• Welcome to จั่นเจาดอทคอม ถามตอบ คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต Forex MT4 MT5 เทรดทอง .
 

News:

Exness ลงทะเบียนระบบใหม่ ใส่รหัสพาร์ทเนอร์ 73208
https://www.exness.com/boarding/sign-up/a/73208?lng=th
1. เลือกประเทศ ไทย
2. อีเมล์จริงของคุณ
3. รหัสผ่าน
* รหัสผ่านต้องมีความยาว 8-15 ตัว
* ใช้ทั้งอักษรตัวพิมพ์ใหญ่และตัวพิมพ์เล็ก
* ใช้ทั้งตัวเลขและตัวอักษรภาษาอังกฤษ
* ห้ามใช้อักขระพิเศษ (!@#$%^&*., และอื่นๆ)
4. ใส่รหัสพาร์ทเนอร์ 73208
---------------------------------------------------------
exness เปิดบัญชีลูกค้าใหม่ 4-31 มี.ค. 2568 รับโบนัท Rebate
เงินคืนจากการเทรด EURUSD 1 Lot Rebate 1.5 USD  ,
Gold 1 Lot  Rebate 2.80 USD , BTCUSD 1 Lot Rebate 5.74 USD
เปิดบัญชี Standard ได้ที่ https://exness.com/intl/th/a/73208
แจ้ง ID ที่เปิด ได้ที่ Line : junjaocom

Main Menu

Recent posts

#1
หากเสียงใน Google Chrome เบาหรือไม่ค่อยดัง ทั้งที่เสียงของอุปกรณ์ปกติ คุณสามารถลองแก้ไขตามขั้นตอนต่อไปนี้ได้:

**1. ตรวจสอบระดับเสียงของ Chrome ในระบบปฏิบัติการ**

สำหรับ **Windows**:
คลิกขวาที่ไอคอนลำโพง > "เปิดตัวปรับระดับเสียง" (Volume Mixer) แล้วตรวจสอบว่าแถบเสียงของ "Google Chrome" ไม่ถูกลดเสียงหรือลดจนปิดเสียง

สำหรับ **Mac**:
เปิด "System Settings" > "Sound" แล้วดูว่าระดับเสียงโดยรวมและของแอปไม่ได้ถูกลดไว้

---

**2. ตรวจสอบเสียงใน YouTube หรือเว็บที่ใช้งาน**

ลองเปิดวิดีโอหรือเพลงจาก YouTube แล้วตรวจสอบว่าแถบเสียงในตัวเล่นของ YouTube เปิดเต็มหรือไม่

---

**3. ปิด Extensions ที่เกี่ยวกับเสียง**

บางครั้ง Extensions เช่น ตัวปรับ EQ หรือ Blocker อาจรบกวนเสียง ลองปิด Extensions ทั้งหมด แล้วลองเปิดเสียงใหม่ดู หากหาย ให้เปิดทีละตัวเพื่อหาตัวที่เป็นปัญหา

---

**4. อัปเดตหรือรีเซ็ต Chrome**

อัปเดต Chrome เป็นเวอร์ชันล่าสุด และลองเข้าไปที่
`chrome://settings/reset` > คลิก "Restore settings to their original defaults" เพื่อรีเซ็ตการตั้งค่าหากมีอะไรผิดปกติ

---

**5. ลองเปิดในโปรไฟล์ Chrome อื่น หรือ Incognito Mode**

บางครั้งการตั้งค่าโปรไฟล์ผู้ใช้หรือปลั๊กอินที่ติดตั้งอาจเป็นต้นเหตุ ลองเปิดหน้าเว็บใน **Incognito Mode (โหมดไม่ระบุตัวตน)** เพื่อดูว่าเสียงกลับมาปกติหรือไม่

---

หากทำทุกอย่างแล้วยังไม่ดีขึ้น ลองเปิดเว็บเดียวกันในเบราว์เซอร์อื่น (เช่น Firefox, Edge) เพื่อแยกว่าเป็นปัญหาที่ Chrome หรือระบบเสียงของเครื่อง

------------------------------------------
#2
ดูวันหมดอายุประกันของปริ้นเตอร์ EPSON 

https://customer.epson.asia/customer/ewarranty.do#/wry/TH

ถ้าลูกค้าซื้อกับ Advice ดูวันหทดอายุ
https://www.advice.co.th/services/waranty?srsltid=AfmBOoqkfjlmThKkFtgHpwZiDRES2X6w-RnWp6Tq503wiNvVA1nCsZZT

หมายเหตุ EPSON จะหมดอายุเร็วกว่า บริษัทที่ขายให้
ต้องเก็บกล่อง หรือ ฉลากประกันไว้ ดูเทียบกันเวลาเคลม
#3
การล้างหัวพิมพ์ (Head Cleaning) ของเครื่องพิมพ์ Epson L3250 สามารถทำได้ด้วยขั้นตอนง่าย ๆ โดยผ่านซอฟต์แวร์หรือปุ่มบนตัวเครื่อง ดังนี้:

---

### 🔧 วิธีที่ 1: ล้างหัวพิมพ์ผ่านซอฟต์แวร์ (Windows/Mac)

#### **ขั้นตอน**

1. **เปิดเครื่องพิมพ์** และให้เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์
2. **เปิด "Control Panel" > Devices and Printers**
3. คลิกขวาที่ **Epson L3250** แล้วเลือก **"Printing Preferences"**
4. ไปที่แท็บ **"Maintenance"**
5. เลือก **"Head Cleaning"**
6. คลิก **"Start"** เพื่อเริ่มกระบวนการล้างหัวพิมพ์
7. หลังเสร็จสิ้น จะมีตัวเลือกให้คุณ **พิมพ์ test pattern** เพื่อตรวจสอบผล

> **คำแนะนำ:** หากผลการพิมพ์ยังไม่ชัดเจน คุณสามารถล้างซ้ำได้อีก 1-2 ครั้ง แต่ไม่ควรเกิน 3 ครั้งติดกัน เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายจากหมึกส่วนเกิน

