิ่มขึ้นมาก

---------------------------------------------------

นี่คือ **แผนผังเส้นเวลา + ระดับความเป็นไปได้** ของการเดินทางข้ามเวลา (อิงตามวิทยาศาสตร์ปัจจุบันและแนวคิดอนาคต)

---

**แผนผัง: เส้นเวลา & ความเป็นไปได้**

```
[ปัจจุบัน] ────────────────→  [อนาคตไกล]
   |                               ^
   |                               |
   |                               | 100% (เป็นจริงแล้ว)
   |                               | ผ่าน Time Dilation
   |                               | เช่น ยานอวกาศ/แรงโน้มถ่วงสูง
   |
   └───ย้อนกลับไปอดีต (<1%)
        |
        ├── Wormhole เสถียร (ต้องใช้พลังงานระดับดวงอาทิตย์)
        |
        ├── Closed Timelike Curve (CTC) ในทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป
        |
        └── แนวคิดควอนตัม → Many Worlds (ย้อนแล้วสร้างจักรวาลคู่ขนาน)
```

---

**ระดับความเป็นไปได้ (โดยประมาณ)**

| วิธีการ                     | หลักการ                                              | ความเป็นไปได้ตอนนี้ | อุปสรรคใหญ่                              |
| --------------------------- | ---------------------------------------------------- | ------------------- | ---------------------------------------- |
| **Time Dilation** (ไปอนาคต) | เคลื่อนที่ใกล้ความเร็วแสง หรืออยู่ใกล้วัตถุมวลมหาศาล | ✅ 100%              | ทำได้ในระดับเล็กเท่านั้น                 |
| **Wormhole**                | อุโมงค์เชื่อมสองจุดในกาลอวกาศ                        | ⚠ <1%               | ต้องใช้พลังงานและวัสดุลบ (Exotic Matter) |
| **Closed Timelike Curve**   | เส้นทางในกาลอวกาศวนกลับสู่อดีต                       | ⚠ <1%               | อาจทำลายเหตุและผล                        |
| **Many Worlds**             | ย้อนเวลาแต่ไปเส้นเวลาใหม่                            | ⚠ <1%               | ยังเป็นทฤษฎี ไม่มีการพิสูจน์             |

---

**สรุปภาพรวม**

* เดินทางไป **อนาคต** → ทำได้แล้ว แต่ในระดับมิลลิวินาที–ไม่กี่วินาที
* เดินทางไป **อดีต** → ยังเป็นเพียงทฤษฎี และอาจเป็นไปไม่ได้ในจักรวาลเดียว
* อนาคตอาจต้องพึ่งเทคโนโลยีและพลังงานระดับ "เทพเจ้าแห่งฟิสิกส์" ถึงจะทำได้จริง

----------------------------------------