---

### 🔧 วิธีที่ 2: ล้างหัวพิมพ์โดยใช้ปุ่มบนตัวเครื่อง (ไม่มีคอมพิวเตอร์)

#### **ขั้นตอน**

1. **เปิดเครื่องพิมพ์**
2. กดปุ่ม **"หยดน้ำ" (Stop/Ink)** ค้างไว้ประมาณ **5 วินาที**
3. ไฟบนเครื่องจะกระพริบ แสดงว่ากำลังทำความสะอาดหัวพิมพ์
4. รอจนกระบวนการเสร็จสิ้น (ประมาณ 1-2 นาที)

> **หมายเหตุ:** คุณสามารถพิมพ์ตรวจสอบหัวพิมพ์ได้โดย:

* กดปุ่ม **"หยดน้ำ" + "Wi-Fi" พร้อมกัน** ประมาณ 5 วินาที เพื่อพิมพ์ **Nozzle Check Pattern**

---

### 🧼 ถ้ายังไม่ดีขึ้น

หากล้างผ่านซอฟต์แวร์หรือปุ่มแล้วยังพิมพ์ไม่ชัด หรือมีเส้นขาด:

* เติมหมึกให้ครบ
* ปล่อยให้หัวพิมพ์พัก 30 นาที แล้วล้างใหม่
* ใช้ **"Power Cleaning"** (สำหรับรุ่นที่รองรับผ่าน Epson Smart Panel App)

หากยังไม่ดีขึ้น อาจต้อง **ถอดหัวพิมพ์มาล้างด้วยน้ำยาเฉพาะ** หรือ **นำไปให้ช่างบริการ**

---

หากคุณต้องการล้างหัวพิมพ์แบบลึก (deep clean) หรือผ่านแอปมือถือ (Epson Smart Panel)
#4
อาการเจ็บซี่โครงขวาหลังออกกำลังกายอาจมีหลายสาเหตุ ขึ้นอยู่กับลักษณะการเจ็บ ความรุนแรง และประเภทของการออกกำลังกายที่ทำ โดยทั่วไปแล้ว อาจเกิดจาก:

---

### 🟡 **สาเหตุที่พบได้บ่อย (ไม่ร้ายแรง):**

1. **กล้ามเนื้อซี่โครงอักเสบ (Muscle strain)**

   * เกิดจากการใช้งานกล้ามเนื้อบริเวณชายโครงมากเกินไป เช่น ยกเวท บิดตัว วิ่ง
   * อาการ: ปวดตึง เจ็บเวลาไอ จาม หัวเราะ หรือบิดตัว
   * **การแก้ไข**: พัก, ประคบเย็น 1–3 วันแรก, จากนั้นประคบร้อน, ทายาหรือกินยากลุ่ม NSAIDs (เช่น ibuprofen)

2. **Side stitch (เจ็บจุกชายโครง)**

   * เกิดจากการหายใจผิดจังหวะขณะวิ่งหรือออกกำลังกาย
   * อาการ: เจ็บแปลบๆ ที่ด้านข้างลำตัว
   * **การแก้ไข**: หยุดพัก หายใจลึกๆ ช้าๆ, ยืดตัว, บีบเบาๆ ที่จุดเจ็บ

3. **การเคลื่อนไหวผิดท่า**

   * เช่น บิดตัวเร็วเกินไปหรือยกของหนักผิดท่า

---

### 🔴 **สาเหตุที่ควรระวัง (รุนแรงกว่าหรือไม่ควรมองข้าม):**

1. **กระดูกซี่โครงร้าวหรือหัก (Rib fracture)**

   * จากอุบัติเหตุหรือแรงกระแทกรุนแรง
   * อาการ: เจ็บมากโดยเฉพาะตอนหายใจลึก ไอ หรือกดถูกจุด, อาจหายใจลำบาก
   * **การแก้ไข**: พบแพทย์ทันที อาจต้องเอกซเรย์

2. **ภาวะเยื่อหุ้มปอดอักเสบ / ปอดรั่ว (Pleurisy / Pneumothorax)**

   * เจ็บแปลบเวลาไอหรือหายใจลึกๆ อาจมีหอบเหนื่อยร่วมด้วย
   * **การแก้ไข**: รีบพบแพทย์โดยด่วน

---

### ✅ **ควรทำอย่างไรตอนนี้?**

* **ถ้าอาการไม่รุนแรง**:

  * พักจากการออกกำลังกาย 2–5 วัน
  * ประคบเย็น 15–20 นาที/ครั้ง วันละ 2–3 ครั้งใน 48 ชม.แรก
  * จากนั้นเปลี่ยนเป็นประคบร้อนเพื่อลดตึง
  * รับประทานยาลดปวด/อักเสบตามคำแนะนำเภสัชกร
  * หลีกเลี่ยงการยกของหนักหรือออกกำลังกายที่ต้องบิดตัว

* **ถ้ามีอาการเหล่านี้ ควรพบแพทย์ทันที**:

  * เจ็บมากจนหายใจไม่สะดวก
  * ปวดแปลบตลอดเวลาแม้พัก
  * ไอมีเลือด เสมหะมาก เหนื่อยง่าย
  * มีประวัติล้ม กระแทก หรืออุบัติเหตุช่วงอก

--------------------------------------------------
การออกกำลังกายแล้วเจ็บซี่โครงขวาอาจเกิดจากหลายสาเหตุ ดังนี้:

### สาเหตุที่เป็นไปได้
1. **กล้ามเนื้อตึงหรือบาดเจ็บ (Muscle Strain)** 
   - การออกกำลังกายที่ใช้กล้ามเนื้อบริเวณหน้าอก หน้าท้อง หรือซี่โครงมากเกินไป เช่น การวิ่ง ยกน้ำหนัก หรือออกกำลังกายแบบ HIIT อาจทำให้กล้ามเนื้อระหว่างซี่โครง (intercostal muscles) หรือกล้ามเนื้อหน้าท้องเฉียง (obliques) ตึงหรือฉีกขาดเล็กน้อย
   - อาการ: เจ็บแปลบเมื่อหายใจลึก เคลื่อนไหว หรือกดบริเวณที่เจ็บ

2. **การบาดเจ็บที่ซี่โครง (Rib Injury)** 
   - การกระแทกหรือแรงกดทับอาจทำให้ซี่โครงร้าวหรือช้ำ โดยเฉพาะถ้าออกกำลังกายที่มีการปะทะ เช่น มวย หรือกีฬาที่มีการสัมผัสตัว
   - อาการ: เจ็บมากเมื่อสัมผัสหรือกดบริเวณซี่โครง

3. **การอักเสบของกระดูกอ่อนซี่โครง (Costochondritis)** 
   - การอักเสบของกระดูกอ่อนที่เชื่อมซี่โครงกับกระดูกหน้าอก อาจเกิดจากการออกกำลังกายหนักหรือท่าที่ผิดรูปแบบ
   - อาการ: เจ็บแปลบหรือปวดหน่วงบริเวณซี่โครง โดยเฉพาะเมื่อกดหรือหายใจลึก

4. **ปัญหาการหายใจหรือปอด** 
   - การหายใจเร็วหรือตื้นเกินไปขณะออกกำลังกายอาจทำให้เกิดอาการ "side stitch" (ปวดจี๊ดด้านข้าง) ซึ่งมักเกิดที่ซี่โครงขวาหรือซ้าย
   - ในกรณีรุนแรง อาจเป็นสัญญาณของปอดรั่ว (pneumothorax) แต่พบได้น้อยมาก
   - อาการ: เจ็บแปลบขณะหายใจลึก หรือรู้สึกแน่นหน้าอก

5. **ปัญหาอวัยวะภายใน** 
   - อาการปวดอาจเกี่ยวข้องกับอวัยวะภายใน เช่น ตับ (อยู่ด้านขวา) หรือถุงน้ำดี โดยเฉพาะถ้าออกกำลังกายหลังรับประทานอาหารหนัก
   - อาการ: ปวดหน่วง ไม่แปลบ หรือมีอาการอื่นร่วม เช่น คลื่นไส้

6. **ท่าทางหรือเทคนิคการออกกำลังกายที่ผิด** 
   - การออกกำลังกายด้วยท่าที่ไม่ถูกต้อง เช่น การบิดตัวมากเกินไป อาจทำให้กล้ามเนื้อหรือข้อต่อบริเวณซี่โครงระคายเคือง

---

### วิธีแก้ไข
1. **หยุดพักและประเมินอาการ** 
   - หยุดออกกำลังกายทันที และพักเพื่อให้ร่างกายฟื้นตัว 
   - สังเกตอาการ: ถ้าปวดรุนแรง หายใจลำบาก หรือมีอาการอื่น เช่น ไข้ คลื่นไส้ หรือปวดลามไปที่อื่น ควรรีบพบแพทย์

2. **ประคบเย็นหรือร้อน** 
   - ถ้าเป็นอาการกล้ามเนื้อตึงหรือช้ำ: ใช้ถุงน้ำแข็งประคบ 15-20 นาทีใน 48 ชั่วโมงแรก เพื่อลดการอักเสบ 
   - หลัง 48 ชั่วโมง ใช้ผ้าอุ่นประคบเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ

3. **ยืดกล้ามเนื้อเบาๆ** 
   - หากเป็นกล้ามเนื้อตึง ลองยืดกล้ามเนื้อบริเวณหน้าอกและซี่โครงเบาๆ เช่น การยืดตัวด้านข้าง (side stretch) 
   - หลีกเลี่ยงการยืดแรงเกินไป เพราะอาจทำให้อาการแย่ลง

4. **ปรับเทคนิคการออกกำลังกาย** 
   - ตรวจสอบท่าทางการออกกำลังกายให้ถูกต้อง อาจปรึกษาเทรนเนอร์ 
   - วอร์มอัพและคูลดาวน์อย่างเพียงพอก่อนและหลังออกกำลังกาย 
   - หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักทันทีหลังรับประทานอาหาร

5. **ใช้ยาแก้ปวด (ถ้าจำเป็น)** 
   - ยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล หรือไอบูโพรเฟน อาจช่วยลดอาการปวดหรือการอักเสบ (ปรึกษาแพทย์ก่อนใช้)

6. **ฝึกการหายใจ** 
   - หากเป็น side stitch ลองฝึกหายใจลึกๆ ช้าๆ และสม่ำเสมอขณะออกกำลังกาย 
   - ดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสมก่อนและระหว่างออกกำลังกาย เพื่อป้องกันการขาดน้ำ

---

### เมื่อไรควรพบแพทย์
- อาการปวดรุนแรงหรือต่อเนื่องเกิน 2-3 วัน
- หายใจลำบาก หายใจแล้วเจ็บ หรือมีอาการแน่นหน้าอก
- มีอาการอื่นร่วม เช่น ไข้ คลื่นไส้ หรือปวดลามไปที่ไหล่หรือแขน
- สงสัยว่าซี่โครงอาจร้าวหรือแตก (เช่น มีรอยช้ำหรือเจ็บเมื่อกด)

---

### การป้องกันในอนาคต
- วอร์มอัพและยืดกล้ามเนื้อก่อนออกกำลังกายทุกครั้ง
- ใช้ท่าทางที่ถูกต้องและหลีกเลี่ยงการหักโหม
- ค่อยๆ เพิ่มความเข้มข้นของการออกกำลังกาย ไม่ควรเริ่มหนักเกินไป
- ดื่มน้ำเพียงพอและรับประทานอาหารให้เหมาะสมก่อนออกกำลังกาย

หากอาการยังไม่ดีขึ้นหรือกังวล ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด โดยเฉพาะหากสงสัยว่าอาจเกี่ยวข้องกับอวัยวะภายในหรือซี่โครงบาดเจ็บ
------------------------------------------------

อาการเจ็บซี่โครงขวาหลังออกกำลังกายสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุค่ะ ส่วนใหญ่แล้วมักจะไม่เป็นอันตรายรุนแรง แต่ก็ควรรู้ไว้เพื่อดูแลตัวเองได้อย่างถูกต้องและรู้ว่าเมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์

---

### สาเหตุที่พบบ่อยของอาการเจ็บซี่โครงขวาหลังออกกำลังกาย

* **กล้ามเนื้ออักเสบหรือถูกใช้งานหนักเกินไป:** เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดค่ะ โดยเฉพาะถ้าคุณออกกำลังกายหนักเกินไป ยกของหนัก หรือเคลื่อนไหวผิดท่า กล้ามเนื้อบริเวณหน้าอกหรือรอบซี่โครงอาจเกิดการฉีกขาดเล็กน้อยหรืออักเสบได้
* **กระดูกอ่อนซี่โครงอักเสบ (Costochondritis):** เป็นการอักเสบของกระดูกอ่อนบริเวณที่เชื่อมระหว่างกระดูกซี่โครงและกระดูกหน้าอก ทำให้อาการเจ็บซี่โครงมากขึ้นเมื่อหายใจลึกๆ ไอ หรือจาม
* **ซี่โครงร้าวหรือฟกช้ำ:** มักเกิดจากการกระแทกหรือได้รับบาดเจ็บโดยตรง
* **เสียดท้องขณะวิ่ง (Side Stitch):** อาการจุกเสียดบริเวณชายโครง มักเกิดขึ้นกับผู้ที่วิ่งเร็วเกินไป หรือร่างกายขาดน้ำ อาจเกิดจากการที่กระบังลมถูกใช้งานหนัก

---

### วิธีแก้ไขและบรรเทาอาการ

หากอาการเจ็บซี่โครงขวาไม่รุนแรงและไม่มีอาการผิดปกติอื่นๆ ร่วมด้วย คุณสามารถดูแลตัวเองเบื้องต้นได้ดังนี้:

* **พักผ่อน:** หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหรือกิจกรรมที่ทำให้เกิดอาการเจ็บ เพื่อให้กล้ามเนื้อได้ฟื้นตัว
* **ประคบเย็นหรือประคบร้อน:**
    * **ประคบเย็น:** ในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรกหลังเกิดอาการ เพื่อช่วยลดการอักเสบและอาการบวม
    * **ประคบร้อน:** หลังจาก 48 ชั่วโมง หรือเมื่ออาการบวมลดลงแล้ว การประคบร้อนจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตและคลายกล้ามเนื้อ
* **รับประทานยาแก้ปวด:** ยาแก้ปวดกลุ่มที่ไม่มีสเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) หรือนาพรอกเซน (Naproxen) สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดและลดการอักเสบได้
* **ยืดกล้ามเนื้อเบาๆ:** เมื่ออาการเจ็บดีขึ้นแล้ว ลองยืดกล้ามเนื้อบริเวณหน้าอกและลำตัวเบาๆ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและป้องกันการเกิดซ้ำ
* **วอร์มอัพและคูลดาวน์:** ก่อนออกกำลังกาย ควรวอร์มอัพร่างกายให้เพียงพอ และหลังออกกำลังกายควรคูลดาวน์ เพื่อเตรียมความพร้อมและลดความเครียดของกล้ามเนื้อ
* **ออกกำลังกายอย่างค่อยเป็นค่อยไป:** เพิ่มความเข้มข้นของการออกกำลังกายอย่างช้าๆ ไม่หักโหม เพื่อให้ร่างกายปรับตัวได้
* **จิบน้ำให้เพียงพอ:** โดยเฉพาะก่อนและระหว่างออกกำลังกาย เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำที่อาจทำให้เกิดอาการจุกเสียดได้

---

### เมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์

แม้ว่าอาการเจ็บซี่โครงส่วนใหญ่มักไม่อันตราย แต่ก็มีบางกรณีที่ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสม เช่น:

* **อาการปวดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หรือไม่ดีขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์**
* **มีอาการเจ็บซี่โครงร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น ไข้ ไอ หายใจลำบาก เจ็บหน้าอกรุนแรง ตัวเหลือง ตาเหลือง อ่อนเพลียผิดปกติ**
* **สงสัยว่าซี่โครงหักหรือร้าว** (เช่น มีประวัติการกระแทกรุนแรง)
* **มีอาการเจ็บซี่โครงที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวหรือการออกกำลังกาย**

หากคุณมีข้อสงสัยหรือกังวลเกี่ยวกับอาการเจ็บซี่โครงขวาหลังออกกำลังกาย แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยสาเหตุที่แท้จริงและรับคำแนะนำที่เหมาะสมนะคะ
--------------------------------------------------

อาการเจ็บซี่โครงขวาหลังออกกำลังกายอาจเกิดจากหลายสาเหตุ ทั้งจากกล้ามเนื้อ กระดูก หรืออวัยวะภายใน เช่น ตับหรือถุงน้ำดี วิธีการแก้ไขขึ้นอยู่กับสาเหตุ ดังนี้:

### **สาเหตุที่พบบ่อยและวิธีแก้ไข**
1. **กล้ามเนื้อหรือเอ็นอักเสบ** 
   - **สาเหตุ**: ยกของหนัก หายใจเร็วขณะออกกำลังกาย หรือออกแรงผิดท่า 
   - **อาการ**: เจ็บเวลาขยับตัว ไอ จาม หรือกดเจ็บจุดเดียว 
   - **แก้ไข**: 
     - พักการออกกำลังกาย 2–3 วัน 
     - ประคบร้อน/เย็นสลับกัน 
     - ทายาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs (เช่น ไอบูโพรเฟน) 

2. **กระดูกซี่โครงร้าวหรือบาดเจ็บ** 
   - **สาเหตุ**: อุบัติเหตุ或被กระแทก 
   - **อาการ**: เจ็บมากเวลาหายใจลึกๆ หรือกดเจ็บชัดเจน 
   - **แก้ไข**: 
     - หลีกเลี่ยงกิจกรรมหนัก 
     - ปรึกษาแพทย์เพื่อเอกซเรย์หากอาการไม่ดีขึ้นใน 1 สัปดาห์ 

3. **ปัญหาจากอวัยวะภายใน** 
   - **ตับหรือถุงน้ำดี**: เจ็บใต้ซี่โครงขวา ร้าวไปหลัง อาจมีคลื่นไส้/ตัวเหลือง 
   - **ปอด**: เจ็บเวลาหายใจ + อาจมีไข้/หายใจลำบาก (เช่น ภาวะเยื่อหุ้มปอดอักเสบ) 
   - **แก้ไข**: 
     - หากอาการรุนแรงหรือมีสัญญาณเตือน (ไข้สูง อาเจียน ตัวเหลือง) ควรรีบพบแพทย์ 

4. **การหายใจไม่ถูกต้อง** 
   - **สาเหตุ**: หายใจเร็วหรือตื้นขณะออกกำลังกาย ทำให้กล้ามเนื้อระหว่างซี่โครงทำงานหนัก 
   - **แก้ไข**: 
     - ฝึกหายใจลึกๆ โดยใช้กระบังลม (ท้องขยายเวลาหายใจเข้า) 

### **ข้อแนะนำเพิ่มเติม**
- **ปรับการออกกำลังกาย**: 
  - วอร์มอัพและยืดกล้ามเนื้อก่อน-หลังออกกำลังกาย 
  - หลีกเลี่ยงท่าที่ต้องบิดตัวหรือยกน้ำหนักมากเกินไป 
- **สังเกตอาการ**: 
  - หากปวดนานเกิน 1 สัปดาห์ หรือมีอาการอื่นๆ ร่วม (เช่น บวม แดง ร้อน) ให้พบแพทย์ 

หากอาการไม่ดีขึ้นหรือสงสัยว่ามีความผิดปกติของอวัยวะภายใน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจละเอียด (เช่น อัลตราซาวด์ หรือเลือด)
-------------------------------------------
#5
หาก Windows 10 บูตช้า มีหลายวิธีที่สามารถใช้เพื่อเร่งความเร็วในการบูตเครื่องได้ ดังนี้:

---

### ✅ 1. ปิดโปรแกรมเริ่มต้นอัตโนมัติ (Startup Programs)

* **ขั้นตอน:**

  1. กด `Ctrl + Shift + Esc` เพื่อเปิด Task Manager
  2. ไปที่แท็บ **Startup**
  3. คลิกขวาโปรแกรมที่ไม่จำเป็น แล้วเลือก **Disable**

---

### ✅ 2. ปิด Fast Startup แล้วเปิดใหม่

บางครั้ง Fast Startup ทำให้ระบบเกิดปัญหาบูตช้าได้

* **ขั้นตอน:**

  1. ไปที่ **Control Panel > Power Options**
  2. คลิก **Choose what the power buttons do**
  3. คลิก **Change settings that are currently unavailable**
  4. เอาเครื่องหมายถูกออกจาก **Turn on fast startup**
  5. บันทึก แล้วลองรีบูต

> *หากยังไม่เร็วขึ้น อาจลองเปิดฟีเจอร์นี้กลับอีกครั้งในภายหลัง*

---

### ✅ 3. ตรวจสอบไวรัส/มัลแวร์

มัลแวร์บางชนิดทำให้ระบบบูตช้า

* **แนะนำ:** ใช้ Windows Defender หรือโปรแกรมอย่าง Malwarebytes เพื่อสแกน

---

### ✅ 4. ตรวจสอบฮาร์ดดิสก์ (HDD vs SSD)

หากคุณยังใช้ **HDD (ฮาร์ดดิสก์)** อยู่:

* พิจารณาอัปเกรดเป็น **SSD** ซึ่งจะช่วยให้บูตเร็วขึ้นมาก

---

### ✅ 5. ปิดบริการที่ไม่จำเป็น (Windows Services)

* **คำเตือน:** ทำเฉพาะถ้าคุณมีประสบการณ์

  * พิมพ์ `msconfig` แล้วไปที่แท็บ **Services**
  * เลือก **Hide all Microsoft services**
  * ปิดบริการจากโปรแกรมภายนอกที่ไม่จำเป็น

---

### ✅ 6. อัปเดตไดรเวอร์ และ Windows

* ไปที่ **Settings > Update & Security** แล้วอัปเดตทั้งหมด

---

### ✅ 7. ตรวจสอบสุขภาพของดิสก์

* เปิด Command Prompt แล้วพิมพ์:

  ```bash
  chkdsk /f /r
  ```

  แล้วรีสตาร์ทตามคำแนะนำ

---

### ✅ 8. ใช้ฟีเจอร์ "Clean Boot"

* เพื่อตรวจสอบว่าโปรแกรมใดทำให้บูตช้า

  * พิมพ์ `msconfig` > แท็บ **General** > เลือก **Selective startup** และปิดโหลด Startup items
  * รีสตาร์ทเพื่อทดสอบ

---

หากต้องการ ผมสามารถแนะนำวิธีเป็นลำดับขั้นแบบเหมาะกับเครื่องของคุณ เช่น เครื่องรุ่นเก่า/ใหม่ มี SSD หรือไม่ — แจ้งข้อมูลเพิ่มเติมได้นะครับ เช่น:

* ใช้ SSD หรือ HDD?
* เครื่องเริ่มช้าตั้งแต่เมื่อไหร่?
* มีเสียงผิดปกติหรืออาการอื่นๆ หรือไม่?
------------------------------------------------------
#6
สาย **CAT6 (Category 6)** เป็นการพัฒนาต่อยอดจาก CAT5e โดยมีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น ทั้งด้านแบนด์วิดท์และการลดสัญญาณรบกวน

---

### ✅ **มาตรฐานของสาย CAT6:**

* **ความเร็วสูงสุด**:

  * **1 Gbps (1000 Mbps)** ได้เต็มที่ที่ระยะ **สูงสุด 100 เมตร**
  * **10 Gbps (10,000 Mbps)** ได้ที่ระยะ **สูงสุด 55 เมตร** (ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและการติดตั้ง)

* **แบนด์วิดท์**: **250 MHz**

* **ระยะทางสูงสุด**:

  * **100 เมตร** สำหรับ Gigabit Ethernet (1 Gbps)
  * **สูงสุด 55 เมตร** สำหรับ 10 Gigabit Ethernet (10GBASE-T)

---

### ✅ **การใช้งานที่รองรับ:**

* Fast Ethernet (100 Mbps)
* Gigabit Ethernet (1000 Mbps)
* 10 Gigabit Ethernet (10 Gbps) (ในระยะสั้น)
* รองรับ **PoE/PoE+** ได้เช่นเดียวกับ CAT5e
* ระบบกล้องวงจรปิด, ระบบเครือข่ายสำนักงาน, Smart Home ฯลฯ

---

### 🆚 **สรุปเปรียบเทียบ CAT5e vs CAT6:**

| คุณสมบัติ          | CAT5e           | CAT6                   |
| ------------------ | --------------- | ---------------------- |
| ความเร็วสูงสุด     | 1 Gbps (100 ม.) | 10 Gbps (สูงสุด 55 ม.) |
| แบนด์วิดท์         | 100 MHz         | 250 MHz                |
| ป้องกันสัญญาณรบกวน | ปานกลาง         | ดีกว่า CAT5e มาก       |

---

หากคุณกำลังวางระบบเครือข่ายใหม่ และต้องการเผื่ออนาคต หรือมีการใช้ข้อมูลจำนวนมาก (เช่น กล้อง IP ความละเอียดสูง, NAS, หรือสตรีมมิ่ง 4K/8K) การเลือกใช้ **CAT6 หรือ CAT6a** จะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าในระยะยาว.
#7
สาย **CAT5e (Category 5 enhanced)** เป็นสายเคเบิลที่พัฒนามาจากสาย CAT5 โดยมีการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการลดสัญญาณรบกวน (crosstalk) และสามารถรองรับความเร็วและแบนด์วิดท์ที่สูงขึ้นได้

### มาตรฐานของสาย **CAT5e**:

* **ความเร็วสูงสุด**: **1 Gbps (1000 Mbps)**
* **แบนด์วิดท์**: **100 MHz**
* **ระยะทางสูงสุด**: **100 เมตร** (328 ฟุต) ตามมาตรฐาน Ethernet

### ใช้งานที่รองรับ:

* **Fast Ethernet (100 Mbps)**
* **Gigabit Ethernet (1000 Mbps)**
* **PoE (Power over Ethernet)** ได้ตามมาตรฐาน IEEE 802.3af/at

> แม้ว่า CAT5e จะรองรับความเร็ว Gigabit Ethernet ได้เต็มที่ แต่ถ้าต้องการรองรับ **ความเร็วระดับ 10 Gbps** ควรใช้สาย **CAT6a** หรือสูงกว่า

หากคุณมีการใช้งานในบ้านหรือสำนักงานทั่วไป CAT5e ก็ยังคงเพียงพอในหลายกรณี โดยเฉพาะถ้าเดินสายไม่เกิน 100 เมตร และใช้กับอุปกรณ์ Gigabit Ethernet.
#8
การใช้งาน RAM ของคอมพิวเตอร์ (PC) ที่ "เหมาะสม" ขึ้นอยู่กับการใช้งานของคุณ แต่โดยทั่วไปแล้ว **ควรใช้ RAM อยู่ที่ประมาณ 40-70% ขณะทำงานทั่วไป** เพื่อให้ระบบยังมีพื้นที่สำรองสำหรับ:

* การเปิดโปรแกรมใหม่
* การทำงานเบื้องหลังของระบบ
* การจัดการหน่วยความจำชั่วคราว

---

### 💡 แนวทางโดยประมาณ:

| ประเภทการใช้งาน                                         | การใช้ RAM ที่เหมาะสม   |
| ------------------------------------------------------- | ----------------------- |
| งานทั่วไป (เช่น เปิดเว็บ ดู YouTube พิมพ์งาน)           | 30-60%                  |
| งานกราฟิก/ตัดต่อ/เกม                                    | 60-85%                  |
| งานหนักมาก (เช่น ทำงานกับไฟล์ 4K, เขียนโปรแกรมขนาดใหญ่) | 70-90%                  |
| เกิน 90% อยู่บ่อยๆ                                      | **ควรพิจารณาเพิ่ม RAM** |

---

### ✅ เคล็ดลับ:

* หากเปิดเครื่องแล้วยังไม่ได้ใช้งานอะไร แต่ RAM ใช้งานไปมากกว่า 60% ควรตรวจสอบโปรแกรมเบื้องหลังหรือไวรัส
* ถ้า RAM เหลือน้อยกว่า 10% ขณะใช้งาน อาจส่งผลให้เครื่องช้า/ค้าง เพราะระบบจะใช้ **Page File (Disk)** แทน ซึ่งช้ากว่า RAM มาก
* ใช้ Task Manager (Windows) หรือ Activity Monitor (macOS) เพื่อตรวจสอบว่าอะไรใช้ RAM บ้าง

----------------------------------------------------------
#9
UPS (Uninterruptible Power Supply) ขนาด **800VA / 480W** สามารถใช้งานกับคอมพิวเตอร์ได้ แต่ต้องพิจารณาจาก **กำลังไฟฟ้ารวมของอุปกรณ์ที่ต่อใช้งาน** ไม่ให้เกิน 480W (วัตต์) โดยเฉพาะในช่วงโหลดสูงสุด เช่น ตอนเปิดเครื่อง หรือเรนเดอร์กราฟิกหนัก ๆ

---

### ✅ ตัวอย่างคอมพิวเตอร์ที่สามารถใช้กับ UPS 800VA / 480W ได้

#### 💻 **คอมพิวเตอร์ทั่วไป / สเปกระดับกลาง**

* CPU: Intel Core i5 / Ryzen 5 (รุ่นไม่เกิน 65W TDP)
* GPU: ไม่มีการ์ดจอ หรือใช้การ์ดจอระดับกลาง เช่น GTX 1650, GTX 1660, RX 6500 XT
* RAM: 8-16 GB
* SSD / HDD: 1-2 ลูก
* จอภาพ: ขนาด 21-24 นิ้ว (ไม่ควรเกิน 1 จอ ถ้าใช้จาก UPS ตัวเดียว)

👉 **โหลดรวมโดยประมาณ**: 200W - 350W
✅ ใช้ได้อย่างปลอดภัย

---

### ⚠️ สเปกที่อาจเกินกำลังของ UPS 800VA / 480W

#### 🧠 สเปคระดับสูงหรือเกมมิ่ง

* CPU: i7, i9, Ryzen 7, Ryzen 9
* GPU: RTX 3060 ขึ้นไป (รวมถึง RTX 3070, 3080, 4070 ฯลฯ)
* PSU: 650W - 850W
* จอภาพ: 2 จอขึ้นไป หรือจอ 4K ขนาดใหญ่

👉 **โหลดรวมโดยประมาณ**: 400W - 700W+
❌ **เกินกำลัง UPS นี้ อาจตัดไฟ หรือทำให้ UPS เสียหาย**

---

### 🔌 เคล็ดลับการใช้งาน UPS ให้เหมาะสม

1. **ดูโหลดจาก PSU ไม่ใช่แค่สเปก**: ถ้า PSU 600W แต่โหลดจริงใช้งานแค่ 300W ก็ยังใช้ได้
2. **ใช้เฉพาะอุปกรณ์สำคัญ**: ควรต่อแค่คอมพิวเตอร์กับจอภาพ 1 จอเท่านั้น ไม่ควรต่อปริ้นเตอร์หรือฮาร์ดดิสก์หลายตัว
3. **เผื่อสำรอง 20-30%**: ใช้งานจริงควรอยู่แค่ 300-400W ไม่ควรใกล้ 480W ตลอดเวลา

---

### 📌 สรุป

UPS 800VA / 480W เหมาะกับ:

* คอมทั่วไป, ทำงานเอกสาร, เขียนโปรแกรม, ใช้ Adobe เบา ๆ
* คอมเกมมิ่งระดับเริ่มต้นที่ไม่ใช้การ์ดจอรุ่นใหญ่

ถ้าใช้งานสเปกแรง หรือใช้สำหรับการตัดต่อ/เรนเดอร์/เล่นเกมหนัก ๆ → ควรใช้ UPS ที่กำลัง **600W ขึ้นไป (1000VA+ ขึ้นไป)**

------------------------------------------------------


UPS 1000VA 500W สามารถใช้งานคอมพิวเตอร์ สเปกใดได้

UPS ขนาด **1000VA / 500W** ก็ยังถือว่าเป็นระดับกลางค่อนไปทางล่างของกลุ่ม UPS และเหมาะสำหรับคอมพิวเตอร์ **ที่ไม่กินไฟมากนัก** หรือใช้งานทั่วไป แต่ไม่เหมาะกับเครื่องแรง ๆ หรือเกมมิ่งระดับสูงครับ

---

## ✅ คอมพิวเตอร์ที่เหมาะกับ UPS 1000VA / 500W

### 🔹 สเปกระดับสำนักงาน / งานทั่วไป

* CPU: Intel Core i3, i5 / AMD Ryzen 3, Ryzen 5 (TDP ≤ 65W)
* GPU: ออนบอร์ด (เช่น Intel UHD, AMD Vega) หรือการ์ดจอประหยัดไฟ เช่น:

  * NVIDIA GTX 1050, GTX 1650
  * AMD RX 550, RX 6400
* RAM: 8-16 GB
* SSD/HDD: 1-2 ลูก
* จอภาพ: 1 จอ ขนาด 22-24 นิ้ว (LED, ไม่กินไฟมาก)

👉 โหลดรวม: ประมาณ **150-300W**
✅ ใช้งานได้ปลอดภัย และมีเวลา Backup \~5-15 นาที (แล้วแต่โหลด)

---

## ⚠️ คอมพิวเตอร์ที่ "อาจ" ใช้ได้ แต่ต้องระวัง

### 🔸 คอมเกมมิ่งระดับกลาง

* CPU: Ryzen 5 / i5 (65-105W)
* GPU: GTX 1660, RTX 3050
* RAM: 16-32 GB
* PSU: 550W
* จอภาพ: 1 จอ Full HD

👉 โหลดจริง: ประมาณ **300-450W**
✅ ใช้ได้ แต่ระวัง **ไม่ควรใช้งานเต็มโหลดนาน ๆ** และหากเรนเดอร์/เล่นเกมหนัก อาจเกินขีดจำกัดของ UPS

---

## ❌ ไม่แนะนำใช้กับ

### 🔻 คอมแรง / เกมมิ่ง / ตัดต่อวิดีโอหนัก

* CPU: i7/i9 หรือ Ryzen 7/9
* GPU: RTX 3060, 3070, 3080, 4070 ขึ้นไป
* PSU: 650W – 850W+
* ใช้จอภาพ 2 จอขึ้นไป หรือจอ 4K

👉 โหลดจริงอาจแตะ **500W – 700W+**
❌ เกินขีดจำกัดของ UPS → อาจทำให้ UPS **ดับ, ตัดไฟ, หรือพัง** ได้

---

## 🎯 แนวทางตรวจสอบว่าใช้ได้หรือไม่

1. **ดูค่า TDP ของ CPU/GPU** แล้วรวมกับอุปกรณ์อื่น ๆ (HDD, พัดลม, จอ ฯลฯ)
2. **เช็คโหลดจริงจากปลั๊กวัดไฟ** (เช่น Power Meter) ถ้าโหลดรวม < 450W ใช้ได้
3. UPS ควรทำงานที่ไม่เกิน **80% ของกำลังสูงสุด** → สำหรับ 500W ควรโหลดแค่ **\~400W**

---

## ✅ สรุป

| สเปกคอมพิวเตอร์                      | ใช้ได้กับ UPS 1000VA/500W ไหม |
| ------------------------------------ | ----------------------------- |
| คอมทั่วไป / ออฟฟิศ / เขียนโปรแกรม    | ✅ ใช้ได้สบาย                  |
| คอมเกมมิ่งระดับเริ่มต้น (GTX 1650)   | ✅ ใช้ได้ (โหลดไม่เกิน 400W)   |
| คอมเกมมิ่งระดับกลาง (RTX 3050, 3060) | ⚠️ เสี่ยง ต้องวัดโหลดจริง     |
| คอมแรง / GPU ใหญ่ / ตัดต่อวิดีโอ     | ❌ ไม่แนะนำ                    |

-----------------------------------------------


#10
การสมัครบัตรทอง หรือ "บัตร 30 บาทรักษาทุกโรค" เป็นสิทธิที่รัฐมอบให้แก่ประชาชนไทยที่ไม่มีสวัสดิการรักษาพยาบาลอื่นๆ เพื่อให้สามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย .([www.sanook.com][1])

---

### ✅ คุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครบัตรทอง

* เป็นบุคคลสัญชาติไทย มีเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก
* ไม่มีสิทธิรักษาพยาบาลอื่นจากรัฐ เช่น สิทธิข้าราชการ หรือประกันสังคม
* กลุ่มที่สามารถสมัครได้ เช่น

  * ผู้ประกันตนที่สิ้นสุดสิทธิประกันสังคม
  * ข้าราชการที่เกษียณอายุหรือออกจากราชการโดยไม่ได้รับบำนาญ
  * บุตรข้าราชการคนที่ 4 ขึ้นไป
  * ผู้ประกอบอาชีพอิสระที่ไม่ได้เป็นผู้ประกันตน .([www.sanook.com][1], [Allwell Healthcare][2])

---

### 📄 เอกสารที่ใช้ในการสมัคร

1. **บัตรประจำตัวประชาชน** (ตัวจริง) หรือเอกสารที่ทางราชการออกให้
2. **กรณีเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี**: ใช้สูติบัตร พร้อมบัตรประชาชนของผู้ปกครอง
3. **กรณีที่อยู่ไม่ตรงกับทะเบียนบ้าน**: ต้องมีหลักฐานยืนยันที่อยู่อาศัย เช่น

   * หนังสือรับรองจากเจ้าบ้านหรือผู้นำชุมชน
   * สัญญาเช่าที่พัก หรือใบเสร็จค่าสาธารณูปโภค .([bangkokbiznews][3], [www.sanook.com][1], [bangkokbiznews][4])

---

### 📝 วิธีการสมัครบัตรทอง

#### 1. สมัครด้วยตนเอง

* **ในกรุงเทพมหานคร**:

  * สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ชั้น 2 อาคารบี ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถนนแจ้งวัฒนะ
  * ศูนย์บริการสาธารณสุข หรือโรงพยาบาลของรัฐใกล้บ้าน([bangkokbiznews][3], [Allwell Healthcare][2])

* **ในต่างจังหวัด**:

  * โรงพยาบาลของรัฐ
  * โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.)
  * ศูนย์สุขภาพชุมชนเมือง .([thansettakij][5], [bangkokbiznews][3], [bangkokbiznews][4])

#### 2. สมัครออนไลน์

* ผ่านเว็บไซต์ [www.nhso.go.th](https://www.nhso.go.th) เลือกเมนู "สำหรับประชาชน" แล้วเลือก "ตรวจสอบสิทธิ"
* ผ่านแอปพลิเคชัน "สปสช." หรือเพิ่มเพื่อนในไลน์ด้วยไอดี @nhso .([thansettakij][5], [bangkokbiznews][3])

---

### 📞 ช่องทางติดต่อสอบถามเพิ่มเติม

* สายด่วน สปสช. โทร. 1330 (ตลอด 24 ชั่วโมง)
* ไลน์ไอดี: @nhso
* เฟซบุ๊ก: [สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ](https://www.facebook.com/NHSO.Thailand)([thansettakij][5], [bangkokbiznews][3])

---

หากคุณต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติมในการสมัครบัตรทอง หรือมีคำถามอื่นๆ สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ครับ

[1]: https://www.sanook.com/money/922499/?utm_source=chatgpt.com "วิธีสมัครบัตรทอง บัตรทอง 30 บาท ทำอย่างไร ที่ไหน รักษาโรคอะไรได้บ้าง?"
[2]: https://allwellhealthcare.com/universal-coverage-scheme/?utm_source=chatgpt.com "เช็กสิทธิบัตรทอง ทำอย่างไร? จ่าย 30 บาทรักษาทุกโรคจริงไหม? เช็กเลย!"
[3]: https://www.bangkokbiznews.com/health/well-being/1087402?utm_source=chatgpt.com "อัปเดต ขั้นตอนลงทะเบียนสิทธิบัตรทอง 30 บาท ใครต้องลงบ้าง เช็กที่นี่"
[4]: https://www.bangkokbiznews.com/health/well-being/1140977?utm_source=chatgpt.com "เจ็บป่วยรักษาฟรี สมัครบัตรทอง 30 บาท รักษาทุกที่ เช็กสิทธิที่ได้รับ 23 ..."
[5]: https://www.thansettakij.com/news/general-news/557511?utm_source=chatgpt.com "เปิดขั้นตอนลงทะเบียน\"สิทธิบัตรทอง 30 บาท\" ครบจบที่นี่"
-----------------------------------------------------